ความคิดเห็นที่ 1 ถึงคุณหมอทั้งสามนะครับ จากคุณ : ซาตานน้อย ผู้โดดเดี่ยว เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 55 21:34:01

ความคิดเห็นที่ 2 Hypersensitive ไปหรือปล่าว ในทางกลับกัน ถ้ามีใครเขียนถึงหมอว่า "บางครั้งการทำงานของหมอ ก็ไม่ต่างจากหมอดู สักเท่าไหร่ เพียงแต่เป็นการดูที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ" คิดว่า พวกหมอเขาก็คงไม่ว่าอะไร มาตั้งกระทู้ไปตามเว็บ เข้าไปตามface book เกลื่อน ยิ่งไปโฆษณาให้เขา หนังสือยอดพิมพ์แค่หมื่นเล่ม ไม่สะเทือนวงการหรอก แต่ถ้ายิ่งไปทำให้เขาขายดีขึ้น นั่นแหละจะสะเทือน เงียบๆไป ถ้าจะแก้ไขก็ทำเป็นหนังสือเป็นทางการไปที่สำนักพิมพ์ ถ้าไม่แก้ก็ให้สมาคมฟ้อง เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดกว่า แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 00:54:46 จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้ เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 55 23:06:12

ความคิดเห็นที่ 3 น่าเหนใจทั้งสองฝ่ายค่ะ เข้าใจความรู้สึกนะคะ คนเขียนก้อคงไม่ได้อยากจะไปว่า แต่บังเอิญว่าคนที่ถูกว่าก้อต้องรักในวิชาชีพของเค้าเปนธรรมดา สู้ๆค่ะ ยังไงทางที่ดีควรแก้ปัญหาตามคห.1มากกว่านะคะ จากคุณ : เมี้ยวเมี้ยว เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 55 23:13:05 A:118.173.229.191 X: TicketID:370086

ความคิดเห็นที่ 4 ขออนุญาต แชร์ไปห้องหว้ากอ และ สวนลุม นะครับ ขอบคุณที่เขียนกระทู้ขึ้นมาครับ จากคุณ : dip kid เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 55 23:18:28

ความคิดเห็นที่ 5 ดูถูกตรงไหน จากคุณ : angelzpuu เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 55 23:20:26

ความคิดเห็นที่ 6 ผมไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้นะครับ แต่ก็อยากวิจารณ์ คืออยากให้ดูที่เจตนาเป็นหลัก ถ้าเค้าเขียนเพราะอารมณ์ดูถูกคนก็น่าถูกด่าเป็นอย่างยิ่ง และถ้ายิ่งเป็นหมอจริง ๆ เขียนแล้วละก็ ผมอยากเรียกว่าหมาแทนหมอ ถ้าผมไม่สบายคงไม่ไปรักษากับหมอแบบนี้อย่างเด็ดขาด แต่ถ้าเค้าเขียนเพื่อให้ดูน่าสนุก น่าสนใจ หรือเพื่อเป็นจุดขาย ไม่ได้เจตนาดูถูกจริง ๆ ก็อยากบอกว่า อย่าพึ่งริอาจเป็นนักเขียนเลย ฝีมือไม่ถึง ไม่รู้กาละเทศะ อะไรควรไม่ควร ไปโฆษณาขายอาหารเสริม เครื่องดื่มบำรุึงกำลังเข้าท่ากว่า ผมวิจารณ์จากข้อมูลที่ จขกท ให้มาดู ยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ดังนั้นจึงอาจไม่ครบถ้วนกระบวนความนัก แต่ถ้าคนเขียนใจอคติจริง ผมไม่เสียเวลาอ่านหนังสือแบบนี้แน่นอน ปล.สงสัยไอ้คนเขียนมันชอบไปนวดกาปู๋บ่อย ๆ จากคุณ : วาที เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 55 23:21:28 A:49.49.31.25 X: TicketID:370320

ความคิดเห็นที่ 7 มันดูถูกตรงเอากายภาพไปรวมกับหมอหัตถเวชไงครับ กภก็มีจุดยืนของตัวเอง หมอหัตถเวชก็มีจุดยืนของเขาเอง คงไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาเหมารวมวิชาชีพของตัวเองกับของคนอื่นหรอกครับ คห5 จากคุณ : Blackops เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 55 23:45:10 A:110.77.176.129 X: TicketID:370451

ความคิดเห็นที่ 8 โดยเฉพาะคำว่า นาบ ตรงนี้แระที่จุดประเด็น พวกคุณไม่ได้ดูถูกแค่ กายภาพบำบัด ยังดูถูกป้าๆยายๆ ที่เค้าเป็นหมอนวดคลายเส้นจริงๆด้วย จากคุณ : ซาตานน้อย ผู้โดดเดี่ยว เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 00:09:35

ความคิดเห็นที่ 9 มันไม่ใช่ดูถูกค่ะ แต่เข้าใจผิดพลาดมาก ยกตัวอย่างนะคะ ผู้ป่วยปวดหลังเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เข้าใจว่ากายภาพบำบัดคือนวด เลยไปหาหมอนวดเพราะหมอที่คลินิกบอกให้ไปทำกายภาพ ผลคือได้ของแถมเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ และอาการยิ่งแย่ลงเพราะไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยก่อนรักษาไงคะ ถ้าทุกคนเข้าใจผิดแบบนี้หมดจะเกิดอะไรขึ้นคะ จากคุณ : ปอกระเจาฝักกลม เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 00:12:54

ความคิดเห็นที่ 10 .. แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 00:27:21 จากคุณ : พราลีน เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 00:18:45

ความคิดเห็นที่ 11 ดีครับ ยินดีครับ ขึ้นไปเลยครับ (อ้าว ลืมไป ไม่ใช่กระทู้ตัวเอง) แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 00:33:56 จากคุณ : dip kid เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 00:33:37

ความคิดเห็นที่ 12 ใจเย็ลลลลลๆๆๆๆ จากคุณ : A Boy From The Moon เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 00:38:58

ความคิดเห็นที่ 13 เขียนกายภาพ เป็นกายภาย แค่นี้ก็บ่งบอกถึงคุณภาพของหนังสือ และของสำนักพิมพ์แล้วล่ะ จากคุณ : armadius เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 00:49:59

ความคิดเห็นที่ 14 คห.13 เห็นด้วยครับ บ่งบอกคุณภาพจริง ๆ จากคุณ : วาที เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 00:52:04 A:49.49.31.25 X: TicketID:370320

ความคิดเห็นที่ 15 ที่ต้องไปแก้ไข คือ แพทย์แผนไทย ที่พยายามยกระดับ หมอหัตถเวช มาใกล้เคียงกายภาพบำบัด ทั้งๆที่มีความรู้แค่เล็กน้อย สามารถขอใบประกอบโรคศิลป ใบอนุญาตตั้งคลินิก แบบแพทย์แผนปัจจุบันทุกประการ ทุกวันนี้เวลาไปนวดตัว ชอบมาบอกว่าเส้นโน้นทับเส้นนี้ พอนวดเสร็จกล้ามเนื้ออักเสบ เส้นที่กดทำให้ปวดกว่าเดิมอีก ใครที่ไปนวดแผนโบราณบ่อยๆ ระวัง แทนที่จะดีขึ้น อาการกลับแย่ลง จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้ เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 00:59:39

ความคิดเห็นที่ 16 ทุกอาชีพ มีศักดิืและศรีครับ ไม่ใช่ว่าคุณเป็นหมอแล้วเป็นเทพเจ้า คิดใหม่นะครับคุณหมอ จากคุณ : นอนเยอะ (นอนเยอะ) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 01:01:44

ความคิดเห็นที่ 17 ตอนนี้ทาง สนพ.ทราบเรื่องแล้ว และก็ได้พูดคุยแนวทางแก้ไขผู้เกี่ยวข้องแล้วค่ะ พรุ่งนี้คงเห็นอะไรเป็นรูปธรรมมากขึ้นค่ะ จากคุณ : ban_ri เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 01:50:21

ความคิดเห็นที่ 18 คุณหมอคนเขียนเคยออกจากกะลาบ้างหรือเปล่า ถึงได้พูดจาดูถูกอาชีพคนอื่นแบบนี้ จากคุณ : Xzip เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 02:21:09

ความคิดเห็นที่ 19 หมอบางคนก็แบบนี้จริงๆ (ย้ำว่าแค่บางคน ส่วนน้อยมากๆ) ชอบดูถูกอาชีพอื่น สายนิติก็เคยมีหมอพูดประมาณว่าง่าย จำเป็นนกแก้วนกขุนทอง -*- ถ้าแค่ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง ง่ายๆแบบนั้นจริง คงไม่ได้สอบได้กันแค่ปีละ90-100กว่าท่านหรอก เหอๆ ส่วนข้อความในหนังสือเล่มนี้เราอ่านยังไงก็เป็นการดูถูก หมอที่เขียนหนังสือเล่มนี้แย่มาก ตัวเองมีทัศนะคติแคบแย่คนเดียวไม่พอ ยังมาเขียนหนังสือชักนำให้เด็กๆถ่ายทอดทัศนะคติอุจาดๆแบบนี้ต่อไปอีก -*- จากคุณ : A_TelliEr เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 05:18:26

ความคิดเห็นที่ 20 ในความเป็นจริงความรู้ทางกายภาพบำบัดมันเป็นอะไรที่เฉพาะทางมากๆครับ ซึ่งตรงนี้หมออาจจะไม่รู้  เพราะเค้าไม่ได้เรียนเหมือนเรา ยกตัวอย่างเช่นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) มีปัญหาอัมพาตครึ่งซีก (hemipareais) ในบทบาทหน้าที่ของหมอก็คือการรักษาด้วยยา  หรือการผ่าตัด เพื่อเอาก้อนเลือดดังกล่าวออก แต่ความพิการนั้นยังคงอยู่  ผู้ป่วยยังเดินไม่ได้  นั่งไม่ได้  ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทีนี้หมอจะทำยังไง?  ก็ส่งปรึกษานักกายภาพบำบัดให้ดูแลต่อ ซึ่งตรงนี้ก็คือหมดหน้าที่หมอ   แต่หากเป็นโรงพยาบาลที่ดีหน่อย   คุณหมอนิวโรก็จะร่วมปรึกษาวางแผนการฝึกร่วมกับนักกายภาพ  รวมถึงติดตามความก้าวหน้าในการรักษาทางกายภาพบำบัด แต่หมอที่เขีบนหนังสือเล่มนี้เป็นหมอ med  ซึ่งก็คงไม่รู้เรื่องพวกนี้ คงเข้าใจว่าการนวดช่วยให้  สมองที่ได้รับความเสียหายสามารถกลับมาทำฟังก์ชันเดิมได้ปกติ ??????? แต่ความจริงนักกายภาพบำบัดฝึกคนไข้  ต้องใช้ความรู้เฉพาะทั้งด้าน กายวิภาคศาตร์ (anatomy, neuroanatomy) สรีรวิทยา (physiology) การยศาสตร์ (ergonomic) สรีระวิทยาการออกกำลังกาย (physiology of exercise) กลศาสตร์การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและข้อต่อ (human biomechnic, kinesiology) ทฤษฎีการเรียนรู้การเคลื่อนไหวใหม่ (motor relearning) การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง  และกายอุปกรณ์ต่างๆ และอื่นๆอีกมากมายในการฟื้นฟูกำลังกล้ามเนื้อ  การฝึกการเคลื่อนไหว  ฝึกการทรงตัว  ฝึกการใช้กล้ามเนื้อส่วนอื่นทดแทน   ให้ผู้ป่วยสามาถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้มากที่สุด ซึ่งหมอนวดหัตถเวช  แพทย์แผนไทย  หรือไม่ว่าวิชาชีพใดในโลกก็ทำไม่ได้เหมือนเรา จากคุณ : cerebral_palsy (Cerebral_Palsy) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 05:36:41

ความคิดเห็นที่ 21 ตั้งแต่ที่รู้ว่าถ้ากดผิดจุด มีสิทธิได้งดใช้งานส่วยนั้น ๆ ของร่างกายยาว ก็เริ่มเห็นค.แตกต่างขึ้นมาเลย :) จากคุณ : mangek (mangek) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 05:50:33

ความคิดเห็นที่ 22 คนที่ควรตำหนิจริงๆคือ บรรณาธิการ ของหนังสือเล่มนี้ ที่ปล่อยให้มีข้อความอันอาจก่อให้เกิดการโต้แย้งซึ่งหาผลสรุปไม่ได้อย่างกรณีนี้ ข้อความที่ จขกท. ยกมาเสนอให้เห็น แต่ละคนอาจแล้วเกิดความรู้สึกไม่เหมือนกันดังที่หลายๆความเห็นแสดงออกมา บางคนก็เกิดความรู้สึกเดียวกับ จขกท. บางคนก็ไม่ ซึ่งขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลแต่ละสาขาอาชีพ คนเขียนต้นฉบับโดยเฉพาะหนังสือความรู้นั้น ใช่วาทุกคนจะมีความสามารถในการเขียนให้ออกมาถูกต้องเหมาะสมตามลักษณะของการสื่อสารด้วยการเขียน บรรรณาธิการมีหน้าที่รับผิดชอบที่จะตรวจทานทุกตัวอักษรในหนังสือหนึ่งเล่มให้ออกมาถูกต้องทั้ง หลักภาษา และ สาระที่ต้องการนำเสนอ หนังสือทุกเล่ม ก่อนจะตำหนิคนเขียน ผมว่าด่าบรรณาธิการก่อนเป็นคนแรกน่าจะดีกว่านะ หัวข้อเรื่องตัวเน้นขนาดใหญ่ยังกล้าๆปล่อยออกมาแบบนี้ "กายภายบำบัด" แปลว่าอะไรครับ??? สนพ.จ้างคนไทยหรือคนต่างชาติตรวจปรู๊ฟ?? หรือว่าหนังสือเล่มนี้ออกโดย "สนพ.เล็กๆที่มีอยู่เป็นร้อยในธุรกิจสิ่งพิมพ์" จึงต้องลดต้นทุนการผลิตด้วยการไม่ตรวจปรู๊ฟ?? จากคุณ : หนุ่มพเนจร เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 08:22:36 A:124.121.33.70 X: TicketID:320426

ความคิดเห็นที่ 23 แย่นะคะ ถ้าคิดจะเขียนหนังสือแล้วพาดพิงถึงวิชาชีพอื่นด้วย อย่างน้อยก็ควรศึกษาวิชาชีพนั้นๆมาให้ดีก่อน ยิ่งหนังสือเล่มนี้เป็นกึ่งหนังสือแนะแนวให้เด็กมัธยมด้วยแล้ว โดนแบนแน่ๆค่ะคนเขียน จากคุณ : maymaemania เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 08:36:18

ความคิดเห็นที่ 24 เข้ามาเสริมว่าในการรักษาทางกายภาพจริงๆ การนวดนี่เป็นอะไรที่ใช้น้อยมากๆเลยนะครับ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จากคุณ : PTTU (The_CatZ) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 08:44:35

ความคิดเห็นที่ 25 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 23:21:41 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 09:36:55 จากคุณ : ravio เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 09:24:45

ความคิดเห็นที่ 26 เป็นคนนอกวิชาชีพนะคะ อ่านดูแล้วไม่ได้รู้สึกว่าดูถูก พยายามเขียนให้ขำๆอ่านเข้าใจง่าย แต่ปัญหาคือ ผู้เขียนขาดความเข้าใจในวิชาชีพกายภาพบำบัด ซ้ำร้ายทักษะทางการเขียนติดลบ ทำให้คนอ่านเข้าใจผิด เขียนให้คนอ่านแล้วเข้าใจง่ายกับเขียนให้คนอ่านแล้วเข้าใจผิด ความหมายมันห่างกันไกลค่ะ ยิ่งถ้าบอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือแนะแนวสำหรับเด็กมัธยมปลาย ก็ขอประนามว่าทีม บก. ทำงานชุ่ยมากที่ปล่อยให้เนื้อหาออกมาเป็นเช่นนี้ได้ จากคุณ : The Starry Night เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 09:40:38

ความคิดเห็นที่ 27 ความคืบหน้าสำหรับเรื่องนี้นะคะ ทาง สนพ. ได้ส่งหนังสือขอเรียกคืนหนังสือจากหน้าร้านให้ผู้จัดจำหน่ายเรียบร้อยแล้วค่ะ มีการขอเข้าพบ นายกสภานักกายภาพบำบัด เรียบร้อยแล้วค่ะ รอคอนเฟิร์มวันเวลาอีกครั้งหนึ่ง โดยจะเป็นการเข้าไปขอโทษอย่างเป็นทางการโดยบรรณาธิการและนักเขียน และเพื่อฟังข้อสรุปจากสภานักกายภาพบำบัดว่าต้องการให้ สนพ. ดำเนินการอย่างไรต่อไปค่ะ จะีมีการตั้งกระทู้ขอโทษอย่างเป็นทางการโดยนักเขียนและบรรณาธิการในฐานะตัวแทนสำนักพิมพ์ ในพันทิป ในเฟซบุ๊ค และเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์อีกครั้งเร็วๆนี้ค่ะ ขอชี้แจงในส่วนของนักเขียน น้องนักศึกษาแพทย์ทั้งสองคนไม่ได้มีส่วนในการเขียนเนื้อหาเหล่านี้นะคะ ดังนั้นขอความกรุณาอย่าตำหนิน้องทั้งสองคนเลยค่ะ จากคุณ : ban_ri เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 09:43:45

ความคิดเห็นที่ 28 ขอแสดงความเห็นในฐานะบุคคลากรทางการแพทย์ การทำงานจริงจำเป็นต้องทำงานเป็นสหวิชาชีพค่ะ ไม่มีใครเชียวชาญไปหมดทุกด้านหรอก แต่ละวิชาชีพก็ถนัดในศาสตร์ของตนเอง เข้าใจว่าผู้เขียนอาจยังไม่ได้สัมผัสการทำงานจริงหรือมีประสบการณ์การทำงานเป็นทีมน้อย ทำให้เขียนข้อความแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นการพูดเล่นให้ดูขำขัน แต่ถ้าพูดแบบนี้คงไม่มีใครอยากทำงานร่วมด้วยหรอกค่ะ ประเด็นคือการให้เกียรติกันค่ะ เพราะมันคือการทำงานซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสุขภาพของคนไข้ จะมาถือว่าไม่ได้ดูถูก พูดเล่น ล้อเล่นเหมือนเพื่อนแซวกัน ก็คงจะไม่เหมาะค่ะ แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 11:56:36 จากคุณ : อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 09:56:52

ความคิดเห็นที่ 29 ศาสตร์ต่างๆมีจุดอ่อนจุดแข็งด้วยกันทั้งนั้นนั่นแหละ แม้กระทั่งแพทย์แผนปัจจุบันเรียนสูงๆก็มีจุดอ่อน อย่างเช่นแม่เราป่วยอาการทางจิตมาตั้งแต่เป็นสาว จิตแพทย์เก่งๆตั้งหลายคนรักษาแม่เราด้วยยาแรงๆจนแม่เราร่างกายทรุดโทรมสุดๆ ทีนี้ต้องพึ่งสรีรแพทย์ แม่ขาซ้ายกำลังจะพิการเพราะ spinal misalignment (กระดูกสันหลังเอียงผิดแนวธรรมชาติ) ไปทำกายภาพบำบัด แล้วเอาอะไรมารัดตัวแม่ก็ไม่หาย ในที่สุดแม่ก็โดนศัลยแพทย์ตัดต่ออวัยวะ (ผ่าตัดใส่ลูกสะบ้าเทียม) จนทรุดลงเรื่อยๆแล้วตายไปในที่สุด ตัวเราเองตั้งแต่เกิดมาป่วยเหมือนแม่ทุกประการคือป่วยทางจิต เราไปหาจิตแพทย์ที่รักษาแม่เรา แล้วเราเขาให้ยาแรงๆมาเราไม่กินเพราะไม่อยากป่วยแบบแม่ เราเลยไปหาหนังสือที่ Sigmund Freud เขียน (ฉบับแปลจากเยอรมันเป็นอังกฤษ) เพื่อเรียนรู้วิธีรักษาอาการป่วยทางจิต แต่เรียนๆไปเราเห็นไม่เข้าท่า เราเลยเปลี่ยนเป็นฝึก Zen Macrobiotics แล้วค้นพบความลับว่าการกินอาหารปลอดสารพิษมันรักษาอาการป่วยทางจิตกับทางกายก็ได้ พออายุมากๆขาขวาเราเริ่มจะพิการเหมือนขาซ้ายแม่เราเพราะ spinal misalignment (กระดูกสันหลังเอียงผิดแนวธรรมชาติ แต่เอียงคนละทิศกับแม่เรา) แต่เราไม่ไปทำกายภาพบำบัด แล้วก็ไม่ยอมไปโดนมีดหมอผ่าตัดหรอก เรารู้ว่า chiropractic  ช่วยเราได้ แต่มันแพงเกินไป เราเลยค้นข้อมูลแล้วพบว่าจางซันฟง (เจ้าสำนัก Wudang (คนไทยอ่านว่าบู๊ตึง)) คิดท่ายืนฝึกกำลังภายในแบบให้กระดูกสันหลังทิ้งน้ำหนักลงตาม gravitational force ซึ่งเหนือชั้นกว่า chiropractic เราเคยฝึกท่าของจากซันฟงมานานแล้ว แต่ละเลยมัน เราก็เลยฝึกมันใหม่ แล้วทำให้กระดูกสันหลังเรากลับเข้าแนวธรรมชาติได้โดยไม่ต้องทำกายภาพบำบัด คือแทนที่จะใช้วิธีกดแรงๆด้วยมือหรือรัดร่างกายด้วยอุปกรณ์อะไรบางอย่างแบบกายภาพบำบัด การเปลี่ยนโครงสร้างร่างกายมนุษย์ตามวิธีการของเต๋า ใช้ relaxation หรือใช้พลังลมปราณแบบ "ไม่ใช้กำลังภายนอก" เช่นนวดหรือกดจุดก็จะไม่ใช้แรงนวดหรือกด แต่ "จะแตะเบาๆแล้วส่งกำลังภายในไปตรงบริเวณที่ป่วย" ในที่สุดเราก็รักษาตัวเองหายแล้วก็ไม่ต้องโดนมีดหมอผ่าตัดด้วย สรุปแล้วเราเกิดมาป่วยเหมือนแม่ทุกประการ แต่เราค้นคัมภีร์โบราณของจีนเพื่อรักษาอาการป่วยของเรา ฝึกๆไปเราเรื่มรู้ว่าการตั้งสมาธิที่จุดชีพจรสำคัญๆทำอะไรกับร่างกาย (แก้ไขข้อผิดพลาดทั้งเพิ่มคุณภาพเลือดหรือแม้กระทั้งเปลี่ยนแนวกระดูกสันหลังก็ยังได้) ซึ่งมันทำได้ดีกว่าการทำกายภาพบำบัดหรือดีกว่าการรักษาด้วยระบบการแพทย์สมัยใหม่มากๆ ยกต้วอย่างเช่นการรักษาโรคมะเร็ง นั่นก็คือการกินอาหารปลอดสารพิษรักษามะเร็งได้ดีกว่าเคมีบำบัดหลายๆเท่า  แต่ธรรมชาติบำบัดแบบของเรามันก็มีจุดอ่อนนั่นก็คือถ้าใครโดนรถชนมาหรือโดนยิงมาอาการร่อแร่เราช่วยไม่ได้หรอก แพทย์แผนปัจจุบันที่ผ่าตัดได้เก่งๆจะช่วยผู้ป่วยแบบนี้ได้ดีกว่าเรา อีกกรณีหนึ่งก็คือเวลาเกิดโรคระบาดร้ายแรงนั้น ธรรมชาติบำบัดหรือการกินอาหารปลอดสารพิษทำให้เรามีภูมิคุ้มกันโรคได้แต่ภูมิคุ้มกันกว่าเราจะสร้างได้เราใช้เวลาปรับเปลี่ยน cells เราด้วยการฝึก Zen Macrobiotics ตั้งหลายปี จะให้คนทั้งโลกฝึก Zen Macrobiotics แค่ 2-3 วันเพื่อรับมือกับโรคระบาดมันทำไม่ได้ ดังนั้นการแพทย์แผนปัจจุบันคือการฉีดวัคซีนป้องกันโรค จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะมันสามารถรักษาชีวิตคนนับล้านๆได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งธรรมชาติบำบัดแบบเต๋าไม่มีทางทำได้ดีเทียบเท่า ตัวอย่างที่ยกมา แสดงให้เห็นว่า การรักษาโรคในแต่ละระบบ ต่างก็มีจุดอ่อนจุดแข็งด้วยกันทั้งนั้น แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 10:52:44 แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 10:47:21 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 10:38:00

ความคิดเห็นที่ 30 ^ ^ นั่นเพราะ วิชาที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ย่อมต้องสามารถรักษาหรือบำบัดด้วยภาวะธรรมชาติเป็นปกติอยู่แล้ว รถชนกับถูกยิง นี่มันเป็นอะไรที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามภาวะธรรมชาติ ดังนั้น การรักษาโดยวิถีธรรมชาติย่อมไม่สามารถดำเนินการได้ เหมือนกับคนสมัยก่อนไปรบแล้วโดนแทงมา ใครใจแข็ง อดทนดีก็รอด อย่างไรอย่างนั้น การผ่าตัดจึงเป็นคำตอบในภาวะที่ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ.. ^&^' แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 10:44:46 จากคุณ : nuynui เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 10:44:20

ความคิดเห็นที่ 31 อีกหลายปีต่อมาเราย้อนคิดถึงเรื่องที่แม่เราป่วยทางจิตแล้วโดนทั้งจิตแพทย์กับสรีรแพทย์รักษาจนอาการทรุดลงเรื่อยๆแล้วตายไปในที่สุดนั้น เราเพิ่งมาคิดขึ้นได้ว่า "จริงๆแล้วจิตแพทย์เป็นต้นเหตุ ที่เขาคิดไม่ฉลาดพอ" นั่นก็คือถ้าเขารู้ตั้งแต่แรกว่าแม่เรามี spinal misalignment เขาน่าจะรู้ว่าต้องแก้ที่ต้นตอ เพราะกระดูกสันหลังที่เอียงผิดแนวธรรมชาติมันน่าจะส่งผลกระทบต่อจิตและประสาท แต่การที่เขาไม่รู้และคิดไม่เป็น (เข้าข่ายเรียนจบวุฒิสูงแต่สติปัญญาต่ำ) ทำให้เขารักษาแม่เราแบบ "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" จนส่งผลให้แม่เราร่างกายทรุดลงเรื่องๆ ทรุดลงเพราะฤทธิยาแรงๆ จนสรีรแพทย์และศัลยแพทย์ต้องเข้ามาช่วยรักษาต่อให้แม่เราทรุดลงไปเรื่อยๆ และเพราะพิษบาดแผลจากการรักษาแม่เราจึงตายไปในที่สุด ซึ่งเรียกว่า Her illness has become iatrogenic. คืออาการป่วยยิ่งป่วยหนักขึ้นเพราะการวินิจฉัยโรคและการรักษาโรคผิดๆนั่นเอง แต่กรณีที่เราป่วยเหมือนแม่เราแต่เรารักษามันได้ด้วยตัวเองนั้น แท้จริงแล้ว Zen Macrobiotics ไม่ได้รักษาอาการป่วยทางจิตของเราโดยตรง แต่การกินอาหารธรรมชาติ (หนักไปทางกินเจแบบญี่ปุ่น) มันทำให้เราจิตสงบ ไม่บ้า และประคองตัวมาได้จนถึงวันที่เราฝึกสมาธิแบบนักพรตเต๋าจนเปลี่ยนแนวกระดูกสันหลังของเราได้สำเร็จ โดยอาศัย gravitational force คือทำให้ร่างกายตัวเอง relax completely และ be in harmony with the gravitational force แบบที่เต๋าสอนว่า Let nature take its own course. By doing nothing everything is done and taken care for. นั่นก็คือทำความเข้าใจกับธรรมชาติ ปล่อยให้มันไปตามวิถีของมัน การไม่ทำอะไรเลยอยู่ดีๆกระดูกสันหลังของเรากลับเข้าแนวธรรมชาติได้เอง (โดยการฝึกสมาธิ) เราถึงรักษาอาการป่วยทางจิตและทางร่างกายของเราได้สำเร็จโดยไม่ต้องยึดติดกับ Zen Macrobiotics มากนัก เพราะเมื่อก่อน Zen Macrobiotics ช่วยสะกดเอาไว้ไม่ให้เราเป็นบ้านั่นเอง แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 11:09:04 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 11:00:14

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณคุณ fortuneteller มากครับ ได้อะไรๆ เยอะเลยครับ ชอบเรื่องการใช้ บู๊ตึ๊ง จัง ไปศึกษาที่ไหนหรือครับ อยากศึกษาบ้าง จากคุณ : dip kid เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 11:33:00

ความคิดเห็นที่ 33 คนเขียนมันชื่อ หมอติยะ ช่างไผ่ มีแต่ไอคิว ไม่มีอีคิว นิสัย! นึกว่าอาชีพหมอเป็นเทวดาหรืองัย? ทุกอาชีพมีคุณค่าเท่ากันยิ่งวิชาชีพที่ทำงานร่วมกัน คุณควรให้เกียรติ! ใครไปรักษากับอีตาหมอคนนี้ ระวังจะหายน่ะ เพราะมันคงรักษาแต่ทางยา ไม่รักษาแบบองค์รวม หรือแบบสหสาขาวิชาชีพ คนไข้มันคงต้องกินยาจนไตวาย เพราะคนไข้ทุกโรคถ้าได้รับการรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมด้วย อาการของคนไข้จะดีกว่าคนที่ไม่ได้รับการรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมด้วยแน่นอน! เช่น คนไข้โรคหัวใจ โรคปอดอุดกั้นเรื่อรัง โรคความดัน กายภาพจะสอนการออกกำลังกายสำหรับโรคหัวใจและปอดโดยเฉพาะ ทำให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น คนไข้ก่อนผ่าตัดทุกประเภท กายภาพจะเตรียมออกกำลังกล้ามเนื้อที่จะโดนกระทบก่อนผ่าตัด สอนการหายใจ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนหลังผ่า ทำให้ผลหลังผ่าตัดเป็นที่น่าพึงพอใจ คนไข้อัมพฤกษ์ อัมพาต ถ้าได้รับการทำกายภาพบำบัดทันทีตั้งแต่นอนรพ. โอกาสที่คนไข้จะกลับมาเดินได้อีกครั้งจะสูงมาก ทำให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ในต่างประเทศที่เจริญแล้วเช่น อเมริกา ออสเตรเลีย คนของเขายกย่องนักกายภาพบำบัดมากเลยนะคะ แต่คนไทยยังคงมองวิชาชีพนี้ว่าทำได้แค่นวด! ยอมรับค่ะว่ากายภาพบำบัดเรียนนวดมาจริงแต่เราเรียนมาแค่ 1 ชม. แต่ที่เราเรียนมาเยอะมากกก็คือ การออกกำลังกายเพื่อการบำบัดในทุกโรค ย้ำทุกโรค! การใช้เครื่องไฟฟ้าเพื่อการบำบัด  การดัดดึงกระดูก กลไกทางชีวกลศาสตร์ของทุกข้อต่อและทุกกล้ามเนื้อในร่างกายเพื่อที่จะทำการบำบัดได้โดยไม่ต้องพึ่งยา ดังนั้นการที่คนไทยยังมองว่ากายภาพบำบัดทำได้แค่นวด! มันบ่งบอกถึงระดับการศึกษาและความรู้ทางด้านสุขภาพของคนไทยด้วย ใครที่เป็นนักกายภาพบำบัดที่เข้ามาในกระทู้นี้ อยากให้ทุกคนช่วยให้ความรู้แก่คนไทย เพื่อนของคุณ ครอบครัวของคุณ ว่ากายภาพบำบัดคืออะไร? ส่วน"ไอ้บัวใต้ซีเมนท์อย่างไอ้หมอ ติยะ ช่างไผ่ " เรียนมาจนจบ 6 ปีเขี่ยนหนังสือได้แค่นี้ สองแง่สามแง่ ชอบใช้มุกใต้สะดือ ก็ขอให้มันได้รับผลกรรมจากการคะนองปากของมันค่ะ  สาธุ จากคุณ : หมึกกล้วยลัลล้า เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 12:57:38

ความคิดเห็นที่ 34 คุณ ความเห็น ที่ 15 ชี้แจงด้วยค่ะ เราเรียนแพทย์แผนไทยประยุกต์ต้องการคำอธิบายของคุณมากค่ะ ...เสียใจนะคะ ที่วิจารณ์กันแบบนี้ จากคุณ : ซอสซอส เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 16:26:07

ความคิดเห็นที่ 35 นวดเรียน 1-2 หน่วยกิจเองครับ หนักไปทาง physio ortho anatomy เส้นประสาทอีกเพียบ + ฟิสิกส์อีกเยอะแยะ นวดใช้น้อยมากๆๆๆๆๆๆ การขยับข้อต่อ ดัดดึง ยังใช้มากกว่าอีกครับ ประชากรไทยมีคนรู้ว่ากายภาพฯทำอะไรจริงๆแค่ 5% เองมั้งครับ มีแต่คนนึกถึงว่านวด จริงๆมันแทบไม่ได้ใช้เลยมากกว่า คนไข้อัมพาต จะยืนจะเดินจะนั่ง จะกินข้าว จะใช้ชีวิตอย่างไรถ้าขาดกายภาพ เด็กสมองพิการ จะกลับมาใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้มั้ย แขนขาหัก ข้อต่อติด จะทำยังไงให้การขยับกลับมาเหมือนเดิม การบาดเจ็บทางกีฬาล่ะ การยืดกล้ามเนื้อ การใช้เครื่องมือไฟฟ้าต่างๆเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อล่ะ การฝึกหายใจในผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องปอดล่ะ หายใจไม่ได้จะให้ทำไง การออกกำลังกายอย่างถูกวิธี การเตรียมความพร้อมให้นักกีฬาล่ะ ปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากปัญหาของทั้งกล้ามเนื้อเองและเส้นประสาท ที่กินยาไม่หายล่ะ มีอีกหลายอย่างที่นักกายภาพทำ แต่สังคมไม่รู้ รู้แค่ว่าเป็นหมอนวด แค่การไร้ตัวตนในสายตาวิชาชีพอื่นๆก็เจ็บปวดพอแล้ว นี่ยังจะมาซ้ำเติมตอกย้ำ ให้สังคมเชื่อผิดๆอีก ผมว่าวิชาชีพใครๆก็รัก ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่จะเอามาเขียนถึงเรื่องใต้สะดือด้วยซ้ำ จากคุณ : Shooter_MVP เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 17:13:55

ความคิดเห็นที่ 36 ขอแสดงความขอโทษและแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องด้วยผมได้เขียนเนื้อหา ที่มีการใช้ถ้อยคำหรือข้อความที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจจะทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจผิดต่อวิชาชีพกายภาพบำบัด โดยไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ในสิ่งที่เขียนถึง  เพียงเพราะมองแต่ในแง่ที่อยากให้เป็นงานเขียนที่ไม่เครียดหรือเน้นแนววิชาการมากไปนัก จนทำให้ไม่ได้มองไปถึงความรู้สึกของผู้ที่ประกอบวิชาชีพนั้นๆ ผมขอเรียนด้วยความสัตย์จริงว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะดูหมิ่นหรือเหยียดหยามเพื่อนร่วมวิชาชีพอื่นๆแต่อย่างใด เพราะ ผมมีทั้ง ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูง ที่ทำงานอยู่ในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพนี้หลายท่าน ทั้งพยาบาล เภสัชกร รวมถึงนักกายภาพบำบัดด้วยเช่นกัน หากแต่เขียนไปด้วยความรู้ที่มีไม่เพียงพอ  โดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองหรือ คิดให้รอบคอบถี่ถ้วนก่อน ว่าอาจจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในสาขาวิชาชีพกายภาพบำบัดแต่อย่างใด จึงขอรับผิดชอบในการกระทำของตนเองโดยการออกมาขอโทษและยอมรับผิดในสิ่งที่ทำไปโดยรู้เท่าถึงการณ์ และไม่ได้ ใช้วิจารณญาณ คิดไตร่ตรองรอบคอบให้ดีก่อน และน้อมรับคำติเตียนจากทุกท่านในที่นี้ครับ   ขอรับความผิดนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียวครับ และจะทำหนังสือแสดงความเสียใจและแสดงความขอโทษอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรอีกครั้งครับ จากคุณ : urbandoctor เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 17:28:23

ความคิดเห็นที่ 37 นอกจากขอโทษในนี้แล้ว ควรขอโทษผ่านสื่อด้วยนะครับ เพราะหนังสือมันขายไปทั่วประเทศ ไม่ได้มีให้อ่านแค่ใน Pantip จากคุณ : ซาตานน้อย ผู้โดดเดี่ยว เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 18:00:14

ความคิดเห็นที่ 38 เรียนคุณ ซาตานน้อย ผู้โดดเดี่ยว ขณะนี้ ทางผู้เขียน และสำนักพิมพ์ กำลังดำเนินการอย่างเรงด่วนครับ ผมยอมรับอย่างไม่มีข้อแก้ตัว ว่าได้ทำผิดจริงๆ โดยไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน ต้องกราบขออภัยทุกท่านเป็นอย่างสูง และความผิดนี้เป็นความผิดเฉพาะตัวของผมเองคนเดียว ขอความกรุณาอย่าพาดพิงท่านอื่นๆนะครับ ขอบคุณครับ ผมยืนยันตรงนี้อีกครั้ง ว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะดูถูกหรือดูหมิ่นวิชาชีพอื่นแต่อย่างใด หากแต่เขียนไปด้วยความคะนองส่วนตัวโดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นให้ดีเสียก่อน จึงขอรับผิดโดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆครับ เราทุกคน ทุกสาขาอาชีพ ยังเป็นเพื่อนร่วมงาน ร่วมอาชีพ ร่วมประเทศนี้อยู่เสมอครับ ถ้าหากทัศนคติหรือนิสัยส่วนตัวใดๆของผม ที่สื่อผ่านออกมาทางตัวอักษร ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม ถือเป็นความผิดพลาดที่ตัวผมคนเดียวจริงๆครับ จากคุณ : urbandoctor เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 18:10:57

ความคิดเห็นที่ 40 แถลงการณ์จากสำนักพิมพ์และนักเขียน รวมถึงความคืบหน้าอื่นค่ะ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K12491698/K12491698.html จากคุณ : ban_ri เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 18:18:48

ความคิดเห็นที่ 41 ผมขอยอมรับผิดและขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ  และจะให้เหตุการณืใสนครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญของชีวิตครับ ขอน้อมรับคำติเตียน จากทุกท่าน อย่างไม่โกรธเคือง และมีอคติครับ เพราะถือว่าตัวผมเป็นต้นเหตุที่อาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดต่อวิชาชีพกายภาพบำบัด และจะพยายามแก้ไขสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นใก้ดีที่สุดเท่าที่คนตัวเล็กๆอย่างผมจะทำได้ครับ ขอแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและขอโทษทุกท่านด้วยความสำนึกผิดอีกครั้งครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : urbandoctor เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 19:33:21

ความคิดเห็นที่ 43 ทันที่ที่ผมรู้ว่า มีข้อติเตียนเกี่ยวกับข้อความที่ผมเขียนในหนังสือ born to be ทำให้ผมร้อนใจ รู้สึกผิด และสำนึกผิดกับการกระทำที่ไม่สมควรและไม่ได้ไตร่ตรองให้รอบคอบของตัวผมเอง ผมรู้สึกเสียใจ และทุกข์ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ผมขอน้อมรับคำติเตียน และทุกๆข้อเตือนใจจากทุกท่านด้วยใจจริงอย่างไม่โต้แย้งครับ เพราะนั่น คือเสียงสะท้อนจากอีกด้านหนึ่ง ที่แม้จะไม่ได้สวยงาม แต่ก็ทำให้ผมได้ย้อนกลับมามองดูตัวเอง และใช้เตือนตัวเองให้ใช้วิจารณญาณในหารพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบในทุกๆครั้ง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ขอโทษทุกท่านจากใจจริงครับ จากคุณ : urbandoctor เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 19:45:22

ความคิดเห็นที่ 44 เป็นกำลังใจให้คุณหมอนะคะ อยู่ในวงการงานเขียนเหมือนกัน เข้าใจว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้แน่นอน เอาใจช่วยค่ะและจะเป็นบทเรียนที่ดีให้แก่ทุกฝ่ายได้ค่ะ จากคุณ : อะจึ๋ยเคี้ยก เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 20:05:08

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณครับ คุณหมอนะครับ ที่ออกมาแสดงความเสียใจ ให้เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นอดีตเป็นบทเรียนที่ดีนะครับ จากคุณ : ซาตานน้อย ผู้โดดเดี่ยว เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 20:16:08

ความคิดเห็นที่ 46 ..... แก้ไขครับ post ผิดกระทู้ แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 55 22:07:45 จากคุณ : MAX เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 21:57:38

ความคิดเห็นที่ 47 เราให้อภัยคนสำนึกผิดค่ะ แต่คราวหน้าขอให้รอบคอบกว่านี้นะคะ วิชาชีพใคร ใครก็รักค่ะ ไม่ได้อยากดราม่า แค่เหมือนถูกตบหน้าเท่านั้นเอง จากคุณ : maymaemania เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 22:08:37

ความคิดเห็นที่ 48 ความคิดเห็นที่ 15   ที่ต้องไปแก้ไข คือ แพทย์แผนไทย ที่พยายามยกระดับ หมอหัตถเวช มาใกล้เคียงกายภาพบำบัด ทั้งๆที่มีความรู้แค่เล็กน้อย สามารถขอใบประกอบโรคศิลป ใบอนุญาตตั้งคลินิก แบบแพทย์แผนปัจจุบันทุกประการ ทุกวันนี้เวลาไปนวดตัว ชอบมาบอกว่าเส้นโน้นทับเส้นนี้ พอนวดเสร็จกล้ามเนื้ออักเสบ เส้นที่กดทำให้ปวดกว่าเดิมอีก ใครที่ไปนวดแผนโบราณบ่อยๆ ระวัง แทนที่จะดีขึ้น อาการกลับแย่ลง จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้ เอาหละ คุณหมอ คนที่เขียนหนังสือโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ ออกมายอมรับผิด และขอโทษแล้ว นักกายภาพบำบัด ว่าอย่างไรบ้างครับ คุณแม่ผม เป็น CVA และให้แพทย์แผนไทย/หมอหัตถเวช ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย ที่โดนลูกหลานชนรุ่นหลัง ข้าทาสวิชาการฝรั่งมังฆ่า ดูถูก เหยียดหยาม ประณามออกสื่อ โดยไม่มีนักกายภาพบำบัดท่านใด จะท้วงติงแม้สักคนเดียว ทำการนวด ดูแล รักษา ฯลฯ ให้ จนตอนนี้ เดิน ท่องเที่ยว ฯลฯ ไปไหนมาไหนได้จนถึง ตปท บรรพชนไทย ผู้ถ่ายทอดการแพทย์แผนไทย และ หัตถเวช .. ตายแล้ว โครงกระดูกก็ไม่เหลือ โดนหยามเหยียดขนาดนี้ ถึงไม่มีใครใส่ใจ .. เนาะ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 55 23:20:16

ความคิดเห็นที่ 49 เหรอครับ แค่นี้? ส่วนแบ่งค่าเขียนเอาไปบริจาคให้มูลนิธิอะไรสักอย่างดีไหมครับ จะได้จำได้นานๆ จากคุณ : huMperdinCk เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 00:02:39

ความคิดเห็นที่ 50 เอิ่ม รู้สึกจะข้ามประเด็น เรื่อง หัตถเวช ภูมิปัญญาไทยดั้งเดิมไปจริงๆ แฮะ แต่ผมขอบอกตามตรงว่า ตัวผม ไม่อยากก่อ ดราม่า เพิ่ม จากการที่มี คนที่ยังมีทัตนคติแคบๆ ... คือเค้าไม่รู้อะไรเลยอ่ะครับ พูดไปก็เท่านั้น แล้วตัวผมซึ่งเป็น อดีต PT ก็มีข้อมูลเรื่องหัตถเวชน้อยมาก หางอึ่งมากๆ ครับ ขออภัยจริงๆ ที่ไม่สามารถพูดแทนนักหัตถเวชได้ครับ ขอโทษคุณแมวเหมียวฯ ด้วยจริงๆ ครับ จากคุณ : dip kid เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 00:48:22

ความคิดเห็นที่ 51 อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับแพทย์แผนไทยด้วยคนค่ะ.   ทำไมถึงสามารถเปิดคลีนิคได้คะ. แล้ววินิจฉัยได้เหมือนหมอหรือเปล่า เรียนกี่ปีคะ.  มีความรู้เพียงที่จะรักษาคนไข้ไหม.  แล้วความแตกต่างของแพทย์แผนไทยกับหมอนวดธรรมดาต่างกันอย่างไรคะ ไม่ได้จะดูถูกนะคะ. เพียงแต่ยังไม่ค่อยรู้จักอาชีพนี้เท่าไหร่. จากคุณ : BIOTOMNEG เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 09:27:24

ความคิดเห็นที่ 52 ประเด็น..1. เมื่ออยากจะเป็นนักเขียน คุณต้องมีวัตถุดิบเพียงพอ มันมิใช่ข้อแก้ตัวที่จะบอกแก่ผู้อ่านว่า "ไม่ค่อยรู้จักอาชีพนี้สักเท่าไหร่" 2. เมื่อริจะเป็นนักเขียน ไม่ว่าจะแนวใด เนื้อหาควรมีความหนักแน่นและถูกต้อง มีการเตรียมข้อมูลอย่างดี ไม่ใช่สักแต่จะเขียน ยิ่งเขียนแนะแนวสายวิชาชีพ ต้องสามารถบอกได้ว่าผู้ร่วมงานทางสายอาชีพมีหน้าที่การทำงานแตกต่างกันอย่างไร - จากที่เห็น มิได้ให้คำตอบใดๆในเชิงวิชาการได้เลย-รู้สึกเสียดายเวลาที่เสียไปในการอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นที่สุด 3. การเขียนหนังสือเชิงแนะแนว - หรือ ตลกขบขัน- ไม่ควรที่จะสร้างประเด็นให้เกิดความขัดแย้ง หรือให้ข้อมูลเชิงลบ - ตลกของเรา ไม่ตลกของเขา- เป็นการเขียนในเชิงที่ไม่สร้างสรรค์เสียเลย เข้าใจและรับทราบ ว่าผู้เขียนได้ทำการเขียนจดหมายขอโทษทางสมาคมต่างๆแล้ว..และคิดว่าควรจะแก้ไขเนื้อหาในหนังสือ...รวมทั้งควรนำข้อคิด ข้อวิจารณ์ต่างๆเป็นบทเรียน ในงานเขียนครั้งต่อไป ควรศึกษางานเขียนที่มีคุณภาพบ้างนะคะ ว่าเขาเขียนกันอย่างไร จากคุณ : strawberryuk เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 12:09:17 A:183.88.25.162 X: TicketID:370647

ความคิดเห็นที่ 53 แพทย์แผนไทยประยุกต์ จะเรียนวิชาด้านการแพทย์แผนไทย เวชกรรมไทย เภสัชกรรมไทย หัตถเวชกรรมแผนไทย และผดุงครรภ์ รวมทั้งเรียนวิชาทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันทั้งพรีคลินิก คลินิก เช่น Anatomy, Physio, pharmacog, pharmaco, photo, วิชาเกี่ยวกับการตรวจร่างกาย, อาการวิทยา, การวิเคราะห์โรคทางด้านแผนปัจจุบัน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยในการตรวจค้นไข้และเทียบเคียงโรคในการส่งต่อแพทย์แผนปัจจุบัน การวินิจฉัยโรคจะเป็นแบบแผนไทยและจ่ายยาสมุนไพร มีการตั้งตำรับยาให้กับคนไข้ เป็นต้น สำหรับหัตถเวชกรรมแผนไทย จะเป้นการนวดแบบราชสำนัก การนวดเป็นไปตามหลัก Anatomy กลุ่มอาการที่รักษาได้ก็มีกำหนด เช่น ไมเกรน back pain เป็นต้น และการสอบขึ้นทะเบียนโรคศิลปะ จะมี 3 ขั้น ขั้นที่ 1 เป็นการสอบวิทยาศาสตร์การแพทย์ สอบหลังจากเรียนวิชาพรีคลินิกและคลินิกหมดแล้ว ขั้นที่ 2+3 เป็นการสอบวิชาด้านแพทย์แผนไทยและปฏิบัติ สอบหลังเรียนจบ สำหรับความแตกต่างแพทย์แผนไทยประยุกต์เรียน 4 ปี ตลอดเวลา 4 ปีเต็มทั้งเรียน ฝึกปฏิบัติกับคนไจ้จริง ๆ หมอนวด อบรมเป็น ชม. ก็สามารถนวดได้แล้ว จากคุณ : n e e l j i m o n (n e e l j i m o n) เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 12:14:41

ความคิดเห็นที่ 54 โหเรียนเยอะจัง.  แล้วสี่ปีจะพอเหรอคะ.   เรียนหนักขนาดนี้.   แล้วเราจะไปหาหมอแผนไทยได้ที่ไหนคะ ตามโรงพยาบาลมีหรือเปล่า จากคุณ : BIOTOMNEG เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 13:27:05

ความคิดเห็นที่ 55 เรียนอัดทุกเทอมและก็เรียน 3 เทอมไงครับ ที่ผมเรียนก็ 150 หน่วยกิตพอดี ถ้าอยู่ กทม ก็มีที่ศิริราชไงคับ ตอนนี้ทุก โรงพยาบาลจะให้มีแพทย์แผนไทยประจำแล้วนะคับ สนใจข้อมูลเพิ่มเติมหรือเกี่ยวกับแพทย์ทางเลือก หลังไมค์หาผมได้ครับ แก้ไขเมื่อ 10 ส.ค. 55 15:22:42 จากคุณ : n e e l j i m o n เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 15:22:15

ความคิดเห็นที่ 56 เพิ่มเติมอีกนิดนะคับ ผมว่าทุกวิชาชีพก็มีดีในตัวมันเองอยุ่แล้วคับ สิ่งที่สำคัญคือคนไข้หายจากโรคได้อย่างไร อย่างที่มหาลัยผมไปออกรักษาคนไข้ Pain Clinic เป็นการรักษาคนไข้กลุ่มอาการปวดโดยคนไข้ 1 คน จะผ่านจุดคัดกรองและได้รับการรักษา 3 อย่าง คือแพทย์แผนไทยประยุกต์กดจุดและประคบ ส่งต่อให้กายภาพบำบัดทำการตรวจรักษา ไปจบลงที่แพทย์แผนจีนฝังเข็มและครอบแก้วศูนย์ยากาศ โดยจุดมุ่งหมายคือคนไข้หายจากโรคที่เป็นอยู่ จากคุณ : n e e l j i m o n เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 15:31:45

ความคิดเห็นที่ 57 ถ้าจะนวดบำบัดอาการ แบบนวดแผนไทยต้องนวดอายุรเวท ไม่ใช่ไปสุ่มสี่สุ่มห้านวดนวดแผนไทยอายุรเวท หมอนวดเขาก็เรียนสี่ปีมีวุฒิปริญญาตรี มีใบประกอบโรคศิลป์ของสาขาเขา นวดแผนโบราณที่ว่านี่มันแบบไหน ต้องดูด้วยไม่ใช่อ่านป้ายหน้าร้าน หรือป้ายตามข้างทางแล้วเหมาว่านวดแผนโบราณทั้งหมด หมอนวดเรียนนวดแผนไทยแบบไหน จากศูนย์ฝึกอาชีพทั่วไป 80 ชั่วโมง หรือวัดโพธิ์แบบนวดไทยพื้นฐาน 120 ชั่วโมงหรือ 240 ชั่วโมง หรือขั้นสูงขึ้น (ซึ่งชั่วโมงเรียนมากกว่า) หรือหัตถเวชตามที่มีผู้กล่าวแล้วข้างต้น หรือนวดอายุรเวทตามที่บอกแล้วในความเห็นนี้ ก็ขอแนะนำสักที่หนึ่ง นวดตามหลักการที่ถูกต้องสำหรับท่านผู้สนใจ คลินิกอายุรเวท แพทย์แผนไทยประยุกต์ พหลโยธิน ซอย 5 โทร.0-2619-5836 และ 0-2619-0285 ทุกวันจันทร์-เสาร์ เวลา 08.00-16.00 น. จากคุณ : elenote เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 17:00:31

ความคิดเห็นที่ 58 ไม่ว่าผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จะอยู่ในสาขาอาชีพใด  และยิ่งเป็นหมอด้วยแล้ว ผมว่าคุณควรพิจารณาตนเอง และออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการต่อสาธารณะ  และควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของตนว่าเหมาะสมที่จะประกอบวิชาชีพของตนหรือไม่  เนื่องจาก ผู้เขียนก็เป็นผู้ที่อยู่ในสายอาชีพเดียวกัน และควรมีเข้าใจในวิชาชีพต่างๆ ที่คุณทำงานด้วย เมื่อคุณไม่เข้าใจก็ควรออกจากวิชาชีพนี้ไปเสียจะได้ไม่เสื่อมเสียต่อวงการ หัวหน้าหรือผู้บังคับบัญชาของผู้เขียนควรออกมาขอโทษด้วยเช่นกันเพราะคุณมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้มีจริยธรรมและรัรบผิดชอบต่อการกระทำ หากเรียกว่าเป็นการล้อเล่นหรือต้องการเขียนให้ขำๆ นั้นก็ไม่สมควรเพราะหากมีใครพูดพาดพิง และยิ่งเป็นการเขียน (ซึ่งเรียกได้ว่าต้องมีการตรวจสอบด้วยแล้ว) ยิ่งไม่สมควร  ผมว่าผู้เขียน ผู้บังคับบัญชา บรรณาธิการ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องควรแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำ ควรให้ประเด็นนี้เป็นกรณีศึกษาถึงความเท่าเทียม การเคารพในศักดิ์ศรีของคน  และผู้ที่คิดว่าตนมีศักดิ์ศรีของตนเหนือหรือสูงกว่าผู้อื่น วิชาชีพอื่น ควรสำนึกและพิจารณาตนเสียใหม่ กรณีนี้ควรพิจารณาให้ดีว่า ผุ้เขียนมีภูมีหลังของตนอย่างไร เป็นคนเช่นไร  และการที่เขียนเช่นนี้ได้แสดงถึงวุฒิภาวะของตนว่าอยู่ระดับใด  และท้ายสุดก็ควรพิจารณาตนเองด้วย่ว่าควรรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองอย่างไร จากคุณ : neptune_poseidon เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 19:40:21

ความคิดเห็นที่ 59 ก่อนอื่น ขอบอกก่อน เราเป็นคนหนึ่งที่เรียนแพทย์แผนไทยประยุกต์ ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ปี 4 แล้ว ได้ลงฝึกปฏิบัติกับคนไข้จริงๆ กลุ่มอาการที่มาหาเรา ก็คงหนีไม้พ้น กลุ่มอาการทางกล้ามเนื้อ ไม่ว่าจะเป็น โรคลมปลายปัตคาตสัญญาณ 1,3 หลัง(Low back pain) โรคลมปลายปัตคาตสัญญาณ 4,5 หลัง (Myofascial pain syndrome) โรคลมปะกัง (Migrain) หัวไหล่ติด คอตกหมอน อัมพาตใบหน้า อัมพาตครึ่งซีก เป็นต้น ซึ่งกลุ่มอาการเหล่านี้ เราจะรักษาด้วยวิธีการหัตถบำบัด คือการนวดแบบราชสำนัก ซึ่งก็จะรวมไปถึงการประคบและจ่ายยาสมุนไพรด้วย และจะให้คำแนะนำในการบริหารร่างกาย โดยใช้ท่าฤๅษีดัดตน ผสมผสานกับท่ากายบริหารอื่นๆ โดยดูจากอาการ อายุของคนไข้ ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มาจะได้นวด เราจะต้องดูองค์ประกอบหลายๆอย่าง ว่าคนที่เดินเข้ามาหาเราจะได้รับการหัตถบำบัดไหม กรณีแรก : ถ้าเดินเข้ามาแล้วบอกว่า ที่นี่มีนวดตัวไหม นวดเพื่อสุขภาพใช่ไหม นวดทั้งตัวเลยใช่ไหม หรือมีนวดฝ่าเท้าหรือเปล่า หน้าที่ของแพทย์แผนไทยประยุกต์ก็คงจะต้อง ถามก่อนว่า คุณเป็นโรคอะไรหรือเปล่าคะ เราจะต้องทำการซักประวัติตรวจร่างกายคุณก่อนนะคะ ถ้าพบว่าคุณเป็นโรคจริงๆ เราก็จะรักษาให้คะ แต่ถ้าไม่ แน่นอนว่าคุณจะไม่ได้รับการหัตถบำบัด กรณีที่2 : ถ้าคนไข้ที่มามีอาการของโรคจริงๆ แต่เมื่อตรวจวัดความดันโลหิตแล้ว พบว่าความดันโลหิตตั้งแต่ 140/90 mmHg ขึ้นไป ขั้นแรกเราก็จะให้คนไข้นั่งพัก ถ้าพบว่าความดันโลหิตยังไม่ลด ก็จะให้รับประทานยาหอมเพื่อลดความดันโลหิต ถ้าพบว่าไม่ลดจริงๆ เราก็จะปฏิเสธให้การหัตถบำบัด แล้วให้ไปพบแพทย์แผนปัจจุบัน เพื่อตรวจดูอาการความดันโลหิตสูง และยังมีข้อจำกัดอื่นๆ ที่เราไม่สามารถทำการหัตถบำบัดให้ได้ การหัตถบัดนั้น จะต้องมีการใช้นิ้วหัวแม่มือ หรือฝ่ามือ กดลงบริเวณกล้ามเนื้อต่างๆที่มีอาการ หรือกดเน้นจุดสัญญาณ ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีอาการระบม แต่การกดดังกล่าวนี้ก็เพื่อช่วยส่งเลือดให้มาเลี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อ เส้นประสาท หรือข้อต่อที่มีอาการ อาการระบมจะมี 2-3 วันแรก สำหรับคนที่ได้รับการหัตถบำบัดครั้งแรก แต่การประคบหลังการหัตถบำบัด จะช่วยลดการระบม และช่วยคลายกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็ง และช่วยให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมากขึ้น นอกจากนี้ในคำแนะนำหลังการรักษาจากแพทย์แผนไทยประยุกต์ จะระบุให้ผู้ป่วยทำการประคบเช้าเย็น เพื่อลดอาการระบมที่จะเกิดขึ้น ซึ่งการหัตถบำบัดนั้นไม่ได้หายในครั้งเดียว เราต้องรักษาต่อเนื่อง(3วัน/ครั้ง เพื่อรอให้อาการระบมหายไปก่อน) จะรักษากี่ครั้งขึ้นอยู่กับอาการของโรค ว่าเป็นมาก เป็นน้อย เป็นมานานแค่ไหน จากนั้นอาการดังกล่าวจะดีขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทักษะในการรักษาของแพทย์แผนไทยประยุกต์แต่ละคน จากคุณ : พลอย&บุตร ATTM5 เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 19:44:59 A:101.108.103.152 X: TicketID:370701

ความคิดเห็นที่ 60 และกลุ่มอาการทางเวชกรรมที่พบบ่อย เช่น โรคเกี่ยวกับประจำเดือน โรคภูมิแพ้ ไข้หวัด กลุ่มอาการเกี่บวกับผื่นต่างๆ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง-ต่ำ เป็นต้น โดยจะวินิจฉัยแบบแพทย์แผนไทย และใช้ความรู้ทางแพทย์แผนปัจจุบันในการนำมาวิเคราะห์ประกอบกัน (เราใช้การซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตามหลักการแพทย์แผนปัจจุบัน) เช่น อาการสำคัญ :ผู้ป่วยมาด้วยอาการไอมา 2 วัน เราก็จะดูว่าผู้ป่วยมีเสมหะไหม เสมหะเป็นสีอะไร มีไข้ไหม ถ้ามีไข้รู้สึกว่าตัวเองมีไข้มาแล้วกี่วัน มีอาการของไข้ตอนไหน ปวดหัวไหม เจ็บคอไหม มีน้ำมูกไหม อาเจียนไหม การขับถ่ายเป็นอย่างไร ปวดเมื่อยเนื้อตัวไหม มีผื่นไหม ก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมา(ตากฝน , ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการเดียวกัน) เคยมีอาการมาก่อนหน้านีไหม ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ไหม ดูอายุผู้ป่วย ถามโรคประจำตัว รักษาอะไรมาก่อนหน้านี้บ้างไหม (เพื่อนำข้อมูลมาวินิจฉัยแยกโรค) ถ้าสมมติผู้ป่วยชายไทยเดี่ยว อายุ 32 ปี มาด้วยอาการไอมีเสมหะมา 2 วัน มีเสมหะสีขาวขุ่น มีอาการปวดศีรษะมาก่อนหน้านี้ 2 วัน ตอนนี้ไม่มีอาการปวดศีรษะแล้ว มีอาการเจ็บคอร่วมด้วย มีน้ำมูกใสๆ ไม่มีอาการอาเจียน ไม่มีอาการเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว จะมีอาการมากตอนช่วงเช้า และก่อนนอน โดนละอองฝนมาก่อนหน้านี้ประมาณ 4 วัน ยังไม่เคยได้รับการรักษาที่ไหนมาก่อน ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอาการดังกล่าว เราก็จะทำการตรวจร่างกาย โดยตรวจร่างกายตามระบบที่สำคัญ vital signs ,HEENT (head ear eye nose throat) ,ปอด ,หัวใจ เมื่อตรวจทุกอย่างแล้วพบว่าปกติ ผู้ป่วยจะถูกวินิจฉัยทางแพทย์แผนไทยว่าเป็น ศอเสมหะพิการ และวินิจฉัยทางแพทย์แผนปัจจุบันว่าเป็น ไข้หวัด ซึ่งการวินิจฉัยเราจะต้องรู้กลไกการเกิดโรคทั้งทางแพทย์แผนไทย และแผนปัจจุบัน เมื่อวินิจฉัยได้แล้ว เราจะทำการรักษาโดยจ่ายยาสมุนไพร โดยดูความสะดวกของคนไข้ ว่าสะดวกเป็นยาต้ม หรือรูปแบบยาสำเร็จรูป ได้แก่ ลูกกลอน ยาเม็ด ยาแคปซูล เป็นต้น ซึ่งถ้าเป็นรูปแบบยาสำเร็จรูปนี้ ก็จะเป็นยาตำรับที่รักษากลุ่มอาการดังกล่าว ซึ่งถ้าเป็นยาต้ม แพทย์แผนไทยประยุกต์ก็สามารถตั้งยาได้เอง ตามหลักเภสัชกรรมไทย จากคุณ : พลอย&บุตร ATTM5 เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 19:46:21 A:101.108.103.152 X: TicketID:370701

ความคิดเห็นที่ 61 จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในการฝึกงาน ได้เจอผู้ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ครึ่งซีกหมดกำลังใจ นั่งรถเข็นมา ทำการรักษาอย่างต่อเนื่องมาประมาณ 2 เดือน ผู้ป่วยโยนไม้เท้าทิ้ง เดินโชว์ตัวให้หมอดู ให้คนข้างล่างดู ว่าฉันหายแล้วนะ ฉันเดินได้แล้วนะ และไปเจอผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤกษ์อีกคน ผู้ป่วยถามว่า ทำไมเดินได้แล้ว ทำยังไงถึงหาย เขาก็แนะนำให้มารักษาที่ศูนย์การแพทย์แพทย์ประยุกต์ ผู้ป่วยพูดว่า ฉันเชื่อว่ามาที่นี่ต้องหาย ถ้ารู้ว่ามี ฉันมาตั้งนานแล้ว คนเป็นหมอ หรือไม่ว่าจะเป็นบุคกรทางการแพทย์อะไรก็ตาม ถ้าคนที่มาหาเราหายจากโรค นั่นคงเป็นความสุขที่สุดของเราแล้ว ไม่ว่าจะวิชาชีพใดก็ตาม ก็มีศาสตร์ของแต่ละวิชาชีพที่ตัวเองรัก และศรัทธา ไม่ต้องการให้ใคร มาก้าวก่ายดูถูก หรือวิพากวิจารณ์ (โดยไม่มีความรู้ในวิชาชีพนั้นๆจริงๆ) จริงไหม ??????????????????????????? จากคุณ : พลอย&บุตร ATTM5 เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 19:46:54 A:101.108.103.152 X: TicketID:370701

ความคิดเห็นที่ 62 แพทย์ปัจจุบัญ อีโก้ สูง.. ความจริงก็คือความจริง..ถึงจะออกมายอมรับผิด แต่ในความเป็นจริง พวกคุณก็มองไม่เห็นแพทย์ทางเลือก นักกายภาพบำบัด 9ล9 ในสายตาอยู่แล้ว จากคุณ : mintmbear เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 20:05:14

ความคิดเห็นที่ 63 " ดูถูกแพทย์แผนไทย ไม่ต่างอะไรจากการดูถูกรากเหง้าของตนเอง " เป็นคนไทยแท้ๆ ของที่เป็นของชาติเรายังไม่ดำรงรักษา หากแพทย์แผนไทยไม่ดีจริง คุณพระ! ทหารบ้านบางระจัน และประชาชนคงตายห่ากันหมดตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราชแล้วสินะเจ้าคะ บางทีเรื่องบางเรื่องโรคบางโรคใช้ว่ารักษาทางกายอย่างเดียวจะหายได้ แพทย์แผนไทยคือการที่ประสานทั้งกายและจิตใจ ให้หายจากโรคนั้นๆ " เรานั้นไม่ใช่หมอเทวดา หากท่านมีความศรัทธาทุกข์และโรคาจึงหายพลัน " และตอนนี้ได้มีสาขาแห่งแพทย์แผนไทยประยุกต์ขึ้นมา คือเรียนแบบหมอแผนตะวันตกควบคู่ไปกับศาสตร์แผนไทย เพียงภายใน4ปี ซึ่งทั้งเรียนหนักและเหนื่อยมากเหมือนว่าวิชาถูกบีบอัด แต่เราไม่เคยท้อนะคะ " อดทนเพื่อผู้คนที่รอคอย ยิ้มของเด็กน้อยอยู่ที่เธอ " ตอนนี้นักศึกษาแพทย์แผนไทยมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ มากขึ้นศาสตร์ของเราสามารถพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ได้จริง ไม่ใช่รักษางูๆปลาๆ การนวดของเราก็เป็นนวดราชสำนัก (ไปเซิร์ทหาได้ google ) นวดเพื่อรักษา ไม่ใช่แบบการนวดผ่อนคลายให้ อาเสี่ยอาแปะ แต่ยังไงต้องขอบคุณคุณ คห.15 นะคะที่ทำให้หนูมีแรงผลักดันในการฮึดสู้ ในการทีจะทำให้ทุกคนยอมรับในแพทย์แพทย์ไทย ไม่สิ ในการทำให้สิ่งที่ได้สูญหายนั้นกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ หนูเป็นเพียงแค่นักศึกษาแพทย์แพทย์ไทยประยุกต์ แม้มีความรู้ไม่มากแต่พลังจิตใจและความศรัทธาที่หนูมีต่อแพทย์แผนไทยนั้นมีมากขึ้น และจะมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันเป็นคนไทย แพทย์แผนไทยเป็นศาสตร์การแพทย์ของไทย ฉันจะสืบสานความเป็นไทย I LOVE ATTM จากคุณ : นศพท.ชัญญานุช หาญพรหม เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 20:28:14 A:223.205.227.29 X: TicketID:370708

ความคิดเห็นที่ 64 ผมในฐานะเป็นศัลยแพทย์  แต่จำเป็นต้องพึ่งพานักกายภาพบำบัดมากพอสมควร ก็เลยจะขอขยายความรูปแบบงานของกายภาพบำบัดตามความเข้าใจของผมละกันครับ  เผื่อท่านที่ไม่ทราบจะได้เข้าอกเข้าใจงานของกายภาพบำบัดได้ดียิ่งขึ้น งานกายภาพบำบัด เป็นงานที่ทั้งป้องกัน และ รักษาอาการผิดปกติอันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวของอวัยวะที่ผิดปกติไป  ซึ่งไม่ได้จำเพาะเฉพาะแขนขาเท่านั้น  แต่จะรวมไปถึงอวัยวะในการพูด  และอวัยวะในการหายใจด้วย  และที่เราพบเห็นได้บ่อยๆคือ การลดอาการเจ็บปวดของระบบกล้ามเนื้อเส้นเอ็นกระดูก  งานกายภาพบำบัดบางแห่งอาจเป็นหน่วยงานเดี่ยวๆ  แต่ถ้าเป็น รพ.ใหญ่ หรือ ร.ร.แพทย์ จะรวมหน่วยงานนี้อยู่ในกลุ่มงาน (ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู)   ผมจะลองแจกแจงเป็นข้อๆละกันนะครับ  ตกหล่นยังไงก็ขออภัยด้วยครับ -  ฝึก / ปรับแก้การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของแขนขา อันเนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น ฝึกเพิ่มการออกแรงในคนไข้อัมพฤกษ์  ดัดยืดข้อในคนไข้อัมพาตที่มีข้อยึดติด   ฝึกการเดินในคนไข้ที่ขาผิดปกติ หรือ ถูกตัดขา  เป็นต้น -  ฝึกการทำกิจกรรมประจำวัน (daily activity training) ซึ่งอาจพัฒนาไปฝึกเพื่อการประกอบอาชีพได้ (occupational therapy) -  ฝึกการหายใจในผู้ป่วยที่หายใจเองได้แต่ไม่ดีพอ (เช่น หลังผ่าตัดทรวงอก)  ระบายเสมหะ และกายภาพบำบัดทรวงอกในผู้ป่วยที่หายใจเองไม่ได้ หรือ ไม่เพียงพอ (เช่น ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจ  ผู้ป่วยอัมพาตที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้) -  ฝึกการออกกำลังกล้ามเนื้อ และ ข้อ  ทั้งการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวข้อ (ROM exercise)  การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มพละกำลังของกล้ามเนื้อ (Strengthening exercise)  การออกกำลังเพื่อเพิ่มความอดทนของกล้ามเนื้อ (Endurance exercise)  ถ้าอยู่ในเวชศาสตร์ฟื้นฟู  ก็อาจจะรวมไปถึงการกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้าด้วย (ในรายที่มีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรงจากเส้นประสาทผิดปกติ) -  ฝึกการพูด (Speech therapy)  ซึ่งจะฝึกในคนไข้เด็กที่พูดช้า  เด็กโตที่ผ่าตัดปากแหว่งเพดานโหว่ หรือ ผู้ใหญ่ที่มีปัญหาในการพูด -  ลดอาการเจ็บปวด (เน้นการเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก)  โดยอาศัยเครื่องมือต่างๆ เช่น  แช่อ่างพาราฟินร้อน อุลตราซาวด์ (deep thermal therapy)  เป็นต้น   -  บางแห่งอาจจะมีหน่วยอวัยวะเทียม (Orthosis & Prosthesis) เช่น แขนเทียม ขาเทียม ซึ่งจะมีนักกายอุปกรณ์ (Orthotist & Prosthetist) เป็นผู้ประดิษฐ์อวัยวะเทียม และ นักกายภาพบำบัดเป็นผู้ฝึกสอนการใช้อวัยวะเทียม -  บางแห่งอาจมี เวชศาสตร์การกีฬา (sport medicine ) มารวมในเวชศาสตร์ฟื้นฟูด้วย ซึ่งจะเน้นเรื่องการแก้ไขปัญหาบาดเจ็บจากกีฬา และ เพิ่มศักยภาพในการกีฬา -  บางแห่งอาจรวม ศาสตร์แผนจีน เช่น ฝังเข็ม (acupuncuture) ซึ่งปัจจุบันนี้ผนวกวิทยาศาสตร์เข้ามาร่วมด้วย เช่น ใช้ไฟฟ้ากระตุ้นผ่านเข็มที่ฝังแทนการหมุนเข็ม   หรือ หัตถเวชศาสตร์ (นวดแผนโบราณ)   หรือ ศาสตร์การรักษาด้วยมือ (chiropractic )   คร่าวๆก็ประมาณนี้นะครับ  ตกหล่นยังไงก็เสริมได้นะครับ จากคุณ : มนุษย์เงินเดือน (ระเบิดเด่น) เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 21:29:44

ความคิดเห็นที่ 65 ในการทำงานในโรงพยาบาล/รพ.สต "นักการแพทย์แผนไทย" ก็มีศักดิ์ศรีและสิทธิเท่าเทียมกันสหวิชาชีพอื่นในสังคม ต่างกันแค่ แต่ละคนมี "บทบาทหน้าที่" ในการให้บริการผู้ป่วยไม่เหมือนกัน ถ้าจะเอาประเด็นในเรื่อง "หัตถเวช" จะเอานวดแบบไหนหล่ะ ราชสำนัก หรือ เชลยศักดิ์ ... ในการรักษาของนักการแพทย์แผนไทย คือ การนวดราชสำนักเท่านั้น เป็นวิธีการนวดรักษาที่อ้างอิงหลักการทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ ว่าการกดแต่จะจุด นวดตามแนวเส้นพื้นฐาน หรือกดจุดสัญญาณตำแหน่งนั้นๆ มันมีส่วนช่วยกับอาการ/โรคผู้ป่วยอย่างไร สามารถอธิบายในหลักวิชาการได้ แล้วส่วนการนวดเชลยศักดิ์หล่ะ.. มันก็คือ การนวดส่งเสริมสุขภาพ นวดทั้งตัวเพื่อผ่อนคลาย หรือคลายเครียด เท่่านั้น ผู้ที่นวดแบบนี้ได้ ต้องเรียนจบหลักสูตรนวดแผนไทย 60/100/150/330/372 ชั่วโมง ยังไม่หมดแค่นี้ !! นักการแพทย์แผนไทย ยังต้องทำหน้าที่ในส่วนของงานด้าน... 1. เวชกรรม การตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีการทางด้านการแพทย์แผนไทย สั่งรักษาด้วยยาสมุนไพร หัตถเวช ประคบสมุนไพร อบสมุนไพร หรือแม่แต่การฟื้นฟูสภาพแม่หลังคลอดด้วยการทับหม้อเกลือ 2. หัตถเวช ก็อย่างที่บอก นวดรักษาแบบราชสำนัก 3. เภสัชกรรม การผลิตยาสมุนไพร เพื่อใช้ในการรักษาโรค/อาการ 4. ผดุงครรภ์ การดูแลสุขภาพ หญิงตั้งครรภ์-หลังคลอดด้วยวิธีการแพทย์แผนไทย ที่เห็นเป็นรูปธรรม และ สปสช.สนับสนุน คือการ ทับหม้อเกลือ ในหญิงหลังคลอด 5. งานวิชาการ การส่งเสริมสุขภาพด้านวิชาการทางการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก 6. งานพัฒนาคุณภาพ งานวิจัยต่างๆ ที่สามารถต่อยอดองค์ความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย และนำมาสู่การพัฒนารูปแบบการให้บริการใน คลินิกแพทย์แผนไทยประจำโรงพยาบาลได้ 7. สืบทอดองค์ความรู้ และพัฒนาความรู้สมุนไพรพื้นบ้าน หมอพื้นบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่นในพื้นที่ของเรา นี่คือ "หน้าที่" คร่าวๆ ของนักการแพทย์แผนไทยที่ปฏิบัติงานอยู่ใน โรงพยาบาล/รพ.สต. ไม่ใช่ หลับหูหลับตา.. ก็มาสอบตำแหน่งนี้ได้... ก็ต้องเรียนจบ ม.6 สายวิทย์สอบแอดมิสชั่นเข้าเรียนปริญญาตรี คณะแพทย์แผนไทยประยุกต์/แพทย์แผนไทยเหมือนกัน มหาวิทยาลัยก็มีหลายแห่งทั่วประเทศ เรียน 4 ปี ก่อนจบก็ต้องสอบประมวลความรู้ แล้วก็มาสอบใบประกอบโรคศิลปะเพื่อเอามาเป็นใบเบิกทางในการทำงานเหมือนกัน เพราะฉะนั้น... ใครไม่รู้จักวิชาชีพนี้+แล้วถาม.. ถือว่าให้อภัย ส่วนใคร ที่ไม่รู้จึกดีพอ.. แล้วเอาไปพูดต่อ+ความคิดเห็นส่วนตัว จนทำให้รู้สึก ว่าวิชาชีพนี้ถูกเสียดสี เหยียบหยาม... อันนี้ไม่ให้อภัยเด็ดขาด.. วิชาชีพใคร ใครก็รัก หรือว่าไม่ใช่!! จากที่โพสความคิดเห็นข้างบนๆๆ นั้น แรกเริ่ม ก็กระแสแพทย์แผนปัจจุบันเหยียดหยามวิชาชีพกายภาพบำบัด และแพทย์แผนไทย... แต่พอหลังๆมา กลับกลายเป็นกายภาพ มาเหยียดหยาม วิชาชีพแพทย์แผนไทย ซะงั้น .. ในการทำงานโรงพยาบาลจริงๆ ทุกวิชาชีพก็ต้องมาจูนความรู้เข้าหากันอยู่แล้ว ว่าแต่ละศาสตร์ มีวิธีการรักษากันยังไง .. เพราะเพื่อผลประโยชน์ของ "ผู้ป่วย" คำเดียวเท่านั้น!! ส่วนตัวเป็นเด็กซิ่ว จากวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์.. มาเรียนแพทย์แผนไทยประยุกต์ ขอบอก ณ ตรงนี้ว่า "ไม่เสียชาติเกิดเลย" ที่ได้เรียน แล้วจบมา ทำงานบรรจุเป็น "นักการแพทย์แผนไทย" รู้สึกรัก และศรัทธาในวิชาชีพนี้มาก ฉันก็เป็นหมอคนนึง ที่รักษาผู้ป่วยให้หายด้วยวิธีการของแพทย์แผนไทยได้เช่นกัน ... ก็ไม่ต่างอะไรกับแพทย์แผนปัจจุบัน หรือ กายภาพบำบัด ที่มีวิธีการรักษาผู้ป่วยในแบบของตน ... หากใคร ที่เป็นวิชาชีพแพทย์แผนไทยประยุกต์/แพทย์แผนไทย ที่ได้อ่านข้อความนี้... โปรดจำไว้ว่า "เราเป็นศิษย์มีครู" แล้วทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี !!! จากคุณ : "นักการแพทย์แผนไทย" คนหนึ่ง เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 21:52:44 A:171.5.71.211 X: TicketID:370721

ความคิดเห็นที่ 66 การแสดงความคิดเห็นนี้ จุดประสงค์เพื่อ ชี้แจง ในสิ่งที่ วิชาชีพแพทย์แผนไทย/แพทย์แผนไทยประยุกต์ กำลังปฏิบัติอยู่ในสังคมปัจจุบันนี้ ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่น หรือเหยียดหยามสหวิชาชีพอื่นๆ แต่อย่างใด ... หากผู้ใดอ่านแล้วคิดเป็นเช่นนั้น ก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วย เพราะไม่ได้เจตนาจะให้คิดเช่นนั้นจริงๆ ข้าพเจ้า แค่เกิดมามีวิชาชีพแพทย์แผนไทยประยุกต์ติดตัว มีความคิดว่า อยากประกาศให้สังคมได้รู้ ว่าวิชาชีพนี้ มันสวยงามแค่ไหนก็เท่านั้นเองค่ะ ^^ จากคุณ : "นักการแพทย์แผนไทย" คนหนึ่ง เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 22:57:39 A:171.5.71.211 X: TicketID:370721

ความคิดเห็นที่ 67 สภากายภาพบำบัด และสมาคมนักกายภาพบำบัด เขาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องวิชาชีพเขา จนสำนักพิมพ์ต้องเข้าพบเพื่อขอโทษ แล้วสมาคมแพทย์แผนไทยและสมาคมแพทย์แผนไทยประยุกต์ ตัวแทนวิชาชีพ ซึ่งรักษาคนไข้ด้วยการนวด หรือหัตถเวชกรรม ซึ่งผู้เขียนหนังสือเล่มนี้กล่าวหานวดแบบไม่มีหลักวิชาการ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ฉกาจฉกรรจ์ยิ่งกว่านักกายภาพบำบัดเสียอีก (ซึ่งถึงแม้จะถูกกล่าวหาทำงานแต่ด้านนวดแต่อย่างน้อยก็ถูกหลักวิชาการ) ทำอะไรกันบ้าง "บางครั้งการทำงานก็ไม่ต่างจากหมอนวดหัตถเวชเท่าไร เพียงแต่เป็นการนวดที่ถูกหลักวิชาการ" จากคุณ : mamao เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 23:27:02

ความคิดเห็นที่ 68 มาบอกในฐานะ คนที่ทำงานในโรงพยาบาล 3 จังหวัดชายแดน (ไม่ได้ทำสหวิชาชีพ) นักกายภาพที่อื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ที่นี่ นักกายภาพสามารถทำให้คนที่โดนยิง(จากสถานการณ์) จากที่ขยับอะไรไม่ได้เลย แม้กระทั่งยกหัว รักษาไปจนกระทั่ง เค้าสามารถเดินได้ ใช้ชีวิตประจำวันได้ เรื่องนี้ถ้าให้หมอ(แผนปัจจุบัน)มารักษาอย่างเดียวคิดว่าเค้าคงยังนอน และไม่ได้ลุกขึ้นมาเหมือนทุกวันนี้ จากคุณ : gweep เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 11:11:32

ความคิดเห็นที่ 69 คห 65 คะ ....โปรดจำไว้ว่า "เราเป็นศิษย์มีครู" แล้วทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี...... นี่เปนคำพูดหนึ่งที่ได้ยินจากพี่ๆ พูด เมื่อวันไหว้ครูแพทย์แผนไทย ที่ผ่านมา ทำให้ไม่ว่าครั้งใดที่ถูกผู้อื่นมองเรา พูดถึงเราอย่างไม่ให้เกียติ ดิฉันจะมีกำลังใจขึ้นมาเสอมๆ และตั้งใจว่าจะเปนแพทย์แผนไทยที่ดี พอมาอ่านความเห็นต่างๆในนี้ ทำให้รู้สึกโกรธและไม่ชอบมากๆ อย่าจะด่าว่าคนที่มาว่าให้วิชาเรา อ่านมาถึง คห 65  ทำให้รู้ว่า ระยะทางพิสูตรม้า กาลเวลาพิสูตรคน ให้เราตั้งใจฝึกฝนให้ทุกคนเห็นคุณค่าแพทย์แผนไทย fighting !!!! ^O^v  ขอบคุณที่มาเตือนใจนะคะ พึ่งเริ่มศึกษาแพทย์แผนไทยประยุกต์ค่ะ แพทแผนไทยเปนวิชาของไทยเรา แต่กลับเปนเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักไปซะอย่างนั่น สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้จักนะคะ ลองปรับทัศนคติ มองการแพทย์แผนไทย และลองศึกษา หาข้อมูลสิ่งที่การแพทย์แผนไทยเราทำได้ดี ซึ้งเชื่อว่าต้องมีประโยชน์ต่อสุขภาพของท่านไม่น้อย  อย่างที่หลายๆท่านได้บอกไป ศาสตร์แต่ละศาสตร์ต่างมีจุดเด่นในตัวเอง เราเปนเพียงโอกาสหนึ่งให้คนไข้ได้เลือก ให้ช่วยบรรเทาความเจ็บป่วย แต่เราวิทยสุขภาพทุกคน ต่างเปนความหวังที่ยิ่งใหญ่ ของคนไข้นะคะ ^^< แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 55 16:59:50 แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 55 16:58:07 แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 55 16:57:11 จากคุณ : Riiya Jin (Riiya Jin) เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 16:55:55

ความคิดเห็นที่ 70 วันนี้ ทางผมและสำนักพิมพ์ ได้เข้าไปพดคุย แสดงความขอโทษ และแสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น กับทางท่านนายกสมาคม กภ. และผู้ใหญ่อีกหลายๆท่านมาแล้วครับ เพื่อแสดงความจริงใจว่าผมรู้สึกผิดและรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จากความผิดพลาดและไม่รู้จักกาลเทศะของผมเอง พร้อมทั้งรับฟังข้อติเตียนและแนะนำสั่งสอนจากผู้ใหญ่หลายๆท่าน ในเมื่อความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว ผมพร้อมที่จะขอโทษอย่างจริงใจ โดยไม่หนีปัญหาครับ และพยายามหาแนวทางที่ดีที่สดเพื่อให้ทุกฝ่ายพอใจ และต้องกราบขอโทษทุกท่านอีกครั้งสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครับ จากคุณ : urbandoctor เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 17:36:59

ความคิดเห็นที่ 71 ถ้าคุณหมอมีปัญหาในการเขียน คุณหมอควรปรึกษานักเขียนหรือหมอภาษานะคะ การเขียนของคุณหมอแย่มากจริง ๆ ดูสิเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตทีเดียว เข้าใจว่าคุณหมอผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาดูถูก แต่การเขียนนั้นอันตราย เพราะมันสามารถสะท้อนตัวตน ความคิดของผู้เขียนออกมาได้อย่างลึกซึ้ง เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่เราต่างต้องตระหนักทั้งในการพูดและการเขียน บางครั้งคนเราก็พูดโดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น :) จากคุณ : หมูหิมะ เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 00:43:26

ความคิดเห็นที่ 72 ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพทย์แผนไทยนะครับ อันนี้เอามาจากหลักสูตร การแพทย์แผนไทยบัณฑิต  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์   หลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต เป็นหลักสูตร 4 ปี   ถ้าอ่านแล้วจะรู้ว่าไม่ใช่หลักสูตรการนวดหัตถเวทอย่างเดียวแบบที่ทุกคนเข้าใจ จากคุณ : siamnano เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 11:58:43

ความคิดเห็นที่ 73 ปีที่สอง จะเริ่มเรียนการปรุงยาครับ รวมถึงเภสัชวิทยาและพิษวิทยาดัวย จากคุณ : siamnano เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 12:00:13

ความคิดเห็นที่ 74 อันนี้ปีที่สาม จากคุณ : siamnano เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 12:01:25

ความคิดเห็นที่ 75 และปีสุดท้ายมีการฝึกปฏิบัตรงานเยอะหน่อย จากคุณ : siamnano เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 12:02:28

ความคิดเห็นที่ 76 ข้อมุลเพิ่มเติมดูได้ที่ คณะการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  http://www.ttmed.psu.ac.th/page.php?pageid=7 จากคุณ : siamnano เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 12:04:01

ความคิดเห็นที่ 77 คห.15 ว่าคนอื่นว่าดูถูกสาขาวิชาตน แต่หาได้มองดูตัวเองไม่ รู้หรือไม่แพทย์แผนไทยประยุกต์เรียนอะไรหนักแค่ไหน? คิดว่านวดเพียงอย่างเดียว? ถ้าไม่รู้ก็ไม่ควรพูด เพราะสุดท้ายมันก็ไม่ต่างจากที่ตัวเองได้ไปว่าคนอื่นเค้าไว้ อยากให้คนอื่นให้เกียรติก็หัดให้เกียรติคนอื่นบ้าง ตัวผมมีเพื่อนอยู่สายการแพทย์หลากหลายแขนงก็พอจะรู้อะไรหลายๆอย่างบ้าง ที่สำคัญแต่ละสาขาวิชาย่อมมีความสำคัญแตกต่างกัน  ตามแต่หน้าที่ ที่ตัวเองได้เล่าเรียนมา เพราะฉะนั่นขอความกรุณาอย่าวิจารณ์สาขาอาชีพอื่นถ้าไม่มีข้อมูลจริง ปล.ผมจบจากคณะวิศวะ มหาวิทยาลัยมหิดล คงไม่แปลกสำหรับคุณหรอกนะ ที่ผมจะมีเพื่อนอยู่ในสายสุขภาพเยอะพอที่จะทำให้เข้าใจความสำคัญ ของแต่ละสาขาว่ามีอย่างไร ปล.2 ถึงคนที่เรียนแพทย์แผนไทยประยุกต์นะครับ ผมเป็นกำลังใจให้เลย เพราะรู้ว่าสาขานี้มันไม่เป็นแค่"หมอนวด" อย่างที่ใครหลายๆคนคิด เพราะผมเคยได้รับการรักษาโดยยาสมุนไพร ที่จัดให้โดยคุณหมอ(เพื่อนผม)ที่จบสาขานี้มาและมีอาการดีขึ้นจริงๆ ปล.3 เป็นกำลังใจให้ทุกสาขาอาชีพของสายการแพทย์นะครับ เพราะรู้ว่างานหนักมากจริงๆ ถ้าไม่มีพวกคุณหลายๆคนที่ยังมีชีวิตได้อยู่ตอนนี้ อาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็เป็นได้ จากคุณ : Peach_Seeker เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 23:48:28

ความคิดเห็นที่ 78 ทุกอาชีพ มีคุณค่าในตัวของมันเองอยู่แล้ว อย่ามาเปรียบเทียบกันเลย คำว่า หมอ คือคนที่รักษาโรคให้เรา ให้ชีวิตเรากลับมามีปรกติสุข เหมือนเดิม ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร สูงต่ำ ดำ เตี้ย ขนาดไหน ถ้าเขารักษาให้ผมหายจากโรคได้ ผมก็ยินดีและเต็มใจที่จะเรียกเขาว่า " หมอ " จากคุณ : เอ (eed99) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 11:27:48

ความคิดเห็นที่ 79 การดูถูกวิชสาชีพของคนอื่น เพราะไม่รู้ว่าคนอื่นเค๊าทำอะไรบ้าง ไม่ใช่ว่าคุณคนเดียวหรอกนะที่จะแบกโลกได้ทั้งโลก คนอื่นเค๊าก็มีส่วนช่วยพยุง เพียงแต่คุณอยู่ในที่ของคุณและคุณไม่ได้ออกจาก...ไปมองดูโลกกว่้างว่าเขาทำอะไร คุณก้เอาความคิดที่คุณเห็นคุณอยู่ไปวิจารน์เขา ถ้าอยากรู้ว่าเค๊าทำอะไร เรียนอะไรมาก็ลองเข้าไปเรียนกับเขาดู หลายๆหลักสูตรเค๊าไม่ได้เรียนมิติเดียว เค๊าเรียนหลายอย่าง รู้ว่าคุณเรียนมาเยอะ แต่เยอะกว่าคนอื่นไหมผมไม่รู้เพราะผมไม่ได้เรียนแบบคุณ จึงเอาทัศนคติของผมไปตอบแทนคุณไม่ได้ คุณเรียนมาเยอะคุณรู้เยอะ  แต่คนอื่นเค๊าก้เรียนมาเหมือนกัน ขอทิ้งท้ายว่า "รู้และเชี่ยวชาญมันต่างกัน" คนอื่นทำหน้าที่แทนคุณไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะทำหน้าที่แทนคนอื่นได้และทำได้ดีเท่าเค๊า จริงไหม๊ ฝากไปคิด????? แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 55 21:38:54 จากคุณ : หว่างฮั่น2011 เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 21:38:27