 |
ข้อมูลที่คุณ de_allamanda บอกมา น่าจะเป็นในส่วนของ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
ซึ่งรายละเอียดก็มีว่า
ครั้นณวัน ๗๘ ค่ำ ยกกองทัพไปตีเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าพระยาจักรี พระยายมราช พระยาเพ็ชรบุรี พระยาอภัยรณฤทธิ์ ๔ นายยกก่อนเป็นกองหน้าไปโดยทางสถลมารค ไพร่ทหาร ๕๐๐๐ เศษ ตีล่วงเมืองไชยาแลท่าข้าม ไปได้ถึงค่ายท่าหมาก ได้รบกัน เป็นสามารถ
พระยาเพ็ชรบุรี พระยาศรีพิพัฒตายในที่รบ แต่ลักษมาณาบุตรเจ้าพระยาจักรีนั้น กองทัพนครจับเอาตัวไปได้ แล้ว ล่าทัพกลับถอยมาอยู่เมืองไชยา พระยายมราชบอกเข้ามาให้กราบทูลว่า เจ้าพระยาจักรีเป็นกบฏ มิเต็มใจทำราชการ จึงทรงพระวิจารณ์ ด้วยพระปรีชาญาณ ก็ตรัสทราบเหตุว่า การมิตลอดแล้วจึงเกิดวิวาทกัน
ทั้งนี้เป็นบุพวาสนาแห่งเรา อันจะใช้แต่เสนาบดีไปมิสำเร็จ จึงเสด็จพระราชดำเนินไปทางชลมารคด้วยพลทหาร ๑๐๐๐๐ เศษ ทรงพระที่นั่งมหาพิชัยสุวรรณนาวา ยาว ๑๑ วา ปากกว้าง ๓ ศอกเศษ พลกระเชียง ๒๘ คน พร้อมด้วยพยุหเสนาโยธาเครื่องสาตราวุธทั้งปวง ครั้นณวัน ๑๙ เพลา ๓ โมงเช้า ถึงบางทะลุเกิดพยุคลื่นลมหนักเรือรบข้าทหารกองหลวง กองหน้า บ้างแตกล่มเข้าแอบบังอยู่ในอ่าวพระเจ้าอยู่หัวให้ปลูกศาลขึ้นเพียงตา พระราชทานเครื่องกระยาสังเวยบวงสรวงเทพารักษ์ แล้วทรงพระราชสัตยาธิฐาน เอาพระสัจบารมีแต่ _________________________________________________________ (๑) หนังสือราชินิกูลรัชกาลที่ ๓ ว่าชื่อ หมุด (๒) กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ ๑ (๓) สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
๓๐ บุพชาติแลปัจจุบันมาเป็นที่ตั้ง ด้วยพระเดชพระกฤษฎานุภาพ คลื่นลม ก็สงบราบคาบลงเป็นอัศจรรย์ แล้วเสด็จไปในวันนั้น ข้าทูลละอองฯ ตามเสด็จไปด้วยเรืออันน้อย ก็เป็นสุขสบายหาอันตรายมิได้ ครั้นณเดือน ๙ ปีฉลูเอกศก เสด็จถึงท่าข้าม ดาวหางขึ้นข้างทิศทักษิณ ครั้นเดือน ๑๐ แรม ๖ ค่ำ เพลา ๓ โมงเช้า เสด็จเข้าตีเมืองนครศรีธรรมราช เดชะพระบารมีบรมโพธิสมภาร ไพร่ทหารแล ราษฎรเสนาบดีในกรุงนครศรีธรรมราช บันดาลสยบสยองมิอาจต้าน ต่อได้ก็แตกพ่ายแพ้หนีในเพลานั้น
นายคงไพร่ทหารบ่าวพระเสนาภิมุขเห็นช้างพลายเพ็ชร์ที่เจ้านครผูกเครื่องสรรพปล่อยอยู่ จึงจับมาถวายพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นทรงกุญชรหัศดินทร์ช้างต้น ทรงพระที่นั่ง พลายเพ็ชร์เสด็จเข้าเมืองนครศรีธรรมราชได้ เสียแต่นายเพ็ชร์ทนายเลือกถูกปืนตายคนหนึ่ง แลได้ราชธิดาญาติวงศาแลชะแม่พนักงาน, หิรัญ, สุวรรณ, วัตถาลังกาภรณ์ทั้งปวงเป็นอันมาก แลสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีชัยชะนะข้าศึกครั้งนั้น ฝ่ายทแกล้วทหาร ทัพบก ทัพเรือทั้งปวง ยังมามิได้ทันเสด็จ ด้วยอำนาจพระบารมีก็มีชัยเป็นอัศจรรย์
ครั้นกองทัพบกทัพเรือมาถึงพร้อมแล้ว จึงมีพระราชโองการดำรัสให้ภาคโทษไว้ ด้วยเจ้านครพาราชบุตรราชธิดาแลราชทรัพย์หนีไปเมืองเทพา, ตานี, ให้เจ้าพระยาจักรี, เจ้าพระยาพิชัยราชา เร่ง กองทัพบกทัพเรือติดตามไปจับเจ้านครจงได้ ถ้ามิได้จะลงพระราชอาชญาถึงสิ้นชีวิต ๓๑ ครั้นถึงณวัน ๖๑๑ ค่ำ เพลาย่ำค่ำแล้ว ๒ ทุ่มเศษ
พระเจ้าอยู่ หัวเสด็จยกกองทัพไปโดยทางชลมารค โดยลำดับที่ประทับรอนแรมจนถึงเมืองสังขลา น้ำแห้งลงเรือพระที่นั่งจะไปมิได้ เดชะพระบรมโพธิสมภารบังเกิดน้ำเปี่ยมคลอง มีพรรณฝูงปลาอาหารให้เห็นประจักษ์ แก่ข้าทูลละอองฯ ทั้งปวง ก็เสด็จด้วยราชานุภาพเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ฝ่ายเจ้าพระยาจักรีแม่ทัพเรือ เจ้าพระยาพิชัยราชาแม่ทัพบก ยกทัพติดตามเจ้าเมืองนครไปเถิงเมืองเทพา จับจีนจับแขกมาไถ่ถามได้เนื้อความว่า เจ้าเมืองนครหนีไปเมืองตานี เจ้าพระยาจักรี, เจ้าพระยาพิชัยราชา จึงมีหนังสือไปถึงพระยาตานี ๆ มิอาจขัดไว้ได้ จึงส่ง เจ้านคร, พระยาพัทลุง, พระยาสังขลา, เจ้าพัฒ, เจ้ากลาง กับ ทั้งบุตรภรรยามาให้ เจ้าพระยาจักรีจึงจำคนโทษทั้งปวงใส่เรือรบมาถวายณเมืองสังขลา ============================================
ความก็เป็นตามนี้ครับ
จากคุณ |
:
ผ้าพับไว้
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ก.ย. 55 14:13:44
|
|
|
|
 |