PANTIP.COM : K12545916 ผมเครียดครับ สอนหนังสือเด็ก เด็กไม่เข้าใจเลยย ทำไงดีครับ [การศึกษา]

ความคิดเห็นที่ 3

โรงเรียนยี่ห้อนี้มีสาขาเยอะมากๆ แต่เขาไม่เคยอบรมครูเลยหรือ?

เราไม่รู้ว่าคุณสอนอะไรก็เลยแนะนำลำบาก แต่มื่อก่อนตอนเราสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งเขาจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษมาอบรมครู แล้วพวกครูด้วยกันเองก็จะจัด workshop กันสองเดือนครั้งหนึ่ง โดยแต่ละคนจะไปทำการค้นคว้ามาว่าจะวางแผนการสอนยังไง สร้างสื่อการสอนยังไง วัดผลยังไง แล้วเอาปัญหาที่เจอมาถกกัน ให้แต่ละคนไปคิดคำตอบมาเฉลยกันอีก 2 เดือนข้างหน้า

สิ่งมหัศจรรย์ก็คือครูฝรั่งเก่งๆพวกนี้หลายๆคนเป็นนักคนคว้าที่สมองพลิกแพลงฉลาดมากๆ ซึ่งหลายๆคนเรียนไม่จบปริญญามาแต่สอนเก่งมากๆเพราะเรียนรู้ด้วยตัวเอง เราเรียนรู้เรื่องการสอนภาษาอังกฤษจากพวกเขามาเยอะมากๆเลยหละ แต่พอกฎหมายไทยออกมาใหม่ว่าครูฝรั่งที่ไม่จบปริญญาขอ work permit ไม่ได้ ครูฝรั่งเก่งๆพวกนี้เลยโดนเนรเทศกันหมด น่าเสียดายมากๆ

ตอนเราหัดสอนภาษาอังกฤษใหม่ๆเราสอนๆไปนักเรียนก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่หรอก ส่วนใหญ่สอน conversation พูดๆไปกับนักเรียนที่โตแล้ว พอนักเรียนพูดผิดเราก็แก้ให้ พอไปสอนอีกรอบก็พูดๆทวนคำศัพท์เก่าๆเพื่อหวังว่านักเรียนจะจำได้ ถ้าเราสอนเด็กเก่งปานกลางอยู่แล้วเราสอนให้เก่งได้ แต่พอไปสอนเด็กมัธยมอ่อนๆมากๆเข้าซึ่งต้องสอนให้สอบได้ เด็กคนหนึ่งเรียนเพราะเขาถูกชะตากับเรา สนใจเรียนแต่เขาสอบตกทุกที แม่เด็กก็ไม่ว่าอะไรเรา แต่เรารู้สึกไม่ดีมากๆเลยหละ คือจริงๆแล้วเราก็ไม่ชำนาญการสอนคนที่อ่อนมากๆ

แต่อีกหลายๆปีต่อมาหลังจากเราเลิกสอนภาษาอังกฤษเพราะตัวเองเริ่มไว้ผมยาวและไม่อยากแต่งตัวเรียบร้อยเพื่อหลอกนักเรียนว่าเราเป็นผู้ดีมีการศึกษาดี แล้วเราไปทำงานแปลเอกสารเราเรียนรู้ภาษาอังกฤษมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า และประกอบกับค้นข้อมูลจาก Internet เรากลายเป็นรู้ทางหนีที่ไล่มากกว่าเดิม แต่เราก็ยังไม่กลับไปสอนภาษาอังกฤษเต็มตัวหรอก เพราะยังมีงานแปลให้ทำเยอะมากๆ

คือจะบอกให้ว่าการเป็นครูที่ดีได้นั้น คุณจะต้องเป็นนักค้นคว้าหาวิธีการใหม่ๆ หาสื่อการสอนใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้จากการใช้ google ชำนาญมากๆเรากลายเป็นค้นหาเจอและเก็บสะสมสื่อการสอนภาษาอังกฤษไว้เยอะมากๆขนาดโรงเรียนสอนภาษาใหญ่ๆก็มีไม่มากเท่าที่เรามี และจากตำราพวกนี้นั่นแหละที่เราเรียนเพื่อไปสอนคนอื่นเรากลายเป็นเรียนรู้เพื่อสอนตัวเองให้เก่งกว่าเดิมแล้วไปสอนคนอื่นได้ ซึ่งมันกลายเป็นตอนนี้เรารู้วิธีสอนคนที่อ่อนภาษาอังกฤษมากๆได้ซึ่งเราไม่เคยทำได้ในอดีตมาก่อนเลย

ตอนเราสอนภาษาอังกฤษใหม่ๆเราก็เกลียดภาษาอังกฤษ คือทำงานนี้ไปเพราะตกงาน และไม่รู้วิชาชีพอย่างอื่นนั่นเอง แต่ตอนนี้เรากลายเป็นรักการสอนภาษาอังกฤษนะ ถึงแม้ว่าตอนนี้รายได้จากการสอนภาษาอังกฤษ (สอนน้อยคนมากๆ) ของเราจะอยู่ในอัตราส่วนแค่ "เศษหนึ่งส่วนยี่สิบ" ของรายได้จากงานแปลเอกสารของเราก็ตาม แต่เราคิดว่าเราอาจกลับไปสอนภาษาอังกฤษเต็มตัวสักวันหนึ่ง เพราะเท่าที่สังเกตดูนะ ตอนนี้ก็ดูท่าทางว่าสังคมมันเปลี่ยนไปผู้คนใจกว้างมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งนักเรียนก็ไม่ร้งเกียจที่เราไว้ผมยาวๆและแต่งตัวไม่ conservative มากนัก

แนะนำว่าอย่าเพิ่งท้อใจ ถ้ามีใจรักก็ค่อยๆเรียนรู้และพัฒนาไปได้เรื่อยๆ อย่าลืมว่า Internet เป็นแหล่งค้นคว้าอันยิ่งใหญ่และมีค่ามากๆ ไม่ว่าคุณจะสอนวิชาอะไรคุณสามารถค้นข้อมูลเพื่อทำการสอนวิชานั้นๆได้เกือบหมดจาก
Internet ซึ่งส่วนใหญ่จะค้นเจอเป็นภาษาอังกฤษ

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 55 22:07:43

ความคิดเห็นที่ 8

เรียนคุณทิดฉ่ำ
วิธีสอน conjugation of irregular verbs (การผันกริยา 3 ช่อง) ให้เด็กหรือให้ผู้ใหญ่ที่อ่อนมากๆนั้นถ้ายัดเยียดวิธีท่องแบบ go went gone หรือ do did done ที่หนึ่งเป็นร้อยๆชุด นักเรียนจะท้อใจแล้วไม่อยากเรียนไปเลยหละ

วิธีที่เราคิดค้นขึ้นมาได้ก็คือสร้าง dialogs ง่ายๆในชีวิตประจำวัน ที่สนุกๆ แบบว่าให้เด็กจับคู่ (โดยสลับคู่บ่อยๆ) พูดกัน แล้วรูปแบบประโยคมันตลกหยอกล้อกันได้สนุกสนาน สอนแค่ 4-5 tenses เท่านั้นก็ผันกริยา 3 ช่องได้ตั้งมากมายแล้ว และเด็กก็สนุกด้วย โดยครูต้องฝึกคิดประโยคสนุกๆมาให้เด็ก improvise (พูดตามตัวอย่างประโยคแต่เปลี่ยน subject, verb, object และ modifier พลิกแพลงไปเรื่อยๆ)

ตัวอย่างประโยคที่ให้มาส่วนใหญ่เราใช้ videos หรือ audios ที่เป็นเสียงฝรั่งพูดเอามาเปิดให้เด็กหัดฟังแล้วพูดตาม ซึ่งในช่วงนี้ก็จะมี pronunciation drill คือสอนให้ขยับอวัยวะออกเสียงให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน ซึ่งครูที่สอนก็จะต้องรู้วิชา phonetics บ้างพอสมควร ถึงครูพูดอังกฤษชัดหรือฝรั่งเจ้าของภาษาเป็นคนสอนแต่ก็ยังจำเป็นต้องเอาเสียงฝรั่ง (หลายๆคน) ให้นักเรียนฟังแล้วหัดพูดตาม เพื่อไม่ให้นักเรียนชินแต่กับสำเนียงครู ในช่วง pronunciation drill จะเป็นช่วงที่นักเรียนต้อง improvise ประโยคที่พูดให้ถูก grammar และออกเสียงให้ชัดนั้น มันกลายเป็น "นาทีทองที่จะทำให้เด็กซึมซับ grammar เข้าไปราวกับเรียนโดยวิธีธรรมชาติ จนพูดเขียนออกมาได้ถูกต้อง!"
^
อย่าไปคิดว่า "นักเรียนมันไม่เอาถ่านน่าเบื่อ" แต่พยายามคิดว่า "เราเป็นครูเรามีหน้าที่ต้องคิดพลิกแพลงเพื่อสร้างสื่อการสอนหรือเขียนบทเรียนของเราให้ม้นเป็น edutainment เด็กจะได้สนุกกับการเรียน"

^
เรื่อง edutainment ในการสอนภาษาอังกฤษนี้ cousin (ลูกพี่ลูกน้องเรา) เก่งมากๆ เราเขียนบทเรียนภาษาอังกฤษเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ตามระดับการเรียน แล้วให้เธอเอาไปทำเป็น edutainment เธอมีสมองพลิกแพลงเอามันไปดัดแปลงเป็น games ให้เด็กเล่น หรือดัดแปลงเป็น diologs ให้เด็กพูดจาหยอกล้อกัน สอนๆไปนะ เด็กที่ไม่สนใจเรียนกลายเป็นติด cousin เราเหมือนติดเล่นเกม ร้องงอแงจะให้พ่อมาพามาและจะขอเพิ่มเวลาเรียน พ่อแม่เด็กตกใจมากๆเพราะหลงคิดว่าครู (คือ cousin เรา) คงเอายาเสพติดให้ลูกกิน ก็เลยรีบขับรถมาที่โรงเรียนกวดวิชาของพวกเราเพื่อมาขอดูตัวคนสอน และคุยกับคนสอนว่า

"เป็นไปได้ยังไงที่สอนจนเด็กติดร้องกระจองอแงจะมาเรียนบ่อยๆ แบบนี้?"

^
ซึ่งการสร้างสื่อการสอน และวิธีคิดพลิกแพลง แบบนี้ สมัยนั้นพวกเราคิดกันเองโดยไม่มี Internet แต่สมัยนี้คนที่ไม่ชำนาญการสอนก็ค้นข้อมูลจาก Internet ได้สบายๆ

แม้กระทั่งการสอนเลข ก็ค้นจาก Internet ได้

ยกตัวอย่างเช่น Trachtenberg เป็นวิศวกรยิวชาวรัสเซียที่โดน Nazi จับไปขังใน concentration camp ตอนโดนคุมขังอยู่เขาคิดวิธีสอนเด็กคูณเลขโดยไม่ต้องท่องสูตรคูณ ถ้าครูทนไม่ไหวกับการยัดเยียดให้เด็กท่องสูตรคูณ ก็สอนวิธีนี้ได้

และถ้าใครเคยได้ยิน Vedic Mathematics แล้วลองค้นข้อมูลศึกษาดูดีๆ จะค้นพบวิธีคิดเลขเร็วแบบอินเดียที่มหัศจรรย์มากๆ เลขยาวๆหลักเป็นล้านๆนี่หารหรือถอด root (หรือทำอะไรอย่างอื่น) แพล็บเดียวเสร็จ

วิธีคิดเลขในใจเร็วอีกวิธีหนึ่งคือวิธีการที่พวก bookmakers (เจ้ามือรับพนันม้า) ในอังกฤษใช้กัน นั่นก็คือคำนวณจากตัวเลขที่ง่าย แล้วส่วนที่ยาก ใช้เปรียบเทียบกับส่วนง่ายๆที่คำนวณไปแล้ว และใช้เดาคำตอบใส่ลงไปโดยปัดเศษข้อผิดพลาดที่เป็นจุดทศนิยมที่น้อยมากๆออกไป

ยกตัวอย่างเช่น

394.50 x 1.276

วิธีคิดแบบ bookmaker ก็คือ มอง 1.276 ให้เป็น 1 1/4
แล้วจับวาง

394.50 (1 ครั้ง)
98.625 (1/4 ครั้ง)
....... (0.026 ครั้ง คือส่วนที่จะต้องเดา)

ถ้าเป็นคิดเงินทำบ่อยๆมันจะเดาส่วนที่เหลือได้ง่าย แล้วก็จับเลข 3 จำนวนมาบวกกันในใจ (ซึ่งง่ายมากๆ) โดยไม่ต้องไปนั่งคูณทศนิยมหลายๆหลัก (ที่ not significant enough to worry about) ให้เหนื่อยแรง เนื่องจากถ้าเป็นการคิดเงิน เศษทศนิยมของจำนวนที่ 2 คือ 0.005 ถ้าเป็นเงินอังกฤษมันก็แค่ครึ่ง penny เอง หรือถ้าเป็นเงินไทยมันก็แค่ครึ่งสตางค์เอง ส่วนจำนวนที่ 3 ที่จะเกิดจากการคำนวณหาค่า 0.026 ของ 394.50 ผลลัพธ์จะออกมาน้อยนิดจนเดาได้สบายๆ ซึ่งอะไรที่ไม่ significant นักก็ปัดเศษทิ้งไปได้เลยเนื่องจากว่าเราคาดเดาได้ว่า propagation of error หรือ absolute error มันมีมากน้อยสักเท่าไหร่ โดยการคิดในใจได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง

36.48 x 8/13
แทนที่จะคูณด้วย 8 แล้วหารด้วย 13
พวก bookmakers ในอังกฤษ

จะคำนวณ 1/3 ของ 36.48
แล้วคำนวณ 1/5 ของ 36.48
แล้วเอาผลลัพธ์ 2 จำนวนมาบวกกัน
เหตุผลที่มันใช้งานได้ก็เพราะว่า 8/15 = 3/15 + 5/15 = 1/5 + 1/3 นั่นเอง
เลขเศษส่วนกับทศนิยมพวกนี้ bookmakers ในประเทศอังกฤษมีสูตรลับวิธีคิดเร็วหมดเลย เพราะการพนันม้าแข่งกับหมาแข่งในประเทศอังกฤษมันใช้เศษส่วนกับทศนิยมเยอะมากๆ

แต่หลักการที่สำคัญก็คือ ต้องคิดเลขจากซ้ายไปขวาตลอด คนที่รู้วิชาคำนวณถ้าวันๆนั่งบริกรรมดูวิธีคิดพลิกแพลงพวกนี้จะคิดวิธีแปลกๆใหม่ออกมาได้ตั้งมากมาย

สมัยเราทำงานเป็นผู้จัดการ bookmaker (บริษัทรับแทงม้า) ใน London วันๆเราได้แต่นั่งคิดวิธีคิดเลขเร็วเพราะต้องคิดเลขเร็วทุกวันในการทำงาน อย่างเช่นถ้าดูไม่ดีว่าลูกค้าแทงม้าอะไรไว้แล้วคำนวณความเสี่ยงไม่เร็วพอ แล้ว hedge (ออกตัว เหมือนออกตัวในตลาดหุ้น) ไม่ทันบริษัทเรามีทางขาดทุนวันหนึ่งหลายล้านได้

เราเคยสอนเด็กประถมคิดเลข 3 วิธีผสมผสานกัน จนเด็กทศเลขไม่เป็นเพราะคิดเลขจากซ้ายไปขวาหมด พอเด็กกลับไปเรียนโรงเรียนเด็กโดนครูที่โรงเรียนจับตั้งเลขแบบ conventional ทำให้เด็กสมองช้าลง เราเลยกระซิบเด็กบอกว่าตั้งเลขหลอกครูที่โรงเรียนไว้ แต่เวลาคิดจริงให้คิดเหมือนที่เราสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาทำข้อสอบปรนัย แค่มองปั๊บก็เดาได้แล้วว่าคำตอบคืออะไรแทนที่จะไปตั้งเลขยาวๆ

สรุปแล้วเรื่องพวกนี้ที่เราบอกมาเคร่าๆน่ะ ถ้าใครคิดจะสอนเด็ก ไม่ว่าจะวิชาอะไรก็ตาม ก็ค้นข้อมูลจาก Internet มาสร้างสื่อการสอนพลิกแพลงหลากหลายได้หมด ไม่จำเป็นต้องมานั่งกลุ้มใจหรือท้อใจ ทักษะต่างๆรวมทั้งทักษะการสอนหนังสือ มันต้องค่อยๆคิดค้นและพัฒนาไปเรื่อยๆโดยไล่ล่าหาแหล่งความรู้ดีๆแบบเจาะลึก
^
สมัยนี้ google กับความรู้ภาษาอังกฤษเป็นใหญ่ (ข้อมูลเพื่อเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆส่วนใหญ่ผู้เชี่ยวชาญเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ)
แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 55 21:11:40
แก้ไขเมื่อ 22 ส.ค. 55 21:06:43

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 55 12:03:56