ความคิดเห็นที่ 1 "หาก ผู้ก่อการร้าย  ที่ จะปลุกผีรัฐปาตานี   เลิก ก่อการร้าย ฆ่าคนบริสุทธิ์  อย่างอำมหิต เลือดเย็น  ทั้งๆที่ไม่รู้จักไม่มีเรื่องโกรธแค้นกันมาก่อน  ใครช่างสอนสั่งให้พวกคุณคิดได้แบบนี้   อย่า เอา เรื่องความจริงใจ มาเป็นข้ออ้าง ในการหาเหตุผล  มารองรับ สิ่งชั่วๆ ที่คุณ กระทำ ต่อมนุษย์  เยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน เลย" ขอพระเจ้าของคุณ โปรดสาบแช่ง พวกที่ ทำให้พระนามของพระองค์แปดเปื้อน แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 55 13:00:41 จากคุณ : otto เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 11:46:28

ความคิดเห็นที่ 2 น่าสนใจครับว่า กรุงเทพ หลอกอะไรปัตตานีบ้าง และมีตอนไหนหรือไม่ที่ปัตตานี หลอกกรุงเทพ ประวัติศาสตร์มีไว้เพื่อเรียนรู้ เพื่อสันติสุข ไม่ให้ประวัติศาสตร์บางเรื่องซ้ำรอย แต่ไม่ควรหยิบประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอนมาเป็นประเด็นให้เกิดความแตกแยก ไม่ควรหยิบยกเอาเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรมมาผูกโยงกับการเมือง จากคุณ : CVTบ้านโป่ง เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 13:31:35

ความคิดเห็นที่ 3 อยากรู้ว่ากทมหลอกอะไรปัตตานีบ้างครับ จากคุณ : Michael เบ๊ เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 15:16:58

ความคิดเห็นที่ 4 กรณีล้านนา ร.5 กลืนชาติโดยใช้วิธี แต่งเมีย กรณีปัตตานี ร.1 ยึดปีนใหญ่(สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ) และเมื่อมีการขอพระราชทานกลับคืน ร. 5ไม่ทรงมีพระบรมราชานุญาต ทั้ง 2 กรณีล้วนสร้างความขมขื่นให้แก่ ทั้ง 2รัฐเป็นอันมาก แต่กรณี เจ้าดารารัศมี ได้กลับบ้าน ในขณะที่ ปืนใหญ่พญาตานี ยังอยู่หน้ากระทรวงกลาโหม นี่แค่จิ๊บๆ ที่รัฐไทย(สยาม) ทำกับรัฐอื่น ถ้าคุณเป็นคนต่างถิ่นมาอยู่ ทางภาคเหนือสัก 2-3ปี คุณจะรู้ว่า "คนเมือง" คิดยังไงกับกรุงเทพฯ ในด้านปัตตานี เขามองในแง่มุมประวัติศาสตร์ เขาเคยมีวัฒนธรรมรุ่งเรืองมาแต่อดีต (นครรัฐปัตตานีดารุสลาม) เขาจึงไม่ชอบหรอกที่จะมาหยามเกียรติเขา อาจสงสัยว่าหยามเกียรติกันยังไง ก็แค่เปลี่ยนชื่อประเทศจาก สยาม เป็น ไทย ก็หยามเกียรติคนชาติพันธุ์อื่นสุดๆแล้ว (อุดมการณ์ชาตินิยม จอมพล ป.) ศึกษาเรื่องแบบนี้ต้อง เป็นกลางไม่เข้าข้างเชื่อชาติตัวเอง มองให้ลึก มองให้กว้าง **ปล.การเมืองเกี่ยวพัน โดยตรงอย่างถึงที่สุดกับ ประเด็นเชื่อชาติ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรม แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 14:02:40 แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 55 20:03:26 จากคุณ : ร่อนเร่ ณ ถนน เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 20:01:22

ความคิดเห็นที่ 5 หลักๆแล้วเท่าที่ฟังมา    คนใต้เขาจะยกมา2กรณ๊ครับ 1 ตอนกรุงเทพเข้าไปเปลี่ยนแปลงระบบของดินแดนมลายู    ขุนนางที่ส่งไปหลอกลวงให้รายาปัตตานีเซ็นชื่อยอมรับการปฏิรูปการปกครอง    โดยอ้างว่าเป็นหนังสือร้องเรียน    และหนังสือนั่นเป็๋นภาษาไทยรายาไม่รู้เนื้อความก็ไม่ยอมเซ็น   แต่ขุนนางไทยก็เกลี้ยกล่อมให้เซ็นไปก่อน    โดยอ้างว่าไม่ใช่หนังสือสัญญา   ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ   และแก้ไขได้ทุกเมื่อ     ในที่สุดรายาปัตตานีก็ยินยอมเซ็น    แล้วมาทราบภายหลังว่าหนังสือนั่นคือการยอมรับระเบียบการปกครองแบบใหม่ของสยาม 2 หลังปล่อยตัวหะยีสุหลงจากเรือนจำนครศรีธรรมราช     หะยีสุหลงและลูกชายก็หายสาบสูญไปนับแต่นั้น       ร่ำลือกันว่าถูกอุ้มไปฆ่าถ่วงทะเลสาบสงขลา แต่ส่วนตัวยังไม่ค่อยจะเชื่อมากนัก    เพราะไม่มีหลักฐานอะไร     กรณีที่1นั้นรายาปัตตานีซึ่งเสียประโยชน์ก็เป็นธรรมดาที่จะอ้างว่าถูกหลอกให้เซ็น กรณีที่2นั้นไม่มีหลักฐานอะไรเลย    มีแค่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง ลองเข้าไปดูกระทู้ที่พูดถึงกรณีนี้ดูสิครับ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12452845/Y12452845.html http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12489344/Y12489344.html ในความคิดผมก็รับฟังไว้เป็นข้อมูล   แต่ยังไม่ปักใจเชื่อ     เพราะดูแล้วมีแต่ความผิดของรัฐบาล    คนจากทางการ  ที่เป็นคนผิด      มุสลิมใน3จังหวัดบริสุทธิ์ไม่มีความผิด      เป็นผู้เคราะห์ร้ายโดนกดขี่มาตลอด จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 20:03:55

ความคิดเห็นที่ 6 ค.ห.ที่ 4 ครับ ปืนนางพญาตานี โดนยึดไปในสมัยรัชกาลที่ 1 ครับ ไม่ใช่รัชกาลที่ 5ครับ จากการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 คงสร้างผลกระทบแก่บรรดาชนชั้นปกครองในเมืองตานีมากกว่าครับ แต่ถ้าไปค้าหาเอกสารดีดีจะพบว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านก็มีนโยบายให้ข้าราชกาารที่ไปปกครองหัวเมืองตานี จะต้องเรียนรู้ภาษามลายู เพื่อให้สื่อสารกับคนท้องถิ่นได้ครับ หากข้าราชการจากส่วนกลางสื่อสารได้ ขนาดอ่านเขียนได้ด้วย ก็จะได้เพิ่มเงินเดือนเป็นพิเศษขึ้นมาด้วยครับ ครั้งต่อมาก็น่าจะเป็นสมัย จอมพล ป. ที่เน้นนโยบายรัฐนิยม จนทำให้คนมลายูท้องถิ่นต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำรงชีวิตในหลายๆด้านซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมมลายูดั้งเดิม ตั้งแต่การแต่งตัว ตลอดจนการพูดจาสื่อสารในชีวิตประจำวัน จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 23:03:34

ความคิดเห็นที่ 7 ^ สมัยรัฐนิยมของจอมพลแปลกนั่น    ชาวมุสลิมภาคใต้เดือดร้อนเอามากเลยครับ       เพราะจอมพลแปลกมีนโยบายจะให้กลายเป็นไทยพุทธทั้งประเทศ    จึงพยายามให้มุสลิมทำกิจต่างๆของศาสนาได้ยาก    กฎหมายอิสลามที่เคยใช้ได้ก็ให้ยกเลิก    กดดันให้มุสลิมเปลี่ยนศาสนามาเป็นพุทธ    ทุกอย่างต้องเป็นแบบรัฐนิยมของท่านผู้นำทั้งหมด จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 23:16:54

ความคิดเห็นที่ 8 ตกลงเป็นเรื่องของคนในอดีต ที่นานแสนนานมาแล้วหรอครับ ถ้าใช่คงแก้อะไรไม่ได้ มีเรื่องอะไรใหม่ๆมั้งไหม ส่วนเรื่องกทม ปัตตานี คิดว่าการย้ายที่อยู่ในปัจจุบันสามารถทําได้ครับ อยากเป็นคนจังหวัดไหนก็ย้ายไปได้เลย ยุคนครรัฐจบสิ้นไปนานแล้ว หรือย้ายไปต่างประเทศก็ยังสามารถทําได้ วัฒนธรรม ศาสนา ตอนนี้ไม่น่าจะปัญหา ก็ดูเสรีกันสุดๆดี ถ้าในไทยแล้วเรื่องแบ่งชนชั้น ตอนนี้มีปัญหาน่าจะเรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่ใช่เชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนานะครับ แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 01:25:03 แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 55 01:24:18 จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 01:18:29

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าสรุปจากการเดาของผม ๑. คนพื้นที่ระดับบ้าน ๆ ทั่วไป ไม่ได้คิดอะไรมาก จะปกครองแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่เขาอยู่ดีกินดีก็จบ ถ้าลดปัญหาพวกสิ่งเสพติด หรืออะไรที่ผิดกฎหมายได้ ก็จะยิ่งดีใหญ่ ๒. คนระดับมีการศึกษาและยังมีความชาตินิยมใน "รัฐปัตตานีเดิม" พวกนี้แหละ จะคอยตั้งเงื่อนไขอยู่เสมอว่า รัฐบาลไทยจะต้อง "ให้" อะไรกับเขาบ้าง ซึ่งก็จะเห็นได้จากกระทู้ในห้องศาสนานั่นแล ๓. จะให้ก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ปัญหาที่น่าคิดก็คือ  "ขอบเขตความเหมาะสม" ในการขอและการให้มากกว่า ว่าจะอยู่ตรงไหนดี ? ถ้าจะรับอย่างเดียวโดยไม่ให้คนอื่นเลยแบบนี้มันก็เกินไปครับ ในเมื่อก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ถึงจะต่างวัฒนธรรมกันก็ตาม  ตรงนี้ผมไม่เคยเห็นคนที่เป็นนักวิชาการ ที่ยังมีความเป็นรัฐปัตตานีนิยม จะเคยเอ่ยให้เห็นสักครั้ง !!!!!!!!!!!! จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 09:07:41

ความคิดเห็นที่ 10 ๔.  สิ่งที่ผมก็อยากจะถามกลับไปยัง พวกผู้ก่อการตัวจริง ที่ไม่ใช่ลูกน้องคนขายยาเสพติด ไม่ใช่ลูกน้องคนขายของเถื่อน ไม่ใช่ลูกน้องคนค้าน้ำมันเถื่อน ..... ผมก็อยากถามว่า .... สมมติเมืองของคุณ กำลังโดนรัฐมหาอำนาจพยายามจะเข้ายึด เมืองขึ้นของคุณเมืองหนึ่ง เริ่มจะแสดงออกชัดเจนว่า กำลังขัดขืนอำนาจการปกครองเดิม และขอความช่วยเหลือไปยัง รัฐมหาอำนาจนั้น ให้มาจัดการกับเมืองของคุณ........... ถ้าคุณเจอสถานการณ์แบบนี้ คุณจะจัดการกับเมืองขึ้นของคุณ ที่เอาใจออกห่างอย่างไร ? เพราะสิ่งที่ พระยาวิชิตภักดี(อับดุลกอเดร) ได้มีจดหมายลับติดต่อกับ  Sir Frank Athelstane Swettenham ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำสิงคโปร์ เพื่อให้มากดดันรัฐบาลสยามในครั้งโน้น ก็จะสามารถตอบคำถามนี้ได้ดีครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 09:16:24

ความคิดเห็นที่ 11 แต่ไหนแต่ไรมา   ไทยปกครองแบบรัฐรวมศูนย์อำนาจ อยู่แล้ว คำว่า  กทม.คือประเทศไทย จึงไม่แปลก แต่เข้าใจได้ง่าย ล้านนาก็ดี  รัฐปัตตานีก็ดี  ได้ถูกผนวกเข้าไว้ภายใต้ อำนาจรัฐไทยมายาวนาน ซึ่งแต่ละแห่ง ย่อมมีอัตตลักษณ์อยู่แล้ว แน่นอน ปัตตานี ก็คือ มลายู  ซึ่งแน่นอนว่า ในความเป็นจริงปัจจุบัน ย่อมได้อานิสงค์จากเพื่อนบ้าน(มลายูเช่นกัน) จากลิงค์ คห.5 พบว่า... อำนาจนิยมรวมศูนย์การปกครอง ที่เข้าไปกระทำต่อ พื้นที่  ไม่ได้ยอมรับในอัตตลักษณ์ แต่ทำตรงข้าม เท่ากับ  กดขี่และสร้างแรงต้าน มากกว่า ร่วมมือ แถมด้วย ความอยุติธรรมซ้ำซาก จากท่าทีไม่ถูกต้อง แต่นโยบายเบื้องบนแล้ว   ทำให้ปัญหาบานปลาย  ตอกย้ำซ้ำเติม ความแปลกแยกระหว่าง อัตตลักษณ์ กับ การทำให้เหมือน ความเป็นไทย ตามทิศทางรัฐศูนย์กลาง  ตรงนี้แหละคือ การฝืนธรรมชาติมนุษย์ มาอย่างยาวนาน จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 09:17:29

ความคิดเห็นที่ 12 ๕.. มีความพยายามจะบอกว่าคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับเอกลักษณ์มลายู ผมก็อยากจะถามกลับว่า ไม่ยอมรับเรื่องอะไร ? ในเมื่อวัฒนธรรมหลาย ๆ อย่างของสยาม ก็น่าจะมีพื้นฐานมาจากวัฒนธรรมมลายูอยู่แล้ว เช่น ลิเก ฯลฯ  แล้วการที่พร่ำบอกว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมรับเอกลักษณ์ของมลายูนั้น จะจริงหรือ ?  ถ้าไม่ยอมรับจริง ไม่ยอมรับเรื่องอะไร ?  อยากจะให้พูดให้ชัดเจน ตรง ๆ ไม่ต้องอ้อมค้อมก็ได้ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 09:21:16

ความคิดเห็นที่ 13 เรียน คุณความเห็นที่ 6 ผมขอโทษทีครับ แก้ให้แล้วครับ เรียนตอบคุณ ผ้าพับไว้ ข้อที่ 5 แค่เลิก มองมุสลิมว่าป่าเถื่อน นั้นแหละครับคือการยอมรับอัตลักษณ์ (ผมหมายถึงบางคนน่ะครับ) ปล. คห.ผมข้างบน อาจแรงไปหน่อย ใครไม่พอใจ ขอกราบแทบเท้าประทานโทษด้วยครับ จากคุณ : ร่อนเร่ ณ ถนน เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 14:12:55

ความคิดเห็นที่ 14 # คุณร่อนเร่ ผมเกรงว่าจะไม่ใช่น่ะสิครับ เพราะเท่าที่หาข้อมูลมาได้บ้าง ผมมองว่าเอกลักษณ์ที่แท้จริงที่อยากให้ยอมรับกันก็คือวัฒนธรรมมลายูเสียมากกว่านะครับ ดูจากข้อเสนอที่มีมาตั้งแต่ยุคของ หะยีสุหลง จนมาถึงล่าสุด (ว่าที่)พรบ. ปัตตานีมหานคร พ.ศ. XXXX ทั้งนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมคนเดียวนะครับ ถ้าผิดพลาดต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 15:40:29

ความคิดเห็นที่ 15 เรื่องคนล้านนา ผมเคยไปอยู่เชียงใหม่เกือบสองปี (ผมเป็นคนอิสาน) ก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินว่า คนล้านนาเขาโกรธแค้นคนภาคกลาง (กรุงเทพ ฯ) อะไรนี่ครับ คิดไปเองรึป่าว รึโดนใครเขาหลอกมาครับ จังหวัดในภาคอีสาน ที่ไม่ใช่คนลาวแต่เดิม เป็นไทย และถือตัวว่าเป็นไทย ก็มีแต่เพียง นครราชสีมา จังหวัดเดียว คนโคราชมักเรียกคนอิสานจังหวัดอื่น ๆ ว่าลาว และคนอิสานจังหวัดอื่น มักเรียกคนโคราชว่า ไทย ไทโคราช คนอิสานจังหวัดอื่นกิน ข้าวเหนียว แต่คนโคราชกิน ข้าวจ้าว สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ก็เป็น เขมรป่าดง (ตามพงศาวดาร) นอกนั้นก็เป็นเมืองในประเทศ ล้านช้างร่มขาว ทั้งนั้น แล้วทำไมคนอิสานจึงไม่มีความคิดจะแบ่งแยกดินแดนบ้าง ตั้งเป็นประเทศ ล้านช้าง เพราะคนอิสาน ไม่ได้ยึดติดอยู่กับ คนในอดีตรึเปล่า สิ่งในอดีตรึเปล่า หรือเพราะคนสามจังหวัดภาคใต้นั้น ยึดติด หยุดนิ่งอยู่กับอดีต ไม่ได้คิดว่าตัวเองอยุ่ใน ยุคไหน ศักราชไหน แล้ว สมัยรัชกาลที่ ๔ เคยมีพระราชโองการสั่งห้ามเล่น ร้อง แสดง หมอลำในกรุง ในพระนครด้วยซ้ำไป ทำไมคนอิสาน คนลาวภาคอิสาน จึงไม่คิดว่า มันเป็นการ กดขี่ ทำไม คนอิสาน ถึงเข้ากับคนในภาคกลาง หรือ คนภาคอื่น ๆ ได้ ทั้ง ๆ ที่คนอิสาน เป็นคน เผ่าลาว เชื้อชาติลาว ทำไมการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก สยาม เป็น ไทย คนอิสานจึงไม่คิดว่า มันเป็นการกดขี่เชื้อชาติ ทั้ง ๆ ที่คนอิสาน ๑๖ จังหวัด มีมากกว่ากว่าคนภาคใต้สามจังหวัดหลายเท่านัก (ยกเว้น โคราช สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ) คนในสามจังหวัดภาคใต้ เคยคิด เคยมอง เปรียบเทียบดูในเรื่องเหล่านี้บ้างมั๊ยครับ แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 55 11:34:05 จากคุณ : คอแก้ง เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 16:58:51

ความคิดเห็นที่ 16 วัฒนธรรมของคนอีสาน ก็คล้ายๆกับ คนภาคกลาง และ ภาคเหนือ แต่ แตกต่างโดยสิ้นเชิง ระหว่าง 3 จังหวัดชายแดนใต้ กับ ภาคใต้ส่วนอื่นๆ และ ภาคใต้ ก็ แตกต่าง กับ ภาคกลาง อีสาน เหนือ สำเนียงภาคใต้ ก็ไม่เหมือน กับ ภาคกลาง อีสาน เหนือ  ผมใช้คำว่า สำเนียง นะครับ จากคุณ : petepoo เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 19:32:04

ความคิดเห็นที่ 17 ด้วยความเคารพในทุกความคิดเห็นนะครับ หากเอาเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรม ผนวกกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มาโยงเข้าหาการเมือง การปกครอง ยุคปัจจุบัน มันจะยุ่งเหยิงครับ จะเอาประวัติศาสตร์ช่วงไหนมาเป็นเกณฑ์ในการอ้างอิง หากผมจะอ้างเอาประวัติศาสตร์ยุคลังกาสุกะ ที่คนลังกาสุกะหรือปัตตานีเดิมนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ฮินดูมาอ้างบ้าง ตอนที่พญาอินทิรา เปลี่ยนศาสนามาเป็นอิสลามตามที่รับปากกับเช็คสะอิด แล้วบังคับให้ชาวเมืองทั้งหมดเปลี่ยนศาสนาละครับ หรือเอาประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคหิน ที่มีการขุดพบขวานหิน ลูกปัดหินในถ้ำต่างๆ ที่ยะลา ยิ่งแล้วใหญ่เลย ไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีศาสนา ไม่มีภาษา ไม่มีวัฒนธรรม ทุกคนเหมือนกันหมด ตกลงจะเอาประวัติศาสตร์ช่วงไหนดี ใครเป็นคนตัดสิน ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งคือชีวิตผมที่มีเลข ๕ นำ เกิดและโตในพื้นที่ มีเพื่อนที่เป็นทั้ง กู หรือ นิ เยอะแยะไปหมด หลายคนคบค้าสมาคมกันตั้งแต่รุ่นทวด รุ่นปู่ มาจนรุ่นผม เราไม่เคยรู้สึกแตกแยกแบ่งแยก ทั้งๆที่ชนชั้น กู หรือ นิ คือเชื้อสายเจ้าเมืองเก่า แต่ไม่เคยแสดงอะไรให้เห็นถึงความน้อยเนื้อต่ำใจที่สูญเสียอำนาจทางการปกครอง เพื่อนผมเหล่านี้ไม่เคยดูถูกศาสนาพุทธ ไม่เคยดูถูกเพื่อนที่นับถือศาสนาพุทธ ในขณะเดียวกันพวกเราที่เป็นพุทธ ก็ไม่เคยดูถูกศาสนาอิสลาม ไม่เคยดูถูกเพื่อนที่เป็นมุสลิม เวลามีงานของครอบครัวเรา เพื่อนมุสลิมก็มาร่วม ไม่เว้นแม้แต่งานบุญ เวลาเพื่อนมุสลิมมีงาน พวกเราก็ไปร่วมด้วย ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ น่าจะเกิดกับพวกผมที่เป็นชาวพุทธมากกว่าด้วยซ้ำ เพื่อนมุสลิมสามารถใช้สิทธิมุสลิม ๓ จังหวัดภาคใต้ สอบแข่งขันเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดัง ตลอดจนสถาบันการศึกษาทุกเหล่าทัพ สอบแข่งขันกันเองไม่กี่คน ในขณะที่พวกผมต้องสอบแข่งขันกับคนอื่นทั่วทั้งประเทศ เพื่อนฝูงผมเหล่านี้ปัจจุบัน กลับมาดำรงตำแหน่งหน้าที่ระดับหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ทั้งสิ้น จึงอยากขอร้องครับ อย่าเอาเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรม ไปผนวกกับประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอน เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง การปกครองเลยครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 19:42:47

ความคิดเห็นที่ 18 ผมก็คงคิดไปเองจริงๆแหละครับ อย่างที่คุณความเห็นที่ 15 บอก เพราะคนเหนือเรียก "สำเนียงไทยภาคกลาง" ว่า "ภาษาไทย" และเรียกสำเนียงล้านนาว่า "คำเมือง" ในขณะที่ คนใต้ เรียก "สำเนียงไทยภาคกลางว่า "ภาษากลาง" และเรียกสำเนียงถิ่นใต้ว่า "ภาษาใต้" ผมเป็นคนพื้นถิ่นใต้ มาอยู่ภาคเหนือ ผมมีความสุขกับการเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นล้านนามากครับ (เรียนด้านนี้) ผมมีแฟนเป็นสาวเชียงใหม่ด้วย ผมจึงชอบฟังเพลงของคุณจรัลมาก (แฮะๆ นอกเรื่อง) เป็นอันว่าผมคงฟังแนวคิดจากพวกอาจารย์สายวัฒนธรรมศึกษาแบบสุดโต่งเกินไป ต่อไปนี้ผมจะค่อยๆ ทำความเข้าใจ และไม่เข้าข้าง พี่น้อง 3 จังหวัดจนเกินไปแล้วนะครับ จากคุณ : ร่อนเร่ ณ ถนน เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 22:02:40

ความคิดเห็นที่ 19 ที่บอกคนเหนือ คิดยังไงกับคนกรุงเทพ พูดตรงๆนะครับ ผมว่าเพิ่งจะมาคิดเอาช่วง 3-4 ปีนี้นะแหละ เมื่อก่อน ไม่ได้คิดอะไรหรอก จากคุณ : Niceguy_C3 เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 23:40:52

ความคิดเห็นที่ 20 ต่างสําเนียงไม่ใช่ภาษา ต่างวัฒธนรรมไม่ต้องระดับภาคเหนือใต้แค่ในจังหวัดยังมีความต่างแล้ว ยกเว้นไปอยู่ในป่าน่าจะทําได้ไม่มีต่างวัฒนธรรม ต่างเชื้อชาติคนภาคกลาง กรุงเทพเนี้ยนะ กรุงเทพนี่เมืองใหม่นะ ตามมาตรฐานคนในกรุงเทพก็คือเกณท์มาจากเมืองต่างๆ สําเนียงกรุงเทพก็ถือเป็นสําเนียงใหม่ เพราะเอาคนจากที่ต่างๆมาอยู่รวมกันนั้นละ ภาคกลางๆๆๆไม่แน่ใจว่าภาคกลางนี่เริ่มเมือไร เคยได้ยินว่าเป็นทะเลมาก่อน 3จังหวัดนั้นไม่ใช่ว่าเคยเป็นพุทธมาก่อนหรอ เชื้อชาติคนที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่มีพวกเลือดแท้ด้วย???? ที่มั่นใจว่าไม่เคยแต่งงานกับคนต่างถิ่นด้วยหรอ ช่วยระบุมาเลยไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่ามีผมต้องขอบคุณมากจริงๆ ดินแดนแห่งคนเลือดแท้มีจริงๆหรอ จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 23:43:42

ความคิดเห็นที่ 21 ด้วยความเคารพเช่นกัน เคยสงสัยมานานแล้วเหมือนกันว่า จริงหรือที่คนกรุงเทพไม่ยอมรับอัตลัษณ์ของคนภาคใต้ เพราะเห็นถกเรื่องนี้กันทีไร ก็ต้องมีเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ได้มีความรู้ความเชี่ยวชาญอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ขอเล่าเรื่องเล็ก ๆ ที่ได้เห็นแล้วกัน เมื่อไม่นานมานี้ ขึ้นรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนหนึ่งร่วมขบวนด้วย เมื่อรถไฟจอดที่สถานีถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นรามคำแหง ก็มีขบวนเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ที่แต่งกายอย่างคนมุสลิม กลุ่มใหญ่ขึ้นมา  ดูก็รู้ว่าคงมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งคงมาทัศนศึกษากัน ปรากฏว่าคนไทยทั้งผู้ชายผู้หญิงสละที่นั่งให้เด็กโดยพร้อมเพียงกัน แทบจะเรียกว่าอัตโนมัติ โดยไม่มีใครสนใจว่าเด็ก ๆ เหล่านี้ไม่ได้พูดภาษาไทยกลางด้วยซ้ำ ที่ตลกที่สุดก็คือพอมองหน้านักท่องเที่ยวชาวตะวันตกชายหญิงสองคนที่นั่งอยู่แล้วมีเด็ก ๆ มุสลิมมานั่งข้าง ๆ   เห็นได้เลยว่าทั้งคู่อึดอัด อยากบอกคนที่เรียกร้องให้คนไทยส่วนอื่นของประเทศ "ยอมรับ"และ"เข้าใจ" ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา ของคนใต้ว่า คนไทยจำนวนไม่น้อย "เข้าใจ" และ "ยอมรับ" คุณ แล้วก็อยากถามเหมือนกันว่า แล้ว คุณล่ะ "ยอมรับ" และ "เข้าใจ"  คนที่แตกต่างจากคุณบ้างหรือไม่ จากคุณ : tomatolatte เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 23:52:57

ความคิดเห็นที่ 22 โอ้ยยยยยยย คนกรุงเทพนะเหรอครับ หาเช้ากินค่ำ ชักหน้าไม่ถึงหลังกันซะส่วนใหญ่ เดินทางไปทำงาน ไป กลับ 4 ชม สูดควันดำ แดดร้อน เหงื่ออก ครีมย้อย โดนกระแทก  ดดนเจ้านายด่า ขึ้นรถไฟฟ้า  น่าอิจฉาเนาะ แต่ก็ไม่ได้ขึ้นฟรีนะครับ แถม rush hours ก็รอไปซิ ขบวนที่ 1 ไม่ได้ รอ ไปอีก สถานี คนแน่น แถมที่ สยามนี่ไม่ต้องพูดถึง อัดกันซะ หาเพื่อนทาง facebook คุยกะเพื่อนบน facebook เพราะเพื่อน จริงจริง มันก็ยุ่งอยู่กะปัญหาของมัน ผ่อนนู้นนี่นั่น ตื่นตี 5 ถึงบ้าน4 ทุ่ม นั่งอยู่ในรถจนเป็นตะคริว  ถนน ขยายแล้วขยายอีก ยังไม่พอ ออกไป seven eleven ทีมีไม่ต่ำว่า 100 วันศุกข์จะไป drink คนที่มีรถก็เอารถไปไม่ได้  พอเมามากมาก เรียก taxi หลายต่อหลายคันมานนน ก็ไม่จอด ผมถามจริงจริง คนกรุงเทพอย่างพวกผม มันจะมีปัญญา เอาเวลาที่ไหน มีโกรธมาเกลียดใคร แค่เอาตัวรอดเรื่องงานเรื่องเดินทาง เรื่องปากท้องไปวันวัน ก็จะเดี้ยงอยู่แล้ว  ไม่ว่างจะเกลียดใครหรอกครับ เกลียดก็ไม่มีปัญญาทำอะไร ต้องรีบนอน เด้วตื่นสายไปทำงานสาย พัง พังพัง  คน กทม ไม่อยากรบราฆ่าฟันกะใคร  เพราะแค่ต้องรบกับตัวเอง ก็เหนื่อยหอบแตกหอบแตนไปหมด อยากให้พวกคุณเค้าใจบ้าง ทำไมหนอ ชอบเอาความเป็น คน กทม ไปอ้างนู้นนี่นั่น  หรืออาจจะเป็นเพราะว่าคุณรู้ว่าเราไม่มีเวลาเถียง เอาเป็นจุดอ่อน อู้ยยยย เเพะตัวนี้มันน่า หล่าวหาดีแท้  จัดเต็มซะหน่อย แล้วเรื่องเชื้อชาติเนี่ย ขอร้อง อย่ามาอ้าง  เดินกันเป็น ล้านล้านหัวดำไปหมดจนจะเป็นลมเนี่ย ผสมกันต้องกี่สายพันธุ์ เดินกัน นั่งกินอาหารกัน มีต้องกี่ศาสนา คำทำมาหากินเค้าก็ทนกันได้นิครับ ไม่เห็นมีใครมีเรื่องอะไร ไอ้พวกว่างนี่แหล่ะ ชอบนัก มาสะกิดติ่ง  ผมรักคนใต้ รักคนเหนือ รักหมดแหล่ะ แยกไม่ออกหรอกใครมาจากไหน  ไม่มีเวลาเกลียดใครครับ อ้อ ขอเติมอีกนิด  เกลียดกัน แล้วมันเหนื่อยนะครับ ไม่เหนื่อยเหรอ ใครทำไรทำเลยครับ อย่าให้คนอื่นเดือดร้อน อย่าเอาคนนู้นคนนี้มาอ้าง อะไรมีความสุขในทางที่ไม่ไปทับคนอื่นทำ จะพูดสำเนียงไหน จัดเต็มเลย จะนับถือศาสนาไหนก็เชิญ  จะไม่นับถืออะไรเลยก้ได้ อย่าดูถูกกัน อย่าตัดสินกัน แล้วถ้าว่างก็ หาอะไรทำ  หา product เก่ๆ ทำการตลาดดีดี ส่งออก  เลิก เลิก เลิก เน้นแต่เรื่อง ขาย  การขาย หากำไรได้แค่ short term ทำการตลาดนะครับ โหยยยย มีอะไรให้ทำมากมาย (ความจริงผมก็ไม่ได้ไป เบียดเสียดอะไรกะใครหรอก ผมโชคดีหน่อย บ้านอยู่ในเมือง และทำงานที่บ้าน แต่ผมก็พูดแทน ชาว กทม เท่าที่ผมเห็น) แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 55 02:39:03 จากคุณ : tinglee tingamee เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 02:32:21

ความคิดเห็นที่ 23 ไม่จบครับไม่จบ ยิ่งสมัยนี้ ฝนตก แต่ต้องแต่งตัวไปทำงาน  หลังเลิกงาน รถติดมากกลับบ้านไม่ได้ต้องไปแช่อยุ่ใน ยิม ซักผ้า ก้หาแห้งได้ง่ายๆไม่  ลมก็ไม่มี ชุดยิมก็ต้องให้มั่นใจว่า ไม่มีกลิ่นอับ เสื้อผ้าทำงานก็เช่นกัน ที่พูดมาทั้งหมดนี้ หวังว่้าท่านคงเข้าใจบ้างว่า  คน กทม หน่ะ เค้าไม่มีศักยภาพในการเกลียดใครหรอกนะครับ แค่กับตัวเองก็ บ๊อง กิน ไปแล้ววันละ 37 ชั่วโมง เหนื่อย จากคุณ : tinglee tingamee เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 12:49:47

ความคิดเห็นที่ 24 ความคิดเห็นที่ 15 คนมุสลิม จะอยู่สบายๆครับถ้าอยู่แต่ภาคใต้ แต่จะลำบากมากขึ้นถ้าต้องมา กทม หรือจังหวัดที่ไม่มีมุสลิม อยู่ลำบากจริงๆครับ แก้ไขเพิ่มผม ไม่ใช่ มุสลิมนะ แต่เพื่อนมุสลิมเยอะเลยเห็นความลำบากของเค้า แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 55 16:38:26 จากคุณ : เด็กขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 17:28:31

ความคิดเห็นที่ 25 ^ ^ ย้ายไปที่อื่นก็ต้องไม่สะบายเท่าที่บ้านอยู่แล้วครับ แล้วดูมุสลิมยิ่งนาน ก็จะยิ่งกระจายไปทั่ว ดูเป็นศาสนาที่เข้มแข็งดีนะ ไม่ต้องห่วงเลย ยิ่งมุสลิมย้ายถิ่นก็ยิ่งส่งเสริมศาสนาเค้าซะอีก แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 55 18:44:34 จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 18:36:42

ความคิดเห็นที่ 26 ความเห็นที่ 24 ครับ การย้านถิ่นฐาน มานก็ต้องมีการปรับตัว ครับ ปรับให้เข้ากับคนหมู่มาก ไม่ใช่ปรับให้คนหมู่มากมากทำตามเรา ปรับยอมรับ สภาพ ผมไปประชุมที่ประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ผมเป็นพุทธ  ผมยังทำทุกอย่างเพื่อแสดงความเคารพ และความเกรงใจ เจ้าของประเทศเลย มันเป็นเรื่องปกติ แล้วผมก้ไปมาหลายที่ ทุกที่คือการปรับตัว อย่าง กทม เนี่ย อยากให้คนต่างถิ่นมองด้วยความเข้าใจ บ้าง  เหนคน ตจว มา กทม ได้ไม่กี่วัน ร้อง ยี้ ไม่น่าอยู่  ก็นั่นแหล่ะครับ คน กทม ไม่ว่าจะศาสนาไหนก็เถิด ต้องทนอยู่ สงสารกันบ้าง คน กทม ไม่มีเวลาจะอะไรแล้วครับ แค่กับชีวิตตัวเองแต่ละวัน ก็แทบใกล้บ้าแล้ว  เพราะฉะนั้นใครเข้ามาใหม่ อย่าอะไรมากเลยครับผมว่า ก็อยู่กันไป หาจุดที่สร้างรอยยิ้ม ให้กันและกัน และอย่าไปยุ่งไปรบกวน กันและกันเป็นพอ   เพราะใน กทม เนี่ย นอกจากจะมี มุสลิม ที่มีเยอะมากมาย ไมใช่ของใหกม่ของ กทม เลย  เรายังมีคริสต์ พุทธ  ฮินดู มีคนบ้าผี คนอวดผี  คนทรงเจ้า คนเชื่อเทพ ฮินดู และคนเชื่อเทพฮินดู ที่ดันมีความเห็นไม่ลงรอยกันอีก ว่า เทพองค์ไหนใหญ่กว่าองค์ไหน  บางคนก็เป็นทุกศาสนา แล้วก็ยังมีชุมชนชาวซิกข์อีก แล้วยังี ฮาเรกฤษณะ อีก หลายนิกาย หลายศาสฯา ทั้งหมดนี้ คือ กทมคือ พหุสังคม ไม่มีใครเด่นกว่าใคร พยายามเด่นก็ไม่เด่นไปกว่าที่เป็น พยายามไม่เด่น เด้วก็เด่น ตามสถานการณ์ ก้เห็นทุกศาสนา เนี่ย พอวันศุกข์ วันเสาร์เนี่ย ก็นั่งกินเหล้า กิน wine กันได้นิครับ เมาปลิ้น ไม่เห็นมีใครว่าไรใคร กลับบ้านตัวเองให้ได้เป็นพอ จากคุณ : tinglee tingamee เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 55 19:09:50

ความคิดเห็นที่ 27 คคห ๒๔ อาจจะกังวลเรื่องมัสยิดสำหรับปฏิบัติศาสนกิจ หรือเรื่องอาหารการกิน แต่ลองมานั่งรถตระเวนดูใน กทม.สักครั้งครับ จะพบว่าไม่เป็นอย่างที่คุณคิดครับ ถ้าเดินทางด้วยเครื่องบินลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ นั่งรถเข้าเมือง ๒ ข้างทางจะเห็นมัสยิดสวยหรูเต็มไปหมด ออกไปทางมีนบุรี หนองจอก เป็นชุมชนมุสลิม ใจกลางเมืองย่านราชเทวี กิ่งเพชร บรรทัดทอง เป็นชุมชนมุสลิม ไปย่านสีลม บางรัก มีมัสยิด ฯลฯ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 10:37:28

ความคิดเห็นที่ 28 แถวถนนตก มัสยิดมี 3 แห่ง เวลาหน้าหนาว ตี 5 จะได้ยินเสียงเรียกให้ละหมาด แถวมเหศักข์ บริเวณเล็กๆ มัสยิดใหญ่ มาก มี 5-6 แห่ง  เวลาเรียกละหมาด เหมือนเดินอยู่ใน ดูไบ 5 ครั้งต่อวัน  ความรู้สึกคนศาสนาพุทธอย่างผมเหรอครับ ชอบมาก เก๋ รู้สึก international ดี จากคุณ : tinglee tingamee เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 13:11:55

ความคิดเห็นที่ 29 อีกมุมมองครับ ผู้การปัตตานี...ใต้ป่วนเพราะส่วนตัวกับผลประโยชน์! พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธุ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี (ผบก.ภ.จว.ปัตตานี) อรรถาธิบายถึงเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ช่วงปลายเดือน ก.ค.ต่อเนื่องถึงต้นเดือน ส.ค.2555 ซึ่งเป็นช่วงเดือนรอมฎอน ในวงเสวนาเล็กๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์จัดขึ้นที่ ม.อ.ปัตตานี เมื่อสายๆ วันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ต.พิเชษฐ์ เป็นนายตำรวจมุสลิม บ้านเกิดอยู่ที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี จึงนับเป็นคนพื้นที่แท้ๆ ภาษาถิ่นเรียก "ลูกที่" ทั้งยังนั่งเก้าอี้ผู้การปัตตานีมาตั้งแต่ ก.ย.2552 ฉะนั้นมุมมองของเขาเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้จึงนับว่าน่าสนใจ ทั้งในภาพรวมสถานการณ์ชายแดนใต้ เบื้องหลังของแต่ละเหตุการณ์ และมูลเหตุโหมไฟความรุนแรงในทัศนะของเขา "จริงๆ เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัตตานีมีน้อยกว่าอีก 2 จังหวัดมากเลย เพิ่งมีเหตุใหญ่ระยะหลังนี้เอง คือยิงทหาร 4 ศพ (วันเสาร์ที่ 28 ก.ค.) ส่วนคาร์บอมบ์ที่โรงแรมซี.เอส.ปัตตานี (31 ก.ค.) ก็เคยเกิดมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2551 จับผู้ต้องหาได้ 2 คน คดีที่เกิดมากจริงๆ คือคดียิง โดยเฉพาะในเดือนรอมฎอน คนร้ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมายิงตอนกลางคืน เพราะทุกคนต้องตื่นมาทานข้าว อยู่จนดึก ตี 5 นอน แล้วออกไปปฏิบัติภารกิจตอนเย็นและค่ำ แต่เหตุยิงก็มีเรื่องส่วนตัวเยอะ โดยใช้กองกำลังที่ก่อเหตุอยู่ทุกวันด้วยการจ้างยิง มีความขัดแย้งระหว่างกำนันผู้ใหญ่บ้านหรือนักการเมืองท้องถิ่นก็จ้างยิง เพราะในพื้นที่รู้จักกันหมด พอยิงปั๊บ ตำรวจตรวจปลอกกระสุน พบยิงมา 10 ครั้ง เป็นเรื่องความมั่นคง ฉะนั้นมันแยกไม่ออก จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 17:36:22

ความคิดเห็นที่ 30 สีมองไม่ชัดครับ ขอขึ้้นข้อความใหม่ แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 55 17:41:55 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 55 17:40:53 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 17:40:06

ความคิดเห็นที่ 31 ยาเสพติดก็เหมือนกัน ขัดแย้งกันก็จ้างยิงอีก ตรวจปลอกกระสุนก็เคยก่อคดีความมั่นคงมาแล้ว มันแยกไม่ออก ที่ อ.แม่ลาน กับ ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ (ทั้งสองอำเภออยู่ใน จ.ปัตตานี) วันหนึ่งพี่น้องไทยพุทธถูกยิง 2 ศพช่วง 2 ทุ่มกว่าที่แม่ลาน เจอของกลางเป็นปลอกกระสุนลูกซองและอาก้า 4 ปลอก ต่อจากนั้นอีก 2 วันในเขตหมู่บ้าน ยิงร้านน้ำชาของพี่น้องมุสลิมที่ควนโนรี คนแก่เสียชีวิต 2 ศพ บาดเจ็บ 4 คนร้ายใช้อาก้ากราดยิง พอถัดอีกวันก็ปาระเบิดร้านน้ำชาไทยพุทธที่แม่ลาน ส่วนที่ อ.ปะนาเระก็เหมือนกัน (อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เป็นพื้นที่ที่เกิดเหตุยิงรายวันบ่อยครั้ง) เชื่อว่าเป็นเหตุส่วนตัว เพียงแต่ไม่รู้ว่าอะไร ตอนนี้ทุกคดีคนอยากให้ตำรวจสรุปว่าเป็นคดีความมั่นคง ไม่อยากให้บอกว่าเป็นเหตุส่วนตัว เพราะจะได้รับเงินเยียวยา 5 แสนบาท ถ้าตำรวจสรุปว่าส่วนตัวจะไม่ได้รับเงินเยียวยา การลงนามรับรอง 3 ฝ่าย (รองรับว่าเป็นเหตุการณ์ความมั่นคง ต้องลงนามร่วมกันทั้งฝ่ายตำรวจ ทหาร และปกครอง) ยากที่สุด บางคดีใช้เวลาเป็นปีๆ บางคดีทนไม่ไหวก็ต้องลงว่าเป็นความมั่นคง เพราะผู้เสียหายไม่ยอม ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าไม่ใช่ นี่คือสาเหตุที่เราไม่สามารถแยกได้ว่าคดีนี้เป็นคดีความมั่นคง คดีนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ทุกอย่างเขาอยากให้เป็นเรื่องความมั่นคงหมดเลย ถ้าไม่ยอมเซ็นเขาก็ด่าผมทุกวัน หลักฐานมีเขาก็ไม่บอก ถ้าบอกเขาก็ไม่ได้เงิน ยาเสพติด เรื่องส่วนตัวจ้างยิงทั้งนั้น ความขัดแย้งในปัตตานีสูงมาก กำนันผู้ใหญ่บ้าน การเมืองท้องถิ่นก็เลี้ยงพวกนี้ไว้ (หมายถึงเลี้ยงกลุ่มติดอาวุธ) ทุกคนรู้จักว่าใครเป็นโจรในพื้นที่ ส่วนเรื่องระเบิดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องความมั่นคงแน่นอน แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 55 17:44:57 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 17:43:56

ความคิดเห็นที่ 32 อย่างเหตุการณ์ยิงทหาร 4 ศพที่มายอ การข่าวรู้ล่วงหน้า แต่ไม่รู้จุด เรารู้ว่าจะต้องเกิดเหตุตั้งแต่เขาปล้นรถบรรทุกไก่ด้วยการปลอมเป็นทหารแล้วเรียกตรวจ จากนั้นก็ยิงตายคนส่งไก่ตายแล้วชิงรถไป (เหตุเกิดเมื่อ 25 มิ.ย.2555 ที่ ต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี) และรถคันนี้ก็ใช้เป็นพาหนะในการยิงทหารที่มายอ คดียิงทหารเราจับคนชี้เป้าได้แล้ว พี่ชายของคนนี้ก็ถูกจับเมื่อปี 2551 ทั้งหมดที่ปรากฏในคลิปวีดีโอที่บันทึกได้จากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด เรามีชื่อและภาพถ่ายในสารบบทุกคน รถกระบะคันแรก (จาก 3 คันที่ก่อเหตุ) กลุ่มคนที่มาในรถเป็นกลุ่มปล่องหอย (ต.ปล่องหอย อ.กะพ้อ) เคยก่อเหตุยิงกำนันเตราะบอน อ.สายบุรี (จ.ปัตตานี) คดีนี้โชคดีที่เราจับภาพได้ ถ้าเป็นพยานบุคคลบอกได้เลยว่าเขาไม่ช่วย เขาบอกผมได้ว่าใครเป็นคนทำ แต่เวลาสอบสวนเขาไม่เอา เพราะสอบแล้วต้องขึ้นศาล เมื่อขึ้นศาลก็ต้องเผชิญหน้ากับคนร้าย กลับบ้านก็ตาย แม้เราจะมีมาตรการคุ้มครองพยานแต่ก็ยาก เพราะต้องย้ายออกจากพื้นที่ วิถีชีวิตต่างกัน ที่สำคัญเขากลับพื้นที่เมื่อไหร่ก็ตายทุกราย ในทางการสืบสวนเรารู้หมด แต่ถ้าให้สอบปากคำเป็นพยานเขาไม่เอา ทำให้คดีถูกศาลยกฟ้อง ปัญหาอยู่ตรงนี้ เคยเสนอศาลไปว่าต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าบนศาล แต่ทางศาลบอกไม่ได้ มันเป็นระเบียบของศาลฎีกา จริงๆ แล้วถ้าพยานไม่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ต้องหา จะจับคนร้ายได้อีกเยอะ สำหรับเหตุระเบิดที่โรงแรมซี.เอส.ปัตตานี ยอมรับว่าเป็นเป้าหมายที่คาดไม่ถึงจริงๆ วันนั้นเป็นวันที่ผู้ว่าฯเชิญพี่น้องประชาชนไปที่จวน รถเข้ามาเยอะมาก และเผอิญกล้องวงจรปิดที่โรงแรมเสียด้วย ถือเป็นความบังเอิญ และคนร้ายอาศัยจังหวะคนเยอะ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 17:47:42

ความคิดเห็นที่ 33 กลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุเรารู้ตัวแล้ว เคยก่อเหตุระเบิด 30 กว่าจุดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และวิสามัญฯได้ที่บาราเฮาะ (อ.เมืองปัตตานี) จับได้ 1 คน ตามไปค้นบ้านเจอวัตถุระเบิดต่างๆ ประกอบไว้แล้ว 6 ชุดด้วยกัน ใช้เครื่องวิทยุมือถือจุดชนวน พื้นที่ตรงนี้ต้องสร้างความเข้าใจให้มากๆ เพราะต้นเหตุเป็นเรื่องความรู้สึกของประชาชนซึ่งแก้ยาก ต้องใช้ความเข้าใจ และใช้กฎหมายให้เป็นประโยชน์จริงๆ ต้องจับตามกฎหมาย ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต้องฟ้อง ป.วิอาญา (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา) ให้ได้ เพราะถ้าจับตาม พ.ร.ก. (พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) เขาไม่กลัว จับไป 10 วันก็ต้องปล่อย แต่ถ้า ป.วิอาญา เขาลำบาก ต้องประกันตัว ต้องถูกควบคุมตัว ฉะนั้นต้องใช้ ป.วิอาญา ต้องมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์รองรับสนับสนุน สถานการณ์ในภาพรวมจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มีเหตุรุนแรงเป็นช่วงๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่เข้าใจ เราต้องกดดันไอ้พวกนี้ (หมายถึงกลุ่มติดอาวุธ) เขาขยายขึ้นมาไม่รู้ว่าเป็นใคร คนมีชื่อเก่าๆ มันหายไปหมดแล้ว หายอย่างไรก็ไม่ทราบ นี่เกิดขึ้นใหม่ เราไม่ทราบว่าเป็นใคร ส่วนเรื่องเผาโรงเรียน (เพิ่งเกิดเหตุเผาโรงเรียนบ้านกูวิง หมู่ 1 ต.สาคอใต้ อ.มายอ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 1 ส.ค. หลังเหตุคาร์บอมบ์โรงแรมซี.เอส.ปัตตานี และเหตุยิงทหาร 4 ศพที่มายอ) มีข้อสังเกตก็คือเผาแต่ตึกเก่าๆ เท่านั้น ตึกใหม่ๆ ไม่เคยเผา พอเผาแล้วก็สร้างใหม่ เหมือนกันหมดทุกท้องถิ่น คิดเอาเองก็แล้วกันว่าเรื่องอะไร" http://www.isranews.org/south-news/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%99/67-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89/15788-2012-08-16-05-14-09.html จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 17:52:34

ความคิดเห็นที่ 34 ถ้าสรุปจากท่านผู้การ มุมมองของท่านคือ ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่นั่นแล เป็นตัวก่อปัญหา จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 17:54:27

ความคิดเห็นที่ 35 อ่านไปบางช่วงนะคะ ตาลาย ยอมรับว่าข้อมูลประวัติศาสตร์เหล่านี้ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ แต่การฆ่าคนอื่นหรือทำยังไงก็ได้เพื่อให้ได้อิสรภาพหรือข้อเรียกร้องของตัวเอง ก็ไม่เห็นด้วย วิธีที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมมีอีกตั้งเยอะแยะที่ไม่ต้องสูญเสียชีวิตและได้ผล ก็มีให้เห็นแล้วในอินเดีย วิธีอหิงสาของมหาตมะคานธี หรือประเทศเพื่อนบ้านเราพม่า สันติวิิธีของ ออง ซาน ซูจี ซึ่งอาจจะใช้เวลานานซักหน่อยแต่ได้ผล การไม่เห็นคุณค่าของชีวิตผู้อื่น หากต้องการอะไรก็ต้องออกมาเข่นฆ่ากันแบบนี้ ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ ไปฆ่าพ่อ แม่ พี่ น้องเค้า เพื่อเรียกร้องเอกราช ถ้าญาติๆ ลูก หลานเค้ากลับมาแก้แค้น อ้างเรียกร้องความยุติธรรม เป็นวงจรอุบาทว์ แล้วเมื่อไหร่จะจบสิ้น มีแต่สูญเสียและอาจจะไม่ได้ผลด้วย ปล. ความเห็นส่วนตัวนะคะ อารมณ์ล้วนๆเลยค่ะ^^ จากคุณ : B*wiki เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 20:18:08

ความคิดเห็นที่ 36 อยากให้มองว่า คนมลายูมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดนั้น เมื่อพิจารณาทั้งประเทศ คิดเป็นไม่กี่%หรอกครับของประชากรทั้งประเทศ แต่เมื่อพิจารณาในพื้นที่ 3 สามจังหวัดแล้ว เขาหล่านั้นคือประชากรส่วนใหญ่ มากกว่า 80% และเมื่อมองรวมประชากรในเอเชียอาคเนย์แล้ว เชื้อชาติมลายูมุสลิม ก็มี % มากที่สุดอีกเช่นกันครับ อ่านจากหลายความคิดเห็น หลายคนมองว่า ชาวมลายูในพื้นที่ ไม่ยอมปรับตัว ไม่พยายามทำความเข้าใจกับคนส่วนใหญ่ในประเทศ แต่เมื่อมองกลับกัน ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ เข้าใจ และเรียนรู้วิถีชีวตของชาวมลายูมากน้อยแค่ไหน  บางคน (และอีกหลายๆคน) ยังแยกแยะระหว่าง "อิสลาม" และ "มุสลิม" ไม่ถูกต้องเลยครับ บางคนก็เข้าใจแค่ว่า มุสลิม คือคนที่ไม่กินหมู ไม่กินเหล้า มีเมียได้ 4 คน ต้องละหมาด ต้องถือศีลอด ผู้หญิงต้ิองคลุมผ้าคลุมศรีษะ ผู้ชายต้องขลิบ ก็เท่านั้น ในอิสลาม มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย เราในฐานะเพื่อนต่างศาสนิกกับเขาที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในสังคม ก็ต้องพยายามเรียนรู้และทำความเข้าใจเขาตรงจุดนี้ด้วยครับ อาจจะมองดูว่าผมมุ้งเน้นถึงเรื่องความแตกต่างทางศาสนา ผมก็ไม่ปฏิเสธนะครับ เพราะมลายู มาคู่กับ อิสลาม และอิสลามก็ถือเป็นแนวทางและวิถีชิตของคนมลายูอย่างแยกกันไม่ได้ เราไม่สามารถที่จะพูดถึงมลายู โดยที่ไม่เข้าใจถึงอิสลาม และแนวคิดต่างๆของเขาได้ครับ และที่ข้างบนไปเปรียบเทียบและมองว่าทำไมคนทางเหนือ ทางอีสาณ ทั้งๆที่ตามประวัติศาสตร์ก็ถูกกลืนมาเหมือนกันนั้นไม่ได้เดือนร้อนอะไรไปด้วยนั้น ก็เพราะอย่างน้อยหลังจากถูกมารวมเข้ากับสยามแล้ว เขาแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอะไรมากนัก เขาเป็นคนพุทธ ก็ยังเป็นคนพุทธเหมือนเดิม เขาพูดภาษาถิ่นก็ยังคงพูดได้ คนสยามจากที่อื่นๆก็ยังสื่อสารกันได้กับเขา  แต่ในสามจังหวัดนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย วิถีมลายูมุสลิม แตกต่าง กับวิถีพุทธ และเรื่องที่ผมมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่แตกต่างกันก็คือ "ภาษา" คนเรา ถ้าพูดจาคนละภาษา ก็เหมือนมาจากดาวคนละดวง ไม่เข้าใจกัน ลองดูนะครับ สมมุติเราไปเที่ยวลาว เราสามารถเดินซื้อของ ช๊อปปิ้ง ถามไถ่ ต่อรองราคาของกับคนลาวได้อย่างสบายใจ ถึงแม้เขาจะพูดลาว  แต่ในทางกลับกัน ถ้าไปมาเลย์เซีย ไปซื้อของกับคนมาเลย์ (ในกรณีที่ทั้งเรา และเขาพูดอังกฤษกันไม่ได้เลย) เราจะซื้อของ กันลำบากมากแค่ไหน มันทำให้ความรู้สึกใกล้ชิดกันมันมีน้อยกว่ากับที่เราซื้อกับชาวลาว (เราพูดไทย เขาพูดลาว แต่เข้าใจกัน) แต่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้คือ มีการปลูกฝังแนวความคิดที่ผิดๆ ให้กับคนพื้นที่ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ๆ แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าขบวนการเขาปลุกฝังกันมานานนมเท่าไหร่แล้ว ปัจจุบันผู้ร่วมขบวนการมีทั้งหมดกี่คน ดังนั้นเมื่อปัญหาทุกอย่างมันสุกงอมเต็มที่ ประกอบกับมีคนไม่หวังดีมาแทรกแซง ทุกอย่างมันเลยเป็นอย่างปัจจุบันนี้ จากคุณ : Oceanophila (Oceanophila) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 00:14:26

ความคิดเห็นที่ 37 /\ /\ ถ้าจะเอาเรื่องศาสนามาเกี่ยว ก็คงพูดกันไม่รู้เรื่องแน่ครับ อย่างที่คุณหมอ CVT บอกไว้ จริง ๆ แล้ว คนไทยภาคอื่น ๆ ผมใช้คำว่า "เข้ากับคนอื่นง่าย" นะครับ ไม่จำเป็นต้องมีศาสนามาเกี่ยวข้องด้วยเลยสักนิด ไม่เช่นนั้นคนไทยคงไปหากินในประเทศอาหรับที่เคร่งศาสนาไม่ได้แน่ ๆ  การอยู่ในพหุสังคม หากมัวแต่คิดว่าจะได้อย่างเดียว โดยไม่ยอมให้เลย อย่างนี้ก็จะสร้างอุปสรรคในการอยู่ในสังคมได้ครับ ถ้าลองมองกลับกัน ทำไมพี่น้องเชื้อสายมลายูที่อยู่ในภาคอื่น ๆ  ถึงไม่มีปัญหากับการปรับตัวเข้ากับคนส่วนใหญ่ล่ะครับ ? ถ้าจะเอาจำนวนมาเป็นเครื่องวัดว่าจะต้องทำอะไรแบบไหน มองมุมนี้ ไม่นานประเทศไทยคงจะต้องเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐแล้วล่ะครับ  เพราะถ้าคนเหนือเกิดครึ้ม ๆ ขึ้นมาแล้วบอกว่า ตัวเองควรจะได้สิทธิบ้าง  คนอิสานเหนือ คนอิสานใต้ ก็อยากได้สิทธิบ้าง คนเชื้อสายจีนอยากได้สิทธิบ้าง แบบนี้ไม่ยุ่งหรือครับ ? ถ้ายอมรับได้ว่า ประเทศไทยจะปกครองแบบสาธารณรัฐ มีรัฐบาลท้องถิ่นเองก็แล้วไปครับ ไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องภาษา รัฐบาลในยุคชาตินิยมเคยทำผิดไว้จริง แต่ยุคหลัง ๆ ก็ไม่ได้มีการบังคับอะไรแล้ว ค่อนข้างจะเปิดเสรีเสียด้วยซ้ำ คนในสามจังหวัดรุ่นหลัง ๆ ก็พูดและอ่านภาษาไทยกลางได้มากขึ้น จนบางท่านอดเป็นห่วงด้วยซ้ำไปว่าจะไม่พูดมลายูกันแล้วหากหมดผู้อาวุโสไป ผมแนะนำว่าลองไปหาข้อมูลเชิงการเมืองลึก ๆ กรณีของ พระยาวิชิตภักดี มาอ่านดูครับ แล้วลองเปรียบเทียบกับ กรณีสยามยกเขมรทั้งหมดให้ฝรั่งเศส , สยามรวมลานนา แล้วคุณจะรู้ครับว่า ปัตตานีน่ะ ได้รับสิทธิมากกว่า ลานนาหรือเขมรเยอะครับ เพราะปัตตานีสามารถจะส่งจดหมายไปเพื่อชักชวนให้กงศุลอังกฤษที่สิงคโปร์ มีจดหมายมาข่มขู่สยามเพื่อให้ไม่ไปบีบคั้นปัตตานีจนเกินไป ดีแต่ว่าอังกฤษเคยทำสัญญากับสยามไว้ อังกฤษเลยไม่ได้เข้ามาแทรกแซงได้ นี่คือสิ่งที่ไม่เคยมีการพูดกันเลยสักนิดนะครับ !!!!!!!!!!! จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 01:38:16

ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อท่านมองว่า มุสลิม ในสามจังหวัด เป็นคนส่วนน้อย ของประเทศนี้ ที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ ท่านก้อยากให้คนส่วนใหญ่ ปรับตัว ปรับใจเข้าหา คนส่วนน้อย แต่พอท่านมองอีกว่า คนมุสลิม เป็นคนส่วนใหญ่ของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ เพราะมีจำนวนชาวมุสลิมมากที่สุด ท่านก็อยาก จะให้คนส่วนน้อยของภูมิภาคนี้ ปรับตัว เข้าหาคนมุสลิม ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของภูมิภาคอีก แนวคิดแบบนี้ คิดเอาแต่ได้ ชัดเจนมาก ไม่ว่าจะส่วนน้อย หรือ ส่วนมาก ก็อยากให้คนอื่น ๆ หันมาเข้าหา เรา กลุ่มของเรา ทั้งนั้น ไม่เคยคิดที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง เข้าหาคนกลุ่มอื่น ๆ เลย ทำไม มุสลิม ในส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ถึงอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ ได้โดยไม่เดือดร้อน ไม่ขัดกับหลักปฏิบัติทางศาสนา เช่น มุสลิมในเชียงใหม่ มุสลิมในกรุงเทพ ฯ แต่ทำไมถึงมีเพียง มุสลิม ในสามจังหวัด เท่านั้น ที่เข้ากับคนกลุ่มอื่น ๆ ไม่ได้ เป็นเรื่องหน้าคิด หน้าค้นหาเหตุผลนะครับ แล้วทำไม่มุสลิมใน กระบี่ สงขลา สตูล ถึงอยู่กันได้อย่างสงบสุข กับคนกลุ่มอื่น ๆ หรือ มุสลิม กระบี่ สงขลา สตูล เหล่านี้ ไม่ได้เป็น มลายู ความเป็น มลายู มันสำคัญต่อ ชีวิต ปากท้อง มากขนาดนั้นเลยหรือครับ คนอิสาน มีสำเนียงภาษาลาวอิสาน   มีตัวหนังสือ ตัวอักษรตัวธรรม เป็นเอกลักษณ์ ของตนเองเช่นกัน คนเหนือ คนล้านนา ก็มีสำเนียง ภาษาคำเมือง ภาษาไตยวน มีตัวหนังสือ ตัวอักษร ตัวเมือง เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง คนภาคกลาง ก็มีสำเนียงภาคกลาง สำเนียงสุพรรณ สำเนียงกรุงเทพ ฯ มีตัวหนังสือ ไทยกลาง เป็นของตนเอง ทำไมคนทั้ง สามภาค สามกลุ่ม สามวัฒนธรรม นี้ เขาถึงปรับเปลี่ยนเข้าหากันและกันได้ แล้วทำไม คนทั้งสามจังหวัด ยะลา ปัตตานี นราธิวาส จึงปรับตัวเข้ากับคนอื่น ๆ ไม่ได้ ทำไมคนภาคใต้ตั้งแต่ ชุมพร ลงไป ถึงปรับตัวเข้ากับคนภาคอื่น ๆ ได้ ทำไมคน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส จึงปรับตัวเข้ากับคนอื่น ๆ เหมือนคนภาคใต้จังหวัดอื่น ๆ ไม่ได้ เป็นเรื่องน่าคิดนะครับ จากคุณ : คอแก้ง เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 12:08:43

ความคิดเห็นที่ 39 คุณคอแก้งครับ คำตอบที่ผมจะขอเสนอตามข้อสังเกตของคุณนั้น ผมคิดว่าเรื่องที่แตกต่างกันระหว่างมุสลิมเชียงใหม่ มุสลิมบางกอก และมุสลิมในสามจังหวัดนั้นคือประเด็นของเรื่อง "ภาษา" ครับ เหมือนอย่างที่ผมอธิบายไว้ข้างบนนั้นแหละ ผมมองว่าภาษาเป็นสิ่งที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างกลุ่มบุคคล เมื่อมีภาษาที่แตกต่างกัน ย่อมมีความไม่เป็นหนึ่งเ้ดียวกันได้ครับ แต่ในเรื่องของศาสนานั้นไม่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นมุสลิมจากภูมิใดในประเทศไทย ภาษาแม่ของมุสลิมเชียงใหม่ และมุสลิมบางกอก คือ ภาษาไทย แต่ภาษาแม่ของมุสลิม 3 จังหวัดคือ ภาษามลายู ครับ เด็กมลายูในสามจังหวัดเกิดมาพ่อแม่ก็พูดมลายูกับเขาแล้วครับ เขาจึงมาเรียนรู้ภาษาไทยอย่างจริงๆจังๆในโรงเรียนของรัฐเท่านั้น แต่อย่าลืมว่าในในภาคใต้นัน้ ระบบการศึกษาแตกต่างกับภาคอื่นๆครับ มีปอเนาะ มีตาดีกา กระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งเรียนกันโดยใช้ภาษามลายู ผมก็ไม่รุ้เหมือนกันว่าเด็กในสามจังหวัดที่เรียนอยู่ในระบบปอเนาะนี้มีมากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่ดูก็มีมากโขอยู่ครับที่ผู้ปกครองนิยมส่งให้ไปเรียน แต่จะว่าไปเด็กมลายูในพื้นที่มีความได้เปรียบกว่าเด็กไทยพุทธครับ เพราะพูดได้อย่างน้อยก็ สองภาษา ในขณะที่เด็กไทยพุทธ พูดได้แค่ภาษาเดียว คือภาษาไทย มุสลิมในบางกอก ที่ถูกเทครัวไปจากเมืิองตานี เมื่อสมัยต้นกรุงนั้น ปัจจุบันก็แทบจะพูดมลายูกันไม่ได้อยู่แล้วครับเพราะมาอยู่บางกอกนานแล้ว ลองคิดดูเล่นๆนะครับ ถ้าเกิดเราเปิดละครทีวีดู 1 เรื่อง ตัวละครที่เป็นคนใช้ในเรื่องพูดภาษาอีสาณ หรือ ภาษาเหนือ ถึงแม้ไม่ต้องมีซับไตเติล เราคนดูก็จะยังพอเข้าใจถึงการสื่อสารในเรื่องได้บ้าง แต่ในทางกลับกัน หากมีตัวละครที่พูดภาษามลายูหละ คนดูไม่มีทางเข้าใจเลยครับแม้แต่น้อย (ตอนนี้คิดออกอยู่เรื่องเดียวที่มีภาษามลายูปนอยู่ในเรื่องบ้างคือเรื่อง มัสยา ทางช่องเจ็ด เมื่อนานมาแล้ว) ถ้าอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดลองถามคนมุสลิมแถบนี้ดูนะครับว่าเค้า define ตัวเองว่าอย่างไร ในพื้นที่แถบนี้ชาวมุสลิมจะมีคำเรียกกลุ่มคนอยู่สองคำคือ นายู และ ซีแย นายูก็คือ คนมลายู นับถือศาสนาอิสลาม ส่วน ซีแย ก็มาจาก สยามนัน้เอง เค้าหมายถึง คนไทยพุทธ เพิ่มให้อีกคำนึงคือ จีนอ ก็คือ คนจีน ครับ ผมเคยถามเค้าว่า แล้วเค้าเองมองว่าตัวเค้าเองเป็นอะไร แน่นอนแหละครับเค้าต้องมองตัวเองว่าเป็น "นายู" เพราะคำว่า ซีแย มันมาพร้อมกับ ศาสนาพุทธ  ผมเลยตั้งคำถามเค้าใหม่ว่า แล้วถ้าไปประเทศมาเลย์เซีย คนมาเลย์ถามคำถามเดียวกันนี้หละ เค้าจะตอบว่าไง เค้าบอกว่าก็จะตอบว่า เป็นคนนายู ที่อาศัยในประเทศไทย ถือพาสปอร์ตของประเทศไทย มีบัตรประประชนของประเทศไทยครับ  คือยังไงก็ตามเค้าไม่เรียกตัวเองว่าซีแย อยู่แล้วครับ คราวนี้พอมองเห็นตัวปัญหาลางๆหรือยังครับ ส่วนคำถามที่ว่าทำไมคนมุสลิมตั้งแต่ชุมพรลงมาจนถึงสงขลาจึงปรับตัวเข้ากับคนอื่นๆได้ดี ก็กลับไปที่คำตอบเดิมแหละครับคือเรื่อง "ภาษา" เพราะตั้งแต่ชุมพรลงมาถึงแถบสงขลาก็พูดไทยกัน รวมถึงสตูลด้วย คนมุสลิมสตูล ถึงแม้จะมีชายแดนติดมาเลย์เซีย แต่แถบนั้นพูดมลายูได้น้อยครับ ผมเคยถามเพื่อนมลายูในพื้นที่ เขาก็เคยบอกว่าความเป็นคนมลายู จะต้องประกอบด้วยสองสิ่งครับคือ 1 ต้องพูดมลายูได้ 2 ต้องนับถือศาสนาอิสลาม ถ้าพูดมลายูได้ แต่ไม่นับถือศาสนาอิสลาม (อย่างเช่นคนจีน อินเดีย ในมาเลย์เซีย) แบบนี้ไม่นับว่าเป็นคนมลายู หรือหากเป็นมุสลิม แต่พูดมลายูไม่ได้ (เช่นมุสลิมจากตะวันออกลาง หรือมุสลิมเชียงใหม่) แบบนี้ก็ไม่นับว่าเป็นคนมลายูเช่นกัน แต่บางครั้งสำหรับมุสลิมใน กทม. ที่รู้ว่ารากของตัวเองถูกเทครัวไปเมื่อต้นกรุง เขาจะเรียกว่า นายูบาเก๊าะ (นายูบางกอก) ซึ่งเรียกเพื่อให้แตกต่างกับตนเองที่เป็น นายูตานิง (มลายูปาตานี) เขาเลยมีสำนวนว่า   Hilang Bahasa Hilang Bangsa ซึ่งก็คือ ถ้าภาษาหายไป ความเป็นชาติก็หายไป ดังนัน้จะเห็นความแนวคิดความเป็นมลายูนั้น นอกจากศาสนา แล้ว ยังต้องมีภาษา เป็นองค์ประกอบด้วยครับ อีกอย่างถ้าพูดกันตามตรงๆ ความเคร่งครัดทางศาสนาในพื้นที่สามจังหวัดมีมากกว่าครับ เมื่อเทียบกับมุสลิมที่อื่นๆ อย่างเช่นการคลุมฮิญาบ ถ้าไปแถบภูเก็ต  กระบี่ ตรัง ในบางแห่ง (ขอย้ำว่าบางแห่ง) ก็ไม่ค่อยเคร่งครัดเท่าไหร่ครับ แต่ในพื้นที่นั้นเป็นเรื่องที่เคร่งครัดมาก และเคร่งครัดขนาดคลุมจนเปิดเฉพาะลูกตาเท่านัน้ครับสำหรับบางคน เพื่อนผมหลายคนก็คลุมแบบนี้ เรียนมหาลัยด้วยกันมาสีปี เจอกันข้างนอกเรียนจบแล้วก็อย่างหวังเลยครับว่าจะจำกันได้  หรืิอแม้แต่ในช่วงถือศีลอด เพื่อนมุสลิมผู้ชายบางคนก็เคร่งครัดมาก ขนาดว่าห้ามเพื่อนผู้หญิงเข้าใกล้ หรือสัมผัสตัว ทั้งๆ ที่ในเดือนปกติก็พูดจาเล่นหัวกันได้บ้าง ดังนั้นผมมองว่าความยืดหยุ่นในการปรับตัวเข้าหาสังคมของมุสลิมในพื้นที่อื่นๆ มีมากกว่าในพื้นที่สามจังหวัดครับ ทั้งนี้เพราะการปลูกฝังที่แตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัวและชุมชน ครอบครัวที่มีการศึกษาดีหน่อยก็จะปลูกฝังในแนวทางที่ถูกที่ควร แต่อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ผมก็ว่ามันมาจากพวกเรื่องการเมือง ยาเสพติด ที่เข้ามาแทรกแซงอยู่ด้วยครับ เลยฉวยโอกาสเอาความแตกต่างตรงนี้มาเป็นประเด็นในการหาผลประโยชน์จากคนในท้องถิ่น ผมก็ขอแสดงความคิดเห็นเท่านี้ก่อนนะครับ ป.ล. ผมเป็นคนซีแย จากตานีครับ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 55 14:20:52 จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 55 14:16:07

ความคิดเห็นที่ 40 ที่คุณ Oceanophila บอกมา นั่นล่ะครับตัวปัญหา เพราะถ้าความเชื่อที่ผิด ๆ แบบนี้ โดนฝังหัวกันมารุ่นต่อรุ่น มันถึงทำให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นมาไม่รู้จักจบสิ้น และก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของคนในภูมิภาคอื่นต่อคนที่ยังคิดแบบเพื่อนของคุณไม่ดีขึ้นมาแต่อย่างใด จะว่าไปเรื่องการคลุมหน้านี้ ก็ต้องย้อนกลับไปดูกันอีกทีว่า ทีว่าเคร่งจะเคร่งนั้น เคร่งมาแต่ก่อนจะมีปัญหาหรือเปล่า ?  หรือว่ามาเคร่งเอาช่วงหลัง ๆ  ? เพราะในมาเลเซียเอง ก็ไม่ได้คลุมหน้าจนเหลือแต่ตาทุกคนเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ก็เข้าเงื่อนไขทั้ง ๒ ข้อตามที่คุณบอกมา ในอินโดนีเชียเองผมก็เชื่อว่าไม่ได้คลุมหน้าจนเหลือแต่ลูกตาเท่านั้นเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าจะยกเหตุผล ๒ ข้อนี้มาอ้าง ก็ยิ่งจะทำให้เกิดความสงสัยขึ้นไปอีกพอควร จะว่าไป แถวบ้านผมตั้งแต่ผมเกิดมาจนผ่านมาหลายสิบปี ก็ไม่เคยจะเห็นเพื่อนต่างศาสนาจะต้องคลุมหน้าจนเหลือแต่ลูกตาเลย เพิ่งจะไม่กี่ปีนี้แล ที่เริ่มจะเห็นมี แต่ก็เข้าใจได้เพราะว่า มีการย้ายถิ่นเข้ามาอยู่ใหม่ของคนเหล่านั้น ซึ่งมอง ๆ แล้วน่าจะมาจากตะวันออกกลาง  ยกตัวอย่างแบบนี้เป็นต้น ปัจจัยที่น่าสนใจประการหนึ่ง ที่อาจจะมีผลต่อ "ความเชื่อสองข้อที่ว่ามานี้" ก็คือ การส่งลูกหลานไปศึกษาศาสนาในต่างประเทศของคนในสามจังหวัด หรือแม้แต่ในภูมิภาคอื่น ก็ส่งไปในหลาย ๆ ที่ มีทั้งที่เคร่งสุด ๆ อย่าง ปากีสถาน, อาฟกานิสถาน หรือจะไปสายกลาง ๆ อย่าง อียิปต์,อินโดนีเชีย ฯลฯ ซึ่งประเทศเหล่านี้ มีแนวคิดการสอนและวิธีปฏิบัติที่ไม่เหมือนกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็ต้องมาดูอีกว่า อิทธิพลจากสำนักเรียนในประเทศต่าง ๆ จะมีมาถึงคนในสามจังหวัดมากน้อยแค่ไหน ? เพราะเท่าที่รู้มาบ้าง(ถ้าผิดต้องขออภัย) บางนิกายคนในสามจังหวัดก็ไม่ยอมรับเลยก็มี ซึ่งมันก็จะเป็นปัญหาต่อมานั่นเอง บางท่านที่ผมเคยถกกระทู้มา ก็ออกจะแสดงความไม่เลื่อมใสต่อนิกายอื่น ๆ ที่อยู่ในภาคกลางเสียด้วยซ้ำไป เพราะก็ไม่ได้ยึด ๒ ข้อหลักตามที่คุณบอกมา โดยเฉพาะข้อแรก ซึ่งถ้าย้อนกลับไปดูข้อมูลของคุณหมอ CVT ที่บอกมาในความเห็นต้น ๆ ก็ยิ่งให้น่าสงสัยต่อไปว่า แล้วในสมัยโน้นที่คุณหมอ CVT ท่านได้เล่ามานั้น เมื่อเทียบกับสมัยนี้ อะไรที่มันต่างไปบ้าง ? และถ้ามีความแตกต่างแล้ว ปัจจัยข้อไหนทำให้เกิดความแตกต่าง ? จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 55 10:17:09

ความคิดเห็นที่ 41 มีการเปลี่ยนแปลงที่ผมเห็นได้ด้วยตาตนเองคือ การแต่งกาย ถ้าไปค้นดูภาพอดีตของเมืองตานี สตรีมุสลิม ไม่ได้แต่งกายแบบปัจจุบัน การสรวมคลุมฮิญาบ เพิ่งจะมามีอิทธิพลไม่เกิน ๓๐ ปีนี้เองครับ หลายคนมองว่า ฮิญาบ มาพร้อมกับการแบ่งแยกครับ จากคุณ : CVTบ้านโป่ง เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 22:51:27

ความคิดเห็นที่ 42 มีประเด็นต้องพิจารณาว่า การคลุมผ้าจนเหลือแต่ลูกตา มาจากวัฒนธรรม มาจากหลักศาสนา นิกายใด ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในไทย หรือแม้แต่อินโด มาเลย์ แล้วเกิดเป็นปัญหาว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ไม่ใช่พวกเขา(ทั้งที่ยอมรับเอง หรือต้องจำยอม ด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น) จะอยู่ไม่ได้ จะเข้ามาไม่ได้ อะไรก็ตาม ทุกตารางนิ้วต้องเป็นหลักกม.อิสลามทั้งหมด ผมมองว่ามันเริ่มมาจากจุดนี้นะครับ ส่วนผู้มีอิทธิพล มีผลประโยชน์ผิดกม. เป็นเพียงการแอบอิง แอบอ้าง อำนาจของกลุ่มพวกนี้แหละ คอยคุ้มหัวให้ แพราะฉะนั้น ตราบใดที่กลุ่มที่ผมว่า ยังไม่ยอมรับอะไรก็ตาม ที่ไม่ใช่ สิ่งที่เค้าบัญญัติไว้ ปัญหาก็ยังไม่หมด จากคุณ : deletenumlock เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 14:24:19

ความคิดเห็นที่ 43 ผมเป็นพุทธ ญาติผมเป็นมุสลิม ผมก็ไม่เห็นว่ามีความแตกต่างกันตรงไหน เราก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกัน ใช้นามสกุลเดียวกันเหมือนเดิม  ตื่นกลางวัน นอนกลางคืนเหมือนกัน เวลาเลือดไหลก็สีแดงเหมือนกัน ความแตกต่างมันอยู่ที่ตรงไหนผมเองก็ยังไม่เข้าใจคนพวกนี้เหมือนกัน จากคุณ : stryker เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 12:56:51

ความคิดเห็นที่ 44 ภาษาพูดในสามจังหวัดคือยาวี ไม่ใช่ทั้งมาเลย์และไม่ใช่ทั้งอาหรับ เป็นภาษาลูกผสมครับ จากคุณ : via iPhone (tanoy_delphi) เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 55 06:56:01