Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
นักวิชาการชี้คนไทย 'แก่ จน โง่' จากพื้นฐานการศึกษา 2 ใน 3 แรงงานไม่จบป.6 ติดต่อทีมงาน

“ดร.กฤษณพงศ์” มองการใช้งบฯ ศธ. ละเลยแรงงานไร้วุฒิ หวั่นขาดกำลังขับเคลื่อนประเทศ ด้าน “ดร.เอนก” แนะสร้างชุดความรู้ขึ้นเอง รับกระแสบูรพาภิวัตน์

วันที่ 31 กรกฎาคม สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ วิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ภายใต้การสนับสนุนของแผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) จัดเวที THINK TANK ครั้งที่ 5 “ศักยภาพอุดมศึกษาไทยกับการผลิตทรัพยากรมนุษย์ ในยุคบูรพาภิวัตน์” ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ

ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ คณบดีวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า บ้านเมืองในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมที่โลกตะวันตกเคยเป็นผู้นำ มีความเข้มแข็ง และเคยเป็นครู สอนสิ่งต่างๆ กลายเป็นโลกาภิวัตน์ ที่มีนามสกุลพ่วงท้ายเป็น บูรพาภิวัตน์ เพราะประเทศตะวันออกกำลังพัฒนาเศรษฐกิจไปอย่างรวดเร็ว มีชนชั้นกลางมากขึ้น จึงมีความกระหายที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง

“ในอดีตสมัยรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามารถรับรู้ทิศทางลมได้เร็ว จึงมีการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเข้ามาของโลกตะวันตก ทำให้มีความพร้อมในหลายเรื่อง เช่นเรื่องการศึกษา ขณะนี้จึงอยู่ว่าเราจะสามารถรับรู้กระแสลมได้รวดเร็วอีกหรือไม่ จะสร้างตัวอย่างไร เอาความรู้มาจากที่ไหน เพื่อให้การศึกษารับกับกระแสโลกใหม่ได้ เพราะที่ผ่านมาชุดความรู้ต่างๆ นั้นนำมาจากตะวันตกทั้งสิ้น ฉะนั้นเห็นว่า บ้านเราจำเป็นต้องผลิตชุดความรู้ของตนเองขึ้นมาบ้าง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.เอนก กล่าวด้วยว่า การแก้ปัญหาเรื่องการศึกษานั้นไม่สามารถแก้ไขได้ทุกเรื่อง บางเรื่องถกเถียงมานานมาก จึงเสนอให้คิดว่าจะใช้ประโยชน์จากบูรพาภิวัตน์ ทั้งจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และอาเซียนได้อย่างไร มากกว่าที่จะคิดในเรื่องการแข่งขัน หรือเฉพาะเรื่องที่เป็นจุดอ่อนของไทย

ด้าน ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร รองประธานคนที่ 2 สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) และอดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า การศึกษาของประเทศไทยนั้นที่ผ่านมาลืมให้ความสำคัญกับคนวัยทำงาน แรงงานที่ไม่มีวุฒิ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 40 ล้านคน ทั้งที่คนกลุ่มนี้เป็นกำลังขับเคลื่อนหลักของประเทศไทย มากกว่าคนที่กำลังเรียนหนังสือ

“2 ใน 3 ของแรงงานไทย มีการศึกษาต่ำกว่าประถมศึกษา ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวถือว่าแย่กว่าอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย คนไทยไม่สามารถไปเป็นช่างก่อสร้าง หรือแม่บ้านได้ เพราะไม่สามารถอ่านภาษาอังกฤษได้”

ดร.กฤษณพงศ์ กล่าวถึงงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการที่ใส่ลงไปประมาณ 4 แสนล้านบาทต่อปี ใช้ไปกับคนเพียง 13-14 ล้านคนเท่านั้น ส่วนคนที่เหลือ ซึ่งก็คือแรงงานที่ไม่มีวุฒิประมาณ 40 ล้านคนกลับไม่เคยได้รับความสนใจ ใส่เงินเข้าไปสนับสนุนส่งเสริมการศึกษาของคนเหล่านี้ ซึ่งตรงนี้จะต้องปรับปรุง เพราะหากดูจากแนวโน้มอัตราการเกิดของประเทศไทยประกอบจะพบว่า มีแนวโน้มลดลง สังคมไทยเป็นสังคมสูงอายุมากขึ้น

“ประเทศไทยกำลังแก่ จน และโง่จากพื้นฐานการศึกษาที่มีมาแต่เดิม ทั้งที่เด็กไทยเรียนหนักเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในช่วงประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ส่วนระดับอุดมศึกษาเราไปสนใจความรู้ที่ตีพิมพ์มากเกินไป ฉะนั้นการศึกษาที่จะเกิดขึ้นในสังคมต่อจากนี้ ความรู้ต้องกินได้ ใช้ได้ ขายได้ รวมถึงต้องส่งเสริมการศึกษาของคนวัยทำงาน ผู้สูงอายุ ให้มีความรู้และยึดอายุการทำงานให้ยาวนานยิ่งขึ้น นอกจากนี้มหาวิทยาลัยควรให้ความสำคัญแก่การศึกษาและงานวิชาการอีกด้วย”

ส่วนการจัดการศึกษาไทยในยุคบูรพาภิวัตน์ควรมีหน้าตาอย่างไรนั้น ดร.กฤษณพงศ์ กล่าวว่า การจัดการศึกษาไม่ควรตั้งโจทย์ว่าจะจัดอย่างไร แต่ควรตั้งโจทย์ว่าจัดแล้วใครได้ประโยชน์ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่า การจัดการศึกษานั้นความรู้ต้องไปเกิดที่ชุมชนมากกว่าบุคคล ขณะเดียวกันการศึกษาต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ไม่ใช่สนใจแต่คนวัยเรียนอย่างเดียว และเมื่อรวมเป็นประชาคมอาเซียนแล้ว การสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ต้องไม่สอนให้ไม่ดูถูก มีปมเขื่องกับประเทศเพื่อนบ้าน

ขณะที่ ดร.ศุภชัย ยาวะประภาษ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ภาพของอุดมศึกษาในยุคบูรพาภิวัตน์ แม้จะกำลังเติบโต แต่ไม่ได้หมายความว่ายุโรปหยุดนิ่ง ยุโรปมีการปรับตัวตลอดเวลา และได้เข้ามาร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในภูมิภาคนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันการเคลื่อนตัวของอุดมศึกษาในบูรพาภิวัตน์ช่วงต่อไปนั้น อาจถูกลุกคืบจากประเทศที่มีฐานอุดมศึกษาที่แข็งแกร่งกว่า เด็กไทยที่เก่งที่สุดจะไม่ค่อยเรียนในประเทศ แต่อย่างไรก็ตามตนมองว่า อุดมศึกษาไทยยังมีจุดแข็งตรงที่สามารถทำงานกับชนชาติต่างๆ ได้ง่ายกว่าคนอื่น และสามารถเป็นศูนย์กลางได้ในหลายเรื่อง แต่ของดีเหล่านี้ประเทศไทยยังไม่ได้หยิบมาใช้ประโยชน์ ไม่ได้ถูกนำมาวิเคราะห์ต่อยอด ซึ่งตรงนี้อาจเป็นเพราะปัญหาของการบ่นมาก แต่ทำน้อย

ส่วน ดร.บัญชา แสงหิรัญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กล่าวถึงศักยภาพของอุดมศึกษาไทยว่า ต้องสามารถผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ แข่งขันกับประเทศอื่นได้ โดยต้องมีการนำนวัตกรรม เทคโนโลยีมาใช้ ขณะที่การเรียนการสอนมหาวิทยาลัยต้องสอนให้คิดสิ่งใหม่ๆ เป็น ไม่ใช่เลียนแบบ

“ปัจจุบันต้องยอมรับว่าคุณภาพการศึกษาไทยด้อยลง ต่างจากจีนในปัจจุบันที่สามารถถีบตัวขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นของโลก ได้ ซึ่งการปฏิรูปการศึกษาของจีนนั้น อันดับแรกเริ่มต้นจากการเพิ่มเงินเดือนบุคลาการครู ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น มีการตั้งมหาวิทยาลัยเพิ่ม รวมทั้งส่งเสริมการสร้างงานวิจัย ส่วนอุดมศึกษาไทยของไทยนั้นในอดีตเน้นผลิตคนเพื่อรับราชการ แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นคนไทยขยับขึ้นไปเวทีโลกบ้างแล้ว และโดยส่วนตัวก็เชื่อมั่นในสมรรถนะของคนไทย เพียงแต่อยากให้สังคมอย่าสร้างกรอบที่ดีจนเกินไป รวมถึงต้องมีการปรับเปลี่ยนกรอบการจ้างงาน ไม่เอาใบปริญญามาเป็นเครื่องวัด" ดร.บัญชา กล่าว

จากนั้นในช่วงบ่าย ดร.พิจิตต รัตนกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าวถึง “ระบบการศึกษาไทยกับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในยุคบูรพาภิวัตน์”ว่า สำหรับในเรื่องการศึกษานั้น ถ้านำความรู้ของตะวันตกเข้ามาใช้ โดยไม่ได้มีการเทียบกับความต้องการ หรือประเพณีวัฒนธรรมของบ้านเราแล้ว อาจไม่ใช่เรื่องที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศมากนัก

ส่วนโจทย์ของการศึกษา เมื่อรวมเป็นประชาคมอาเซียน ดร.พิจิตต กล่าวว่า การรวมเป็นประชาคมอาเซียนมีทั้งข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบ เช่น ตลาด 10 ประเทศจะมีขนาดใหญ่มาก ภาษีเป็นศูนย์ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวโยงโดยตรงกับเรื่องการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ที่จะต้องให้ความสำคัญกับ 2 ประเด็นหลักคือ 1.การรักษาความเข้มแข็งในประเทศ การผลิตกำลังคนเพื่อป้อนตลาดแรงงานภายในประเทศ ทั้งภาคเกษตร อุตสาหกรรมและการบริการ โดยมองถึงความต้องการของตลาดแรงงานเป็นหลัก นอกจากนี้จะต้องมีการสร้างแรงดึงดูดแรงงานฝีมือน้อย เช่นแรงงานก่อสร้าง แรงงานประมงเข้ามาทดแทนด้วย เนื่องจากแรงงานกลุ่มนี้จะหาได้ยากมากขึ้น 2.จะต้องมีการส่งเสริมการผลิตกำลังคน เพื่อส่งออกแรงงานกึ่งฝีมือสู่ตลาดภายนอก  

ทั้งนี้ ดร.พิจิตต กล่าวด้วยว่าการศึกษาของไทยนั้นจะสร้างจุดแข็งในอาเซียนได้ จะต้องเลือกระบบการศึกษาที่สอดคล้องกับเป้าหมายอาเซียน ไม่ใช่ผลิตบัณฑิตกันเต็มบ้านเต็มเมือง โดยที่ไม่รู้ว่าจะนำบัณฑิตไปทำอะไร

ที่มา http://goo.gl/Bso9U  

ภาพ http://goo.gl/BexeH

 
 

จากคุณ : หนุ่มเมืองใต้
เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 55 13:47:55




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com