ความคิดเห็นที่ 1 การที่แม่ทัพซูคอฟได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ว่าราชการเยอรมันฝั่งของโซเวียตนั้น..จัดว่าเป็นหน้าที่ที่ครอบคลุมไปทุกภาคส่วน แม่ว่าแต่ละส่วนจะมีหน่วยงานกำกับดูแลกันอยู่แล้ว แต่..ต้องมาขึ้นตรงกับแม่ทัพซูคอฟอยู่ดี..รวมไปถึง อีกตำแหน่งหนึ่ง ใน ACC ( Allied Control Council) ที่ต้องประสานไปกับเหล่าแม่ทัพของสพม. ในการประชุมกันระหว่าบิ๊กๆทั้งหลายนั้น คือ วันที่ 5  มิถุนายน 1945 อันเป็นวันที่ทุกคนจะต้องมาลงนามในสัญญาพันธะและข้อตกลงต่างๆ ทางฝ่ายสพม. ต้องการที่จะมีการดำเนินการให้ชัดเจนและเด็ดขาดไป..ในข้อตกลงว่ากันด้วยวาจาเอาไว้ แต่..แม่ทัพซูคอฟ (ที่ทำหน้่าที่เป็นร่างทรงของสตาลิน) แย้งว่า...จะไม่มีการลงนามใดๆ นอกจากฝ่ายสพม. จะต้องนำกำลังทหารออกไปให้หมดจากพื้นที่ที่เป็นของโซเวียตก่อน เล่นเอาแม่ทัพไอเซ่นฮาร์ชักฉุนแบบห้ามไม่อยู่...ในช่วงของการกินเลี้ยงหลังการประชุมนั้น..แม่ทัพไอเซ่นฮาวร์กำลังขะขอตัว ไม่ร่วมด้วย แต่แม่ทัพซูคอฟรีบมาทำใจดีสู้เสือ สัพยอกว่า.."จะจับตัวเอาไว้ให้อยู่ที่นี่แหละ...ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น..." แม่ทัพไอเซ่นฮาวร์ ฝืนใจอยู่ตามมารยาทแค่จบการร่วมรับประทานอาหารเท่านั้น...ไม่อยู่ต่อ ทั้งนี้ทั้งนั้น..โซเวียตอยากจะกระทำการต่างๆตามที่ใจต้องการโดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีสายตาของใครมาจับจ้องอยู่..เช่นการเข้ายึดโรงงาน และ ขนของที่เป็นประโยชน์กลับไปโซเวียต แต่โดยทั่วๆไป..สองแม่ทัพนั้น..เข้ากันได้ดีมีการและเปลี่ยนเหรียญกล้าหาญชั้นอัศวินให้แก่กัน ต้นเดือนสิงหาคม 1945  แม่ทัพไอเซ่นฮาวร์และบุตรชาย John ได้เดินทางไปมอสควา เพื่อร่วมในพิธีพาเหรดสดุดีวีรชนนักกีฬา (อยากให้ดูในยูทูปที่เอามาแปะให้ค่ะ  น่ารักมาก แทบไม่น่าเชื่อว่าประเทศเพิ่งจะผ่านสงครามแบบสาหัสจนจวนเจียนจะสิ้นชาติ สามารถทำการสวนสนามได้อย่างสวยงามเช่นนี้) โดยมีแม่ทัพซูคอฟมาทำหน้าที่เป็นไกด์ส่วนตัวให้  ซึ่งการสนทนาส่วนใหญ่มักจะอยู่ในแวดวงของการบุกเข้าเบอร์ลิน ที่แม่ทัพแห่งสหรัฐได้พยายามบอกกับฝ่ายโซเวียตว่า เรื่องข่าวที่ว่ากองทัพของสหรัฐจะรีบชิงเข้าเมืองก่อนนั้น.. ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด..และทั้งหมดนั้น มันเป็นนโยบายของเชอร์ชิลล์ในเรื่องของการข่าวต่างๆที่ออกมา จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 11:33:04

ความคิดเห็นที่ 2 ภาพงานเลี้ยงกับแมีทัพไอเซ่นฮาวร์ที่ว่า... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 11:38:25

ความคิดเห็นที่ 3 ในการไปมอสควาของแม่ทัพไอเซ่นฮาวร์จึงได้ทำให้สัมพันธภาพของคนทั้งสองดีขึ้น ท่านได้บันทึกไว้ว่า "ซูคอฟเป็นคนที่ใกล้ชิดกับสตาลิน จนถึงขนาดที่พูดจากันได้อย่างสนิทสนม" ในวันของการเดินพาเหรดแสดงพลังนักกีฬานั้น เป็นวันที่ 12 สิงหาคม ที่แม่ทัพไอเซ่นฮาวร์ได้รับเกียรติขึ้นไปยืนบนปะรำอันชานของตึก Lenin's mausoleum เคียงข้างทางขวาของสตาลิน ส่วนแม่ทัพซูคอฟ ยืนอยู่ที่ข้างซ้าย สตาลินมีความประทับใจในตัวแม่ทัพแห่งสหรัฐฯเป็นอย่างมาก กล่าวถึงว่า เป็นทหารที่ยิ่งใหญ่แต่ติดดิน ไม่ออกกร่างเหมือนกับพวกแม่ทัพอื่นๆ จนนาย John Deane ทูตทหารประจำโซเวียตได้มากระซิบบอกว่า "ท่านได้ปูพื้นที่ไว้ให้พวกเราไว้อย่างดีมากเชียวขอรับ" การที่สตาลินได้เชิญแม่ทัพไอเซ่นฮาวร์ไปยังมอสควานั้น เพราะว่า ก่อนหน้านี้เองที่ทางโซเวียตได้รับการจดหมายจากประธานาธิบดี ทรูแมน ขอเชิญให้แม่ทัพซูคอฟไปยังสหรัฐอเมริกาในฐานะแขกเมือง ในจดหมายได้ระบุว่า ปธน. ทรูแมนรู้สึกประทับใจในความมีมิตรภาพของแม่ทัพซูคอฟที่ช่วยประสานให้งานระหว่าง สหรัฐและโซเวียตเป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่ง ทางโซเวียตได้ตอบกลับไปว่า...ไม่เป็นปัญหา ทางรัฐบาลกำหนดว่า การเดินทางของแม่ทัพซูคอฟไปยังอเมริกา..น่าจะสะดวกในช่วงต้นเดือนตุลาคม ซึ่งท่านก็ไม่ได้ไป...ทางอเมริกาได้ส่งจดหมายิชิญมาอีกครั้ง ในเดือนเมษายน 1946 แต่ตอนนั้น แม่ทัพซูคอฟได้ถูกส่งให้ประจำที่ชายแดนซะแล้ว...เหตุผลทางการเมือง ก็เลยไม่ได้ไปอีก.. แต่เหตุผลจริงๆ คือ การบาดหมางระหว่าง อังกฤษ อเมริกา และ โซเวียต เริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อต้นปี 1946 ในเดือนมีนาคม ที่เชอร์ชิลล์ได้เริ่มเรียก โซเวียตว่า "ม่านเหล็ก" (Iron Curtain) ในการอภิปรายที่ Fulton, Missouri ซึ่งท่านเชอร์ชิลล์ได้ปราศรัยอย่างไม่เกรงใจสตาลิน ในเรื่องที่โซเวียตได้กลืนประเทศย่อยๆทางส่วนกลางและตะวันออกของยุโรปไปเป็นพื้นที่สีแดงจนหมด นอกเหนือไปจากโปแลนด์ ไปถึง บัลเกเรีย, ฮังการี, โรเมเนีย, เชคโก และ ยูโกสลาเวีย สตาลินได้ยินเข้า..โกรธจนหนวดกระดิก ทั้งๆที่ตอนนั้นเชอร์ชิลล์ไม่ได้อยู่ในอำนาจแล้ว เพราะพ่ายจากการเลือกตั้ง..โดยเฉพาะความหลังเก่าๆที่เชอร์ชิลล์มีส่วนในการแทรกแซงของการปฏิวัติในรัสเซีย ต่อต้านคอมมิวนิสต์ เข้ามาผนวกกัน...ทำให้การบาดหมางนั้นยิ่งล้ำลึกลงไป ความจริง...ทางโซเวียต..ก็มีเหตุผลของตัวเอง ว่า.จำเป็นที่ต้องใช้กลุ่มประเทศเหล่านั้นมาเป็นกำแพงล้อม เพราะใครจะไปรู้ได้ว่าสงครามกับเยอรมันจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 11:39:29

ความคิดเห็นที่ 4 แม่ทัพซูคอฟได้ประจำการอยู่ที่เยอรมันเพียงชั่วระยะสั้นๆของในช่่วงของหลังสงคราม 1945-1946 เท่านั้น ในบันทึกของแม่ทัพไอเซ่นฮาวร์ได้มีว่า.. "ถึงแม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยกับความคิดในทฏษฎีคอมมิวนิสต์ของซูคอฟ แต่ก็ต้องยอมรับว่า เขามีความมั่นคงและมีความเชื่อมาจากส่วนลึกของหัวใจตัวเอง ไม่ใช่เชื่อเพราะฟังมาจากคนอื่น ส่วนเรื่องการรบและการทหารนั้น เขาเป็นทหารที่ผ่านสงครามหนักๆมามากกว่าใครในยุคเดียวกัน อันนี้ต้องขอยอมรับว่าเขาคือนักรบที่แท้จริง..." ส่วนในบันทึกของแม่ทัพซูคอฟที่เกี่ยวกับไอเซ่นฮาวร์ มีว่า.. "แม่ทัพไอเซ่นฮาวร์ เป็นคนที่มีเหตุผล เป็นคนที่น่าคบค้า แต่เขาก็เป็นตัวแทนของระบบทุนนิยม และ ระบบศักดินา แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ประสบความสำเร็จในการประสานสามัคคีให้กับเหล่าสัมพันธมิตรให้ยืนยงต่อไปได้ เขาเป็นคนนิสัยดี ถ่อมตัวและมีอารมณ์ขันได้ตลอดเวลา และ ที่ประทับใจที่สุด คือ เขาเข้าใจดีว่า พวกเราวโซเวียตได้ผ่านชีวิตที่ระทมทุกข์มาอย่างแสนสาหัสขนาดไหน.." แม่ทัพไอเซ่นฮาวร์ ได้หมดวาระและกลับไปยังสหรัฐอเมริกาเมื่อตอนสิ้นปี 1945 การพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างสองแม่ทัพนั้น คือวันที่ 7 พฤศจิกายน ที่กรุงเบอร์ลิน ที่แม่ทัพไอเซ่นฮาวร์ ได้ถามว่า จะกลับไปเขียนรายงานเกี่ยวกับเรื่องของการทำงานของสหรัฐ - โซเวียต และเกี่ยวข้องกับแม่ทัพซูคอฟ อันที่เป็นไปตามความจริง จะมีปัญหาหรือขัดข้องหรือไม่? และ... ขอติดต่อกันต่อไปในฐานะเพื่อน ไม่ใช่ทางภาษาราชการ..จะได้ไหม? ซึ่งคำตอบ...คือ..ไม่เป็นที่ขัดข้องแต่อย่างใด.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 11:40:50

ความคิดเห็นที่ 5 แม่ทัพซูคอฟได้กลับไปมอสควาในเดือนเมษายน 1946 โดยไม่ระแคะระคายเลยสักนิดว่า...ดวงของตัวเองกำลังจะเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ...จากวีรบุรุษกำลังจะถูกป้ายสีว่าเป็นกบฎ.. ในเดือนมิถุนายน 1946 สตาลินได้รียกประชุมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด รวมทั้ง นายเบเรีย ซึ่งเรียกถามความเห็นในเรื่องข่าวที่แม่ทัพซูคอฟได้มีส่วนร่วมในการขัดแย้งต่างๆ และ ไม่มีความจงรักภักดีต่อผู้บังคับบัญชา..สตาลิน การประชุมกึ่งสอบสวนเป็นไปอย่างเข้มข้น เพราะมีหลายแม่ทัพที่อยู่ฝ่ายข้้างแม่ทัพซูคอฟ แต่ผลสรุปคือ สตาลินได้สั่งย้ายและลดตำแหน่งแม่ทัพซูคอฟจากผู้บัญชาการกองกำลังสูงสุด ไปเป็นแม่ทัพที่ชายแดนฝั่งไครเมีย ผู้ที่มารับตำแหน่งต่อจาก แม่ทัพซูคอฟ คือ แม่ทัพโคเนฟ... โดยหลักฐานจาก แม่ทัพอากาศ A.A. Novikov ที่ถูกปลดไปเมื่อเดือน มีนาคม ในโทษฐานที่ผลิตเครื่องบินไม่มีคุณภาพพอ ต่อสงครามที่ผ่านมา ซึ่งแม่ทัพซูคอฟ (ในฐานะที่เป็นผบ. สูงสุด มีชื่อเป็นประธานบอร์ดในการผลิต...ตามธรรมเนียม) ซึ่งมีการจับตัวแม่ทัพอากาศ โนวิคอฟ ไปทำการสอบสวน ซึ่งได้มีการทำรายงานว่า แม่ทัพซูคอฟมีส่วนเกี่ยวข้องในการผลิต รวมไปถึงกล่าวหาว่า แม่ทัพซูคอฟเป็นคนที่อหังการ์ และ ไม่มีความภักดีกับท่านผู้นำ สตาลินเลือกที่จะเชื่อในขอความนี้...นั่นคือที่มาของการย้ายและลดตำแหน่ง.. แม่ทัพอากาศโนวิคอฟ ได้ถูกจับจองจำอยู่นาน ได้รับการปล่อยตัวหลังจากการเสียชีวิตของสตาลิน และเขาได้สารภาพว่า... "ที่ต้องให้การไปอย่างนั้น  เพราะ ถูกบังคับและถูกซ้อม" แม่ทัพซูคอฟได้ไปประจำที่ Odessa Military District, Crimea ในระดับแค่แม่ทัพภาค... และจากนั้นมา..ชื่อของแม่ทัพได้ถูกลบไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของการ กอบกู้โซเวียต เหลือไว้แต่การเขียนบทสงครามขึ้นมาใหม่ ที่มีวีรบุรุษที่มีชื่อต่างๆออกไป  เท่านั้นไม่พอ...ยังกล่าวโทษแม่ทัพซูคอฟด้วยอีกต่างหากว่า ใช้ทหารเปลือง...ใช้เวลานานกว่าจะเข้ายึดเบอร์ลินได้ ซึ่งถ้าเป็นแม่ทัพอื่น.. การเข้าเบอร์ลินจะเร็วกว่านั้นอีกสองเดือน.. ไม่ว่าอะไรก็ตาม...แม่ทัพซูคอฟ...ผิดไปทั้งหมด.. ทั้งหมดทั้งมวล มาจากความหวั่นไหวของสตาลินต่ออำนาจที่มี..หวั่นไหวต่อ การเปลี่ยนแปลงที่มีคนมาเทียบรัศมี ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่แม่ทัพซูคอฟคนเดียว แต่มีคนอื่นๆด้วย เพียงแต่กรณีของแม่ทัพนั้น..สาหัสสากรรจ์มากกว่าใคร ในปี 1949 สตาลินได้สั่งปลด โมโลตอฟ รมต.ต่างประเทศ ด้วยข้อหาที่นายโมโลคอฟไม่สนับสนุนนโยบายต่อต้านยิว (ก็เมียนายโมโลตอฟเป็นยิว) ภาพ A.A. Novikov  (Alexander Alexandrovich Novikov) จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 11:44:21

ความคิดเห็นที่ 6 แม่ทัพซูคอฟได้เดินทางไปประจำการที่ฐานเมืองโอเดสซ่า เมื่อกลางเดือนมิถุนายน ท่านได้พูดกับนาย Konstantin Simonov ว่า "เราทำใจได้นะ..เรารู้ว่าเขาพยายามบีบเราให้ลาออกเพราะการลดตำแหน่งแบบไม่ไว้หน้าเช่นนี้..แต่เราไม่สนใจหรอก เล่นกับของมีคม..สักวันหนึ่งมันก็ต้องบาดมือตัวเองอย่างนี้แหละ ดีเสียอีก..เราจะได้พักผ่อน กลับไปเป็นตัวของตัวเองเสียที" และท่านก็ได้ทำเช่นนั้นจริงๆ โดยการพาครอบครัวไปพักผ่อน เดินทางไปฮอลิเดย์ที่ Sochi ที่อยู่อีกฟากฝั่งของทะเลดำ โดยมีแม่ทัพโรโคซอฟสกี้และครอบครัวติดตามไปด้วย.. แต่เคราะห์กรรมของท่านยังไม่หมดแค่นั้น...มารยังตามมาผจญอย่างไม่มีสิ้นสุด.. ในวันที่ 23 สิงหาคม แม่ทัพบัลกานิน ได้รายงานตรงต่อสตาลินว่า มีเจ็ดขบวนโบกี้ในรถไฟขบวนหนึ่ง บรรทุกเฟอร์นิเจอร์จากเยอรมันกว่าแปดสิบห้ากล่องได้ถูกกักไว้ที่ชายแดนโปแลนด์ สืบทราบได้ว่าเป็นของแม่ทัพซูคอฟ ขบวนรถไฟขบวนนั้นได้รับอนุญาตให้ไปถึงโอเดสซ่า แต่เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้รับคำสั่งมาว่า ห้ามไม่ให้สิทธิพิเศษใดๆแก่ผู้รับที่เป็นถึงจอมพล ในเดือนกุมภาพันธ์ 1947 แม่ทัพซุคอฟได้ถูกคัดชื่อออกจากผู้แทนสภากลาง (ไม่ใช่จากการเลือกตั้ง หากแต่มาจากการแต่งตั้ง) ในข้อหาว่า มีพฤติกรรมที่ต่อต้านระบบสภา แม่ทัพซูคอฟเห็นทีว่ามันชักจะมากไป..ท่านได้เขียนจดหมายไปถึงสตาลินในวันที่ 21 เดือนเดียวกันว่า.. "การที่กระผมคัดชื่อให้ออกไปจากสภาผู้แทนกลางนั้น...มันเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และกระผมรู้สึกเสียใจมาก กระผทไม่ใช่คนที่ฝักใฝ่หาตำแหน่ง และไม่รู้สึกน้อยใจที่ถูกลดชั้นจาก ผู้บัญชาการกองทัพมาอยู่ในตำแหน่งชายแดนนี้จนล่วงไปเก้าเดือนแล้ว..กระผมอยากให้ท่านลองพิจารณาดูใหม่ว่าข้อกล่าวหาที่กระผมได้รับนั้น มันมีมูลหรือไม่..อย่างไร เก้าเดือนที่ผ่านมา..กระผมทำงานอย่างเต็มที่..แต่ไม่มีใครเคยมาดูหรือมาทำการประเมินผลงานเลยแม้แต่ครั้งเดียว ขอวิงวอนท่านผู้นำโปรดฟังกระผมบ้าง..ในเรื่องที่กระผมถูกกล่าวร้ายป้ายสีและถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่มีวันเลิกรา...คนพวกนี้ไม่มีความหวังดี ไม่ว่าต่อกระผม หรือ ต่อท่าน..." วันที่ 27 กุมภาพันธ์  แม่ทัพซูคอฟได้เขียนจดหมายตามไปอีกฉบับ..ว่า.. "ท่านคอมราดสตาลิน ท่านคงทราบดีแก่ใจว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเข้ารบแบบเสี่ยงตาย...กระผมไม่เคยกริ่งเกรงศัตรูหน้าไหนทั้งสิ้น เพราะหน้าที่ของกระผม คือ ต้องทำงานที่ท่านต้องการให้เสร็จลุล่วงไปด้วยดี..อาจจะมีการผิดพลาดบ้าง..แต่กระผมไม่เคยทำตัวให้เป็นพิษเป็นภัยกับประเทศชาติของเรา หรือ กับท่าน.." จดหมายทั้งสองฉบับได้ถึงมือสตาลิน แต่...ไม่มีคำตอบใดๆ... หากแต่การกลั่นแกล้ง...ยังดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด...ตัวอย่าง.. ในเดือนมิถุนายน  1947 ที่มีข้อกล่าวหาตามมาในเรื่องการกระทำที่ไม่เหมาะไม่ควร...ในเรื่องที่แม่ทัพซูคอฟไปเป็นประธานในพิธีมอบประกาศสดุดีแก่ ดารานักร้อง Lidiya Andreevna Ruslanova ที่เธอได้เข้าไปทำการแสดงปลอบขวัญทหารโซเวียตที่เบอร์ลินในปี 1945  ในตอนนั้น แม่ทัพซูคอฟได้ไปเล่นแอคคอเดี้ยน คลอตามไปด้วย... (ลิดายา..บอกว่า..ฝีมือไม่เลว ในฐานะที่เป็นทหาร) ผู้ลงนามในใบประกาศ คือ นายทหารคนสนิท นายพล K.F. Telegin แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 55 15:26:46 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 11:51:05

ความคิดเห็นที่ 7 พอแม่ทัพซูคอฟอับแสงลง...บุคคลเหล่านั้น Lidiya รวมทั้งสามีของเธอ นายพล V.V. Krukov และนายพล K.F. Telegin ได้ถูกนำตัวไปสอบสวนและถูกคุมขัง ด้วยถือว่าเป็นเครือข่ายของแม่ทัพซูคอฟ...ซึ่งแม่ทัพบันทึกไว้ว่า.. "ในปี 1947 เรานั่งรอทุกวันเลยว่า..เขาจะมาจับเมื่อไหร่..เราเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้าไว้พร้อมเลย มีพร้อมทั้งชุดชั้นนอกและชั้นใน.." จากนั้นมา..เป็นเรื่องการสอบทรัพย์สิน...ในต้นปี 1948  ได้มีหมายออกมาให้เข้าทำการค้นบ้านที่มอสควา และ เรือนพักร้อนนอกเมือง   ผู้ที่เข้าทำการตรวจค้นได้รายงานมาว่า...ไม่น่าเชื่อว่าจะเป้นบ้านในโซเวียต เพราะดูแล้วเหมือนกับบ้านของชาวเยอรมันมากกว่า เพราะเครื่องเรือน เครื่องใช้่ ภาพศิลป ล้วนแล้วแต่เป็นของนำมาจากเยอรมัน ซึ่งแม่ทัพได้แย้งว่า...ของส่วนใหญ่ท่านซื้อหามาเอง..และบางส่วนเป็นของขวัญที่ได้มา.. ซึ่งทางการบอกว่า..ผิดระบอบคอมมิวนิสต์ เพราะของที่ได้มาจะต้องส่งมอบแก่รัฐ..ตามระบบคอมมูน.. ทั้งหมดก็เลยถูกยึดไป... ทีนี้มาถึงการสอยผู้ใกล้ชิด...ทส. คนสนิท นายพล A.S. Semochkin ที่ติดตามรับใช้มาตั้งแต่ 1940-1946 และทีมงาน ถูกควบคุมตัว... ข้อหาทั้งหมดนี้...ทางกองทัพได้สั่งย้านแม่ทัพซูคอฟให้ไปประจำอยู่ที่ Ural Military District ใน Sverdlovsk (กันดารออกไปอีก) แม่ทัพซูคอฟได้มุ่งเป้าไปที่ตัวการที่อยู่เบื้องหลังการกลั่นแกล้งนี้ คือ เบเรีย กับผู้ช่วย Viktor Abakumov โดยที่ไม่คิดว่าจะเป็นสตาลิน  อีกทั้งแม่ทัพยังเชื่อด้วยว่า เป็นเพราะสตาลินช่วยท่านไว้ต่างหาก ท่านถึงไม่โดนจับกุมและควบคุมตัวเหมือนคนอื่นๆ (ทั้งเบเรียและอบาคูมอฟ ต่างก็มารับกรรมที่ตัวเองก่อไว้หลังว่าที่สตาลินสิ้นบุญไปไม่เท่าไหร่...) แต่...ในความเป็นจริงแล้วคนอย่างเบเรีย และผุ้ช่วยจะหาญกล้างัดไม้ซุงอย่สงแม่ทัพซูคอฟได้อย่างไร....ถ้าสตาลินไม่เป็นใจ.. สตาลินคือผุ้กำหนดการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการยัดเยียดข้อหา หรือ การโยกย้ายไปที่โน่นที่นี่.. รวมไปถึงการเขียนประวัติศาสตร์ของการสู้รบใหม่...ที่ไม่มีชื่อของแม่ทัพซูคอฟอยู่ในส่วนไหนเลย.. ที่ร้ายกาจที่สุด คือ การสนทนาระหว่างนายพล Gordov (แม่ทัพหนึ่งในสงครามสตาลินกราด) และ นายพล Rybalchenko (แม่ทัพแห่งฐานที่แม่น้ำโวลก้า) ที่มีคนได้ยินและไปฟ้องเบเรียว่า..มีการตำหนิการกระทำของท่านผู้นำสตาลินที่มีแต่แม่ทัพซูคอฟ... สองนายพลถูกจับ..และ...ตัดสินประหารชีวิต... พวกผู้รับเคราะห์กรรมที่ถูกจองจำจากกรณีของแม่ทัพซูคอฟนั้น..ต่างก็ได้รับการปลดปล่อยหลังจากที่สตาลินได้ลาโลกไป.. ในส่วนแม่ทัพซูคอฟ...ท่านได้พยายามอย่างเต็มที่ในการที่จะขออภัยโทษให้แก่กลุ่มนายทหารคนสนิท อย่างนายพล Krukov และ ทีมงาน เพราะราศีพ้นเคราะห์ของท่านได้เริ่มฉายแสงมาก่อนที่สตาลินจะสิ้นบุญ...นั่นคือ...แม่ทัพ วาสิเลฟสกี้ ได้ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกลาโหม ในปี 1949 ซึ่ง..แม่ทัพวาสิเลฟสกี้นั้น..หาใช่ใครอื่น...คือ พ่อสามีของ Era  ธิดาของแม่ทัพซูคอฟ..(เอร่า แต่งงานกับยูริ ลูกชายของแม่ทัพวาสิเลฟสกี้ในปี 1948) จากนั้นมา...ดูเหมือนว่า..กระแสการกลั่นแกล้งแม่ทัพซูคอฟได้แผ่วไปอย่างเห็นได้ชัด การแต่งตั้งในตำแหน่งต่างในสภาท้องถิ่นก็ได้เริ่มมีชื่อของแม่ทัพซูคอฟขึ้นมาผงาดอีกครั้ง ในปี 1951 แม่ทัพได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนในการประชุมที่กรุงวอซอว์ ซึ่งท่านได้พบกับแม่ทัพโรโคซอฟสกี้ ที่ได้ดำรงตำแหน่งในฐานะรัฐมนตรีว่าการกลาโหมแห่งโปแลนด์ ซึ่งหนังสือพิมพ์ปราฟดา ได้ลงตีพิมพ์ถึงคำปราศรัยของแม่ทัพซูคอฟและประวัติการสู้รบของท่านทั้งฉบับ.. V.V. Krukov จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 11:58:31

ความคิดเห็นที่ 8 เดือนตุลาคม 1952  แม่ทัพซูคอฟได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนในสภากลางอีกครั้ง....ณ.ที่นั้น ท่านก็ได้พบกับผู้แทนที่ได้รับเลือกเข้ามาอีกคนหนึ่ง คือ นักเขียนข่าวสารสงคราม (เป็นกวี และนักประพันธ์ด้วย) Konstantin Simonov ซึ่งนายซิโมนอฟนี้..เคยเข้าพบและทำการสัมภาษณ์ท่านแม่ทัพมาตั้งแต่เมื่อสงคราม คาลกินคอล ในปี 1939 นายซิโมนอฟได้นำเรื่องสงครามครั้งนั้นไปเขียนเป็นหนังสือ ออกตีพิมพ์ขาย...ถึงแม้เขาจะไม่ได้เอ่ยชื่อของแม่ทัพซูคอฟ (แบบตรงๆ) แต่ในใจความนั้น ได้แสดงความสดุดีในความกล้าหาญของ"ท่านแม่ทัพใหญ่" ได้อย่างเต็มเปี่ยม เมื่อปีแห่งความร้ายกาจ 1941  นายซิโมนอฟคนนี้ ได้เขียนโคลงขึ้นมาบทหนึ่ง ที่กินใจและซาบซึ้งจนกลายเป้นบทกวีอมตะของประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ ชื่อว่า "Wait for me.." เนื่องจากปีนั้นเป็นปีที่ฮิตเล่อร์บุกโซเวียต  ซิโมนอฟ วัย 25 กำลังตกอยู่ในห้วงรักกับนักแสดงสาว  Valentina Serova สงครามทำให้เขาต้องออกไปทำหน้าที่นักข่าวที่แนวหน้า แฟนสาวได้มาส่งที่สถานีรถไฟ...ระหว่างที่รถไฟที่กำลังเคลื่อนตัวออกไปจากสถานี และ จากหญิงผู้เป็นที่รัก...เขาได้เขียนไว้ว่า... to Valentina Serova Wait for me, and I'll come back! Wait with all you've got! Wait, when dreary yellow rains Tell you, you should not. Wait when snow is falling fast, Wait when summer's hot, Wait when yesterdays are past, Others are forgot. Wait, when from that far-off place, Letters don't arrive. Wait, when those with whom you wait Doubt if I'm alive. Wait for me, and I'll come back! Wait in patience yet When they tell you off by heart That you should forget. Even when my dearest ones Say that I am lost, Even when my friends give up, Sit and count the cost, Drink a glass of bitter wine To the fallen friend - Wait! And do not drink with them! Wait until the end! Wait for me and I'll come back, Dodging every fate! "What a bit of luck!" they'll say, Those that would not  wait. They will never understand How amidst the strife, By your waiting for me, dear, You had saved my life. Only you and I will know How you got me through. Simply - you knew how to wait - No one else but you. 1941 Konstantin Simonov จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 12:01:40

ความคิดเห็นที่ 9 ในช่วงของหลังสงครามกับช่วงปีต้นๆของ 1950s นั้น ค่อนข้างวุ่นวายและยุ่งเหยิงสำหรับชีวิตของแม่ทัพซูคอฟ ทั้งเรื่องการงาน ชะตาชีวิต และ "ความรัก" ตอนที่ท่านได้ถูกย้ายไปที่ ฐานทัพ โอเดสซ่า ในปี 1946 นั้น อเล็กซานดรา ภริยาของท่านได้ติดตามไปด้วย หากแต่ธิดาทั้งสองยังคงอยู่ในมอสควา ไปเยี่ยมเฉพาะตอนวันหยุด แต่ท่านแม่ทัพก็เล่นสับรางระหว่างสองหญิงได้อย่างแล้วรอดปลอดภัย นั่นคือ ศรีภริยา กับอีหนูกิ๊กสาว  Lida Zakharova ที่ถือว่าเป็นอนุภรรรยา (ในช่วงสงคราม) จนกระทั่ง...แม่ทัพซูคอฟต้องมีอันเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจ ในฤดูร้อนของปี 1950.... ที่โรงพยาบาลนั่นเอง..แม่ทัพได้พบกับแพทย์หญิง นามว่า Dr. Galina Semonova ซึ่งท่านได้รู้สึกว่าตกหลุมรักในแพทย์สาวคนนี้อย่างทันที.. และทำการติดต่อเรื่อยมาจนกาลินาได้กลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตที่ขาดไม่ได้... แม่ทัพซูคอฟได้เปลี่ยนมาเป็นหนุ่มที่ขยันเขียนจดหมายรักขึ้นมาอีกครั้ง.. กว่าที่อเล็กซานดรา ภริยาหลวงจะรู้ตัว...ก็เมื่อคุณหมอกาลินาได้คลอดธิดามาให้ แม่ทัพซูคอฟอีกคน..นามว่า Maria แต่เดิม...แม่ทัพได้มีลูกสาวนอกสมรสอีกคนหนึ่งที่ท่านได้ส่งเสียอยู่ นามว่า Margarita วันไล่เลี่ยกับลูกสาวทั้งสองของท่าน  ต่างไม่รู้จักกัน จนกระทั่ง มาร์การิต้าได้เข้ามหาวิทยาลัยมอสควา คณะนิติศาสตร์  ซึ่งเป็นคณะเดียวกันกับ Era กำลังศึกษาอยู่....ความจึงแตก... เมื่อรู้ถึงหูอเล็กซานดร้า เธอจึงสั่งห้ามไม่ให้เอร่าติดต่อกับมาร์การิต้าอีกต่อไป.. อีกทั้งออกคำสั่งให้ แม่ทัพซูคอฟผู้สามี ทำการจดทะเบียนสมรสกับเธอใหม่ เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจและเพื่อเป็นการประกันความมั่นคงให้กับครอบครัว เนื่องจากของเก่านั้นจดมาตั้งแต่ 1920s ..และมันได้สูญหายไปแล้ว.. ในหนังสือไม่ได้บอกว่า..ท่านยอมจดหรือไม่...แต่บอกว่า..แม่ทัพซูคอฟและอเล็กซานดร้า ได้หย่าขาดจากกันในปี 1965 มาแต่งงานใหม่กับคุณหมอกาลิน่า ในปีรุ่งขึ้น 1966 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 12:08:27

ความคิดเห็นที่ 10 แวะมาส่งข่าวคุณ aunty36 ว่า อย่าเพิ่งเคืองนะคะ  กำลังปั่นต้นฉบับโรมานอฟอยู่... และขอทวงภาพจากคุณวาดด้วยค่ะ...กระทู้ที่แล้ว..ภาพไม่ขึ้นค่ะ แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 55 12:11:40 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 12:11:12

ความคิดเห็นที่ 11 ทำไมคนอังกฤษ ถึงไม่เลือกเชอชิลด์ล่ะครับ ทั้งๆที่นำประเทศฝ่าวิกฤตเกือบสิ้นชาติมาได้ จากคุณ : AKB-SKE เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 12:42:30

ความคิดเห็นที่ 12 ลองอีกทีค่ะ ทัศนียภาพจากวัด Waujeongsa ประเทศเกาหลี จากคุณ : vad (vad) เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 14:02:29

ความคิดเห็นที่ 13 ได้แล้ว เย้ๆๆๆ จากคุณ : vad (vad) เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 14:03:09

ความคิดเห็นที่ 14 @ คุณ AKB-SKE ชาวอังกฤษยังรักเชอร์ชิลล์ค่ะ  แต่...เขาเลือกพรรค ไม่ได้เลือกคน... หลังสงคราม..อังกฤษบอบช้ำมากเพราะบ้านช่องถูกถล่มจาก The Battle of Britain  แน่นอนว่า คนชั้นกลางส่วนใหญ่ได้กลายมาเป็นคนจน  ดังนั้น พอมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น..ประชาชนส่วนใหญ่เขาต้องการการเยียวยาในทุกๆด้าน..สวัสดิการ และ ความช่วยเหลืออื่นๆ.. พรรคกรรมกรของนายแอตลี ได้มีนโยบายที่ชัดเจน คือ ความกินดีอยู่ดีของประชาชนต้องมาก่อนอื่นใด... อีกทั้งการเลือกตั้งเป็นไปในตอนต้นเดือนกรกฏาคม ที่สถานะการณ์เรื่องสงคราม... ว่าเยอรมันจะแพ้หรือไม่แพ้ยังไง ยังไม่ชัดเจน...(ประชาชนยังหวั่นใจว่า พรรค Conservative จะลากประเทศเข้าสู่สงครามต่อไปอีก) จนมาประกาศชัยชนะเอาจริงๆก็ตอนปลายเดือนกรกฏาคม แต่การเลือกตั้งในอังกฤษก็เสร็จสิ้นไปแล้ว..นายกรัฐมนตรีคนใหม่คือ นาย Clement Attlee  แห่งพรรคกรรมกร เชอร์ชิลล์ได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งในปี 1951 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 15:24:16

ความคิดเห็นที่ 15 เสร็จนาฆ่าโคถึก    เสร็จศึกฆ่าขุนพล จะว่าไป    นายพลซูคอฟได้มีบทบาทหลังสงครามโลก     ในสงครามระหว่างเหมากับเจียงมั้ยครับ     แล้วก็สงครามเกาหลีด้วย จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 55 19:11:28

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นตัวจริงคุณวิวันดาแล้ว ขออนุญาตเรียกคุณป้านะคะ วันนี้นำภาพ Cheonggyecheon Stream จากกรุงโซลมาฝากค่ะ จะว่าไป ขอเรื่องสงครามเกาหลีที่ถูกญี่ปุ่นย่ำยีหน่อยจะได้ไหมคะ ไกด์เล่าให้ฟังพอคร่าวๆ แต่ไม่จุใจ คุณป้าช่วยเล่าให้ฟังหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : vad (vad) เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 14:25:10

ความคิดเห็นที่ 17 @ คุณ zodiac28   หลังจากเบอร์ลิน..แม่ทัพซูคอฟไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องรบแล้วค่ะ  ท่านถูก"ดอง" ไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เข้ามีส่วนเกี่ยวกับการเมือง...และ...การผลิต/ทดลอง ระเบิดนิวเคลียร์ (กำลังจะเล่าต่อไป) ดิฉันสนใจในเรื่องการลบชื่อท่านออกไปจากประวัติศาสตร์ของโซเวียต...ตอนอ่านหนังสือเรื่องนี้ในปีก่อนๆ ยังแปลกใจว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร...เลยไปสั่งซื้อหนังของโซเวียตมาดู ที่สร้างเมื่อปี 1949 เรื่อง The fall of Berlin (The restored Soviet WW2 Epic) สร้างโดย Mikhail Chiaureli จัดว่า..ยิ่งใหญ่ในประเทศโซเวียต (ประมาณ Ben - Hur จากฮอลลีวู๊ด) ปรากฏว่า...จริงๆด้วย....ไม่มีการกล่าวถึงแม่ทัพซูคอฟในการรบเลย (นอกจากตอนที่เข้าประชุมเพียงเสี้ยววินาที) ทั้งเรื่อง...สดุดีแต่สตาลินราวกับเป็นพระเจ้า (เพียงคนเดียว.....) ที่อดขำไม่ได้..คือ....เขามีความสามารถหาดาราที่หน้าตาเหมือนตัวจริงแทบทุกคน...อย่างปธน. รูสเวลต์ นี่เหมือนทั้งรูปร่างและหน้าตา...แม้ว่าดีเทลเฉพาะตัว เช่น การเดินขากระเผลกของนายเกิบเบิ้ลส์ หรือ การพูดของเชอร์ชิลล์ ถ้าคุณ zodiac28 สนใจอยากดู และ จะเอาไปแบ่งปันเพื่อนๆที่สนใจในกระทู้ บอกที่อยู่ทางหลังไมค์มาซิคะ...จะส่งให้... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 22:45:00

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ  vad ที่รัก เห็นบ้านเมืองไหนๆแล้วก็ชื่นชมในความมีระเบียบของเขาจริงๆ...คนไทยเราชินกับความรุงรัง.. จึงมองไม่เห็นว่า..สิ่งที่บดบังความสวยงามของบ้านเรือนเราคือ ป้ายโฆษณาที่ติดตั้งกันทั่วไปหมด ส่วนเรื่องสงครามญี่ปุ่น - เกาหลี นี่เป็นเรื่องยาวมากนะคะ เพราะเขาเริ่มกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบหก  มีสงครามทีไร..เราก็จะได้เห็นความก้าวหน้าทางเชิงอาวุธที่แต่ละฝ่ายสรรหามาเข่นฆ่ากัน... เอาชนะกัน...หรืออีกนัยหนึ่ง..เป็นการปกป้องตัวเอง อย่างสงครามกับญี่ปุ่นในศตวรรษที่สิบหกที่ว่านั่น เกาหลีได้คิดค้นเครื่องมือยิงธนูออกมาได้ ครั้งละสองร้อยดอก..เรียกว่า Hwacha จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 23:05:20

ความคิดเห็นที่ 19 และ Hwacha  นั้น...ได้พัฒนามาเป็น คาตีอุสช่า.. Katyusha  (rocket launcher) หรือ ที่เรียกกันว่า Stalin's organ ในศตวรรษที่ยี่สิบ... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 23:09:52

ความคิดเห็นที่ 20 คุณWIWANDA ขอบคุณมากครับ   แต่อย่าดีกว่า     คงฟังรัสเซียไม่รู้เรื่อง     รึอาจมีซับอังกฤษ   แต่ผมก็ไม่เชี่ยวชาญขนาดนั้นน่ะครับ เรื่องตัวแสดงนี่คงไม่ยากเย็นนักหรอกครับ    คนโซเวียตตอนนั้นมีตั้ง150ล้านคน    จะหาคนหน้าเหมือนซักกี่คนก็ยังได้ จะว่าไปก็อยากจะรู้นะครับ         ว่าถ้าเยอรมันไม่มีห่วงทางอังกฤษ    ยกทัพทั้งหมดเข้าโซเวียตอย่างไม่มีกั๊กนี่    โซเวียตจะเอาอยู่รึเปล่า     กับอีกแบบถ้าญี่ปุ่นตัดสินใจส่งทัพเข้าโจมตีจากทางไซบีเรียอีกทาง     ผลจะเป็นอย่างไร จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 55 02:38:44

ความคิดเห็นที่ 21 มีซับอังกฤษค่ะ...ขืนเป็นภาษารัสเซีย ก็คงไม่รู้เรื่องเหมือนกัน อิอิอิ เรื่องเยอรมันบุกรัสเซียเนี่ยนะคะ  ถ้าลุยไปแบบทัพใหญ่ให้ถึงมอสควาเลย...รับรองว่าจบเห่ แม้แต่สตาลินเอง..ตอนที่เลนินกราดถูกปิดล้อม...ยังร่ำๆจะขอเจรจาสงบศึกอยู่เลย.. โชคดี..ที่มีอังกฤษและอเมริกาจับมือกัน..ช่วยหนุนหลังให้... ไม่งั้น..ประวัติศาสตร์คงจะพลิกไปเป็นคนละเรื่องอย่างในปัจจุบันเลยละค่ะ... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 55 03:03:55

ความคิดเห็นที่ 22 วันที่ 4 มีนาคม 1953 เสียงโทรศัพท์จากบัลกานินมาตามหาให้บินเข้าไปพบด่วน... แม่ทัพซูคอฟได้เข้าไปถึงในมอสควาในวันรุ่งขึ้น  บัลกานินได้รีบรุนตัวเขาเข้าที่ประชุมอย่างทันที ในที่นั้น..เต็มไปด้วยเหล่าเสนาธิการชั้นแม่ทัพ นั่งรออยู่...ทุกคนได้รับข่าวพร้อมกันว่า..สตาลินกำลังป่วยหนัก.. และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมาของวันเดียวกัน.. การประชุมจึงต้องเปลี่ยนญัตติกันอย่างรวดเร็ว..เป็นญัตติของการวางตำแหน่งนายทหารกันใหม่...บัลกานินเข้ารับตำแหน่งรมต. กลาโหม และรอง รมต. สองคน..คือ แม่ทัพซูคอฟ และ แม่ทัพวาสิเลฟสกี้ ส่วนฝ่ายการเมือง Georgy Malenkov ได้รับเลือกให้เป็นประธานสภา (หรือ นายกรัฐมนตรี) รมต.ต่างประเทศ..คือ นาย Molotov อีกครั้ง (หลังจากที่ถูกแขวนไปพร้อมๆกับแม่ทัพซูคอฟ ตอนหลังสงคราม) ส่วนตำแหน่งเลขาพรรคนั้น นายครุสเชฟ ได้ทำหน้าที่อยู่เช่นเดิม เหมือนสมัยที่สตาลินยังอยู่...เพราะเขามีอิทธิพลอยู่มากในแวดวงของกลุ่มคอมราดหัวรุนแรง แม่ทัพซูคอฟ..รู้สึกประหลาดใจต่อการที่ได้รับเลือก..เพราะเป็นที่ทราบดีว่า สัมพันธภาพระหว่างเขาและบัลกานินนั้น..ห่างไกลต่อคำว่ามิตรภาพ.. ที่มาทราบทีหลังว่า..บัลกานินไม่ใช่เป็นคนเลือก หากแต่เป็นเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมของเสนาธิการชั้นหัวกระทิต่างหาก ที่ทำให้บัลกานินต้องยอม แต่แม่ทัพซูคอฟ..ก็ได้เข้าไปเจรจาตรงๆกับเจ้าตัวเลยว่า.. "นายได้เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับเราอย่างแสนสาหัสก็จริง..แต่ถ้านายมีความจริงใจในการทำงานร่วมกันครั้งนี้...เรายินดีที่จะลืมเรื่องแย่ๆในอดีต แล้วหันหน้ามาร่วมมือกันทำงาน.." ในงานศพของสตาลิน วันที่ 9 มีนาคม แม่ทัพซูคอฟได้ทำหน้าที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอย่างแข็งขัน ส่วนผู้ที่กล่าวคำไว้อาลัยกลางจตุรัสแดง เป็นหน้าที่ของแม่ทัพวาสิเลฟสกี้ในฐานะตัวแทนของกองทัพ แม่ทัพซูคอฟได้บันทึกไว้ว่า... "ถึงแม้ว่าหลังสงครามกู้ชาติมานี่...สตาลินจะร้ายกาจกับเราแค่ไหน ..แต่เราก็ยังรำลึกในส่วนดีของท่านอยู่เสมอ..." วันที่ 15 มีนาคม คือวันที่มีการประกาศรับรองตำแหน่งรอง รมต. กลาโหมของแม่ทัพซูคอฟอย่างเป็นทางการ รวมทั้ง ได้เป็นวันที่กลาโหมแห่งโซเวียตได้ผนวกกองทัพเรือเข้ามารวมกัน งานชิ้นแรกที่แม่ทัพซูคอฟได้เริ่มประเดิมการเข้ามารับตำแหน่ง..คือ..งานที่ทุกคนพร้อมใจมอบหมายให้ท่านเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง..กล่าวคือ รมต. บัลกานินได้ให้แม่ทัพซูคอฟเข้าพบ เพื่อปรึกษาธุระสำคัญ..ในวันที่ 26 มิถุนายน ผู้ที่เข้าร่วมรับฟัง มี ท่านนายกฯ มาเลงคอฟ, ครุสเชฟ, โมโลตอฟ และ เหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ นายกฯ มาเลงคอฟ ได้เปิดการประชุมว่า...ได้พบหลักฐานสำคัญว่านายเบเรีย กำลังจะคิดการใหญ่ล้มล้างแกนนำของพรรคเพื่อก้าวสู่อำนาจ จึงจะต้องมีการจับกุมและนำตัวมาสำเร็จโทษ.. พร้อมทั้งหันไปมองที่แม่ทัพซูคอฟ...อันเป็นที่รู้กัน.. ครุสเชฟ..ถามว่า.."ข้องใจหรือเปล่า?" แม่ทัพซูคอฟตอบว่า.. "ข้องใจ...น่ะ ไม่ข้องใจหรอก...กระผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการ  เพราะไม่เคยเที่ยวไปจับใครต่อใครมาก่อน....แต่...งานนี้...กระผมยินดีรับขอเป็นเจ้าภาพเอง.." ครุสเชฟ..ยังกล่าวต่อว่า... "เบเรียอาจจะไม่ใช่หมูๆนะ ระวังตัวด้วย เขาอาจมีอาวุธอยู่กับตัว.." "งั้นเหรอ...??"   แม่ทัพซูคอฟตอบไปอย่างขำๆ   นายกฯ มาเลงคอฟ บอกว่า..จะส่งสัญญาณให้ทราบว่าจะเป็นเมื่อไหร่.. เมื่อไหร่..นั่นคือ วันที่ 26 มิถุนายน...ในสภาเปรซิเดียม ..นายกฯ มาเลงคอฟได้ให้แม่ทัพซูคอฟและนายทหารอีกชุดหนึ่ง ไปรอฟังสัญญาณในห้องห้างๆ... ครุสเชฟได้เข้าไปพบนายเบเรีย...และกล่าวโทษเบเรียด้วยข้อหาต่างๆ รวมไปถึงเรื่องรับสินบนจากสปายของอังกฤษด้วย.. เมื่อครุสเชฟเดินออกจากห้องไป เบเรียรีบแจ้นไปหามาเลงคอฟทันที หมายจะไปฟ้อง เพราะเขากับนายกฯ นั้นสนิทสนมกัน.. แต่คราวนี้..มาเลงคอฟ..ปฏิเสธที่จะตอบข้อสงสัยให้กับเบเรีย แต่กดกริ่งสัญญาณให้ทหารและแม่ทัพซูคอฟเข้ามาปฏิบัติการ.. แม่ทัพซูคอฟเข้ารวบแขนทั้งสองข้างของเบเรีย...และลากตัวออกไปขึ้นรถที่เตรียมไว้...ที่หมายคือ คุก... เบเรียและพรรคพวกอีกหกคน....ได้ถูกตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 23 ธันวาคม ...มีบันทึกไว้ว่า.. หลังจากที่ได้ประกาศคำพิพากษา..เบเรียถึงกับทรุดตัวลงไปนั่งคุกเข่า..วิงวอนและร่ำไห้โฮราวกับเด็กๆ...มือประหารได้ให้ความปรานีโดยการใช้สไนเปอร์ระดับนายพล (General Pavel Batitsky) แบบว่า นัดเดียว...โป้ง..กลางหน้าผากเลย... *** เรื่องของเบเรียนั้น...อ่านแล้วแทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนชั่วร้ายได้อย่างขนาดนั้น   นอกจากจะเป็นจอมวางแผนสำเร็จโทษใครต่อใครในช่วงกวาดล้าง ให้กับสตาลินแล้ว.. เขายังเป็นคนที่หื่นกาม..เที่ยวชำเราไม่เลือกว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร... Georgy Malenkov จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 55 07:50:39

ความคิดเห็นที่ 23 เรื่องการตายของสตาลินนี่....ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นการกระทำของตัวเองก็ว่าได้...เพราะตั้งแต่หลังสงครามมา...สตาลินเริ่มหวั่นไหวต่อการแทรกแซงในทุกด้าน เพราะสถานะการณ์ของสงครามเย็น ที่เล่นด้วยระบบใต้ดินจากทุกฝ่าย...อิสราเอลเข้าร่วมกับกลุ่มตะวันตก.. ยิวที่สตาลินเคยวางใจเพราะส่วนใหญ่ก็เป็นคอมราดด้วยกัน บัดนี้..กลายเป็นยิวรุ่นใหม่ที่เรียกว่า Jewish nationalism ซึ่งมีการต่อต้านขบวนการเผด็จการทุกรูปแบบ ทำให้สตาลินเริ่มแคลงใจในกลุ่มแพทย์ชั้นมันสมองของโซเวียต ที่ส่วนใหญ่..เป็นยิว... ตัวสตาลินเอง..เวลาไม่สบาย..เขาไปปรึกษากับสัตว์แพทย์ เพราะไม่ไว้วางใจในกลุ่มหมอเดิมๆมี่รักษากันอยู่.. ในขณะเดียวกัน..เหล่าแพทย์ยิว..ต่างก็โดนข้อหาต่อต้านคอมมิวนิสต์และถูกเก็บกันเป็นแถวๆ...ในช่วงปี 1952 ทีนี้..พวกบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายนายได้เกิดการเจ็บป่วยและล้มตายกันไปเป็นแถวๆ เช่น..Shcherbakov, Zhdanov, Dimitrov, Choibalsan และ จอมพล Khorloogiin Choibalsan (มองโกเลียน) คนสนิทของสตาลินเกิดเจ็บป่วยและเสียชีวิตลงไป...สตาลินจึงพาลหาเหตุว่า เป็นเพราะเหล่าหมอชาวยิวที่ใช้วิชามารแก้แค้นและหวังล้มล้าง.. ในเดือนธันวาคม 1952 ที่โปลิตบูโร สตาลินได้ประกาศว่า.. "พวกยิวชาตินิยมทั้งหลายนั้น เป็นสายลับให้กับอเมริกัน เพราะต่างคิดว่า อเมริกันคือผู้มีพระคุณช่วยเหลือพวกมันให้รอดจากปากเหยี่ยวปากกา มันทำทุกอย่างที่จะตอบแทนและสนองคุณให้กับพวกอเมริกัน พวกหมอๆนี่แหละตัวดี...เป็นพวกชาตินิยมทั้งนั้น.." จากนั้นมา...ก็เกิดแผนที่เรียกว่า The Doctor’s Plot ที่สตาลินทำการกำจัดแพทย์ชาวยิว...โดยการจับไปขังคุกบ้าง..ส่งไปไซบีเรียบ้าง... พอถึงคราวตัวเอง... สุขภาพของสตาลินจัดว่าออดๆแอดๆ ในคืนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่สตาลินได้พบปะและดูภาพยนตร์กับกลุ่มคนสนิท มี เบเรีย ครุสเชฟ ในที่พักส่วนตัว กว่าทุกคนจะลากลับก็ล่วงไปถึงตอนตีสี่ของเช้าวันรุ่งขึ้น ไม่มีวี่แววของความเจ็บป่วยจากสตาลิน  ก่อนเขาเข้าไปนอน..เขาบอกให้ยามกลับไปพักผ่อน เพื่อตัวเองจะได้นอนยาว..ไม่มีเสียงกุกกักให้รำคาญใจ โดยปรกติ..สตาลินมักจะตื่นและเรียกหาชาร้อนในตอนสิบโมงเช้า.... แต่คราวนี้กลับเงียบไป...ยามก็ไม่กล้าเข้าไปปลุกได้แต่คอยเสียงเรียก ตอนหกโมงเย็น..มีแสงไฟลอดมาจากห้องนอน แต่ยังไม่มีเสียงเรียกหา   ในที่สุด ยามได้รอจนกว่าผลัดใหม่มาถึงในตอน ห้าทุ่ม จึงได้ถือโอกาสเข้าไปในห้อง และพบว่าสตาลินนอนนิ่งแช่ปัสสาวะของตัวเองอยู่ที่พื้น..มีอาการกึ่งอัมพาต ขยับตัวไม่ได้ พูดไม่ได้ นาฬิกาที่ข้อมือแตกหัก หยุดนิ่งเมื่อเวลา 18:30.. ยามไม่กล้าเรียกแพทย์ (เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกคนไหน..ที่ไม่ใช่ยิว)  อีกทั้งส่วนใหญ่ก็อยู่ในคุก...จึงได้เรียกหาบุคคลในรัฐบาล ซึ่งแต่ละคน..ดูเหมือนจะอ้อยอิ่งต่อการตอบรับเหลือเกิน  เบเรียและคณะมาถึงในตอนเช้าของอีกวัน..ถึงได้มีการเรียกหาแพทย์ ซึ่งแพทย์ได้พบว่า..สตาลินได้มีอาการของอัมพฤษ หายใจขัด และ อาเจียนเป็นเลือด ส่วนความเห็นอื่นๆ แพทย์ไม่กล้าที่จะออกความเห็นได้ เพราะแพทย์ที่เก่งที่สุด และเคยรักษาสตาลินนั้นยังอยู่ในคุก แพทย์จึงต้องไปขอประวัติการรักษาสตาลินจากแพทย์นักโทษในที่คุมขัง..กว่าจะคลำหาทางทำการรักษากันได้ สตาลินก็สิ้นใจไปในก่อนวันที่ 5 มีนาคม แต่ได้มีการวิเคราะห์ว่า...ถ้าถึงมือแพทย์ที่เชี่ยวชาญได้ทันการและทันที...สตาลินอาจยังมีชีวิตรอดมาได้ แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 55 09:33:44 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 55 08:46:57

ความคิดเห็นที่ 24 เรื่องที่เลือกแม่ทัพซูคอฟไปจัดการกับเบเรียนั้น...เป็นความจงใจของคณะมนตรี  เพราะ การที่ใช้ชื่อแม่ทัพซูคอฟที่อยู่ในความนิยมของประชาชนนั้นทำการใหญ่อย่างนี้ แน่นอนว่า..มันเป็นการเข้าข่ายของการชอบธรรม หลังจากที่สตาลินได้จากไป....กองทัพเข้าสู่ยุครุ่งรืองแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน..เหล่าวีรบุรุษสงครามได้รับการสดุดีและเกียรติยศอย่างเต็มที่ ปรากฏการณ์เช่นนี้..ไม่เคยได้เกิดมาก่อนนับจาก สมัย 1920s และ  1930s ที่มีสองวีรบุรุษแห่งรัสเซียในความทรงจำของประชาชน นั่นคือ Frunze และ Tukhachevsky (ที่แม่ทัพซูคอฟถือเป็นไอดอลเลยทีเดียว) หลังจากการปฏิบัติการกับเบเรียแล้ว..แม่ทัพซูคอฟได้ก้าวขึ้นมาในแวดวงของการเมืองอย่างทีละนิด จากการที่เป็นรอง รมต. กลาโหม นั้น.. ตัวรมต. บัลกานินได้มอบหมายงานที่ถือว่าสำคัญให้ไป"ดูแล"  นั่นคือ การที่เข้าไปดูแลงานการผลิตขีปนาวุธ นิวเคลียร์ ที่การดำเนินการได้เริ่มมาแล้วตั้งแต่ปี 1949 และได้ทำการพัฒนามาเรื่อยๆจนถึง 1950s.. เดือน สิงหาคม ปี 1953 คือการทดลองภาคปฏิบัติเป็นครั้งแรก..เนื่องจากตอนนั้น โซเวียตรู้สึกกดดันจากฝั่งอเมริกา ที่ออกโฆษณาอยู่ตูมๆว่า..สามารถกดปุ่มส่งระเบิดนิวเคลียร์ได้ทีละเป็นจำนวนพันลูก ตามฐานต่างๆในยุโรปที่มีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว.. ในขณะที่โซเวียต เพิ่งผลิตได้เป็นจำนวนหลักสิบ.. ดังนั้น..ในฤดูใบไม้ร่วง โซเวียตจึงเตรียมการฝึกหัดทหารในการต่อสู้แบบใหม่ ที่ Carpathian Military District เป็นท้องทุ่งที่อยู่ฝั่งตะวันตกของยูเครน อันเป็นเขตอยู่ในความปกครอง ของแม่ทัพโคเนฟ   วันที่ 14 กันยายน 1954 คือวันที่จะทดลองจริง....ที่ Totskoe ตอนใต้ของ Ural แม่ทัพซูคอฟเป็นผู้ดูแลทั้งหมด ได้เตรียมการให้เหมือนกับเกิดสงครามจริงๆ...ให้มีการเตรียมพร้อม..ขุดคูเพลาะ..เคลื่อนย้ายประชาชนในพื้นที่ตั้งแต่เดือนเมษายน มีการแจกเสื้อป้องกันรังสีนิวเคลียร์ และ คู่มือปฏิบัติการให้กับทหารและประชาชน คำสั่งคือ...ทำสถานะการณ์ให้เหมือนจริงที่สุด.. ขบวนรถถัง..วิ่งกันไปมาอย่างเอื่อยเฉื่อย...แม่ทัพซูคอฟสั่งหยุด..เรียกผบ.ทั้งหมดเข้ามา..ถามว่า.. "มีใครในนี้..เคยบุกเข้าเบอร์ลินเมื่อครั้งนั้นบ้าง...?" มีหลายคนตอบว่า..."เคยครับ.." "งั้นพวกเมิง..ก็ทำให้เหมือนกับตอนที่ทำสงครามคราวนั้น...เดี๋ยวนี้...!!!" วันนั้นเป็นวันทดลองนิวเคลียร์ขนาดกลาง Joe 4 ที่แรงพุ่งขึ้นในระยะหนึ่งพันฟุต  ทหารในคูเพลาะในระยะที่ใกล้ที่สุด คือ ห่างไปสามถึงสี่ไมล์ ส่วนแม่ทัพซูคอฟ, รมต.บัลกานิน และ เหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ อยู่ห่างไปในระยะสิบไมล์...แรงกระเทือนนั้นแรงขนาดทำให้หมวกของนายทหารทุกคนในนั้น ปลิวว่อน รวมทั้งของแม่ทัพซูคอฟด้วย.. โดยภาพรวม ถือว่านิวเคลียร์ของโซเวียตได้ประสบความสำเร็จเป้นที่น่าพอใจ ทำให้มีการพัฒนาและการทดลองครั้งต่อไปในปี 1955 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 55 12:47:40

ความคิดเห็นที่ 25 เข้ามาแสดงตัวคับ ตามอ่านมาตั้งแต่เรื่อง สงคราม ต่อมาเรื่องไวน์ แล้วก็จะตามอ่านไปเรื่อยๆๆๆๆ ขอบคุณมากคับ.. จากคุณ : Tentty เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 55 15:39:01

ความคิดเห็นที่ 26 ตามมาอ่านต่อครับ จากคุณ : Freedom and Justice เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 55 22:20:37

ความคิดเห็นที่ 27 วันนี้โชคดีจัง ลองเสี่ยงๆ เข้าห้องสมุดแล้วเจอคุณพี่พอดี ชีวิตแม่ทัพซูคอฟเนี่ย ข้นคลั่กไปแทบทุกบททุกตอน ทั้งรบทั้งรักเลยนะคะ สีสันบรรเจิดมาก ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ค่ะ เรื่องโรมานอฟ ยังรออยู่ แต่ก็เมื่อเอยเมื่อนั้นก็ได้ค่ะ ทราบอยู่ว่าคุณพี่ไม่ค่อยว่าง ขอบคุณที่กรุณาแวะมาบอกค่ะ จากคุณ : aunty36 เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 13:06:20

ความคิดเห็นที่ 28 เวลาเค้าทดลองปรมาณู คนที่ไปสังเกตการณ์ ไม่เจอ side effect จากกัมมันตรังสีเหรอครับ จากคุณ : เด็กชายโต๋น เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 17:39:05

ความคิดเห็นที่ 29 @  เด็กชายโต๋น เท่าที่ดิฉันทราบ..เขาจะมีการเตรียมชุด Hazmat ที่มีระดับหนาน้อย หนามาก เอาไว้ใช้สำหรับการที่จะต้องรับรังสีในระยะพิกัดเท่าไหร่น่ะค่ะ... ไม่แน่ใจว่า ในระยะใกล้สุดจาก ground zero คือห่างออกไปสามสี่ไมล์ (ประมาณห้ากิโลเมตร) นั้น..เขาจะต้องใช้แบบเต็มยศแบบนักบินอวกาศหรือไม่? ส่วนคณะแม่ทัพซูคอฟที่อยู่ห่างออกไปถึงสิบหกกิโล....คงมีการเตรียมพร้อมบ้างทั้งหมวกและเสื้อผ้าป้องกัน..แต่คงไม่หนักหนาเท่าไหร่มังคะ? จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 55 20:00:12

ความคิดเห็นที่ 30 ไม่แน่ใจว่า ระเบิดในหนังเรื่องนี้ จะเป็นลูกเดียวกันกับที่นายพลซูคอฟทดสอบรึเปล่านะครับ จากคุณ : เด็กชายโต๋น เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 55 16:04:00

ความคิดเห็นที่ 31 ขอถามครับ หลังจากที่ซูคอฟโดน demote แล้วย้ายไปนอกเมืองไกล ยศตำแหน่งหายด้วยหรือเปล่าครับ แล้วเงินเดือน สวัสดิการก็โดนตัดด้วยหรือเปล่าครับ สงสัย จากคุณ : Freedom and Justice เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 10:58:06

ความคิดเห็นที่ 32 Pantip ในคอมพิวเตอร์ของดิฉันเป็นอะไรไปก็ไม่ทราบ..หน้าตาเป็นอย่างนี้ไปแล้วค่ะ.. เวบอื่นๆไม่มีปัญหาอะไร เป็นที่พันทิบที่นี่ที่เดียว.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 05:53:01

ความคิดเห็นที่ 33 พอเลื่อนลงมาที่หัวข้อกระทู้...กลายเป็๋นสีขาวเว่อไปหมด.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 05:57:07

ความคิดเห็นที่ 34 กดเข้ามาข้างในกระทู้..จะเป็นเหมือนเดิม..ปรกติ  แต่กดกิฟท์ให้ใครไม่ได้  มันจะตีกลับ.. เบื่อหน่ายเลยค่ะ... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 06:04:16

ความคิดเห็นที่ 35 แต่คอมพ์เครื่องอื่นๆ  อย่าง iPad ไม่เป็นค่ะ ปรกติดี สีสวยเหมือนเดิม... แย่จัง..เครื่องนี้เป็นเครื่องเก่งซะด้วยซิ... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 06:34:35

ความคิดเห็นที่ 36 เง้อออออ เข้ามาส่งใจช่วยค่ะ ไม่รู้เหมือนกัน จากคุณ : vad (vad) เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 09:06:59

ความคิดเห็นที่ 37 ลองเปลี่ยนไปใช้อันอื่นที่ไม่ใช่หมาไฟดูก่อนครับคุณ WIWANDA  ว่ามันหายหรือเปล่าถ้าหายก็เป็นที่หมาไฟละ จากคุณ : hahihoman เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 23:46:34

ความคิดเห็นที่ 38 รีบทำตามที่คุณ hahihoman แนะนำอย่างว่องเลยค่ะ... โอ้ พ่อเจ้าประคุณ..หายสนิท...กลับมาเหมือนเดิมเป๊ะเลย...ขอบพระคุณมากเลยค่ะ โถ..ช่างมีน้ำใจมาช่วยเหลือคนแก่..อย่างนี้รักกันตายเลยเชียว จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 03:11:36

ความคิดเห็นที่ 39 ป.ล. แอบเล่า..เผอิญไปสั่งหนังสือเรื่อง Nazi Hunter (Alan Levy) ที่ Amazon พอดี  ตั้งใจว่าจะเอามาแปลมาเขียนให้อ่านสนุกๆกันอีก หน้าหนาวนี้มีเวลาว่างสามเดือนแน่ะค่ะ มือพาลไปเปิดดู Lenovo รุ่นนี้แล้วมันล่อใจ..สั่งซื้อไปแล้ว...เพราะตั้งใจจะซื้อเอาไปไว้ใช้ที่ฝรั่งเศสพอดี..เครื่องคอมพ์ที่ขายที่โน่นราคาแพงกว่าซื้อในอเมริกามาก..แถมแป้นตัวอักษรก็วางคนละตำแหน่ง..ใช้งานแต่ละที..มึนตึ้บ Delivery Estimate: Wednesday September 12, 2012 - Monday September 17, 2012 Shipping Soon    Lenovo G570 4334EGU, 15.6" Intel Pentium Dual Core B950 2.1GHz (2MB Cache), 4GB Memory, 320GB HDD DVD RW Lenovo G570 4334EGU, 15.6" Intel Pentium Dual Core B950 2.1GHz (2MB Cache), 4GB Memory, 320GB HDD DVD RW จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 03:19:10

ความคิดเห็นที่ 40 จากการทดลองวันนั้นเป็นต้นมา..โซเวียตได้ขยันทดลองระเบิดนิวเคลียร์อีกหลายลูก ต่างเวลาและสถานที่กัน.. มาถึงปี 1955 หมดวาระของนายกฯ Malenkov ผู้ที่เลื่อนมาแทนที่ คือ Nikolai Bulganin นั่นหมายความว่า รมต. กลาโหม จึงว่างลงไป.. ตำแหน่งรอง รมต. ก็จะต้องเลื่อนขึ้นไปตามลำดับ..หากแต่ รองนั้นมีสองคน คือ แม่ทัพซูคอฟ และ แม่ทัพวาสิเลฟสกี้  ซึ่งแม่ทัพซูคอฟได้พยายามเสนอให้คณะกรรมาธิการเลือกแม่ทัพวาสิเลฟสกี้..(เพราะสำนึกในบุญคุณที่ให้ความช่วยเหลือในช่วงที่มีปัญหากับสตาลิน) แต่..อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับตำแหน่ง เพราะเห็นว่า แม่ทัพซูคอฟนั้นสมควรที่สุด ในช่วงนี้เอง..คือระหว่างขาลงของอดีตนายก กับขาขึ้นของรมต. กลาโหมคนใหม่.. ผู้ที่โดดเด่นขึ้นมาในสภา คือ นาย Nikita Khrushchev  ที่ไม่ค่อยลงรอยกับ มาเลงคอฟ เพราะครุสเชฟ เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานที่พยายามส่งตัวเองเข้ามาในวงในอยู่ตลอดเวลา แต่..มักจะถูกสกัดกั้นโดยมาเลงคอฟ พอ.. มาเลงคอฟอยู่ในช่วงหมดอำนาจ..ครุสเชฟจึงได้โชนแสงขึ้นมา.. จากประวัติชีวิตของเขา...ก็ไม่ต่างไปจากคนอื่นๆ นั่นคือ มาจากครอบครัวที่ยากจน เข้าร่วมกับบอลเชวิคในปี 1918 พออายุได้ยี่สิบสี่..เขาเข้าร่วมในกองทัพ แต่ทำงานในส่วนของดูแลการเมืองท้องถิ่น ไต่เต้าขึ้นมาจนได้รับตำแหน่งระดับแถวหน้าของสภาในมอสควา ในปี 1934 สตาลินได้แต่งตั้งให้เขาไปเป็นเลขานุการ ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งยูเครเนี่ยนในปี 1937 ฟังดูเหมือนกับครุสเชฟนั้นมีประวัติที่ไร้ตำหนิ....แต่...เปล่าเลย.. เพราะแผลเป็นขนาดใหญ่ ที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในโลกนอกม่านเหล็กคือ การเข้าไปมีส่วนร่วมในการสังหารหมู่นายทหาร และประชาชนเชลยชาวโปลิช  กว่า สองหมื่นคน ที่ Katyn เมื่อ เดือน มีนา-เมษา 1940 ทั้งๆที่ เบเรียได้เสนอให้มีการเนรเทศพวกเชลยเหล่านั้นไปคาซัคสถาน แต่ ครุสเชฟเสนอตัวรับงานจากสตาลิน..ที่เห็นว่า..เสียเวลาต่อการขนถ่ายไปมา.. จึงช่วยเป็นธุระให้ Katyn  massacre แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 55 05:13:46 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 05:12:56

ความคิดเห็นที่ 41 ตอนที่เยอรมันบุกเข้ามาในปี 1941 ทางยูเครน นั้น.. กองทัพโซเวียตต้องถอยร่นเข้าไป..ครุสเชฟก็เช่นกัน เขาได้ย้ายที่ทำงานจากสภาที่ยูเครนไปรวมกับกองทัพไปที่สตาลินกราด ในช่วงปี 1942-1943 พอขับไล่เยอรมันออกไปจากยูเครนได้..เขาก็กลับไปประจำอยู่ที่เดิม... จนหลังสงครามเสร็จสิ้น..สตาลินได้เรียกตัวเขาเข้าไปทำงานใกล้ตัวที่มอสควา และยื่นตำแหน่งประธานสภาให้.. หลังจากที่สตาลินล่วงลับไปในปี 1953 ทำให้สภาเกิดมีสภาพสูญญากาศอยู่เกือบสองปี ในช่วงนี้เองที่ครุสเชฟได้เริ่มโกยคะแนนให้กับตัวเอง...โดยการพยายามแก้ไขในสิ่งที่ (สตาลินได้เคยทำ)ผิดพลาดในอดีต และนำมาปรับปรุงออกกฏเอาใจประชาชน อย่างแรกเลย..คือ การปลดปล่อยนักโทษการเมืองจำนวนล้านๆจากค่ายแรงงานนรก กูลาค (Gulag) การให้อิสระเสรีแก่ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ ศิลปิน มากขึ้นกว่าแต่เดิม และ..ไม่ปิดกั้นต่อการติดต่อกับโลกภายนอก รวมไปถึงระบบสภาศาลแดงที่มีการพิพากษาไปตามความผิด ที่โทษส่วนใหญ่คือการจำคุก ไม่ใช่ยิงเป้าเป็นว่าเล่นอย่างแต่ก่อน.. Nikita Khrushchev............ ขวาสุด ที่สตาลินกราด แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 55 05:31:15 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 05:30:29

ความคิดเห็นที่ 42 ครุสเชฟได้มารู้จักมักจี่กับแม่ทัพซูคอฟเมื่อปี 1940 ตอนที่แม่ทัพกำลังคุมอยู่ที่ฐานเคียฟ แต่มาร่วมงานกันจริงๆจังๆก็เมื่อตอนสงครามสตาลินกราดต่อด้วยการขับไล่เยอรมันออกไปจากยูเครน..เป็นช่วงของปี 1943-44 ในบันทึกของครุสเชฟได้กล่าวถึงแม่ทัพซูคอฟไว้ว่า.. "เป็นผู้นำที่มีความสามารถ...เข้มแข็งและกล้าหาญอย่างเกินมนุษย์ แม้ว่าเราอาจจะเห็นไม่ตรงกันในบางครั้ง เพราะเขายังไม่ค่อยเข้าใจในหน้าที่และภาระของตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งเราต้องว่ากันไปตามเหตุการณ์  แต่ถึงกระนั้น..เราก็ยังเลี่อมใสเขาในฐานะแม่ทัพผู้มากด้วยความสามารถ" แม่ทัพซูคอฟเข้ามารับตำแหน่งรมต. อย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ 1955 ในวันเดียวกันนั้นเอง ที่แม่ทัพได้ให้การสัมภาษณ์อย่างเป็นงานเป็นการกับเหล่าสื่ออเมริกัน ที่รุมล้อมยิงคำถามแบบตรงเป้า..เช่น.. "สงครามที่สตาลินกราดกับมอสควา..อันไหนหนักหนากว่ากัน?" ซึ่งแม่ทัพได้ตอบอย่างถ่อมตัวว่า..ทุกยุทธภูมิมีความสำคัญเท่ากัน เพราะผลของมัน คือดัชนีชี้ไปถึงสงครามที่จะตามมา..ไม่ว่า มอสควา สตาลินกราด หรือ เคิสค์ และท่านไม่ได้ทำงานคนเดียว..มีแม่ทัพอื่นๆช่วยกันอย่างเต็มกำลัง "ท่านว่า..ฮิตเล่อร์ทำการผิดพลาดตรงไหนในสงครามครั้งนี้?" คำตอบคือ.. "การประเมินการณ์ในความสามารถและอาวุธของโซเวียตต่ำเกินความเป็นจริง..จริงอยู่ที่กองทัพอากาศของเยอรมันนั้นเหนือชั้นมาก..แต่..การใช้เครื่องบินรบนั้นมีส่วนจำกัดหลายอย่าง เช่น ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ระยะทาง.." "แล้วเรื่องการทดลองระเบิดปรมาณูของโซเวียตไปถึงไหนแล้ว..?" แม่ทัพตอบว่า.. "การใช้ระเบิดปรมาณูไม่ได้หมายถึงเพื่อสันติภาพเสนอไป..มันอยู่ที่..ใครถือครองมันต่างหาก ถ้าเป็นพวกคนที่กระหายสงคราม..สันติภาพจะมีได้ที่ไหน เราไม่สนับสนุนให้มีด้วยซ้ำ เพราะ มันเป็นดาบสองคมที่เป็นพิษเป็นภัยกลับคืนให้เราได้เช่นกัน.. ขอฝากไว้ด้วยนะ...ว่า..สงครามไม่สามารถชนะด้วยระเบิดปรมาณูเพียงอย่างเดียว.." การให้สัมภาษณ์นี้..เป็นผลให้สื่่อต่างๆเอาไปลงว่า..โซเวียตไม่น่าที่จะเป็นภัยกับอเมริกา เพราะมีท่าทีที่ฝักใฝ่ต่อสันติภาพ  ซึ่งทำให้อเมริกาเริ่มหันมาสนใจที่จะเจรจากับโซเวียตถึงเรื่องการสานมิตรภาพ และหยุดแข่งกันสร้างเขี้ยวเล็บ..รวมไปถึงการรื้อฟื้นว่า ครั้งหนึ่งแม่ทัพซูคอฟกับแม่ทัพไอเซ่นฮาวร์ก็คือเกลอกัน.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 06:23:36

ความคิดเห็นที่ 43 งานแรกที่แม่ทัพเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ นั่นก็คือ การลดขนาดของกองทัพ ที่ต้องปลดประจำการทหารลงไปเรื่อยๆ   ในเดือนพฤษภาคม 1955  โซเวียตได้ทำการเรียกร้องให้ UN ทำการวางระบบจัดการควบคุมกำลังทหาร และ ควบคุมการสร้างระบิดนิวเคลียร์ให้เป็นเรื่องเป็นราว..ในประเทศต่างๆในเครือสมาชิก ซึ่งโซเวียตจะเริ่มทำเป็นตัวอย่าง... จนมาถึงเดือน ตุลาคม 1957  ทหารโซเวียตเหลือแค่สามสี่ล้านนาย..นับว่าน้อยมากเทียบกับขนาดของประเทศ อเมริกา...ไม่เชื่อหูตัวเองว่า..โซเวียตขอริเริ่มโครงการนี้..ถึงขนาดขออนุมัติให้เครื่องบินของตัวเองบินเหนือน่านฟ้าโซเวียตเพื่อเข้าทำการสำรวจให้เห็นกับตาของตัวเอง แม่ทัพซูคอฟได้ตอบว่า...ได้...แต่ต้องแลกกัน.. เพราะแม่ทัพซูคอฟได้เล็งเห็นว่า..การที่จะได้เข้าไปดูฐานกำลังของอเมริกานั้น จะได้กำไรกลับคืนมามากกว่า..อเมริกาจะได้ไปจากโซเวียต ในขณะที่อเมริกาและอังกฤษกำลังวางนโยบายกันอยู่นั้น...สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น..นั่นคือ การผนึกกำลังของโซเวียต ในนามว่า The Warsaw Pact  ที่หลายประเทศในส่วนกลางและตะวันออกของยุโรปเข้าร่วมจับมือกันเป็นภาคี.. ดังนี้...Bulgaria, Czechoslovakia, East Germany, Hungary, Poland, Romania, Soviet Union และ Albania อันเปรียบเหมือนกับเป็นการตอกหน้า องค์กร Nato ให้หงายเงิบไป.. อันว่า ภาคีวอร์ซอว์ นี้...เหมือนกับเป็นการผูกเสี่ยวข้อมือ ต่างคนต่างจะไม่ยุ่งในเรื่องส่วนตัวของกัน แต่หากว่า..ใครก็ตามถูกรุกราน...เหล่าภาคีก็จะร่วมด้วยช่วยเหลือกัน... อย่างฉันท์มิตร... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 06:55:33

ความคิดเห็นที่ 44 ฝ่ายอเมริกาและอังกฤษเห็นท่าจะไปกันใหญ่ เพราะ กำลังของ Warsaw Pact  กับ Nato นั้น สูสี...ไอของสงครามเย็นเริ่มกรุ่นขึ้นทุกที.. ดังนั้น..จึงต้องมีการเจรจากันให้เป็นเรื่องเป็นราว...การประชุมซัมมิทได้จัดขึ้นที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในเดือนกรกฏาคม 1955  ผู้นำที่จะเข้าประชุมมี.. ผู้นำของฝรั่งเศส..อังกฤษ..โซเวียต..และอเมริกา... ฝ่ายของโซเวียต มี นายกฯ บัลกานิน, ครุสเชฟ, โมโลตอฟ และ แม่ทัพซูคอฟ (ที่ครุสเชฟ ว่า...ที่แม่ทัพซูคอฟได้รับเชิญเข้ามาประชุมเพราะ รู้จักกับท่านไอเซ่นฮาวร์ทั้งๆที่โดยความจริงแล้ว..มันเป็นหน้าที่โดยตรงของรมต. กลาโหม) ที่เจนีวา...นี่คือครั้งแรกที่ครุสเชฟได้มีโอกาสออกมาหายใจในต่างประเทศ และ ท่าทางเขาออกจะตื่นเวทีพอสมควร เพราะความทะเยอทะยานที่จะออกตัวกับสื่อระดับอินเตอร์...แต่...งานนี้กลายเป็นว่า..แม่ทัพซูคอฟได้มากลายเป็นตัวโขมยซีนไปอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจ.... เนื่องจาก...ชื่อเสียงเดิมๆที่สื่อได้รู้จักเป็นอย่างดี..รวมไปถึงการที่เคยเป็นเกลอกับแม่ทัพไอเซ่นฮาวร์ สื่อยักษ์ใหญ่อย่างหนังสือ ไทม์ได้สดุดีแม่ทัพซูคอฟราวกับพระเจ้า..อีกทั้งวาดภาพใส่สีของการเป็นวีรบุรุษแห่งโซเวียตจนออกจะเกินจริง.. ไม่นับการป้อยอ..สัพยอก แบบน่าเอ็นดู เช่น.. "การพบกันของสองวีรบุรุษสงครามผู้ยิ่งใหญ่ในฐานะเพื่อนร่วมรบ..เป็นนิมิตรอันดีแก่อเมริกาและโซเวียต..." จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 07:21:51

ความคิดเห็นที่ 45 เขียนเพลินๆ...อยากจะประกาศหาคนหายก่อนค่ะ... คุณ zodiac28 แฟนกระทู้กำลังใจคนสำคัญของดิฉันหายไปไหนคะ..........ใครช่วยไปตามที...? จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 07:26:21

ความคิดเห็นที่ 46 การพบปะนอกรอบของสองอกีตแม่ทัพใหญ่ ซูคอฟ และ ไอเซ่นฮาวร์ (ซึ่งได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐแล้ว) นั้น ได้มีขึ้นในวันที่ 20 กรกฏาคม  โดยล่ามของฝ่ายอเมริกา คือ นาย Charles Bohlen  ทูตสหรัฐประจำโซเวียต ส่วนของโซเวียต คือ นาย Oleg Troyanovsky  เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศ ที่ท่านปธน. ได้เชิญแม่ทัพซูคอฟไปร่วมในอาหารกลางวัน ในวิลล่าที่พำนักส่วนตัว ที่แม่ทัพซูคอฟได้ให้สัตยวาจาว่า..ที่มาเพราะอยากพบ..และอยากเจรจาถึงความเป็นไปได้ในเรื่องของการจำกัดการสร้างอาวุธ เพื่อเป็นการลดความตึงเครียดของสงครามเย็น ท่านปธน.ได้ตอบกลับว่า..สงครามเย็นจะลดลงได้ หากว่าโซเวียตต้องลดท่าทีลงไปให้เห็นก่อน.. ซูคอฟ..ไม่ได้เถียงกลับ แต่เขาได้เสนอว่า.. "มันเป็นความเข้าใจผิดของเราทั้งสองฝ่าย..และไม่ควรที่จะพูดถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมา..เราควรจะมองไปข้างหน้าในอนาคตจะดีกว่า.." ข้อเสนอของแม่ทัพซูคอฟก็ยังมั่นคงเช่นเดิม คือ การจัดระบบรักษาความปลอดภัยให้กับยุโรป และทำการยุติสงครามเย็น..ในขณะที่ไอเซ่นฮาวร์ยืนกรานต่อความคิดในการจัดระบบเข้าทการตรวจสอบ ป้องกัน (ปรมาณู) และ ทำสัญญาการลดกำลังกองทัพให้เป็นที่ประจักษ์ ซึ่ง..แม่ทัพซูคอฟได้รับฟัง..และจะนำกลับไปพิจารณา... นอกเหนือจากนั้น..ทั้งสองได้คุยกันถึงเรื่องปัญหาของจีน..แม่ทัพซูคอฟขอให้อเมริกาทำการยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีน**..และขอให้เปิดโอกาสให้เข้าร่วมใน UN ส่วนเรื่องของเยอรมัน..ที่แม่ทัพซูคอฟได้พูดถึงว่า..มีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองฝั่งจะเข้ามารวมกัน..แต่ไม่ใช่ในตอนนี้..แต่จะเป็นในอนาคตที่โซเวียตได้แน่ใจว่า..เยอรมันหมดพิษสงแล้วจริงๆ แม้ว่า..ทั้งสองคนจะมีความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน..นโยบายทางการเมืองแตกต่างกัน.. แต่การสนทนาดำเนินไปได้ด้วยดี...บรรยากาศไม่ตึงเครียดอย่างที่ทุกคนคาดคิดเอาไว้... ก่อนลาจาก...ทั้งสองต่างหวังว่าจะได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนครอบครัวของแต่ละฝ่าย.. ทั้งที่มอสควา และ วอชิงตัน.. หลังจากการพบปะที่ว่าเต็มไปด้วยมิตรภาพนั้น..มีการบันทึกทางฝ่ายท่านปธน. ไว้ว่า.. "ตอนที่เป็นทหารด้วยกัน..เขาออกจะเป็นคนที่มีความมั่นใจในทุกเรื่อง มีเหตุผล มีอารมณ์ขันเหลือเฟือ แม้ว่าจะแบกกฏของคอมมิวนิสต์ไว้อย่างเต็มตัวก็ตาม.. แต่ที่เจนีวา...เขาเปลี่ยนไป..ท่าทางเคร่งเครียด กังวล ไม่รื่นเริงอย่างแต่ก่อน พูดจาวนเวียนซ้ำซากอยู่อย่างนั้น..เหมือนเด็กทำการบ้านที่ลบแล้วลบอีกจนกว่าจะพอใจ สหายเรา..หมกมุ่นแต่กับคำสั่งที่ได้รับมาจากเบื้องบน..จนหมดความเป็นตัวของตัวเองการพบปะเจรจาแบบส่วนตัวของเราในครั้งนี้..ไม่มีอะไรคืบหน้า...นอกจากอารมณ์ที่ค่อนข้างหม่นหมอง..." ส่วนทางแม่ทัพซูคอฟ..ได้พูดกับผู้ช่วย รมต. ต่างประเทศ นาย Andrei Gromyko ไว้เช่นกันว่า.. "ผิดหวัง..เขากลายเป็นคนที่พูดจาไม่รู้เรื่อง...และคงหวังพึ่งอะไรไม่ได้ เขาเป็นคนละคนกับนายพลไอเซ่นฮาวร์ที่เราเคยรู้จัก... " ** แก้ไขตามที่ท้วงติงค่ะ Andrei Gromyko แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 55 01:00:43 จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 08:26:56

ความคิดเห็นที่ 47 ความคิดเห็นที่ 46 เรียกได้ว่าต่างคนต่างมีหน้าที ที่ต่างกัน ต่างความเชื่อเลยพูดตกลงกันไม่ได้สินะ ปล.สรุปว่าหมาไฟมีปัญหาจริงๆสินะ ลองอัพเดทหมาไฟดูครับหรือไม่ก็เคลียร์พวก cookie ดูเพื่อจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม จากคุณ : hahihoman เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 13:03:49

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบพระคุณคุณ hahihoman อีกครั้งค่ะ...เพิ่งจะเคลียร์คุ๊กกี้เสร็จเนี่ยย...เล่นเอาเหงื่อกาฬตกเลยทีเดียว  ไปหาวิธีทำในยูทูปค่ะ..ค่อยๆแกะเอา.. ปรากฏว่าสำเร็จได้อย่างน่าชื่นใจ...(จะได้เอาไปคุยให้ฟุ้งไปสามบ้านแปดบ้านละคราวนี้..) ตามคคห.ที่ 46 นั้นเป็นเพราะ คนทั้งสองไม่ใช่ทหารที่กำลังรบในสงครามแล้วไงคะ...ตอนนี้กลายเป็นนักการเมืองกัน...โดยเฉพาะท่านไอเซ่นฮาวร์เป็นถึงประธานาธิบดี อะไรๆ มันก็ย่อมไม่เหมือนเดิมแล้วค่ะ... จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 14:58:26

ความคิดเห็นที่ 49 ไม่ได้ไปไหนครับ    ลืมเข้ามาดูเท่านั้นน่ะ แม่ทัพซูคอฟขอให้อเมริกาทำการยอมรับสาธารณรัฐจีน..และขอให้เปิดโอกาสให้เข้าร่วมใน UN . . . ควรจะเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนรึเปล่าครับ     สาธารณรัฐจีนนั้นคือไต้หวัน   ซึ่งอเมริกาอุ้มเต็มที่    รับรองให้เป็น1ใน5สมาชิกถาวร UNO จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 17:40:21

ความคิดเห็นที่ 50 ^ ^ ^ เห็นม๊ะ..ว่าทำไมถึงได้คิดถึง...ขอบคุณค่าาาา..ที่มาแก้ให้..คนเขียนบางทีก็เอ๋อๆเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ต้องหยอดตาด้วยน้ำตาเทียมบ่อยๆด้วย.. จากคุณ : WIWANDA เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 00:56:44

ความคิดเห็นที่ 51 มาละ ๆ ๆ ^ ^   ตามมาอ่านด้วยคน จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 21:22:27