ซีเอ็ดกับอมรินทร์ ได้จับมือ จับมือก่อนขูดรีดสายส่ง
|
|
พอดีอ่านมาเจอมาค่ะ ไม่ทราบว่าเพื่อว่ายังไงคะ ถ้าซ้ำขออภัยค่ะ
จดหมายเปิดผนึก เรียน กระทรวงวัฒนธรรม, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงศึกษาธิการ ท่านผู้อ่าน และเพื่อนสำนักพิมพ์ทั้งหลาย
สืบเนื่องมาจากสองผู้ประกอบการร้านค้าเครือข่ายยักษ์ใหญ่ในวงการหนังสือบ้านเรา คือซีเอ็ดกับอมรินทร์ ได้จับมือกัน ก่อนออกจดหมายลงวันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ส่งไปยังผู้ข้องเกี่ยวต่างๆ อาทิ บริษัทจัดหน่าย หรือสายส่ง และสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เป็นต้น
สาระสำคัญในจดหมายฉบับดังกล่าว มีอยู่ว่า นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม ศกนี้เป็นต้นไป ทั้งซีเอ็ดและอมรินทร์จะดำเนินการเรียกเก็บค่ากระจายสินค้าในอัตรา 1% ของมูลค่ารวมในใบส่งสินค้า
ต่อมา, เมื่อวันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ได้มีการนัดหมายประชุมร่วมสามฝ่ายในเรื่องนี้ คือ ชมรมส่งเสริมการจัดจำหน่ายหนังสือ, สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ และตัวแทนร้านซีเอ็ดกับร้านนายอินทร์ (เครืออมรินทร์) จากนั้นวันรุ่งขึ้น นายธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ ในฐานะอุปนายกฝ่ายในประเทศ สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ได้ออกจดหมายลงเวลา 11.00 น. แจ้งผลการประชุม โดยใช้คำว่า มีมติ รวม 3 ข้อ ได้แก่
1. ให้ยกเลิกจดหมายของซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์และร้านนายอินทร์ ฉบับวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
2. เชิญเพื่อนสมาชิกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ร่วมรับฟังการเสวนาในเวทีกลาง เรื่อง โครงสร้างอุตสาหกรรมหนังสือ จากวันนี้สู่อนาคต ในวันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 เวลา 14.00 น. ณ ห้อง Meeting Room 3 และ 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
3. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาเหตุผลและความจำเป็นในการเก็บค่า DC ตลอดจนแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการส่งมอบและรับคืนสินค้าระหว่างสำนักพิมพ์ ผู้จัดจำหน่าย และร้านหนังสือ ภายใน 1 เดือน โดยมี นายเสน่ห์ ดงยะโสภา เลขาธิการสมาคมฯ เป็นประธาน และมีนายทองนาค เพ็งชนะ, นายถนัด ไทยปิ่นณรงค์, น.ส. ศรีนวล ก้อนศิลา, นายวินัย ชาติอนันต์, น.ส. จิตรา อุเทนโภคา, น.ส. ฐาปนี โปร่งรัศมี และนายปัณณธร ไชยบุญเรือง เป็นอนุกรรมการ
ก่อนอื่น ผมเห็นจะต้องขออนุญาตเรียนอธิบายเพิ่มเติมสักนิดหนึ่ง กล่าวคือ หนังสือที่เราเห็นๆ วางขายอยู่ตามร้านค้าทั่วไปนั้น แต่ไหนแต่ไรมา ล้วนแล้วแต่ใช้ระบบฝากขายกันแทบทั้งนั้น หมายความว่า หน้าร้านอาศัยกินเปอร์เซ็นต์จากเล่มที่ขายได้ เล่มใดขายไม่ได้ ก็ไม่คิดตังค์จากสำนักพิมพ์หรือสายส่งแต่ประการใด
พูดอีกแบบก็คือ ข้อปฏิบัติดังกล่าวยังคงอยู่ แต่สองผู้ประกอบการร้านหนังสือเครือข่ายยักษ์ใหญ่อย่างซีเอ็ดกับอมรินทร์ ต้องการเรียกเก็บตังค์กินเปล่าเพิ่มอีก 1% ของยอดส่งสินค้าฝากขาย โดยผิวเผิน อาจดูเหมือนเป็นตัวเลขไม่สูงเท่าไร แต่ถ้าพิจารณาจากมูลค่าปกหนังสือที่ผลิตกันในช่วงปีปัจจุบัน ซึ่งมีการประเมินกันว่าไม่น่าจะต่ำกว่าสามหมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในปีต่อๆ ไป เช่นนี้แล้ว หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของยอดดังกล่าวที่จะไหลเข้ากระเป๋าของสองบริษัทมหาชนแบบเปล่าๆ ปลี้ๆ เป็นจำนวนเงินมากน้อยแค่ไหน ก็ลองคิดคำนวณกันเอาเองก็แล้วกัน
ย้อนกลับไปดูสิ่งที่สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เรียกว่า มติ ทั้งสามข้อข้างต้นอีกครั้งกันดีกว่า หากไม่มีข้อสองและสามผูกพ่วงตามมา ย่อมแสดงว่าผลการประชุุมวันนั้นได้ข้อยุติเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วในแง่ที่สำนักพิมพ์ทั้งหลายไม่ต้องจ่ายค่ากินเปล่าให้กับซีเอ็ดกับอมรินทร์ (ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นร้านค้าปลึกหนังสือระดับยักษ์ใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัยในวันนี้) แต่ถ้าอ่านความหมายในข้อสามให้ดีๆ ก็จะพบว่า แท้แล้วเป็นเพียงการเลื่อนเวลาในการพิจารณาความประสงค์ของสองผู้ประกอบการฯออกไปอีกหนึ่งเดือนเท่านั้น โดยระหว่างนี้ได้จัดให้มีคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมา เพื่อเจรจาหารือกันให้จบภายในเวลาดังกล่าว
ส่วนในข้อสองนั้น ถ้าคาดการณ์ไม่ผิด คงมีตัวแทนของซีเอ็ดกับนายอินทร์ออกมาอรรถาธิบายถึงความจำเป็นสารพัดสารพัน ในการเรียกเก็บเงินเก็บทองจากสำนักพิมพ์หรือบริษัทจัดจำหน่ายหนังสือทั้งหลายนั่นแหละ
(ขอความกรุณาเถอะครับ ทั้งซีเอ็ดและนายอินทร์ ได้โปรดอย่ามาอ้างให้เปลืองน้ำลายเลยว่า ในการดำเนินธุรกิจร้านหนังสือทุกวันนี้ มีค่าใช้จ่ายจิปาถะ ทั้งรังแต่จะเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการขยายสาขาที่มีมาตลอดต่อเนื่อง ก็สะท้อนให้เห็นอยู่ทนโท่แล้วว่า ผลประกอบการธุรกิจด้านนี้เป็นเช่นไร)
เอาละ, มาดูกันว่า สิ่งซึ่งจะตามมาในเรื่องนี้ มีอะไรอย่างนั้นหรือ?
1. หากสำนักพิมพ์หรือสายส่งใดไม่ยอมรับเงื่อนไข คุณก็ไม่มีสิทธิ์ส่งหนังสือมาวางขายในร้านซีเอ็ดกับนายอินทร์ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่า ลำพังหนังสือที่พวกเขาผลิตเองก็เหลือเฟือ แทบไม่มีที่วางขายอยู่แล้ว พูดกันตามประสาชาวบ้านก็คือ ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปมีไมตรีกับใครหน้าไหนก็ได้
ต่อกรณีนี้ ถ้าธุรกิจร้านหนังสือในบ้านเราไม่ถูกผูกขาดด้วยอำนาจเงินลงทุนที่เหนือกว่าของสองผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ หายนะอันจะเกิดแก่สำนักพิมพ์ทั่วไป และผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อย อาจยังมาไม่ถึง ชั่วๆ ดีๆ ความหลากหลายทางชีวภาพของหนังสิอก็ยังพอมีอยู่
2. ถ้าสำนักพิมพ์ยอมรับเงื่อนไข ก็เท่ากับมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยปริยาย ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งผลิตหนังสือในปี 2556 มูลค่ารวมหนึ่งร้อยสิบล้าน ถือเสียว่า ส่งไปวางร้านค้าอื่นที่ไม่มีข้อกำหนดแบบซีเอ็ดกับอมรินทร์สักสิบล้าน เหลืออีกหนึ่งร้อยล้าน จัดส่งไปยังสองเจ้ายักษ์ใหญ่ สำนักพิมพ์นี้จะต้องเตรียมเงินไปใส่พานถวายเปล่าๆ ปลี้ๆ (โดยไม่มีหลักประกันอันใดว่าจะขายหนังสือได้ขั้นต่ำเท่าไร) รวมแล้วหนึ่งล้านบาทเนื้อๆ นะครับ
ถามต่อไปว่า สำนักพิมพ์จะไปหาค่าใช้จ่ายที่งอกเพิ่มขึ้นฉับพลันทันทีนี้จากที่ไหน หากไม่ไปแอบขึ้นราคา ขูดรีดเอาจากผู้อ่านให้มาช่วยกันจ่ายเงินกินเปล่าแก่ซีเอ็ดและอมรินทร์ (แต่ยิ่งขึ้นราคามากเท่าไร ใช่ว่าจะช่วยให้หนังสือขายได้มากขึ้นเสียที่ไหน ส่วนใหญ่เป็นตรงกันข้ามด้วยซ้ำ) ทว่าการเพิ่มต้นทุนการอ่าน โดยผลักภาระให้ผู้อ่านต้องมาร่วมแบกรับเคราะห์กรรมเช่นนั้น ยิ่งพลอยส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่กระเป๋าของสองเจ้านี้มากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะตัวเลขหนึ่งเปอร์เซ็นต์จากค่ากระจายสินค้านั้น ผูกติดสนิทแน่นอยู่กับราคาหนังสือโดยตรง
ตรงนี้แหละครับ ที่ผมอยากเรียกร้องให้ผู้ข้องเกี่ยวที่มีจริยธรรมและปัญญาในระดับภาครัฐ ควรลงมาติดตามการเจรจาหาทางออกเรื่องนี้ชนิดอย่ากะพริบตา เพราะถ้าขืนปล่อยให้สองผู้ประกอบการฯเป็นฝ่ายกำหนดเงื่อนไขตามอำเภอใจอยู่ข้างเดียว เรียนตามตรง ผมยังไม่เห็นแววว่าคณะกรรมการสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ได้แสดงออกให้อุ่นใจสักนิดตรงไหน
3. สำนักพิมพ์จำนวนไม่น้อยจะถูกต้อนเข้าคอกซีเอ็ดกับอมรินทร์ด้วยไม้เรียวที่มีชื่อว่า เงื่อนไขพิเศษ กล่าวคือ จะไม่เรียกเก็บค่ากระจายสินค้าหนึ่งเปอร์เซ็นต์นั้น แต่ต้องส่งหนังสือให้เขาเป็นตัวแทนจัดจำหน่าย เพื่อแลกกับเงื่อนไขดังกล่าวสักระยะ ก่อนเรียกเปอร์เซ็นต์ค่าจัดจำหน่ายเพิ่มในขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงข่าวที่กระเส็นกระสายมาว่า สำนักพิมพ์บางแห่งพร้อมสนับสนุนแนวทางของซีเอ็ดกับอมรินทร์ เพราะเชื่อว่าตัวเองสามารถเจรจาต่อรองได้ จนไม่ต้องถูกเรียกเก็บค่ากระจายสินค้าในอัตราที่ว่า กล่าวอีกนัยก็คือ น้อยกว่าสำนักพิมพ์ทั่วไป
พูดกันอย่างตรงไปตรงมา เหตุที่ผมจำเป็นต้องเขียนจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ขึ้นในนามส่วนตัว ไม่ใช่เพราะชักชวนเพื่อนพ้องมิตรสหายในแวดวงสำนักพิมพ์ให้มาร่วมลงนามด้วยไม่ได้ หรือเป็นเพราะอยากเด่นอยากดังโดยลำพังแต่ประการใด หากแต่พอเล็งเห็นอยู่ว่า กำลังหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ชนิดมีสิทธิ์ทำให้ทั้งซีเอ็ดและอมรินทร์เหม็นขี้หน้า จนไม่อยากรับหนังสือหนังหาของสามัญชนไปวางขายในร้านอีกต่อไป
ทว่าเมื่อเทียบกับปัญหาที่จะส่งผลกระทบตามมาเป็นลูกโซ่ต่อเพื่อนสำนักพิมพ์ส่วนใหญ่ และโดยเฉพาะก่อให้เกิดการเพิ่มต้นทุนการอ่านอย่างสามานย์ ถ้าสำนักพิมพ์สามัญชนจะถูกบอยคอยจากการนี้ ก็ช่างหัวมัน! แต่คนอย่างผมคงรู้สึกผิดบาปสิ้นดี ถ้าไม่พูดเรื่องนี้เอาเสียเลย
รบกวนเวลาทุกท่านมากไปแล้ว ต้องขออภัยด้วยที่อาจทำให้หงุดหงิดโดยไม่จำเป็น
ด้ ว ย นั บ ถื อ โ ด ย แ ท้ เวียง-วชิระ บัวสนธ์ บรรณาธิการสำนักพิมพ์สามัญชน
จากคุณ |
:
เก้าเกเทหมดตัก
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ก.ค. 55 12:23:57
|
|
|
|