ความคิดเห็นที่ 1 ผ่านค่ะ จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 10:02:32

ความคิดเห็นที่ 2 ข้อความที่คุณเขียนมีอะไรหลายๆอย่างที่ขัดกัน เช่น อ่าน Bangkok Post ได้สบายแต่ฟังอังกฤษออกแล้วไม่เข้าใจ ^ ความเป็นไปได้ 1 คุณอ่าน Bangkok Post แล้วเข้าใจผิดแต่คุณไม่รู้ตัว 2 คุณอ่าน Bangkok Post แล้วไม่เข้าใจผิดมากนัก แต่คุณไม่ได้ฟังรู้เรื่องมากอย่างที่คุณคิด ส่วนเรื่องที่คุณสื่อสารแล้วฝรั่งไม่เข้าใจทั้งๆที่คุณรู้ grammar นั่นก็คือ 1. คุณพูดไม่ชัดเพราะคุณเรียนแต่ grammar กับศัพท์ ตั้งแต่แรก แต่ไม่มีคนสอนคุณออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง 2. การรู้ grammar ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าคุณจะพูดหรือเขียนได้ถูกต้องเป็นธรรมชาติ เพราะมันยังมี grammar แบบลึกๆ ที่ตำรา grammar ไม่เคยสอน นั่นก็คือ "พฤติกรรมเฉพาะตัวของคำศัพท์ในการสร้างประโยค" จะสาธิตเรื่องพฤติกรรมเฉพาะตัวของคำศัพท์ให้ดู 4 ประโยคนี้ ผิด grammar หมด ซึ่งถ้าคุณอ่านแต่หนังสือ grammar คุณจะไม่มีทางรู้ว่ามันผิดเพราะอะไร Can you suggest me a good dictionary?   He suggested us to go for a drink.   What do you suggest us to do?   I suggest to wear something warm. ^ ดังนั้น คนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็ฯภาษาที่ 2 จนรู้ศัพท์มากๆ แต่ถ้าเรียนเฉพาะ Learn to understand.  (เรียนเพื่อให้เข้าใจ) แต่ไม่เคย Learn to understand and compose.  (เรียนเพื่อให้เข้าใจและพูดเขียนได้) ถ้า 1. พูดไม่ชัด 2. พูดหรือเขียนโดยยังมีข้อผิดพลาดเพราะไม่รู้พฤติกรรมเฉพาะตัวของคำศัพท์แต่ละคำ เวลาสื่อสารเจ้าของภาษาฟังหรืออ่านแล้วจะรู้สึกแปลกๆ พฤติกรรมเฉพาะตัวของคำศัพท์แต่ละคำ เรียนรู้ได้โดยการ "เลียนแบบด้วยสัมผัสพิเศษ" เราเห็นกระทู้คนอ่อนอังกฤษมากๆหลายๆคนถามหาที่เรียน grammar ล้วนๆ เราไม่รู้จะแนะนำยังไง เพราะพูดคงต้องพิมพ์ยาวว่า เรียนตั้งแต่พื้นฐานควรเรียนทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียนไปพร้อมๆกัน ไม่ใช่เรียนแต่ grammar เวลาเราสอนนักเรียนที่อ่อนมากๆ เราพยายามสอน ฟังกับพูด ประโยคง่ายๆก่อน แล้วให้นักเรียนเอาประโยคง่ายๆพวกนั้นไป improvise (พูดพลิกกลับไปกลับมาในหลายๆรูปแบบ) เพื่อ "พัฒนาสัมผัสพิเศษในการให้พฤติกรรมเฉพาะตัวของคำศัพท์มันซึมเข้า subconscious" ถ้านักเรียน "จับทางไม่ถูกจริงๆเราถึงบรรยายเรื่อง grammar ในจุดที่ใช้ intuition ทำความเข้าใจมันไม่ได้" ซึ่งในช่วง improvisation มันจะเป็น listening/pronunciation drill คือฝึกฟังและออกเสียงไปพร้อมๆกัน ซึ่งเราก็จะค่อยๆแนะนำจุดสำคัญๆที่จะช่วยเรื่องนี้ได้ตามหลักวิชา phonetics เพียงแต่ตัดเอาเรื่องที่เป็นวิชาการมากๆออกไป โดยย่อมาเป็นสอนแต่เนื้อหาสำคัญๆในเชิงปฏิบัติเท่านั้น ถ้าคุณเรียนแบบ improvisation กับทำ listening/pronunciation drill (ฝึกซ้ำๆ) บ่อยๆ คุณจะได้ทั้งภาครับเข้าและส่งออก และจะหมดปัญหาในการสื่อสาร เพราะว่า You learn to understand and compose. แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 55 10:28:21 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 10:25:33

ความคิดเห็นที่ 3 ผมว่า ปัญหาคุณ มันก็เหมือนผมหรือ นร.ไทยทั่วๆ ไปหนะคับ Vocabs, grammar, expressions คุณอ่าน BKK Post ได้สบาย ก็แปลว่า 3 ตัวบนผ่านสบายๆ แต่ยังสื่อสารไม่ได้ นั่นเพราะว่า มีความสามารถแค่ passive คืออ่านเท่านั้น เหมือนคนดูละคร กับแสดงเอง มันคนละเรื่องกัน การเขียนกับพูดเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ถ้าพูดไม่ได้ลองเขียนดูสิคัฟ หยิบข่าวอะไรใน BKK Post มาซะอัน ยิ่งลักษณ์ปล่อยน้ำก็ได้ แล้วตอบคำถาม ที่ตัวเองถาม เช่น รบ.ควรทดสอบปล่อยน้ำหรือไม่ ตอบคำถามนั้นด้วยการเขียนด้วยตัวเอง ถ้าติดตรงไหนอธิบายไม่ถูก อนุญาตให้โกงด้วยการแอบดูที่เขาเขียนในข่าวดังกล่าวได้ เขียนได้ ก็อ่านได้ อ่านได้ก็พูดได้ แหละคัฟ! จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 10:30:08

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ   สมัยหนึ่งผมก็เป็นแบบคุณคือสื่อสารเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันได้   แต่พอถึงเรื่องทางเทคนิคมันดันติดอ่างเสียอย่างนั้น   ตอนนั้นเรียนภาษาอังกฤษอยู่   เขียนรายงานส่งอาจารย์ไปแบบนั้น อาจารย์ผมบอกให้เลือกอ่านบทความทางเทคนิคหนึ่งหรือสองย่อหน้า   เมื่ออ่านจบให้ออกไปยืนเล่าหน้าชั้น   ให้ได้ความยาวอย่างน้อย 1 นาที เสร็จแล้วให้กลับมาอ่านใหม่   แล้วออกไปเล่าอีกรอบ   คราวนี้ให้ยาว 3 นาที เสร็จแล้วให้กลับมาอ่านใหม่   ออกไปรอบสุดท้ายนี่ให้ได้ยาว 5 นาที   อนุญาตให้เอาความรู้ที่มีในหัวแต่ไม่อยู่ในบทความออกมาตีไข่ใส่สีได้ด้วย วิธีนี้ได้ผล   เชื่อดิ จากคุณ : Tanis เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 10:48:40

ความคิดเห็นที่ 5 ผมว่าคนไทยเป็นกันเยอะนะครับ อ่านออก แต่คุยไม่ได้ เบื้องต้นลองดูซีรีย์ฝรั่งชิวๆ เยอะๆ ดูครับว่าในชีวิตประจำวันเค้าพูดอะไรกันยังไง และแนะนำให้อ่านนิยายที่คนคุยกันจริงๆ แบบไม่ใช่หนังสือพิมพ์ด้วยครับ จากคุณ : J-Renderer เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 10:51:46

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณมากครับ ผมขยายความนิดนึง คห 2 ผมทำงานโรงแรมก็จะได้คุยทั่วๆไป เยอะ แกรมม่าก็รู้นิดหน่อย อาศัยจำๆเวลาคุยต่างๆ พอพัฒนามาเรื่อยๆ อ่านบางกอกโพสต์ไ้ด้ ฟัง CNN แบบแยกคำๆพอได้ (จากเสียง) แต่รู้สึกว่า สมองมันแปลความหมายไม่ทัน (ซึ่งต้องผ่านกระบวนการเรียงเป็นประโยคและแปบความหมายในหัว) พอจะคุยในเชิงซับซ้อนขึ้น เริ่มจอดแล้ว มันไม่ขัดทางเทคนิคหรือความเป็นไปได้ มันเป็นแบบนี้จริงๆ อ้างอิงของคุณครับ แต่ถ้าเรียนเฉพาะ Learn to understand. (เรียนเพื่อให้เข้าใจ) แต่ไม่เคย Learn to understand and compose. (เรียนเพื่อให้เข้าใจและพูดเขียนได้) ถ้า 1. พูดไม่ชัด 2. พูดหรือเขียนโดยยังมีข้อผิดพลาดเพราะไม่รู้พฤติกรรมเฉพาะตัวของคำศัพท์แต่ละคำ เวลาสื่อสารเจ้าของภาษาฟังหรืออ่านแล้วจะรู้สึกแปลกๆ พฤติกรรมเฉพาะตัวของคำศัพท์แต่ละคำ เรียนรู้ได้โดยการ "เลียนแบบด้วยสัมผัสพิเศษ" เราเห็นกระทู้คนอ่อนอังกฤษมากๆหลายๆคนถามหาที่เรียน grammar ล้วนๆ เราไม่รู้จะแนะนำยังไง เพราะพูดคงต้องพิมพ์ยาวว่า เรียนตั้งแต่พื้นฐานควรเรียนทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียนไปพร้อมๆกัน ไม่ใช่เรียนแต่ grammar เวลาเราสอนนักเรียนที่อ่อนมากๆ เราพยายามสอน ฟังกับพูด ประโยคง่ายๆก่อน แล้วให้นักเรียนเอาประโยคง่ายๆพวกนั้นไป improvise (พูดพลิกกลับไปกลับมาในหลายๆรูปแบบ) เพื่อ "พัฒนาสัมผัสพิเศษในการให้พฤติกรรมเฉพาะตัวของคำศัพท์มันซึมเข้า subconscious" ถ้านักเรียน "จับทางไม่ถูกจริงๆเราถึงบรรยายเรื่อง grammar ในจุดที่ใช้ intuition ทำความเข้าใจมันไม่ได้" ซึ่งในช่วง improvisation มันจะเป็น listening/pronunciation drill คือฝึกฟังและออกเสียงไปพร้อมๆกัน ซึ่งเราก็จะค่อยๆแนะนำจุดสำคัญๆที่จะช่วยเรื่องนี้ได้ตามหลักวิชา phonetics เพียงแต่ตัดเอาเรื่องที่เป็นวิชาการมากๆออกไป โดยย่อมาเป็นสอนแต่เนื้อหาสำคัญๆในเชิงปฏิบัติเท่านั้น ถ้าคุณเรียนแบบ improvisation กับทำ listening/pronunciation drill (ฝึกซ้ำๆ) บ่อยๆ คุณจะได้ทั้งภาครับเข้าและส่งออก และจะหมดปัญหาในการสื่อสาร เพราะว่า You learn to understand and compose. ผมคิดว่า ผมควรกลับไปฟัง Hi how are you บทแรก แล้วฝึกแบบพูดกลับไปกลับมา ให้ได้สัมผัสพิเศษ ผมคิดว่า แค่ howare you ง่ายเกินสำหรับผม จึงมองข้ามมานาน ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ จากคุณ : wutt1980 (wutt1980) เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 12:54:31

ความคิดเห็นที่ 7 พูดถึงสัมผัสพิเศษที่ซีอเฮียผมว่านี่ เป็นเรื่องจริงนะคัฟ จะว่าไปแล้ว ผมก็เรียนภาษามาด้วยวิธีทั้งสองพร้อมๆ กัน 1 ครือ การเรียนตามแบบปกติในห้องเรียน ซึ่งครูทั่นก็สอนดีนะคัฟ ถ้าเราเข้าใจที่ครูสอนในชั้นเรียนหมด ปัญหาขั้นพื้นฐานทุกอย่างจะหายไปหมดเลย อันนี้ผมไม่มีปัญหาเพราะผมเข้าใจครูสอน 100% และผมก็อ่านเองจากตำราแกรมมาร์ต่างๆ เจอะไรอ่านหมด อ่านจนค่อนข้างแตกฉาน และผมว่า ไวยากรณ์เป็นสิ่งที่มีลอจิกไม่แพ้คณิตศาสตร์ เคมี หรือฟิสิกส์ แน่นอนคุณต้องจำเป็นจำนวนมาก แต่ว่าหลังจากนั้นแล้ว สามารถ derive the equation ได้เอง ถ้ารู้พอ แต่นั่นก็ยังไม่พอสำหรับจะอ่านหนังสือยากๆ อย่าง Bangkok Post หรือนิยายแบบ Pride and Prejudice ซึ่งผมลองอ่านในตอนนั้น ก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง 2. ครือเรียนแบบสัมผัสพิเศษ สำหรับผมคือ อ่านดะ! มีอะไรใกล้มือผมอ่านหมด นิทาน นิยาย บทความ นสพ. ถุงกล้วยแขก อ่านไปอ่านมา มันจะเกิดความแตกฉานเอง เกิดสิ่งที่เรียกว่า สัมผัสพิเศษ ว่าไอ้นี่น่าจะเป็นแบบนี้ ไอ้นี่น่าจะพูดว่าอย่างงี้ เพราะเห็นมามากพอควร ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจนั่นแหละ เกิดพฤติกรรมเลียนแบบสิ่งที่เคยเห็นมาจนทำได้เอง ว่างั้นเหอะ ก็เล่าสู่กันฟังอะคัฟ ตามสไตล์ศิษย์สำนักเรา กร๊ากกก จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 13:27:36

ความคิดเห็นที่ 8 เข้าใจไม่ยากว่าทำไมยังพูดติด   ภาษามันเป็นทักษะ ไม่ฝึกจนเกิดทักษะมันก็ย่อมสะดุดเป็นธรรมดา ทักษะที่คุณมีคืออ่านบางอย่างฟังบางอย่าง อยากทำอย่างที่คุณได้ก็เพียงแต่ขยับไปฝึก อย่างนั้น อยากคุยเรื่องเทคนิคด้านโรงแรมมันก็ต้องมีเทคนิคด้านนั้น อ่าน เขียน ฟัง พูด ไปพร้อมกัน ผมไม่ได้ทำงานโรงแรม ถึงผมพูดเรื่องวิชาการผมคล่องแต่ผมจะไปพูดเรื่องโรงแรมเก่งเหมือนคุณได้ไง ระดับเทคนิคอลอิงลิชนี่มันของใครของมัน พูดเรื่องเรือรบลำโตๆ ผมจะคุยกันรู้เรื่อง กับบิ๊กทหารน้ำท่านหรือ ฉันใดก็ฉันนั้น จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 15:26:11

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ fortuneteller ขอเฉลยด้วยครับ 1 กับ 3 นี่ผิดเพราะว่าน่าจะเป็นคำว่า recommend เปล่า suggest หมายถึงความคิดเห็นเฉย ๆ แบบ I suggest we go to the movie tonight. อันที่สี่น่าจะเป็นเพราะว่าไม่มี to ต่อท้าย รึเปล่า ส่วนอันที่สองนี่คิดว่าน่าจะถูกแล้วนะครับ จากคุณ : my aura เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 17:33:41

ความคิดเห็นที่ 10 ^ ^ ^ อันที่ 2 ก็ผิดด้วย และที่มันผิดหมดทั้ง 4 อันก็ด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่าเวลา native speakers ใช้คำศัพท์แต่ละคำเขามักจะเอาคำศัพท์พวกนี้ไปรวมกลุ่มกับศัพท์ตัวอื่น ซึ่ง "กลุ่มคำพวกนี้ที่รวมกันแล้วเป็นธรรมชาติ" เขาเรียกว่า "collocation" ยกตัวอย่างเช่น หลอกใครให้ทำอะไร กับ หลอกใครให้ไม่ทำอะไร ถ้ารู้แต่ศัพท์ trick ก็พูดหรือเขียนไม่ถูก แต่ถ้ารู้ collocations มันก็จะทำให้พูดหรือเขียนออกมาเป็น หลอกใครให้ทำอะไร trick somebody into doing something หลอกใครให้ไม่ทำอะไร trick somebody out of doing something หรือถ้ารู้ว่า "ค่าไถ่" อังกฤษคือ "ransom" แต่ถ้าท่องแต่ศัพท์คือ ransom แปลว่าค่าไถ่พอจะพูดว่า "เขาจับเธอไปเรียกค่าไถ่" ก็คิดไม่ออกถ้าไม่เคยเห็น native speaker สร้างประโยคให้ดู แต่ถ้าเคยเห็น ก็จะรู้ว่ามันคือ เขาจับเธอไปเรียกค่าไถ่ He held her to ransom. ปัญหาก็คือฝรั่งเรียนภาษาไทยหรือภาษาจีนท่องศัพท์เป็นคำๆโดดๆแล้วจับศัพท์มาเรียงกันเป็นประโยคภาษาไทยหรือภาษาจีนมันมีทางถูกมากกว่าผิด แค้คนไทยหรือคนจีนเรียนภาษาอังกฤษท่องศัพท์เป็นคำๆโดดๆแล้วจับศัพท์มาเรียงประโยคภาษาอังกฤษมันมีทางผิดมากกว่าถูก นั่นก็หมายความว่าคนไทยหลายๆคนที่อ่อนมากๆอยากเรียนตั้งแต่พื้นฐาน แล้วอยู่ดีๆแห่กันไปเรียน grammar กับติวเตอร์ดังๆที่สอนแต่ pure grammar หลักสูตรแพงๆ แต่นักเรียนไม่เคยฝึกฟังกับพูด แล้วก็ไม่เคย improvise เลย พอเรียนจบมาก็อัดแต่ศัพท์โดยเรียนกับติวเตอร์ดังๆเรื่อง vocab อีกรายหนึ่ง แล้วไปเรียน writing กับติวเตอร์อีกรายหนึ่งที่ดังเรื่อง writing แล้วฝันเฟื่องคิดว่าเรียนจบ 3 ติวเตอร์จะเขียนได้ แต่โอกาสเขียนผิดมันยังมีมากกว่าถูก ด้วยเหตุผลง่ายๆก็คือว่า หลักสูตรที่ติวเตอร์ 3 คนสอน pure grammar, vocab กับ writing ไม่มีติวเตอร์รายไหนที่ "กระตุ้น" ให้นักเรียนคิดถึง "พฤติกรรมเฉพาะตัวของคำศัพท์แต่ละคำ" ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของคนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ซึ่งจะเรียนมันได้ก็ต้อง "ใช้สัมผัสพิเศษ" ด้วยเหตุผลดังกล่าว เราจึงเปลี่ยนวิธีสอน grammar ใหม่หมด นั่นก็คือ เราจะไม่สอนนักเรียนระดับพื้นฐานแต่ pure grammar แต่เราจะสอน ฟัง พูด อ่าน เขียน ไปพร้อมๆกัน และตอนทำแบบฝึกหัด grammar เราไม่ให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด basic grammar โดยการเขียน แต่ให้ทำโดยการพูดออกมาเลย คือให้ใช้ improvisation เพราะตอน improvise พูดพลิกประโยคกลับไปกลับมา จะ improvise แต่กลุ่มคำที่เป็นธรรมชาติ (collocations) ไปจนซึมลงลึกถึง subconscious ของนักเรียน และเมื่อนักเรียน improvise เพื่อใช้ suggest สร้างประโยคพลิกแพลงไปบ่อยๆจนชิน สัญชาติญาณนักเรียนจะรู้เองว่า จะต้องไม่ improvise ออกมาเป็นอะไรอย่างนี้ Can you suggest me a good dictionary?   He suggested us to go for a drink.   What do you suggest us to do?   I suggest to wear something warm. ^ ด้วยเหตุผลง่ายๆ (แต่ไม่มีสอนในหลักสูตร grammar ที่คนไทยส่วนใหญ่สอนกัน) ก็คือว่า คำว่า suggest ไม่มีพฤติกรรมเฉพาะตัวแบบนี้ คือไม่มี collocations แบบนี้ (คือไม่มี native speakers ที่ไหนใช้ suggest สร้างประโยคด้วย  sentence structure  แบบนี้ ดังนั้น ประโยค 4 ประโยคดังกล่าวจึงผิด grammar หมด! โดยที่ความรู้จากการเรียนหลักสูตร pure grammar คือเรียนแต่ grammar อย่างเดียวกะเอาเป็นเอาตายให้แม่น grammar กลายเป็นไม่ได้ช่วยชีวิตนักเรียนเอาไว้เลย เพราะนักเรียนก็ยังพูดหรือเขียนผิดอยู่ดีนั่นแหละ เนื่องจาก "ลืมพัฒนาสัมผัสพิเศษ!" แก้ไขเมื่อ 07 ก.ย. 55 20:52:08 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 55 20:45:28

ความคิดเห็นที่ 11 ^ ^ ^ ฮ่าฮ่าฮ่า  You got me! I've never thought of that. หรือพูดง่ายๆ ว่า เคยเจอแต่ฝรั่งพูดว่า Can you recommend me a good dictionary? What book do you suggest that we read? What book do you suggest for reading? He suggests that we go for a drink. What do you suggest that we do? What do you recommend us to do? I suggest that we wear something warm. I recommend for us to wear something warm. I recommend that we wear something warm. I think we should wear something warm. <=== a whole lot easier? hehehe. จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 11:29:19

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณทั้งสองท่านครับ จากคุณ : my aura เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 02:55:44