PANTIP.COM : K12497063 ตอนนี้เรียนเอกอังกฤษอยู่ค่ะ แต่ไม่รู้จะเลือกสายไหนดี ระหว่าง Business กับ Literature [ห้องเรียนภาษาอังกฤษ]

ความคิดเห็นที่ 2

พี่เรียนปีสามนะคะ :) อักษรเอกอิ๊ง ของพี่ไม่ได้ให้เลือกสายแบบชัดเจนค่ะ คือจะบังคับเรียนสายละสามตัว (ของพี่เป็น Linguistics และ Literature ค่ะ)

โดยส่วนตัวตั้งแต่ก่อนเข้าเอก ก่อนเข้าอักษรด้วยเป็นคนชอบอ่านวรรณคดีอังกฤษอยู่แล้วก็เลยตั้งใจว่าอยากจะเข้าสายวรรณคดี (มันจะมีให้เลือกเสรีอีกสามหน่วยซึ่งตรงนี้ใครอยากจะสุดโต่งไปสายภาษาหรือวรรณคดีก็ได้ หรือจะผสมไปๆมาๆก็ได้)
แต่พอเรียนวรรณคดีตัวแรกๆที่เป็นตัวเริ่มให้วิเคราะห์ เกรดแย่กว่าของวิชาสายภาษาแบบพวกซินแท็กซ์หรือโพรนันซิเอชั่นพอสมควรเลยค่ะ เลยคิดว่าจะมาเป็นแบบผสมแทนดีกว่า เนื่องจากการเรียนทั้งสองสายให้ประโยชน์ที่ต่างกันมากๆค่ะ พล่ามมายาว ขอไล่เลยเนาะ

ข้อดีสายวรรณคดี
-น้องจะได้ความรู้เยอะแบบจริงๆ พี่สอบทีนี่หกเอสเสต่อสามชม.ประมาณนั้นเลย มีไรให้เขียนเยอะค่ะ โดยที่การศึกษาวรรณคดีหรือบทกวีแต่ละอย่างนั้นเราจะศึกษาแค่ตัวบทนั้นไม่ได้ ต้องศึกษาไปถึงคอนเท็กซ์ของสังคมสมัยนั้น ประวัติผู้เขียนเลยถึงจะเข้าไป อย่างเช่นวิลเลี่ยม เวิร์ดสเวิร์ธ นักประพันธ์บริติชที่โด่งดังมากๆช่วงต้นC18 จะแต่งแต่แนวงดงามของธรรมชาติที่เรียกว่าโรแมนติค เพื่อสะท้อนว่าสังคมสมัยเขานั้นเป็นช่วงIndustrial Revolution ที่ทุกคนหันมาทุนนิยม ละเลยจินตนาการและธรรมชาติ อะไรทำนองนี้ การเรียนวรรณคดีจะทำให้เรารู้รอบ รู้ลึก(หรือเปล่า 555 พี่ก็ไม่แน่ใจตัวเองค่ะอันนี้) เหมือนได้ศึกษาประวัติศาตร์ไปในตัวด้วย พี่ว่าความรู้ตรงนี้แหละค่ะจะทำให้เรามีแบ็คกราวน์โนว์เลจที่ดีกว่าคนอื่น
-วรรณคดีมีภาษาเก่าก็จริง แต่ที่เขานำมาให้เรียนจะปรับให้เป็นmodern Englishค่ะไม่ต้องห่วง (ถ้าเป็นช่วงอังกฤษเพิ่งตั้งตัวนะคะ ประมาณค.ศ.400-1000 ประมาณนั้น) และภาษาที่เก่าพี่ว่าทำให้เราได้เห็นความคิดคนสมัยนั้นดีค่ะ
-การเรียนวรรณคดีซัฟเฟอร์กว่าสายภาษาอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นเรื่องของความคิดค่ะ เช่น ต้องคิดให้ได้ถึงแรงจูงใจของการกระทำของตัวละครในเรื่อง วิเคราะห์มากๆ โดยการจะวิเคราะห์ให้ได้มากๆคือต้องอ่านสิ่งที่เกี่ยวข้องกันเยอะๆ ตรงนี้อาจจะทำให้เหนื่อยหน่อย แต่เมื่อเราเริ่มวิเคราะห์เป็น ตรงนี้จะสามารถไปช่วยให้เรามีศักยภาพในการใช้ภาษาและมีเหตุผลมากขึ้นค่ะ

ความจริงมีอีกแต่พี่เบลอค่ะ ไว้คิดออกเพิ่มเดี๋ยวมาบอก เอาสายภาษาเลยเนาะ (ของเราพี่ไม่ทราบข้อมูลละเอียดนะคะถีงสายบิสสิเนส ขอเอาที่พอเกี่ยวข้องละกันนะคะ)
-ถ้าเป็นล่าม สายนี้เลยค่ะ รุ่งแน่นอน
-วิชาที่มีประโยชน์มากๆของสายนี้คือวิชาการแปล (น่าจะมีเหมือนกันทุกที่เนาะ) ซึ่งจะทำให้เราเหมือนได้เรียนแกรมม่าอย่างละเอียดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆอีกรอบ และจะทำให้เราใช้ภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นมากเลย
-วิชาจำพวก composition หรือเรียงความ จะทำให้ลำดับความคิดของเราดีขึ้น ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากเวลาที่ต้องสอบTOEFLหรืออะไรต่อมิอะไรในอนาคตค่ะ ความจริงก็ได้เขียนเยอะนะคะถ้าเทียบกับสายวรรณคดี แต่จะซัฟเฟอร์น้อยกว่าตรงที่เนื้อหาไม่ต้องวิเคราะห์เท่า สามารถหาแหล่งข้อมูลและอ้างอิงมาใช้เขียนได้เลย

โดยส่วนตัวนะคะ ไม่ขอฟันธง แต่วรรณคดีนี่จบไปพวกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เคยเรียนก็ไม่ได้ใช้จริงๆค่ะ (พูดตรงๆเลย) สิ่งที่เราจะได้คือความคิดวิเคราะห์ค่ะ ในขณะที่สายภาษาเราจะได้ทักษะ ซึ่งอาจจะจำเป็นต่อการประกอบอาชีพมากกว่า

เรื่องที่อยากแนะนำ ขอแนะนำ
-Pride & Prejudice โดย Jane Austenค่ะ เป็นวรรณคดีเรื่องแรกที่อ่านสมัยมัธยมแล้วทำให้อยากเข้าเอกอิ๊งมากๆ อ่านแล้วเขิน 55555
-A Christmas Carol โดย Charles Dickens เรื่องนี้อ่านแล้วอยากให้ลองจับธีมดูนะคะ จับไม่ยากค่ะ จะได้รู้ว่าเราชอบการคิดวิเคราะห์ไหม

แต่เอาจริงๆตั้งแต่เรียนลิธมาจะได้อ่านแต่งานโหดๆจำพวกฆ่ากันตาย กดขี่ผู้หญิงอะไรทำนองนี้มากพอสมควรค่ะ เพราะจะได้มีแนวคิดให้ศึกษามาก สุดท้ายขอให้โชคดีเลือกทางได้นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่า XD

ปล.ถ้าอยากรู้ไรเพิ่มก็ยินดีคุยกันนะคะ :)

จากคุณ : Chanuikarn

เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 55 23:17:29

ความคิดเห็นที่ 6

จะบอกให้ว่าถ้าอยากเป็นล่ามและ/หรือนักแปลนอกจากจะใช้ภาษาอังกฤษให้เก่งๆมากๆแล้วควรเรียนรู้อะไร

ความรู้ลึกๆเรื่อง literature ช่วยให้แปลหนังสืออังกฤษเป็นไทยได้ดีมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแปลพวกนิยาย แต่อนิจางานแปลแนวนี้ได้ค่าตอบแทนไม่มากนัก

คนที่เรียนการแปลหลายๆคนแนะนำให้อ่านหนังสือที่นักเขียนไทยดังๆเขียนไว้ จะได้แปลอังกฤษเป็นไทยได้สวย อย่างเช่นในกระทู้นี้

http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K12483572/K12483572.html
^
แต่เราไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย ในการเรียนการแปล "sentence structure สำคัญที่สุด"

วิธีที่เราทำงานแปลหรือล่ามให้ได้เงินนั้น เรากลายเป็นศึกษา "ความรู้รอบตัว"

เนื่องจากเราไม่ได้เรียนเอกอังกฤษ และไม่ชอบวิชา literature ดังนั้น ถึงเราจะแปลนิยายอังกฤษเป็นไทยได้ (เคยแปลหนังสือมาแล้วบ้าง) แต่เราก็ไม่เน้นเรื่องพวกนี้ เราเรียนการแปลจากการทำงานแปลในบริษัทแปลจริงๆเราจึงเน้นหนักเรื่อง

"ศึกษาเอกสารชนิดต่างๆ และหาความรู้รอบตัวเรื่องทั่วๆไป อย่างเช่นศึกษาภาษากฎหมาย ศึกษาเทคโนโลยีต่างๆเช่นคอมพิวเตอร์ อ่านภาษาที่ใช้ในธุรกิจต่างๆ เช่นภาษาโฆษณาเสื้อผ้าหรือเครื่องสำอาง ภาษาที่ใช้ในอุตสหกรรมท่องเที่ยว ภาษาด้านการตลาด ภาษาที่ใช้เขียนเอกสาร PR หรูๆ ฯลฯ"

จากการศึกษาแนวนี้มาหลายปี มันทำให้เรารู้ทางหนีทีไล่มากๆ เวลาจะทำงานล่ามหรือแปลเอกสาร

ยกตัวอย่างเช่นเราจำได้เกือบหมดว่าหน่วยงานต่างๆเช่น

การไฟฟ้า
การประปา
กรมสรรพกร
กรมศุลกากร
กระทรวงต่างๆ
หน่วยงานทหารและตำรวจ
และหน่วยงานอื่นๆ เวลาเขียนภาษาไทย เช่นเขียนกฎกระทรวงหรือเขียนเอกสารจัดซื้อจัดจ้างพวกเขาเขียนยังไง และเรารู้ทางหนีทีไล่ในการแปลเอกสารพวกนี้เป็นอังกฤษให้ไม่มีกลิ่นกะปิน้ำปลา และแปลได้รวดเร็วมากๆ

บางทีแฟนเราที่เรียนเอกอังกฤษมีงานแปลเอกสารระหว่างพวกเพื่อนๆกระจายกัน และพวกเพื่อนๆเธอไม่กล้ารับงานที่ deadline กระชั้นมากๆ เพราะบางทีพวกเขามัวแต่อ่าน literature หรืออ่านภาษาไทยสวยๆแบบ ว. วินิจฉัยกุล (แก้วเก้า) หรือทมยันตีอยู่ แต่เราอ่านแต่เอกสารหน่วยงานต่างๆมานานจนชำนาญภาษาพวกนี้ เราก็เลยรู้ทางหนีทีไล่ในการแปลไทยเป็นอังกฤษมากกว่า และแปลเร็วกว่าหลายๆเท่า เราก็เลยแค่คอยเก็บงานแปลที่คนอื่นทำไม่ทันกัน แล้วเอามาทำซะเองก็ได้เงินมากๆบ่อยๆ

และความรู้อีกอย่างที่ทำให้ได้เงินไวในการแปลเอกสาร นั่นก็คือความรู้เรื่อง computer software ที่จะจัดหน้าเอกสารให้สวยๆได้ ซึ่งทำให้ได้เงินเพิ่มในส่วนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแปลพวก manuals ต่างๆ แล้วสอดแทรกรูปภาพจัดหน้าเอกสารสวยๆ

ส่วนงานล่ามนั้นเราจะถนัดเรื่องเป็นล่ามในศาลเพราะเราอ่านและแปลเอกสารกฎหมายเยอะมากๆ และล่ามอีกอย่างที่เราถนัดก็คือล่ามเรื่องการเจรจาซื้อขาย computer software กัน เพราะเราเป็นนักทดสอบ software หรือล่ามในที่ประชุมเพราะเราแปลบัณทึกการประชุมบ่อยมากๆจนรู้ทางหนีทีไล่หมด เมื่อก่อนเราเคยรู้ภาษาแนวศัพท์ก่อสร้างกับวิศวกรรมยานยนต์มากพอสมควร ก็เลยแปลงานพวกนี้ได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ทำก็ชักจะลืมๆแล้ว และกลายเป็นถนัดแปลไทยเป็นอังกฤษพวกเอกสาร PR ซะมากกว่า

จริงๆแล้วถ้าอยากเป็นนักแปลหรือล่ามการอ่านภาษาที่ใช้ในธุรกิจหรือหน่วยงานต่างๆ และหาความรู้เรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ จะทำให้หางานราคาดีๆได้ง่าย เพราะเห็นเอกสารอะไรก็แปลได้เกือบหมด หรือเห็นล่ามแบบไหนก็แค่เตรียมตัวไม่กี่วันก็เป็นล่ามได้หมด

ในขณะที่ถ้ารู้ literature ลึกมากๆ ถึงแปลนิยายได้ดีแต่ซึ่งเงินค่าแปลมันก็ไม่มากนัก หรือไม่ก็สอน literature ในมหาลัยได้ แต่ถ้าจะให้ดีควรรู้ literature ลึกๆแล้วไปสอนมหาลัยต่างประเทศไปเลยค่าตอบแทนมันถึงจะมาก แต่ถ้าไม่เรียน literature ลึกขนาดนั้น กลายเป็นเรียนภาษาอังกฤษและภาษาไทยที่ใช้ในวิชาชีพหรือใช้ในหน่วยงานต่างๆหรือในบริษัทต่างๆ (เราแปลเอกสารบริษัทมหาชนดังๆจนเราจำลีลาการเขียนของหลายๆบริษัทได้ ทำให้รู้ทางหนีทีไล่ค่อนข้างเยอะ) จะเป็นเรื่องได้เปรียบมากกว่าสำหรับคนที่จะทำอาชีพล่าม/นักแปล

^
ซึ่งการเรียนรู้แนวนี้ ส่วนใหญ่มักจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองนอกมหาลัยโดยการใฝ่รู้ ค้นข้อมูลศึกษาเองในชีวิตจริงอย่างต่อเนื่อง!
แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 55 13:20:48

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 13:15:52