|
โรงเรียนสอนภาษาถ้าแพงมากๆ คนเรียนเงินต้องมีมากพอ ม่ายงั้นเงินหมดก่อนแล้วก็ยังไม่ได้อะไร
conversation ถ้าเรียนจากระดับไม่กระดิกหูเลย อย่างนึกว่าหมูแบบเรียน 2-3 เดือนแล้วจะเก่งได้ง่ายๆนะ
จะเล่าประสบการณ์การสอนนักเรียนจากระดับพื้นฐานมากๆให้ฟัง เราเอา audios กับ videos เสียงฝรั่งพูดให้นักเรียนฟัง (ถึงคนสอนพูดชัดมากๆหรือเป็นฝรั่งก็ต้องใช้เสียงฝรั่งคนอื่นหลายๆคน เพื่อไม่ให้นักเรียนชินอยู่แต่กับสำเนียงครู) แล้วหยุดเป็นช่วงๆให้น้กเรียนพูดตาม แล้วให้นักเรียนเอาประโยคตัวอย่างพวกนั้นมาพูดพลิกกลับไปกลับมา โดยการเปลี่ยน subject, verb, object และ modifier ซึ่งเป็นการสอน ฟังกับพูด (ด้วยวิธีการที่เรียกว่า improvisation) ไปพร้อมๆกับสอน grammar เพื่อปูพื้นเตรียมไปเรียน reading and writing ในขั้นต่อไป
เราพบว่าส่วนที่ยากที่สุดสำหรับนักเรียนในระดับนี้คือ conjugation of irregular verbs (ผันกริยา 3 ช่อง) โดยเราเริ่มสอนตั้งแต่ verb to be แล้วค่อยๆสอน tenses ง่ายๆไป 4-5 tenses โดยพยายามป้อนให้เร็วๆโดยหวังผลเร็วๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนให้นักเรียนฝึกพูดออกมายาวๆ เราคอยกระตุ้นให้นักเรียนพูดเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่นักเรียนจำได้ไม่เร็วนักนะ บางทีนักเรียนต้องขอร้องเราว่า "ช้าๆก็ได้ครับ ใจเย็นๆผมไม่รีบร้อน" เราก็ตอบนักเรียนตลกๆว่า "อ๋อ ที่รีบสอนให้เพราะกลัวหาว่าเลี้ยงไข้...555+++...)
แต่ขนาดตั้งใจป้อนให้อย่างเข้มข้นนะ (สอนตัวต่อตัว) นักเรียนเกือบทุกคนใช้เวลานานถึง 3 เดือนกว่าจะ conjugate irregular verbs (ผันกริยา 3 ช่อง) ได้ถูกหมด (แต่ไม่ครบทุกตัวนะ เพราะ irregular verbs มีตั้ง 300 กว่าๆเกือบๆ 400 คำแน่ะ แต่เราสอนแค่ตัวที่ใช้เยอะเท่านั้น) โดยการให้นักเรียนพูดคนเดียวหรือพูดสลับกับเราประโยคยาวๆหลายๆประโยคเป็น tenses ง่ายๆ 4-5 tenses
คราวนี้เราลองทดสอบให้นักเรียนพูดออกมาเร็วๆโดยผันประโยคพลิกกลับไปกลับมาโดยเพิ่มรูปแบบประโยคแล้วเพิ่มความยาวประโยค แล้วเริ่มสอน passive voice ซึ่งในช่วงนี้ก็มีสอน grammar อย่างอื่นเพิ่มด้วยอย่างเช่น comparative and superlative adjectives, การวางตำแหน่ง adverbs, การใช้ countable and uncountable nouns และอื่นๆอีก แต่บางที improvisation อย่างเดียวน้อยเกินไป เลยต้องบรรยายบ้างพอสมควรเกี่ยวกับวิธีการสร้างประโยค แต่วิธีการหลักในการสอน grammar ก็คือให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดโดยการพูดประโยคพลิกกลับไปกลับมาในหลายๆรูปแบบ มากกว่าเขียน เพราะถ้าสมองคิดคำพูดยังไม่ได้รวดเร็วอยู่ดีๆไปสอนให้ทำแบบฝึกหัด grammar โดยการเขียน (เหมือนที่โรงเรียนกวดวิชาสอนกันโดยการเน้นหนักแต่บรรยาย ซี่งเป็น passive learning) สมองนักเรียนจะสั่งงานช้ามากๆ และจะมีปัญหาในการเรียน writing ในอนาคตเพราะไม่สามารถคิดเป็นภาษาอังกฤษได้
ลำดับต่อไปที่เราวางแผนไว้คือสอน non-finites
คือเวลา verbs 2 ตัวชนกัน อย่างเช่น
like swim
ตัวหลังต้องทำอะไรกับมันบางอย่างคือทำเป็น infinitive with to หรือทำเป็น gerund โดยตัวตัดสินว่าต้องทำอะไรกับ verb ตัวหลังคือ verb ตัวหน้า ซึ่งบางทีตัวหลังทำได้ 2 อย่างคือ infinitive with to กับ gerund แต่บางทีทำได้แค่อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียว ซึ่งพอเรามองๆดู list ของ non-finites แล้ว อะโห มันมีเยอะเหมือนกันแฮะ เราต้องพยายามคิด dialogs ที่มันสื่อความหมายให้นักเรียนจำได้ ออกมาให้นักเรียน improvise เยอะๆ เพราะถ้าพิชิต non-finites ไม่ได้หมด โอกาสพูดเขียนอังกฤษผิด grammar หมด ก็มีพอๆกับคนที่ conjugate verbs ไม่เป็น นั่นแหละ (เคยเห็นคน conjugate verbs ไม่เป็น ชอบเขียน essay มาให้แก้ แล้วเขียนผิดหมด บ่อยๆ)
ตอนนี้เราคิดว่านักเรียนพอจะมองเห็นทางสว่างแล้ว แต่ก็ยังไม่หมูนะ เพราะอะไร? เพราะตอนให้ฝึกพูดประโยคยาวๆแล้วเร่งความเร็ว คราวนี้เจอปัญหาอื่นอีก นั่นก็คือ "นักเรียนลิ้นพันกันยุ่ง"
วิธีแก้ก็คือเราไปหา video ที่ฝรั่งสอนแก้ไข pronunciation มาให้นักเรียนดู แล้วให้นักเรียนค่อยๆฝึกขยับอวัยวะออกเสียงตาม videos แต่โห กฎกติกา และข้อยกเว้นว่าเสียงไหนต้องเปล่งออกมายังไง ตามหลักวิชา phonetics มันยุ่งยากมากๆพอสมควร ซึ่งนี่ก็เป็นด่านอรหันต์อีกอย่างหนึ่งที่ต้องฝ่าผ่านไปให้ได้ เพราะเสียงในภาษาอังกฤษมันไม่ใช่มีตัวอักษร 26 ตัวแล้วมันจะมีแค่ 26 เสียงนะ แต่มันมีมากกว่านั้นตั้งหลายเท่า ลองไปดูตารางเสียงในตำรา phonetics แล้วจะปวดหัว
พอออกเสียงถูก เป็นเสียงโดดๆ ขั้นต่อไปก็ต้องสอน connected speech ซึ่งคราวนี้เป็นเรื่องของการดูจำนวน permutations (การเรียงสลับลำดับตำแหน่ง) ว่าเวลาคำศัพท์ตัวไหนมาอยู่ใกล้ตัวไหน ในกรณีไหน และเมื่อไหร่จะเกิดปรากฎการณ์ 3 อย่างขึ้นคือ
1 เสียงหายไป 2 เสียงเปลี่ยนไป 3 เสียงเชื่อมต่อกัน
^ ซึ่งความรู้เรื่องปรากฎการณ์ 3 อย่างนี้แหละ จะเป็นตัวตัดสินว่า คุณจะฟังฝรั่งพูดรู้เรื่องหรือเปล่า และคุณจะพูดชัดหรือเปล่า
ตอนนี้เรายังสอน pronunciation ไม่ครบกระบวนท่าเพลง แต่เวลามันผ่านไปตั้ง 4 เดือนแล้ว และนักเรียนก็แค่พูดพอได้นิดๆหน่อยๆ ซึ่งยังมีหนทางที่ต้องเดินไปอีกไกล
4 เดือนที่ว่านี้เรียนแค่สัปดาห์ละ 2 ชม. นะ ขนาดเราไม่คิดแพงเท่าโรงเรียนดังๆ แต่ถ้าเรียนมากกว่านั้นค่าเรียนมันออกมาเยอะ
แต่ขนาดเรียนแค่สัปดาห์ละ 2 ชม. และคิดค่าสอนไม่แพงมากนัก คนที่จะเรียนได้ก็ต้องรายได้ดีพอสมควร
คือเราตั้งใจจะสอนให้เร็วกว่านี้ แต่นักเรียนจำไม่ไหว มันก็เลยไปได้ด้วยความเร็วประมาณนี้หละ
นี่เป็นวิธีการที่เราสอน คือสอนเน้นจุดสำคัญไปตั้งแต่แรกเริ่มเลย เพื่อไม่ทิ้งจุดอ่อนไว้เลย ซึ่งเราใช้เวลาคิดค้นมาในอดึตครั้งหนึ่ง (สมัยก่อนมี Internet) คาทิ้งไว้ แล้วมาคิดต่อในยุค Internet ที่เราหาสื่อการสอนภาษาอังกฤษอันหลายหลายได้มากกว่าเดิม แล้วมันพัฒนามาเป็นรูปแบบนี้ ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นวิธีสอนที่รวดเร็วที่สุดแล้ว แต่ผลที่ออกมามันก็ไม่ใช่ว่าจะรวดเร็วทันใจนัก
ดังนั้น ถ้าคุณเริ่มเรียนตั้งแต่พื้นฐาน แล้วคุณเรียนโรงเรียนแพงๆ ซึ่งอาจสอนดีได้ผล แต่คุณต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ว่า มันไม่ใช่แค่ 2-3 เดือนพูดคล่องปร๋อแล้วฟังหนังฝรั่งรู้เรื่องหมด
แล้วสิ่งที่คุณต้องเตรียมไว้นั่นก็คือ "เงินจำนวนมหาศาล" ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าเรียนเริ่มจากพื้นฐานมากๆกว่าจะพูดได้คล่องฟังได้คล่อง (แล้วต้องถูก grammar หมดด้วยนะ) เงินแค่ 100,000.00 บาท ไม่พอหรอก!
ส่วนคุณจะเลือกโรงเรียนไหนนั้น เราแนะนำให้ไม่ได้ เราแนะนำให้ได้ว่าความเร็วในการเรียนขนาดสอนจุดสำคัญๆตามลำดับขั้นตอน ผลมันจะออกมาได้แค่ไหน คุณก็ไปคำนวณค่าใช้จ่ายเอาเองก็แล้วกันว่าถ้าเรียนจนพูดคล่องฟังคล่องใช้งานได้จริงๆ คุณจะเลือกโรงเรียนไหนที่คุณพอจะสู้ราคาได้ โดยไม่ให้เงินหมดก่อนกลางคันแต่ยังเรียนทักษะที่จำเป็นไม่ครบ
แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 55 10:41:29
แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 55 07:23:03
แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 55 07:05:56
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ส.ค. 55 06:57:55
|
|
|
|
|