 |
ดิฉันว่าเราน่าจะให้ความสนใจในเรื่องของสี่เสืออิสาน...ที่เหมือนกับเป็น "ตราบาป" เกี่ยวเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้...
ขอคัดลอกมาค่ะ...
วันพุธ ที่ 27 มกราคม 2553 จากลุ่มน้ำโขงถึงซับแดง : การเดินทางบนเส้นทางสายอุดมการณ์ (๙) Posted by เจนอักษราพิจารณ์ , ผู้อ่าน : 653 , 22:36:26 น. หมวด : วรรณกรรม/กาพย์กลอน พิมพ์หน้านี้ โหวต 0 คน
ตำนานชีวิตสี่เสืออีสาน : อุดมการณ์ฝากไว้ในแผ่นดิน (๔)
นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ : ขุนพลฝีปากกล้าเมืองอุบล
ในตอนที่แล้วผู้เขียนได้เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของนายเตียง ศิริขันธ์ ขุนพลภูพานแห่งเมืองสกลนคร หัวหน้าเสรีไทยสายอีสาน จนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตที่ถูกฆ่าอย่างไร้เกียรติ ถึงแม้ว่าในเวลาต่อมาจะมีการรื้อฟื้นคดีและตัดสินคดีในชั้นศาล แต่ทั้งผู้เกี่ยวข้องและอยู่เบื้องหลังส่วนหนึ่งยังคงลอยนวลอยู่ต่างประเทศ ทิ้งชะตากรรมผู้อยู่เบื้องหลังอย่างไร้ความยุติธรรม
สำหรับในตอนนี้จะได้กล่าวถึงเรื่องราวของอดีตรัฐมนตรีอีสานที่มีจุดจบของชีวิตมิแตกต่างกับนายเตียง ศิริขันธ์ คือนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ขุนพลฝีปากกล้าแห่งเมืองอุบล ดังจะได้นำเสนอดังต่อไปนี้
กำเนิด ณ เมืองดอกบัวงาม
หากพลิกประวัติชีวิตขุนพลฝีปากกล้านามทองอินทร์ ภูริพัฒน์ พบว่าเป็นชาวอุบลราชธานีโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2449 ที่บ้านหนองยาง ตำบลหัวเรือ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยเป็นบุตรของนายชู และนางหอม ภูริพัฒน์ ประกอบอาชีพทำนาและค้าขายในหมู่บ้าน
เนติบัณฑิตไทยความใฝ่ฝันอันแรงกล้า
ในวัยเด็กนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เข้ารับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนเบญจมะมหาราช ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดอุบลราชธานี จากนั้นจึงเข้ามาศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพฯ ในขณะเดียวกันก็ศึกษาระดับประกาศนียบัตรครูมัธยมศึกษาไปพร้อมกันจนสำเร็จการศึกษา และสำเร็จเนติบัณฑิตไทยในเวลาต่อมา
หลังสำเร็จการศึกษาในปี 2464 จึงกลับคืนสู่บ้านเกิดโดยเป็นครูสอนที่โรงเรียนเบญจมะมหาราช ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เคยศึกษาเมื่อวัยเด็ก โดยทำหน้าที่การสอนปฏิบัติงานเรื่อยมาจนได้รับการแต่งตั้งเป็นเป็นครูใหญ่โรงเรียนเบ็ญจมะมหาราช ระหว่างปี 2468 – 2477 และได้รับพระราชทานยศทางพลเรือนเป็นรองอำมาตย์ตรี (เทียบเท่าร้อยตรีทหารบก)
นอกจากนั้นนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ยังมีบทบาทสำคัญในด้านศึกษาโดยเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนศรีทองวิทยา และโรงเรียนวิไลพัฒนา ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนระดับมัธยมศึกษาในจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษาตามความต้องการของท้องถิ่นในยุคนั้น
ในปี 2483 นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ได้โอนไปรับราชการในตำแหน่งเลขานุการมณฑลนครราชสีมา สังกัดกระทรวงมหาดไทย และตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี คือตำแหน่งนายอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
.
.ส่วนด้านชีวิตครอบครัวได้สมรสกับเจ้าศิริบังอร ณ จำปาศักดิ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นเขยของตระกูลเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์แห่งประเทศลาว โดยได้ตั้งถิ่นฐานครอบครัวอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีเรื่อยมา
นายเตียง ศิริขันธ์ (ขุนพลภูพาน) และนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ (ขุนพลเมืองอุบล)
จากนายอำเภอท่าอุเทนสู่สภาอันทรงเกียรติ
หลังจากลาออกจากตำแหน่งนายอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ จึงได้ลงสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งทางอ้อมครั้งแรกของเมืองไทยในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 ในขณะที่มีอายุเพียง 27 ปี เท่านั้น
ด้วยความรู้และประสบการณ์ในการทำงาน จึงทำให้ได้รับความไว้วางใจจากชาวจังหวัดอุบลราชธานีในการเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรตามความมุ่งหวัง โดยมีนายเลียง ไชยกาล และนายเนย สุจิมา ได้รับการเลือกตั้งในครั้งนั้นด้วย และในการเลือกตั้งครั้งต่อมานายทองอินทร์ ภูริพัฒน์
เมื่อเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรตินายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทโดดเด่นคนหนึ่ง ทั้งบทบาทในสภาและบทบาทนอกสภา โดยเฉพาะบทบาทของหัวหน้าเสรีไทยสายอีสานในเขตจังหวัดอุบลราชธานีในระหว่างสงครามโลก ครั้งที่ 2
ส่วนบทบาทในสภาจากรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในปี 2476 พบว่า นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์เป็นผู้แทนราษฎรที่มีบทบาทในเวทีรัฐสภาสูงเรียงตามลำดับ คือ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ (อุบลราชธานี) หลวงวรนิติปรีชา (สกลนคร) ขุนวรสิษฐ์ดรุณเวทย์ (หนองคาย) นายเลียง ไชยกาล (อุบลราชธานี) ขุนเสนาสัสดี (ร้อยเอ็ด) ซึ่งผู้แทนราษฎรเหล่านี้ต่างผ่านการศึกษาด้านกฎหมายมาก่อนทั้งสิ้น
จากรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 19/2476 มีเนื้อหาการอภิปรายของนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ที่น่าสนใจ คือ
.
“ข้าพเจ้าเป็นผู้แทนราษฎรจากบ้านนอก จึงรู้สึกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระบายความรู้สึกทุกข์ร้อนของราษฎรให้รัฐบาลทราบ โดยเฉพาะเมื่อก่อน พ.ศ. 2475 ทางมณฑลภาคอีสานมีการเก็บภาษีอากรโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเงินรัชชูปการ เมื่อต้นปีที่แล้วมานี้เองราษฎรเสียเงินรัชชูปการ หาเงินไม่ได้มาเพียง 3 บาทเท่านั้น ก็หาบไก่มาเพื่อจะเอามาขายแล้วผสมเสียเงิน..ให้พอกับที่จะต้องเสียเงิน 4 บาท นี้เรารู้สึกว่าเขามีศีลธรรมดีจริง ๆ .. และในปี พ.ศ. 2476 นั้นเอง รัฐบาลได้ประกาศลดอัตราการเก็บภาษีลงเหลือเพียงครึ่งอากรค่านาจึงไม่ได้เก็บในอัตราปกติ ..ข้าพเจ้าเสนอความเห็นเรื่องค่านานี้อย่างยืดยาว ..แต่รัฐบาลตอบข้าพเจ้ามาเพียง 3 บรรทัด ว่า การลดค่านาตามนั้นจะกระทบกระเทือนถึงการเงินของประเทศ .. ถ้าเราเทียบทางอื่น คือในทางกฎหมายที่ออกมาโดยกก็มาจากผู้มีรายได้ เราคิดว่า ราษฎรทำงานตลอดปีได้เงิน 18 บาท จะต้องเสียค่าภาษีอากร 18 บาท นี้ทั้งทุน ทั้งแรงต้องเสียไป 2 บาท เป็นค่าภาษีอากร ผู้มีรายได้เดือนละ 200 บาท ปีหนึ่งก็ 2400 บาท ส่วนผู้ได้ 18 บาท เสีย 2 บาท ผู้ที่ได้ 2400 ไม่ต้องเสียเลย ราษฎรถูกเก็บเช่นนี้จึงอยากจะหาทางผ่อนแก่เขา”
ทั้งนี้มีผู้แทนราษฎรที่อภิปรายสนับสนุนญัตตินี้คือ ขุนพิเคราะห์คดี (ขุขันธ์) ขุนวรศิษฐ์ดรุณเวทย์ (หนองคาย) หลวงวรนิติปรีชา (สกลนคร) และนายมงคล รัตนวิจิตร (นครศรีธรรมราช)
หนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวเกี่ยวกับการสังหารนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์
พระราชบัญญัติปักป้ายข้าวเหนียว : ปกป้องสิทธิของชาวไร่ชาวนา
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ มีบทบาทสำคัญในการเป็นแกนนำเสรีไทยสายอีสานเขตอุบลราชธานี รวมทั้งเป็นเลขาธิการและแกนนำในการจัดตั้ง “พรรคสหชีพ” โดยมี ดร.เดือน บุนนาค เป็นหัวหน้าพรรค และหลังการเลือกตั้งครั้งที่ 4 ในปี 2489 ในนามของพรรคสหชีพได้เสนอร่างกฎหมายควบคุมค่าใช้จ่ายของประชานในยามคับขัน หรือที่เรียกกันว่า “พระราชบัญญัติปักป้ายข้าวเหนียว” ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองไม่ให้พ่อค้าเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในร่างกฎหมายฉบับนี้รัฐบาลไม่เห็นด้วย เพราะไม่มีมาตรการในการควบคุมราคา ไม่สามารถปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ และเกรงว่าจะเป็นการเดือดร้อนแก่ประชาชนทั่วไป
ผลการลงมติของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2489 ในญัตติดังกล่าวด้วยคะแนน 65 ต่อ 63 เสียง จึงทำให้รัฐบาลแพ้คะแนนเสียงส่งผลให้นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง หลังจากนั้นนายปรีดี พนมยงค์ จึงได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อมา
หลังเกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และแกนนำพรรคสหชีพได้ถูกค้นบ้านพัก ซึ่งโดยตั้งข้อหาว่ามีอาวุธในครอบครอง ซึ่งต่อมาในการเลือกตั้งในวันที่ 29 มกราคม 2491 จึงทำให้นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และกลุ่มสหชีพไม่มีสิทธิ์ลงสมัครเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเนื่องจากข้ออ้างว่ามีอาวุธไว้ในครอบครองนั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตามหลังการเลือกตั้งเมื่อมีการประชุมสภานัดแรกในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2491 นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และนายจำลอง ดาวเรือง ได้ปรากฏตัวที่สภาผู้แทนราษฎร จึงทำให้ถูกจับกุมแต่ไดรับการปล่อยตัวหลังจากได้สอบสวนในเวลาต่อมา
ต่อมาในวันที่ 20 มีนาคม 2491 ได้มีการดำเนินคดีนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และนายเตียง ศิริขันธ์ ในข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดน แต่ศาลได้ยกฟ้องเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2491 และต่อมาในวันที่ 29 ตุลาคม 2491 ได้มีการจับกุมนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล นายจำลอง ดาวเรือง นายทิม ภูริพัฒน์ นายสุณา เมืองโฆษ และนายฟอง สิทธิธรรม ในข้อหา “กบฎแบ่งแยกดินแดน” อีกครั้ง แต่ก็ได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมาเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าวิถีชีวิตของนักการเมืองอีสานที่ได้เอ่ยนามมาแล้วต่างมีชีวิตเวียนว่ายอยู่กับการจับกุมและการจองจำจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
วิบากกรรมทางการเมืองกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์
ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่แล้วแล้วถึงวิบากรรมของผู้แทนราษฎรภาคอีสานซึ่งพ่ายแพ้ต่อชะตากรรมที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นผู้บงการ เช่นเดียวกันกับนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นักสู้อุดมการณ์ฝีปากกล้า หนึ่งในกลุ่มเสรีไทยสายอีสานที่จบชีวิตลงหลังเกิดเหตุการณ์ของ “กบฎวังหลวง” เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2492 จึงทำให้มีการจับกุมนักการเมืองสายเสรีไทยฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ อย่างเข้มงวด ส่งผลให้ยุติบทบาททางการเมืองและหนีการจับกุมไปต่างประเทศอีกส่วนหนึ่ง
จนในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2492 มีการจับกุมและควบคุมตัวนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และนายจำลอง ดาวเรือง ในขณะที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ที่เนติบัณฑิตสภา ทั้งนี้นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ถูกควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลสามเสน นายจำลอง ดาวเรืองไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา ด้านนายถวิล อุดล ถูกจับในขณะที่ไปประกันตัวนายลิต ชัยสิทธิเวชที่สันติบาลแล้วจึงนำไปฝากขังไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ส่วน ดร.ทองเปลว ชลภูมิ หลังจากเกิดเหตุการณ์ได้ลี้ภัยอยู่ที่ปีนัง ก่อนที่ทางตำรวจได้โทรเลขหลอกให้กลับเมืองไทยด่วนก่อนจึงถูกจับตัวที่สนามบินดอนเมืองในวันที่ 3 มีนาคม 2492 ก่อนที่จะนำตัวไปฝากขังที่สถานีตำรวจนครบาลสามเสน
ต่อมากลางดึกก่อนเทียงคืนของวันที่ 3 มีนาคม 2492 ได้มีคำสั่งให้เคลื่อนย้ายอดีต 4 รัฐมนตรีไปยังสถานีตำรวจนครบาลบางเขน จนรถวิ่งมาถึงบริเวณถนนพหลโยธิน กรุงเทพฯ เวลาหลังเที่ยงคืนของวันที่ 4 มีนาคม 2492 ทำให้อดีตรัฐมนตรีทั้ง 4 คน ถูกสังหารเสียชีวิตในขณะที่ยังสวมกุจแจมือ ทั้งนี้ทางตำรวจได้แถลงข่าวการเสียชีวิตในครั้งนั้นว่าเป็นฝีมือของโจรมลายูมาชิงตัว 4 อดีตรัฐมนตรี และเกิดการต่อสู้กันขึ้น จึงทำให้ถูกลูกหลงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตามเมื่อประชาชนได้ทราบเหตุการณ์ต่างก็ไม่เชื่อในการแถลงข่าวของทางการ จนมีการตั้งกระทู้ถามในสภาผู้แทนราษฎรหลายครั้ง ในครั้งสุดท้ายมีการยื่นกระทู้เข้าไปในระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยนายนาถ เงินทาบ (ส.ส.มหาสารคาม) แต่ถูกพระราชธรรมนิเทศประธานสภาได้ยับยั้งไว้ แต่นายนาถ เงินทาบ ไม่ยอม และได้ยื่นประท้วงว่าประธานไม่มีสิทธิยังยั้งกระทู้ของตน จนได้รับการบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมในครั้งต่อไป
ในวันประชุมสภาประชาชนต่างให้ความสนใจในการตอบกระทู้เกี่ยวกับการสังหาร 4 อดีตรัฐมนตรีเป็นอย่างมากจนแน่สภา แต่ก็ต้องทำให้ประชาชนผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะนายนาถ เงินทาบเจ้าของกระทู้ไม่ได้มาร่วมประชุมสภาในวันนั้นจึงทำให้กระทู้ถามดังกล่าวต้องตกไป ความมืดดำของเหตุการณ์ดังกล่าวยังคงอยู่ในใจของประชาชนเรื่อยมาจนคดีดังกล่าวไดรื้อฟื้นขึ้นมาในปี 2500 และมีการดำเนินคดีในปี 2502 ในที่สุดศาลได้พิพากษาคดีในปี 2504 โดยมีการจำคุกผู้ต้องหาตลอดชีวิต 3 ราย
คือบทสุดท้ายของชีวิตผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี อดีตรัฐมนตรีฝีปากกล้าที่หาญกล้าต่อสู้เพื่อความถูกต้องในอุดมการณ์ บทสรุปของตำนานแห่งความทรงจำ และความตายของคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกหยิบยื่นจากผู้มีอำนาจเหนือกว่า อนิจจาชีวิตคนเราก็เท่านี้
ในตอนต่อไปจะได้กล่าวถึงชีวิตของนายถวิล อุดล อดีตผู้แทนราษฎรเมืองร้อยเอ็ด ผู้เสนอญัตติรายรับ – รายจ่ายในงบประมาณของรัฐบาล ทำให้เกิดการยุบสภาผู้แทนราษฏรครั้งแรกของเมืองไทย และหากผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือเห็นต่างไปจากนี้ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อความสมบูรณ์ถูกต้องของเนื้อหายิ่งขึ้นครับ
.
เครดิต.....เรื่องและภาพจาก
ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์. การเมืองสองฝั่งโขง. กรุงเทพฯ : มติชนการพิมพ์, 2546.ปรีชา ธรรมวินทร และ สมชาย พรหมโคตร. จากยอดโดมถึงภูพาน :
บันทึกประวัติศาสตร์ฉบับสามัญชนบนเส้นทางประชาธิปไตย.
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันราชภัฏสกลนคร, 2543.
ประจวบ อัมพะเศวต. พลิกแผ่นดินประวัติการเมืองไทย มิถุนายน 2475 –
14 ตุลาคม 2516. กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ, 2543.
ภาพ นายเตียง ศิริขันธ์ (ขุนพลภูพาน) และนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ (ขุนพลเมืองอุบล)
จากคุณ |
:
WIWANDA
|
เขียนเมื่อ |
:
10 ส.ค. 55 16:51:48
|
|
|
|
 |