ความคิดเห็นที่ 1 สาระมากๆ ขอบคุณครับ จากคุณ : kingofearth เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 22:48:37

ความคิดเห็นที่ 2 แหล่มเลิศเจิดศรี  กระทู้ดีควรอ่าน จากคุณ : ปากจัดชะมัดยาด (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 23:39:14

ความคิดเห็นที่ 3 มองได้สองแง่ ถ้าตรึงราคาคนไทยก็อาจซื้อหนังสือตามร้านมากขึ้น ไม่ไปรอซื้อในงานหนังสืออย่างเดียว ก็จะช่วยให้ร้านหนังสืออยู่ได้ มองอีกแง่ ถ้าหนังสือไม่ลดราคาคนไทยก็อาจซื้อหนังสือน้อยลง หรือไม่ก็รอซื้อตอนที่หนังสือลดราคาแล้ว หรือซื้อมือสอง ถ้าจะตรึงราคาหนังสือ ก็ควรจะตั้งราคาหนังสือให้ต่ำลง ส่วนที่อ้างเรื่องความเป็นธรรมผมว่าเหตุผลแปลกๆ ถ้าคิดแบบนั้น motor show , commart , งานกล้อง , งานท่องเที่ยว ก็ไม่เป็นธรรมทั้งนั้น จากคุณ : paramedian เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 07:16:53

ความคิดเห็นที่ 4 อืมดีเนอะ  มีคนออกมาพูดซะบ้าง รูปร้านหนังสืสวยจริงๆ เมื่อก่อนเคยมีคนเอารูปรวมร้านหนังสือสวยๆจากทั่วโลกมาให้ดู มีรูปที่นี้ด้วย สวยมาก อ่านเอาจากแถวๆนี้แหละ ตามอ่านต่อนะ ถ้ามีไรอัพเดท มาโพสต่อนะจ๊ะ จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 20:35:21

ความคิดเห็นที่ 5 สงสัยคำเดียวครับ “ข้อตกลงการตรึงราคาหนังสือ เป็นข้อตกลงระหว่างสำนักพิมพ์และร้านหนังสือว่าจะขายหนังสือในราคาไม่ต่ำกว่าที่กำหนด” ทุกวันนี้สำนักพิมพ์เวลาขายหนังสือก็ลดแลกแจกแถม ซื้อใน web ลดขั้นต่ำ 15% ซื้อในงานมหกรรมหนังสือลด 15-50% เป็นเรื่องปกติ จริงๆแล้วการตกลงนี้น่าจะต้องมาจากฝั่งร้านหนังสือเพื่อขอร้องให้สำนักพิมพ์ต่างๆ ไม่ลดราคานะครับ ไม่รู้ว่ามีสมาคมสำนักพิมพ์หนังสือในการจัดการเรื่องนี้หรือไม่ จากคุณ : ishichild เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 08:06:44 A:115.67.65.233 X: TicketID:369503

ความคิดเห็นที่ 6 ปัญหาคือบุคลากรในชาติเรามีคุณภาพสู้ชาติอื่นในยุโรปไม่ได้ ดังนั้นหนังสือไม่ใช่สิ่งบริโภคแรกที่ผู้คนคิดจะจับจ่ายใช้สอย ถ้าไม่มีการกระตุ้นผู้บริโภคด้วยราคา ผมเกรงว่ายอดขายมันจะกระทบสำนักพิมพ์มากกว่าที่เป็นอยู่ จากคุณ : nonsaint เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 14:35:24

ความคิดเห็นที่ 7 ร้านขายหนังสือรายใหญ่สองรายจับมือกันผลักภาระ ไปที่สำนักพิมพ์โดยการทำเลียนแบบดิสเคาร์สโตมีการ จัดเก็บค่าวางหนังสือที่จะมาจัดจำหน่ายในร้านในราคาสูง อ้างเพื่อชดเชยรายได้จากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท แล้วแนวคิดห้ามลดราคาหนังสือที่จะเป็นทางอยู่รอดของ สำนักพิมพ์ก็ถูกผลักดันให้ออกมาบังคับใช้ การมีร้านหนังสือ ไม่หลากหลายยังพอหาทางแก้ไขได้ แต่การมีสำนักพิมพ์ หนังสือที่ผูกขาดมีไม่กี่ราย เพราะสู้ระบบไม่ไหวล้มหายตาย จากไปกระทบผู้บริโภคมากกว่า อะไรมันจะประจวบเหมาะกัน ขนาดนั้น ร้านหนังสือจับมือกันทำอวน จะให้ออกกฏหมายมาไล่ ต้อนสำนักพิมพ์ให้เข้าอวน กฏหมายมีไว้เพื่อรักษาความเป็นธรรม ถ้าออกมาเพื่อจะเตาะหมูเข้า:-) ความสงบสุขจะมาจากไหน ตรึงราคา หนังสือๆเกี่ยวกับธรรมจะหาที่จำหน่ายไม่ได้ จะมีแต่หนัง สือที่หาโฆษณาเก่งๆหาได้ง่ายแบบหนังสือแฟชั้น ข่าวซุปซิบดารา จะเต็มร้านหนังสือไปหมด หนังสือเหล่านี้ปกติก็ขายลดราคาให้ร้าน พอไม่ต้องลดตามกฏหมายสำนักพิมพ์ก็ยิ่งรวย ร้านจะมาเก็บค่าวาง หนังสือในร้านสูงๆก็จ่ายได้ อะไรที่มันออกมาเป็นกฏหมายผูกขาด มันเป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้น  ไฟ้ฟ้า ประปา รถไฟ องค์กรไม่พัฒนาแต่ พนักงานเงินเดือนสูง ปรับปรุงอะไรก็เดินขบวนหรือร้องว่าคนที่มา ปรับปรุงขายชาติ ถ้าออกมามีกกหมายห้ามลดราคาหนังสือผลในภาย หลังเกิดผลเสียมากกว่าผลดี จะขอแก้ไข คงฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ กันวุ่นวาย สวัสดี จากคุณ : ชัดเจนน้องนาง เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 22:32:28

ความคิดเห็นที่ 8 --- โหวตกระทู้ก่อนครับ จากคุณ : myth เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 22:34:45

ความคิดเห็นที่ 9 งั้นถ้าไม่ตรึงราคา (เราคนกทม.นิสัยไม่ดีชอบได้ส่วนลด ) ช่วยยกงานแบบศุนย์สิริกิตต์ไปจัดเชียงใหม่ ภูเก็ต โคราช อะไรแบบนี้แทนได้มะ เลือกเอาจังหวัดใหญ่ก่อนก็ได้ถ้ากลัวจัดงานแล้วเจ๊งอะ คนกทม.-ปริมณฑลแห่มาขนหนังสือล๊อตใหญ่ที่ศุนย์สิริกิตต์ได้ คนจังหวัดอื่นๆ+จังหวัดใกล้เคียงก็ขี่มอไซด์แห่ไปขนได้แหละ   หนึ่งในวิธีกระตุ้นยอดขายคือการลดราคา อย่าว่าแต่เทศกาลหนังสือเลย สรรพสิ่งในซุปเปอร์มาเก็ต ช่วงวีคสิ้นเดือน สบุ่ยาสีฟันยันอาหารหมา สากกะเบือยันเรือรบแปะป้ายลดราคากันเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้ก็เอาเปรียบโชห่วย แม้กระทั่ง7-11ก็ยังไม่สามารถลดราคาสินค้าบางตัวแข่งได้ด้วยซ้ำ ถ้าใครมีอำนาจในการลดราคาหน้าร้านได้ แล้วเป็นการเอาเปรียบพวกที่ลดไม่ได้ แถมผุ้บริโภคที่เข้าถึงสินค้าลดราคาก็เอาเปรียบผุ้ที่ไม่สามารถเข้าถึงสินค้าลดราคาได้ งั้นกลยุทธ์เรื่องการลดราคาเพื่อกระตุ้นการขายสินค้าในทุกธุรกิจ ก็ยกเลิกเถอะค่ะ ทุกวงการที่ใช้การลดสินค้า มันมีทั้งคนเอาเปรียบและผุ้เสียเปรียบแน่นอน ไม่มีวงการไหนที่ใช้กลยุทธ์นี้แล้วจะเกิดความเป็นธรรมได้หรอก จากคุณ : HoliDay Never Comes เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 11:52:09

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องนี้ผมมีความเห็น 2 ประเด็นครับ ในฐานะคนอ่านและคนเขียน กรณีคนอ่าน การตรึงราคาหนังสือไม่ให้เกิดการลดราคานั้น จะได้ผลดีในกรณีที่มีร้านค้าอิสระเยอะ ๆ +ผู้อ่านที่มีลักษณะการอ่านหลากหลายมากพอ จะทำให้เกิดการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม สำหรับในประเทศเราจำนวนคนอ่านหนังสือยังไม่มากนักครับ เท่าที่ทราบกันคร่าวๆ และหนังสือที่วางขายส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือกระแสหลักแทบทั้งนั้น ดังนั้นในกรณีผู้อ่านการลดราคาหนังสือยังจำเป็นอยู่มากสำหรับบ้านเราครับ ส่วนในกรณีของผู้เขียน การที่ค่ายหนังสือมีแต่สนพใหญ่ และงานกระแสหลัก อาจทำให้ขาดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่กว่าได้ แต่เท่าที่เห็นบ้านเราก็พยายามจะให้มีโอกาส สำหรับงานใหม่ ๆอยู่มากพอควร แต่เนื่องจากจำนวนคนอ่านที่ยังไม่มากนัก จึงนับเป็นประด็นหลักมากกว่า ผมสรุปความคิดเรื่องนี้ว่า สำหรับบ้านเราราคาหนังสือที่ไม่แพง มีการตลาดดี แนวอยู่ในกระแสที่คนพอรับได้ น่าจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายครับ ที่สำคัญกว่า วัฒนธรรมการอ่านหนังสือของเรา ยังห่างจากวัฒนธรรมการดูหนัง-ดูละครอยู่มากครับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายเวลา ป.ล.สำหรับ สนพ เล็ก ๆ ในบ้า่นเรา ที่ออกหนังสือดีๆ คงต้องการกำลังใจ+กำลังสนับสนุนกันไปนะครับ แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 55 12:52:18 จากคุณ : P Q BOY เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 12:48:29

ความคิดเห็นที่ 11 ขอแชร์กับคุณ Holiday Never Comes หน่อยนะครับ ที่ สนพ. พยายามดึงเทคโนโลยีมาใช้ แล้วขายทางออนไลน์ ผมดูแล้วคนส่วนใหญ่สนใจซื้อก็เพราะมันลดราคาทั้งนั้นแหละครับ ลองขายราคาเต็มดิ ไม่มีใครสนใจเท่าไหร่หรอก อีกอย่างคนที่ซื้อทางออนไลน์ก็คือคนที่เจาะจงซื้อ พยายามแสวงหาของราคาถูก ขอซักนิดก็ยังดี(วะ) แต่แน่นอน การที่ขายแต่ทางออนไลน์และจะตัดสินใจไม่ขายทางร้านปกตินั้น ผมมองว่าเสียโอกาสเยอะนะ เพราะว่า คนอีกกลุ่มหนึ่ง(เช่นผม) ไม่เคยสนใจโฆษณาอะไรเลย จะซื้อหนังสือที ก็ต้องขอหยิบ ขออ่านนิดๆ หน่อยๆ เพื่อกระตุ้นความอยาก และความชอบ ส่วนจะไปซื้อทาง web ก็อีกเรื่องหนึ่งเพราะต้องการของถูก อันนี้ร้านหนังสือก็เสียประโยชน์ไป พูดแล้วก็น่าสงสารร้านหนังสือนะครับ เหมือนโชว์รูมเลยสำหรับคนส่วนหนึ่ง ลูกค้าไม่ซื้อ มาอ่านฟรี แล้วสุดท้ายไปซื้อผ่าน web T T อ้อ ผมก็แสวงหาของถูกเหมือนกันนะครับ พวก gadget ทั้งหลาย ซื้อผ่าน ebay หมด เพราะของแบบนี้ดูใน web แล้วเข้าใจง่าย ยินดีซื้อ แต่หนังสือนี่ขอจับ, ขอหยิบอ่านซักหน้าสองหน้าจะมีความสุขในการซื้อกว่าครับ จากคุณ : ishichild เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 13:06:10 A:115.67.64.47 X: TicketID:369503

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ ishichild เราก็ชอบไปจับๆหนังสือก่อนซื้อแหละ (ที่จริงต้องเรียกว่าพลิกทุกอนุ ยับไหม เย็บไสกาวดีป่าว บลาๆ เยอะอ่ะ ) ออนไลน์ได้ตังเฉพาะพวกที่ทำมือขายเอง ไม่มีหน้าร้านให้เราไปจับจริงๆ เพราะเราไม่ศรัทธาในระบบไปรฯไทย ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ซื้ออะไรที่ต้องส่งไปรฯอ่ะ จริงๆระบบตรึงราคาเราโอเคนะ คือถ้าเราชอบ ไม่ลดเราก็จ่าย งานศุนย์สิริกิตต์มีผลกะเรามากๆตรงที่เราได้นัดเจอเพื่อนมากกว่า บางทีไปซื้อได้มาเล่มเดียวก็มี ข้อเสียใหญ่หลวงของเราคือ เราต้องอ่านแล้วชอบ"มาก" เท่านั้น แปลว่าคนเขียน หรือสนพ.จำเป็นต้องมีตัวอย่างขนาดยาวให้เราอ่าน(เช่นคนลงงานในเวบ/ออนไลน์) หรือไม่ก็เราไปเช่าอ่าน ถ้าประทับใจ ตรูสอยแน่ไรงี้ ก็อยุ่ที่ช่วงนั้นว่าประทับใจเล่มเดียวก็ไม่รอเทศกาล เดินเข้าร้านไปหยิบๆเลือกๆเลย เพราะรอไปงานแล้วซื้อเล่มเดียว ส่วนลดไม่คุ้มค่าน้ำมัน แต่ถ้าอยากได้หลายเล่ม เช่น ตอนนี้อยากได้ hunger game3เล่ม (แน่นนอนว่าไถน้องสาวอ่านแล้ว และยังอยากได้เป็นของตัวเอง ) และนัดเพื่อนแล้วว่างานปลายปีเราเคลียร์งานไปเจอกันแน่ ..ร้านหนังสือไม่มีทางได้ตังเราอ่ะ เพราะถ้ารอไปงาน ได้ทั้งส่วนลด ได้เจอเพื่อน ก็น่าสงสารทั้งร้านหนังสือ สนพ.แหละถ้ามีลูกค้าแบบเรา จากคุณ : HoliDay Never Comes เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 14:11:09

ความคิดเห็นที่ 13 จากที่อ่านข้างบนจะเห็นว่ามีข้อยกเว้นถ้าเป็นหนังสือเรียน นั่นแปลว่ารัฐทางโน้นมองว่าหนังสืออื่นๆที่ไม่ใช่หนังสือเรียนคือสินค้าฟุ่มเฟือยที่จะโขกราคายังไงก็ได้ เลยไม่ให้ลดราคาแข่งกันจนตลาดพัง มันก็ขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยมองหนังสือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยหรือเปล่า?? ถ้าไม่เข้าใจผิดไปเมืองไทยต้องการสนับสนุนให้คนไทยเข้าถึงหนังสือ"ทุกอย่างที่ไม่ผิดกฎหมาย" ได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในทุกกรณี จึงไม่มีการอนุมัติการกีดกันทางการค้าใดๆในแวดวงสิ่งพิมพ์(นั่นจึงทำให้ร้านเช่าหนังสือไม่ต้องขอลิขสิทธิ์พิเศษเพื่อการเช่าเหมือนภาพยนต์ หรือถ่ายเอกสารหนังสือกันเรื่องปกติไม่มีใครว่าอะไรทั้งๆที่จริงๆแล้วมันผิด) ดังนั้นมาตรการการตรึงราคาจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นในบ้านเราได้เพราะรัฐมองว่าการที่หนังสือแพงจะทำให้คนไทยเข้าถึงหนังสือได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐไม่พึงประสงค์อย่างรุนแรง(ย้ำอีกครั้งว่าหนังสือบางอย่างจริงๆเป็นหนังสือฟุ่มเฟือยแต่ไทยมองว่าหนังสือทุกอย่างเป็นสินค้าจำเป็น จะเป็นหนังสือซุบซิบดาราก็ได้ถ้ามันทำให้คนไทยอ่านหนังสือออก ก็ถือว่าสำคัญ) ส่วนเรื่องผู้ประกอบการจะอยู่รอดได้ยังไงเป็นเรื่องที่ต้องไปหาทางกันเอาเอง เพราะถ้าร้านขายหนังสือมีอยู่ทุกมุมแต่อยู่ได้เพราะกำไรต่อหน่วยเยอะมีแต่แฟนพันธุ์แท้เท่านั้นที่ซื้อ แล้วคนไทยอีกมากอ่านหนังสือไม่ออก เป็นสิ่งที่รัฐไม่พึงประสงค์ ฟังดูเห่ยๆ แต่เราก็ต้องยอมรับว่าการที่บ้านเมืองของเราเดินหน้ามาได้ถึงขนาดนี้เพราะรัฐยอมหลับตาข้างนึง ยอมเสียแขนเสียขาไปบ้างเพื่อรักษาส่วนรวมเอาไว้ ประเทศเรายังอยู่ในช่วงตั้งไข่ จะเอาตัวเต็มวัยมาเป็นแบบอย่างอาจจะไม่ใช่วิธีที่เหมาะกับบ้านเราก็เป็นได้ แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 55 17:03:07 จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 16:58:36

ความคิดเห็นที่ 14 ที่เยอรมนี ถึงจะมีการตรึงราคาหนังสือ แต่พวกร้านค้าก็ให้ส่วนลดอ้อมๆ เช่น ส่วนลด 5 ยูโรเมื่อซื้อครบ 30 ยูโร โดยในสินค้าที่ซื้อต้องมีสินค้าอื่นที่ไม่ใช่หนังสือภาษาเยอรมัน เช่น หนังสือภาษาอังกฤษ ซีดี เกมส์ ปฏิทิน พูดง่ายๆคือ หนังสือราคาตรึงจริง แต่ได้สินค้าอื่นในราคาถูกลง(มาก) ตัวอย่าง เช่น หนังสือที่โดนตรึงราคา 24 ยูโร ซื้อพร้อมซีดี 6 ยูโร รวมเป็น 30 ยูโร แล้วใช้ส่วนลด 5 ยูโร จ่ายจริง 25 ยูโร โดย 5 ยูโรนี้ถือว่าลดจากซีดี (ถือว่าได้ซีดีมาในราคา 1 ยูโร)  เพราะฉะนั้นเลยไม่ผิดกฏหมาย จากคุณ : ไถนาอุตลุด เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 18:01:38

ความคิดเห็นที่ 15 คนไทยเราไม่ได้รักการอ่านขึ้นหรอกค่ะ แต่คนไทย ชอบ "ของถูก" ส่วนมาก ภายหลังงานสัปดาห์หนังสือ ก็จะเกิดสิ่งที่เรียกตามภาษาญี่ปุ่นว่า "Tsundoku" ซึ่งแปลว่า พฤติกรรมการซื้อหนังสือมาแล้ว แต่ไม่อ่าน ทิ้งไว้ให้ค้างเติ่งบนหิ้งต่อไป .................................................................................................... จริงอยู่ค่ะ...จะลดหรือไม่ลดราคา...สิ่งที่ต่างก็คือ....ยอดการค้าขายหนังสือ ที่อาจจะลดต่ำลงไปจากเดิมบ้าง แต่ถ้าถามว่า .....ซื้อมาก  จะ อ่านมาก หรือไม่ ต่อให้ซื้อมาก ....คนไทยเราก็อ่านกันไม่ได้มากหรอกค่ะ หลากหลายปัจจัยที่มีผลต่อการอ่าน.....ดิฉันคิดว่าสิ่งแรกที่สุดก็เรื่องปากท้องนี่แหละ....ร่างกายและปัจจัยกายภาพมันต้องดีก่อน ไม่ต้องกระ:-)กระสนดิ้นรนเรื่องปากท้องกันก่อน จึงจะมีเวลามาสร้างปรัชญาและนิสัยการอ่าน ดิฉันเห็นด้วยค่ะ...ที่จะแก้ปัญหาเรื่องการอ่าน....แต่แค่คิดว่า บ้านเราตอนนี้มีอะไรหลายๆ อย่างที่มันยังต้อง "แก้" ก่อน จากคุณ : ชีนะ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 22:39:41

ความคิดเห็นที่ 16 ผมว่าคนที่ไปงานหนังสือ หรือเดินเข้าร้านหนังสือ คือคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องปากท้องเท่าไหร่ ซื้อมาแล้วอ่านไม่หมดก็ยังได้อ่านบ้าง เทียบกับซื้อน้อยหรือไม่ซื้อเลย ซื้อมากย่อมอ่านมากกว่าแน่ จากคุณ : paramedian เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 09:58:08

ความคิดเห็นที่ 17 เอ เราไปงานหนังสือซื้อมาแล้วอ่านทุกเล่มเลยค่ะ แหะแหะ ส่วนตัวคิดว่าประเด็นลดแต่สิริกิตแล้วไม่แฟร์นี่ ไม่เข้าเค้าเลย สั่งจากสนพ.ในเว็บถูกและสะดวกกว่าอีก แต่ชอบที่ได้ไปเดิน ไปเจอหลายๆเจ้ามากกว่า และคิดว่ามาตรการนี้ไม่เกิดในไทยเด็ดๆอะ ปล. ที่เชียงใหม่ก็มีงานหนังสือ จัดที่มหาลัยเชียงใหม่ทุกปีค่ะ ช่วงหน้าหนาว แต่งานเล็กกว่าสิริกิตค่อนข้างเยอะ แต่เ้จ้าใหญ่ๆก็มาครบค่ะ จากคุณ : โยธิกาหน้าหนาว เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 15:16:22

ความคิดเห็นที่ 18 หนังสือ กับ อาหาร อย่างไหนจำเป็นต่อชีวิตมากกว่ากัน หนังสือ ไม่เคยเป็นปัจจัยสี่ แต่อาหาร เป็นปัจจัยสี่ข้อแรก [/i] ข้อตกลงว่าด้วยราคาหนังสือตายตัว (Fixed Book Price Agreement) จะทำให้คนยะลา ระยอง แม่ฮ่องสอน อุดรธานี กาญจนบุรีฯ ได้ซื้อหนังสือออกใหม่ในราคาที่เท่ากัน ในเวลาที่ยาวนานเป็นปี แต่ปัจจุบันมีแต่คนกรุงเทพฯกับปริมณฑล หรือคนที่มีรถส่วนตัว มีเงินขึ้นเครื่องบิน แห่กันมาซื้อหนังสือใหม่ลดราคาที่ศูนย์ฯสิริกิติ์ปีละ ๒ ครั้ง คนพวกนี้เท่านั้นที่มีอภิสิทธิ์ซิ้อหนังสือออกใหม่แกะห่อซิงๆในราคาลดจากปกตั้งแต่ ๑๕ เปอร์เซ็นต์ ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ และแต่ละครั้งก็ต้องซื้อในช่วงเวลาครึ่งเดือนเท่านั้น ถ้านำหลักการเดียวกัน ที่ใช้ในการตรึงราคาหนังสือ โดยไม่คิดระยะทาง ผมควรซื้อข้าวขาวขัดสีเรียบร้อย ในราคากิโลกรัมละ 10 บาท .. เท่ากับที่นครสวรรค์ หรือ กุ้งยักษ์ ในราคากิโลกรัมละ 100 บาท เท่ากับที่ชาวพังงากินกัน โดยไม่ต้องบินไปภูเก็ต [i] ข้อตกลงว่าด้วยราคาอาหารตายตัว (Fixed food Price Agreement) จะทำให้คนกรุงเทพ ได้ซื้ออาหารประจำในราคาที่เท่ากัน ในเวลาที่ยาวนานเป็นปี แต่ปัจจุบันมีแต่คนท้องถิ่น อย่างเช่นคนยะลา ระยอง แม่ฮ่องสอน อุดรธานี กาญจนบุรีฯ หรือคนที่มีรถส่วนตัว มีเงินขึ้นเครื่องบิน แห่กันไปซื้ออาหารพื้นบ้าน อย่างเช่นเห็ดโคน กุ้งมังกร ปลาหมอทะเล ลดราคาที่ ตจว ปีละ ๑-๒ ครั้ง คนพวกนี้เท่านั้นที่มีอภิสิทธิ์กินอาหารใหม่ๆ สดๆ ในราคาลดจากตลาดซุปเปอร์มาร์เกตในกรุงเทพ ตั้งแต่ ๑๕ เปอร์เซ็นต์ ถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ และแต่ละครั้งก็ต้องซื้อในช่วงเวลาครึ่งเดือนหนึ่งเดือนเท่านั้น จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 09:17:07

ความคิดเห็นที่ 19 55555555 ฮาพี่แมวฯ อยากกินกุ้งยักษ์เผาโลละ100 เอิ๊กๆ ขอแถมปลาเผาด้วยได้มั้ย ไดเอทๆ เอิ๊กๆ จากคุณ : HoliDay Never Comes เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 10:34:09

ความคิดเห็นที่ 20 ไม่ค่อยเห็นด้วยในการตรึงราคาหนังสือนะคะ อาจใช้กับตปท.ได้  แต่ใช้กับประเทศไทยไม่ได้ผลเท่าไหร่ สำหรับตัวเราเองแล้วราคาหนังสือไม่ค่อยมีผลค่ะ  เพราะมันซื้อแบบเจาะจงว่าต้องการเรื่องไหน  แนวไหน  ซื้อในเนตเพราะหาซื้อตามร้านทั่วไปไม่ได้  อะไรแบบนี้ค่ะ  บางครั้งหาไม่ได้แม้แต่มือสองจนถึงขั้นต้องขอซีร็อกต้นฉบับหนังสือจากเพื่อนกันเลยทีเดียว ส่วนศูนย์สิริกิตไม่ได้ไปนานแล้ว  เหนื่อย คนเยอะ  หนังสือเยอะจริงแต่คนเยอะกว่าค่ะ  คนเดินมากกว่าคนซื้อนะคะ  เราว่าเพราะลดราคาเยอะนั่นแหละคนทั่วไปที่ไม่ใช่หนอนหนังสือถึงไปซื้อกันเจ้า  ถ้าตรึงราคาคนกลุ่มนี้หายแน่นอนค่ะ หนังสือไพลิน เล่มละ29 35 เราเห็นในห้างก็มีขายเกือบทุกห้าง  แต่ขอโทษ  ยังไม่ค่อยมีคนควักเงินซื้อกันเลย  ทั้งที่ราคาเท่าก๋วยเตี๋ยว1ชาม  ถ้าขายราคาเต็ม99-199คิดหรือคะว่าคนจะซื้อ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 13:56:21

ความคิดเห็นที่ 21 ที่ซื้อหนังสือเยอะก็เพราะราคาถูก เป็นราคาที่พอจะหาซื้อเพื่ออ่าน(เอาความบันเทิง)หรือสะสมในกรณีไม่มีเวลาอ่านจริง ๆ และถ้าตรึงราคา คราวนี้จากเคยซื้อมาก ๆ ก็อาจจะลดลง เพราะคงต้องคัดสรรพอสมควรกับหนังสือที่ชอบจริง ๆ ถึงจะลงทุนซื้อ ทุกวันนี้กับการซื้อหนังสือ ต้องชอบจริง ๆ ค่ะ ถึงจะซื้อได้ทันทีโดยไม่สนว่าลดขนาดไหน ประมาณว่า ขอให้ซื้อก่อนเถอะ จะอ่านไม่อ่านไม่ว่า เก็บไว้ให้อุ่นใจก่อน 555 แต่กับเรื่องทั่วไป คืออ่านก็ได้ ไม่อ่านก็ได้ ก็จะออกแนวประมาณว่า หาราคาถูกไว้ก่อน ได้ช้าได้หลังไม่ว่ากัน จากคุณ : takuto-ken เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 22:08:05

ความคิดเห็นที่ 22 คนเมืองกรุง...มุ่งอ่านหนังสือ คนบ้านทุ่ง...มุ่งแต่การสนทนา ตลาดหนังสือ มันก็มีอยู่แค่ในเมืองกรุง เรื่องยุ่งๆ มันก็เกิดตรง วิธีหาความรู้ของคนในสังคม มันคนละแบบกัน การกำหนดราคาเพื่อให้มีกำไรเลี้ยงตัวอยู่รอดกันได้ ทั้ง นักเขียน ร้านหนังสือ สำนักพิมพ์ มันก็เลยเป็นเรื่องที่ไม่เคยทำได้เลย จากคุณ : เสี่ยวเหลียงจือ เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 23:07:02

ความคิดเห็นที่ 23 สายเกินไปที่จะใช้มาตรการนี้ในประเทศไทยเพราะเราไม่มีร้านหนังสืออิสระแล้ว หายากเต็มที ดังนั้นจึงไม่อาจเล็งเห็นผลเลิศจากมาตรการดังกล่าวในการทำให้เกิดชุมชนผู้รักการอ่านที่มีหัวหอกโดยร้านหนังสืออิสระของคุณน้าคุณป้าหนอนหนังสือใจดี เทรนด์ของโลกก็เปลี่ยนไปคนเรานับวันยิ่งมีศักยภาพพอจะซื้อหนังสือโดยตรงจากแหล่งที่ถูกที่สุด สำนักพิมพ์เองก็พอใจจะเดินตามแนวทางอีคอมเมิร์ซ ตามต่างจังหวัดถ้าไม่เจอซีเอ็ด นายอินทร์ ก็เจอแต่ร้านขายตำราเรียนประถม มัธยมศึกษา แล้วนโยบายแบบนี้จะช่วยให้เกิดชุมชนรักการอ่านได้หรือ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก.วัฒนธรรมน่าจะร่วมกับ พ.ม. ทำห้องสมุดชุมชนให้มันน่าอยู่น่านั่งพักผ่อนหน่อย ผมยังประทับใจกับการไปห้องสมุดชุมชนจังหวัดปัดตานี ได้เปิดดูสมุดภาพเรือควีนอลิซาเบธที่แพงเกินไปมากสำหรับครอบครัวผมสมัยก่อน บรรณารักษ์ใจดีมาก จากคุณ : คนโง่ว์ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 55 22:07:09