ความคิดเห็นที่ 1 ข้างบนเละเทะหมดแล้ว เอาใหม่ละกัน... ผมว่าศัพท์ภาษาอังกฤษนี่มันเยอะแยะไปหมดเลยนะ จำไม่หวาดไม่ไหว สำหรับคนที่ไม่ได้เกิดและโตในเมืองฝรั่งการที่จะรู้ความหมายของคำศัพท์ได้ทั้งหมดนี่มันคงจะเป็นเรื่องยากเย็นพอสมควรทีเดียว อย่างผมนี่ เมื่อทดลองสุ่มเปิดอ่านข่าวจาก bangkokpost ดูแล้ว  ไม่ว่าจะเปิดดูข่าวไหน ๆ ก็จะเจอศัพท์แสงที่ไม่รู้เยอะแยะไปหมด ต้องคอยเปิดดิกฯ หาความหมายอยู่ตลอดเวลา ทำให้กว่าจะอ่านทำความเข้าใจได้ค่อนข้างกินเวลานานและไม่ไหลลื่นเอาซะเลย   ก็เลยสงสัยครับว่า คนที่เก่งๆ ภาษาอังกฤษกันแล้ว เวลาอ่านข่าวภาษาอังกฤษทั่วๆ ไป นี่ยังคงต้องมีการพึ่งพาดิกฯ กันอยู่บ้างไหมครับ ลองดูตัวอย่างซักข่าวนึงละกัน  เป็นข่าวที่ผมลองสุ่มเปิดอ่านดู   ที่ระบายตัวหนาไว้คือศัพท์คำที่ผมไม่รู้ความหมายและต้องเสียเวลาเปิดดิกฯ  ซึ่งมันเยอะแยะไปหมดเลย ไม่รู้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนนะกว่าที่จะไม่ต้องพกดิกฯ ติดตัวตลอดเวลา Minnie Mouse and Americana hit London Fashion Week Published: 16/09/2012 at 06:48 AM   British designer Jasper Conran brought a taste of 1970s Americana to London Fashion Week on Saturday, while some of his colleagues paid tribute to an unlikely style icon -- Minnie Mouse. On the second day of London Fashion Week, barefoot models trampled a grassy catwalk as they showed off Conran's spring/summer 2013 collection against a psychedelic backdrop of neon flowers. Conran, the son of pioneering homeware designer Terence Conran, presented a string of whimsical mini-dresses in lime-green and orange crochet and white lace. Touches of patchwork, alongside denim shorts teamed with sleeveless vests for a cow-girl look, gave another nod to twee Americana. The 52-year-old's collection veered from the androgynous -- in the form of a severe white trouser suit -- to the voluptuously feminine, including a strapless dress in brilliant red. A sequinned mini-dress harked back to the dawn of disco, while a majestic ball-gown added a touch of hippy chic. At the more playful end of Saturday's programme, a dozen designers including Giles Deacon and Lulu Guiness created one-off works inspired by Disney's Minnie Mouse to be auctioned off for charity on eBay. Richard Nicoll turned Minnie's famous black ears into the shoulders of a strapless dress that featured a print of her with Mickey -- her boyfriend since the two mice were created in 1928. Hand-painted wedge heels by Terry de Havilland paid tribute to the red and white polka-dot print of her dress, as did a long, layered skirt by Dutch designer Michael van der Ham. He teamed it with a top featuring a sequinned outline of Minnie's head. "I really like when little girls wear tourist t-shirts with the silhouette of Minnie's face," van der Ham explained. "They're normally printed so I wanted to refabricate that in a couture, hand-made piece," he told AFP. Sunday is one of the biggest days in the London Fashion Week programme, with highlights set to include a show from punk queen Vivienne Westwood. The British fashion industry generates pound sterling21 billion ($34 billion, 26 million euros) every year and employs more than 80,000 people, according LFW's organisers, the British Fashion Council. Some 5,000 buyers, journalists and photographers are expected to attend the shows, which organisers hope will bring in orders worth pound sterling100 million ($160 million). http://www.bangkokpost.com/news/world/312594/minnie-mouse-and-americana-hit-london-fashion-week คนที่เซียน ๆ ภาษาอังกฤษ เมื่ออ่านข่าวนี้แล้ว มีคำไหนที่ทำให้ต้องใช้ดิกฯ อยู่บ้างไหมครับ   ต้องใช้เวลาประมาณกี่ปีครับกว่าที่จะอ่านข่าวภาษาอังกฤษทั่ว ๆ ไปได้โดยไม่ต้องใช้ดิกฯ บ่อยจนเกินไปนัก  เฮ้อ...แล้วอย่างผมเนี่ยความจำไม่ค่อยดีด้วย นึกไม่ออกเลยว่าชาตินี้ ไม่รู้เมื่อไรจะอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ได้แบบไหลรื่นโดยไม่ต้องคอยเปิดดิกฯ กับเขาบ้างซินะ จากคุณ : time wait for no one เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 10:15:01

ความคิดเห็นที่ 2 ต้องมีบ้างอยู่แล้วล่ะครับ ศัพท์พวกนี้มันขึ้นอยู่กับว่าเราอ่านอะไรเยอะด้วยน่ะครับ อ่านนิยายของคนเขียนคนนึง ก็จะเจอศัพท์แบบนึง ข่าวการเมือง ก็จะเจอศัพท์แบบนึง ข่าวบันเทิง ก็จะเจอศัพท์อีกแบบนึง นอกนั้นก็ยังมีศัพท์เฉพาะทางอีก อย่าง ศัพท์หมอ ศัพท์ศิลปะ ศํพท์ภาพถ่าย ฯลฯ สมมุติเราอ่านเรื่องเกี่ยวกับอะไรอย่างใดอย่างนึง หรืออ่านนิยายของคนเขียนคนเดิมๆ สักพักเราจะเริ่มชินศัพท์และเริ่มจำศัพท์ที่ใช้ในเรื่องนั้นๆ ได้เองครับ เพราะมันก็จะซ้ำๆ ศัพท์เดิมนั่นแหละ แรกๆ ก็ต้องเปิดดิกไปก่อน edit จากที่แปะมานะครับ ผมไม่รู้จัก 2 คำ psychedelic กับ androgynous แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 55 10:22:07 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 55 10:20:16 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 55 10:18:28 จากคุณ : J-Renderer เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 10:15:44

ความคิดเห็นที่ 3 กะอีแค่ยศทหารเนี่ย ผมยังรู้ไม่หมด (และยังจำค่อยไม่ได้) เลยครับ ทั้ง ๆ ที่เป็นล่ามทางด้านนี้ ... จากคุณ : เศียรนาคา ... เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 10:35:39 A:125.24.26.125 X: TicketID:255126

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนตัว เป็นนคนขยาด กับหนังสือพิมพ์รายว้นฝรั่ง ที่มีความหนาเกือบนิ้ว ถ้าไม่มี คำว่า Thailand ปรากฎให้เห็นในข่าว จะผ่านไปเลย ข่าวอื่นๆก็ไม่อ่าน เพราะส่วนใหญ่ เป็นเรื่องราวของฝรั่งเขา เอ่ยสถานที่หรือชื่อใครก็ไม่รู้จัก ศัพท์ที่ใช้ในหนังสือพิมพ์ ก็ไม่ค่อยรู้ อยากรู้และเข้าใจ ก็ต้องเปิดดิกชันเนอรี จนตาลาย สมัยที่ยังไม่มี อินเตอร์เน็ต จะได้ข่าวจากเมืองไทย ส่วนใหญ่ทางทีวี จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 10:39:22

ความคิดเห็นที่ 5 ที่ยกมา ไม่มีศัพท์ตัวไหนที่อ่านไม่เข้าใจ ผมอ่าน นสพ ภาษาอังกฤษแบบไม่เปิดดิกมากว่า 30 ปีแล้ว ระดับอ่่าน ไทยรัฐ มติชน แม้แต่ The Economist ที่บางคนว่ายาก ก็ไม่เคยมีปัญหาครับ http://www.economist.com/blogs/freeexchange/2012/09/federal-reserve-launches-qe3?spc=scode&spv=xm&ah=9d7f7ab945510a56fa6d37c30b6f1709 ผมแนะจากประสบการณ์นะครับ ตอนอยู่ ปี1 ผมเปิดดิก Oxford Advanced Learner's Dictionary 2nd Edition ปี 1971 จนขาดหลุดบางแผ่นเมื่อสิ้นปี พอขึ้นปี 2 แทบไม่ต้องเปิดดิกเลย อ่าน นสพ อังกฤษ หมูมาก เปิดดิกเมื่ออ่านหนังสือวิชาการ แต่ไม่บ่อยหนัก จบปริญญาตรี อ่านหนังสืออังกฤษเกินกว่า 1000 เล่ม แทบไม่ต้องเปิดดิกเลย ถ้าคุณยอมเหนื่อย เปิดดิกทุกวัน ตอนแรกท้อ แต่บ่อยเข้า เจอเปิด เจอเปิด วันหนึ่งคุณจะเห็นว่า บางวันอ่านไม่ต้องเปิดดิกเลย แค่ปีแรกก็เห็นผลแล้ว แต่คุณต้องอ่านอย่างน้อย 6 ชม ทุกวัน เปิืดดิกทุกคำ ปล ผมได้ Oxford Advanced Learners เป็นรางวัลปลายปี มศ.4 และเริ่มใช้ตอนหยุดเทอมใหญ่ มศ.4 ตลอด มศ.5 มาหนักตอนอยู่ ปี 1. หลังจากนั้นแทบจะไม่ได้ใช้เลย นานๆ ครั้ง แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 55 11:25:28 จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 11:20:50

ความคิดเห็นที่ 6 สงสัยป๋มจะแย่ที่สุดในกระบวนจอมยุทธ กร๊ากกก มีศัพท์ที่ป๋มไม่รุจักหรือแน่ใจไม่ใช่น้อย ดังแสดงไว้ข้างล่าง แต่ประเด็นก็ครือ นี่มันเป็นศัพท์แสงทางเสื้อผ้าและแฟชั่น ซึ่งไม่ใช่วงการทีป๋มชอบหรือเคยศึกษา แต่ข้อสรุปตะหากละคัฟ ข้อสรุปคือ คุณยึดติดกับคำศัพท์มากไปป่าวววว ยึดติดจนต้องเปิดดิกตลอด ถ้าไม่รุศัพท์ เดาแล้วอ่านผ่านไปได้ไม๊คัฟ ต่อให้ไม่รุศัพท์พวกนี้บางคำตรงๆ แต่มันไม่ทำให้ความเข้าใจในบทความเสียหายไปเลย เช่น โอเค ผมอาจจะไม่รุว่า denim shorts คือกางเกงขาสั้นแบบไหน สั้นจู๋ สามส่วน สี่ส่วน หรืออะไรยังไง นั่นอาจจะเป็นรายละเอียดที่ดี แต่ถึงไม่รุชัดมันไม่ทำให้เสียความเข้าใจภาพรวมในระดับที่ดีไปเลย ก็เพียงแต่อ่านต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีปัญหาอะไร และหากผมอยากจะเห็นว่า denim shorts หน้าตาเป็นไง ก็เปิดดิกออนไลน์ หรือดีก่า  เอาคำนี้ไปทำ image search ใน google ก็ไม่ยากเลยคัฟ ยุคสมัยนี้แล้ว อย่าพกดิกให้เชยเลยคัฟ All the answers are at your fingertips! ---------------------------- นี่คือตัวอย่างคำที่ผมไม่รุ แต่ไม่มีผลอะไรมากมายกับความเข้าใจโดยรวม On the second day of London Fashion Week, barefoot models trampled a grassy catwalk as they showed off Conran's spring/summer 2013 collection against a psychedelic backdrop of neon flowers. psychedelic ไม่ทราบชัดๆ แต่ psyche แปลว่าจิต ผมเดาเอาว่า ที่หลอกตาหลอนใจ ไรทำนองนั้น นึกถึงภาพดอกไม้นีออนเรืองแสงล่อแมลงอย่างป๋ม กร๊ากกก ไม่น่าหนีจากนี้ไปเท่าไหร่ Touches of patchwork, alongside denim shorts teamed with sleeveless vests for a cow-girl look, gave another nod to twee Americana. denim shorts กางเกงขาสั้นอะไรสักอย่าง twee Americana เดาว่าทำนองสาวคาวเกิร์ลบ้านนอก หรือยุคก่อน เพราะที่อื่นก็พูดทำนองนี้มาก่อนว่า 1970s Americana The 52-year-old's collection veered from the androgynous -- in the form of a severe white trouser suit -- to the voluptuously feminine, including a strapless dress in brilliant red. androgynous อันนี้เดาไม่ได้เลย แต่ว่า มันอยู่ในรูปประโยคที่มีคำขยายด้วย hyphen มาให้แล้ว ไม่ต้องเดา กร๊ากกก คำขยายของ androgynous ครือ -- in the form of a severe white trouser suit -- เห็นไหมรู้ไวยากรณ์ช่วย! ย่ิงอ่านว่า เปลี่ยนจากแบบหนึ่งที่แข็ง มาเป็นแบบพูหยิงอวดเนื้อหนัง ไร้สาย แดงแปร๊ด ผมว่าไม่ต้องรุ androgynous ก็ไม่มีปัญหามั๊ง A sequinned mini-dress harked back to the dawn of disco, while a majestic ball-gown added a touch of hippy chic. sequinned นี่คืออะไรมะรุ แต่มันก็บอกแล้วว่าเตือนให้นึกถึงยุคดิสโก้แรกๆ ก็พอจะเห็นภาพชุดมินิเดรสนี่ได้ลางๆ ball-gown นี่ไม่แน่ใจว่าเป็นชุดราตรีเต้นรำ (ballroom) หรือเปล่า แล้ว ฮิปปี้ชิก สาวๆ ฮิปปี้นี่มันจะไปใส่ชุดที่ฮะรูฮะราระดับ majestic อย่างนั้นได้อย่างไร หรือ ฮิปปี้จะหมายความอย่างอื่นได้ ก็ไม่ทราบ แต่การไม่ทราบพวกนี้ ไม่ทำให้อ่านแล้วถึงกับมืดแปดด้าน ผมว่ามันเป็นแค่เราไม่ได้อยู่ในวงการ ถ้าอยากรู้ก็จิ้มไปก็จบ Hand-painted wedge heels by Terry de Havilland paid tribute to the red and white polka-dot print of her dress, as did a long, layered skirt by Dutch designer Michael van der Ham. wedge heels เดาว่าน่าจะเป็นรองเท้าส้นลิ่มอะไรสักอย่าง สีสันน่าจะจัดจ้าน He teamed it with a top featuring a sequinned outline of Minnie's head. sequinned อีกแล้ว แต่ไม่ได้ทำให้เข้าใจคำนี้มากขึ้นเพราะบริบทน้อยไป "They're normally printed so I wanted to refabricate that in a couture, hand-made piece," he told AFP. couture เป็ฯอีกคำที่ไม่เคยเปิดดิกดูว่าเป็นชุดแบบไหนกันแน่ เคยแต่ดู Haute Couture ใน Fashion TV เห็นใช้คำนี้ทีไร ชุดสวยทุกที กร๊าากกก ฉาวๆ ก็ฉวย กร๊ากกกก สรุปว่า ก็ไม่รุแน่ชัดหลายคำ แต่ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรขนาดต้องไปเปิดดิก ถ้าอยากรุละเอียดค่อยเปิดคัฟ และแด๋วนี้ เปิดคอม google เอาดีก่า! ไม่ช้าคัฟ ว่าแล้วเปิดซะหน่อย จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 12:40:07

ความคิดเห็นที่ 7 อืมมม ผลการค้นหา denim shorts ใน google image search.. หรือมันจะหมายฟามว่า โว๊วววววว ป่าวหรอก ภาพอื่นมะมีใครเขาเป็นแบบนี้กัน จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 12:52:03

ความคิดเห็นที่ 8 อันนี้ sequin dress โดยคำว่า sequin หมายถึงเหรียญ หรือวัตถุกลมเล็กๆ   sequin dress, sequinned dress จึงประมาณ ชุดหยิงที่แปะประดับไปด้วยแถบผ่าหรือวัตถุกลมเล็กๆ แถวบ้านเรียก ชุดนางเอกลิเก กร๊ากกกก จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 13:03:20

ความคิดเห็นที่ 9 อันนี้ wedge heels หรือ wedge heel boots แถวบ้านเรียก ส้นตึก! กำลังอินเทรนด์ หยั่งที่พวกหนุ่มๆ ชอบแซว คุณสมบัติฉาวๆ สมัยใหม่ตอนนี้ว่า "ดัดฟัน ส้นตึก นอนดึก ตอ...เอ่อ ตอแหม" (ผมมะได้คิดเองนะ อย่าฆ่าผม I'm just a messenger!) จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 13:07:24

ความคิดเห็นที่ 10 psychedelic neon .... ไม่ผิดจากที่จินตนาการไว้เท่าไหร่ จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 13:13:36

ความคิดเห็นที่ 11 และสุดท้าย.... couture พบว่า มันคือแฟชั่นฮะรูฮะราที่สุด ประมาณว่า ชุดเจ้าสาว หรือชุดหรูใดๆ ทำนองนั้น ตามที่เคยเห็นใน Fashion TV และมีความหมายเดียวกับ haute couture หรือที่อังกฤษเรียกว่า high fashion แล้วตกลงมันคืออะไร ไอ้ high fashion? google ช่วยได้คัฟ แปลแล้วได้ฟามว่า ชุดสตรีหรู ตัดเย็บประณีตแบบสั่งตัด ก็ไม่ผิดจากที่เข้าใจเท่าไหร่ มีเพิ่มว่ามันสั่งตัดนะ ไม่ใช่ชุดทำโหล จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 13:24:28

ความคิดเห็นที่ 12 สารภาพด้วยความสัตย์จริง เปิดดิกชั่นแนรี่อยู่เสมอ  ยิ่งเวลาต้องเขียนรายงาน สะกด verb กับ noun สลับกับบ่อยมาก  คอมพ์ก็ช่วยระดับหนึ่งแต่ต้องพยายามให้ดีที่สุด เขียนภาษาประหลาด ๆ บ่อย  รูปประโยคกระโดกกระเดก เป็นที่ทุเรศตาพี่ ๆ เพราะท่านต้องเกลาภาษาให้  อิฉันต้องฝีกอีกมากค่ะ แม้การออกเสียง  อิฉันเป็นลูกผสมที่บางทีจะเพี้ยนจัด  คำบางคำในบริทิช อิงค์ จะออกเสียงอย่าง  อเมริกัน อิงค์  อีกอย่างผสมปนเป  อเมริกันแท้จะเหน็บแนมที่อิฉันเพี้ยนเพราะส่วนผสมต่างชาติ ทุกวันนี้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก  ยังต้องพึ่งคนมีความรู้ภาษาดี ๆ อยู่เสมอค่ะ  ยิ่งตอนปลายปีมีงานใหญ่ต้องทำเป็นกลุ่ม  ต้องจองตัวท่านผู้เมตตากันล่วงหน้าเป็นเดือน  เพื่องานออกมาจะได้ไม่ดูเหลวไหล  คะแนนดีและดูเป็นผู้เป็นคนค่ะ ภาษาอังกฤษยากค่ะ  เห็นด้วยจริง ๆ ^^ จากคุณ : gift is a present เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 13:33:55

ความคิดเห็นที่ 13 Ball gown... โป๊ะเช๊ะ จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 13:36:38

ความคิดเห็นที่ 14 androgynous style แฟชั่นแบบคละชายหญิง ไม่เด่นไปทางชายหรือหญิง หรือมั่นห่วย มอๆ หรือแบบ ทอมๆ นะเอง กร๊ากกกกกกกกก จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 13:43:29

ความคิดเห็นที่ 15 ก่อนอื่นต้องบอกว่าภาษาอังกฤษรวยศัพท์ที่สุดในโลก ในแต่ละปีจะมีศัพท์เกิดใหม่ๆนับเป็นพันๆคำ เท่าที่เป็นอยู่คาดว่าภาษาอังกฤษมีคำศัพท์รวมทั้งหมดเกิน 1 ล้านคำเข้าไปแล้ว โดยมีภาษาจีนตามมาเป็นที่ 2 ของโลก ซึ่งตอนนี้ภาษาจีนคงมีศัพท์ประมาณ 8 แสนกว่าๆคำเข้าไปแล้ว เป็นไปได้ที่ฝรั่งเก่งๆซึ่งเป็นนักเขียน อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ หรือนักภาษาศาสตร์ระดับเทพๆๆๆๆมากๆคงรู้คำศัพท์ตั้งเป็นแสนๆคำ แต่มนุษย์ธรรมดาๆทั่วๆไปขนาดฝรั่งเจ้าของภาษาถ้าไม่ใช่นักอ่านตัวยง เราว่ารู้ศัพท์จริงๆก็แค่หลักพันปลายๆหรือหลักหมื่นต้นๆเท่านั้นเอง (บางทีขึ้นอยู่กับอายุด้วย) ดังนั้น จขกท ไม่ต้องไปกลุ้มเรื่องอ่านภาษาอังกฤษแล้วติดศัพท์หรอก ขนาดนักแปลเก่งๆระดับเขี้ยวลากดินก็ยังต้องเปิด dictionaries เหมือนกัน ไม่มีใครอ่านอะไรทุกอย่างแล้วรู้ศัพท์หมดหรอก คือตามหลักวิชา probability มันไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่แล้ว  แล้วที่ไม่ควรกลุ้มกับมันก็เพราะว่าสมัยนี้มันมีอุปกรณ์เบาๆที่เราพกพาไปได้ ที่จะเปิด online dictionaries ได้ง่ายๆ  ยกตัวอย่างเช่น tablet หรือ smart phone ยิ่ง tablet ที่ runs windows 8 ได้ ซึ่งน่าจะเก่งกว่า tablets หลายๆตัวที่ขายอยู่ตอนนี้ ซึ่งรุ่นใหม่นี้น่าจะออกมาวันที่ 29 ตุลาคมปีนี้ จะทำให้คุณไปไหนมาไหนมี dictionaries ติดตัวตลอดโดยแบกน้ำหนักที่น้อยมากๆ จะบอกให้ว่าเราเคยสอนภาษาอังกฤษคนที่ไม่กระดิกหูเลย คือฟัง พูด อ่าน เขียน grammar ไม่รู้หมด สอนคนแบบนี้กลายเป็นสอนง่ายมากๆเลยหละ เพราะเราสอนทีเดียวครบทุกทักษะแล้วให้นักเรียนใช้ศัพท์สร้างประโยคได้ถูกต้องพลิกแพลงในหลายๆรูปแบบ แต่ไม่เน้นสอนศัพท์หลายๆหมื่นหลายๆแสนคำ (เพราะกลัวนักเรียนจะบ้าตายซะก่อน) แค่สอน defining vocabulary สัก 2000 คำ แล้วสอน ฟัง พูด ให้ถูก grammar เป๊ะๆ แค่นี้ นักเรียนก็เรียนส่วนที่เหลือได้ด้วยตัวเองแล้ว เพราะรู้ศัพท์ขนาดนี้นักเรียนจะเปิด dictionaries อังกฤษ-อังกฤษเรียนได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าจะเอาว่าสอบข้อสอบพวก toefl, ielts, toeic อะไรพวกนี้ ได้คะแนนสูงๆ sure ๆ ก็ต้องให้นักเรียน เรียนให้ครบ 5,000 คำเป็นอย่างน้อยที่สุด การเรียนศัพท์แต่น้อยๆก่อน แต่พยายามใช้มันสร้างประโยคให้ถูกต้องสำคัญกว่าการยัดศัพท์เข้าสมองทีหนึ่งเป็นหลายๆหมื่นหลายๆแสนคำ แต่พูดหรือเขียนผิดธรรมชาติหมด เมื่อก่อนเราเคย edit (ตรวจแก้) คำแปลไทยเป็นอังกฤษของนักแปลที่แปลเร็วที่สุดในประเทศไทย เขาแปล 40 หน้าเสร็จภายใน 24 ชม. นักแปลคนนี้ทั้งรู้ศัพท์เกือบทั้ง dictionary แถมยังพิมพ์ดีดเร็วสายฟ้าแล่บอีกด้วย  แต่โทษทีภาษาอังกฤษที่เขาเขียนมานะ "ผิดธรรมชาติเละ เกือบทุกประโยค!" เคยมีคนอ่าน Bangkok Post ได้แบบแทบไม่มีติดศัพท์เลย มาขอให้เราสอน writing พอเราลองให้เขาพูดหรือเขียนประโยคง่ายๆนะ เชื่อไหมว่าเขาเขียนผิดธรรมชาติเกือบทุกประโยค นั่นก็แสดงว่าเขาเรียนมาโดยวิธีท่องจำศัพท์เป็นคำๆมาหลายปีมากๆ แต่ไม่เคยเรียนวิธีเอาคำศัพท์ไปใช้พูดหรือเขียนพลิกแพลง  เราคิดว่าการสอนนักเรียนระดับนี้ กลายเป็นสอนยากกว่าสอนนักเรียนที่ไม่กระดิกหูเสียอีก เพราะนักเรียนที่ไม่กระดิกหูเลย สมองนักเรียนเหมือนเดฺ็กทารกที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ยังไม่มี pollution ใดๆ นั่นก็คือยังไม่มีการเรียนรู้แบบผิดๆ เข้าไป  เป็น contamination ในสมองบานเบอะ ก็เลยกลายเป็นสอนง่าย เพราะสอนให้  learn to understand and compose (สอนให้เข้าใจและสร้างประโยคได้อย่างถูกต้อง) นั่นเอง ในขณะที่สอนคนรู้ศัพท์เยอะๆแต่พูดกับเขียนผิดหมดกลายเป็นสอนยากมากๆ เพราะเราต้องล้างสมองเขาใหม่หมดให้มีการเรียนรู้ที่ถูกแนวทางมากกว่าเดิม คือต้อง decontaminate สมองนักเรียนนั่นเอง! แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 55 05:47:02 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 55 13:51:39 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 55 13:49:19 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 13:45:03

ความคิดเห็นที่ 16 ขนาดเจ้าของภาษาเองยังต้องพึ่ง dictionary...แล้วผมจะรอดรึ จากคุณ : tnu เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 14:13:26

ความคิดเห็นที่ 17 Nothing, and everything, is Possimpible. จากคุณ : genf เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 15:29:34

ความคิดเห็นที่ 18 โดยส่่วนตัวนะ   การอ่านอะไรก็ตาม หากใช้พจนานุกรม ไปด้วยพร้อมกัน  คือการสร้างอุปสรรคอันใหญ่หลวงให้กับการอ่าน เพราะเหตุใด การอ่าน คือกระบวนการทำงานของสมองที่สัมพันธ์กับตา  หากตาคุณละไปจากหน้าหนังสือ กระบวนการทำงานในสมองนั้น จะถูกขัดจังหวะ เช่น คุณอ่านนวนิยายสักหน้าหนึ่ง  เอากาแฟขึ้นมาจิบสักอึก หากตาคุณยังไม่ละไม่จากบรรทัดนั้น โอเค กระบวนการรับสารในสมองคุณจะทำงานต่อไปอย่างไรอุปสรรค แต่หากคุณปรายตามามองกาแฟที่คุณจิบ กระบวนการทำงานของสมองในเรื่องการอ่าน จะขาดตอนลงในฉับพลัน ซึ่ง นักอ่านระดับพระกาฬ จะไม่กระทำเยี่ยงนี้ การอ่านหนังสือพิมพ์ จุดประสงค์หลักคือ เอาแค่ อ่านเอาเรื่อง รู้ว่าใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ เพราะอะไร จบ ไม่มีความจำเป็นต้องรู้ศัพท์ทุกตัว  สมองเราสามารถเดาศัพท์เอาได้ แต่หาก อยากรู้ความหมายจริงๆ ก็ค่อยมาจดไว้ทีหลัง (เมื่ออ่านครั้งที่สอง) และค่อยไปเปิดดิค เพื่อเช็คความหมาย อ่านให้ถูกวิธี  แล้วชีวีจะมีสุข  หมายถึงไม่ทำให้การอ่าน เป็นเรื่องน่าเบื่อ หรือยาขม ที่ทำให้เสียเวลา จะอ่านได้อ่านดีมีคำกล่าว        จับเรื่องราวภายในให้ได้มั่น เอาความหลักแก่นใหญ่เป็นสำคัญ   ส่วนศัพท์นั้นเป็นรองอย่างจ้องนาน เมื่ออ่านมากคำศัพท์ขยับเพิ่ม      มิหยุดเติมแม้ไม่เต็มเข้มประสาน แล้วคลังคำสำรองก็ผ่องบาน       ทำให้อ่านไม่สะดุดต้องหยุดลง จงอ่านไปให้ทั่วหัวระแหง         ไม่จำเป็นต้องซื้อแพงอย่าไหลหลง ฉลากยากระดาษห่อก็ควรจง       ปราดสายตาอ่านคงเป็นการดี อ่านให้หลากอ่านให้หลายมุ่งหมายมั่น จะลุวันความสำเร็จเสร็จสุขี เพราะอ่านเพลินเจริญจิตเป็นนิจซี    หนังสือนี้แหละเพื่อนแท้ที่แน่นอน จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 16:24:50

ความคิดเห็นที่ 19 ขนาดเจ้าของภาษาเองยังต้องพึ่ง dictionary...แล้วผมจะรอดรึ ^ ^ ไม่รู้ศัพท์นิดๆ หน่อยๆ อ่านได้ครับ แต่ถ้าตีความประโยคไม่เป็น ถึงรู้ศัพท์ทุกตัวก็ไม่รอด จากคุณ : J-Renderer เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 17:30:34

ความคิดเห็นที่ 20 เปิดดิกเฉพาะคำที่เป็น key word   นอกนั้นข้ามด้วยความขี้เกียจ จากคุณ : akebi1 เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 17:58:54

ความคิดเห็นที่ 21 One word  "androgynous" ; I am not crazy about fashion. so it is not wrong not to know. and especially this one, since I haven't got and seen before. -pound sterling 100 million ($160 million): wonder what those look like? จากคุณ : genf เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 18:00:38

ความคิดเห็นที่ 22 หรือยาขม ที่ทำให้เสียเวลา ... ถ้ามัวแต่คิดอย่างงี้ ศัพท์ก็ไม่ก้าวหน้า ได้รสชาด แต่รสชาดไม่ครบเพราะตะงิดตะงิดว่า คำนี้ไม่รู้ ถ้ายอมลำบากหน่อย เปิดทุกคำ อ่านบ่อยๆ อ่านมันทุกวัน มีหรือที่จะอ่าน นสพ อังกฤษ ไม่เข้าใจระดับไทยรัฐ มติชน หรือเหนือกว่าได้? ถ้าคิดอย่างงี้ ชาตินี้ก็ไม่มีทางทำ GRE verbal ได้เกิน 60 percentile หรอกครับ ไม่ต้องไปคิดถึงระดับ 80 percentile เลย ไม่ต้องคิดหรือหวังจะไปชิงทุนหรืออะไร แบบนี้ไม่ว่ากัน ผมคนแก่รุ่นเก่า เชื่อเรื่องฝนทั่งให้เป็นเข็ม เข็นครกขึ้นภูเขา มีความเพียรดุจมหาชนก ผลมันก็ตามมาเอง จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 19:27:39

ความคิดเห็นที่ 23 เราอยู่อเมริกามาตั้งแต่เด็ก อยู่เกือบ 20ปี เราพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันเป๊ะ .......เรายังต้องเปิด dictionary อยู่เลยค่ะ --" ไม่ต้องท้อนะ คุณจขกท. ภาษาอังกฤษมีอะไรใหม่ๆมาให้เรียนได้ตลอดจ้า สู้ๆ ^____^ จากคุณ : via iPhone (อเมริกัน เกิร์ล) เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 19:32:04

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณทุกความเห็นครัีบ   ขอบคุณภาพประกอบจากคุณ Ensign ด้วย ที่อุตส่าห์หามาแปะให้ได้เห็นภาพชัดเจนเลย ก็ได้แนวทางและกำลังใจเพิ่มขึ้นบ้างครับ   อันที่จริงผมก็แค่อยากอ่านเอาแค่ให้พอรู้เรื่องราวและจับใจความสำคัญได้บ้างเท่านั้นแหละ ไม่ได้ต้องการจะรู้ละเอียดลึกซึ้งอะไรมากมาย เพราะตอนนี้เหมือนว่าจะแก่เกินกว่าที่จะเรียนรู้ให้ได้แบบละเอียดลึกซึ้งแล้วหละ ..แฮะ ๆ ...  เอาแค่พอกล้อมแกล้มไปได้บ้างก็พอใจ แต่อย่างว่าแหละครับบางทีอ่านๆ ไป พวกศัพท์จุกจิกเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่มันก็มีมารบกวนอยู่เรื่อย ๆ  ก็เลยมานึกๆ ดูว่า เอ๊ะ แล้วคนที่เก่ง ๆ นี่เขาทำอย่างไรกัน  เขารู้ศัพท์มากมายเกือบทั้งหมดเลยหรือไงนะ แล้วเราจะต้องรู้ศัพท์มากอีกซักเท่าไร กว่าที่จะเปิดอ่านหนังสือทุกประเภทได้รู้เรื่อง เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะเปิดไปอ่านข่าวไหนเรื่องราวอะไรจากแหล่งไหนก็ตามในแต่ละคราว ก็มักจะมีศัพท์ที่ไม่รู้ความหมายอยู่โผล่มาให้เห็นทุกทีมากบ้างน้อยบ้าง  เป็นแบบนี้ แล้วเมื่อไรนะที่จะอ่านภาษาอังกฤษได้เหมือนกับที่อ่านภาษาไทยซึ่งไม่ต้องใช้ดิกฯ ซักที สรุปแล้วจากที่อ่านความเห็นของทุกท่าน  ผมก็คงต้องพยายามฝึกอ่านให้มาก ๆ เข้าไว้ลูกเดียว และก็คงจะไม่กังวลกับเรื่องศัพท์มากเกินไปแล้วหละครับ เพราะศัพท์อังกฤษมันเยอะแยะมากมายจริง ๆ ค่อยเรียนรู้ไป อ่านไปเรื่อยๆ ให้มากๆ เข้าไว้ เก็บเล็กผสมน้อยไปผ่านสายตาบ่อย ๆ เข้าซักวันก็คงจะดีขึ้น อย่างที่คุณ K. ว่า ได้อ่านเรื่องราวของคุณ K. แล้วก็รู้สึกชื่นชมในความพากเพียรมากเลยจริง ๆ  รู้เลยว่าผมนี่ยังอ่านน้อยไปมาก ๆ เลยทีเดียว ยังไม่ได้แม้เพียงเสี้ยวของคุณเลย จากคุณ : time wait for no one เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 21:56:40

ความคิดเห็นที่ 25 สำหรับผมไม่พึ่งดิคเวลาอ่าน อ่านๆไปสักพักมันจะวนไปวนมาเจอศัพท์ตัวนั้นแหละหลายๆที่ มันก็มักจะบอกได้ว่าไอ้นี่มันอะไร ยิ่งเห็นตัวอย่างหลายประโยคมากขึ้น มันก็ได้ผลเกือบเท่ากับเปิดดิคน่ะแหละแต่ว่าไม่เสียเวลาแล้วก็ที่สำคัญคือมันครูพักลักจำได้แม่นเพราะมันเคยเห็นคนเก่งๆเขาใช้งาน นอกจากความหมายแล้วเรายังได้วิธีการใช้งานมันแถมมาด้วย ดังนั้น อ่านกับเขียนผมได้มาอยางนี้ ผมจำเป็นต้องเปิดดิคเอาตอนที่ต้องอ้างอิงหรือค้นคว้าเพื่อยืนยัน ป้องกันไม่ให้เข้าป่า เพราะถ้าลงมือเขียนตำราหรือบทความมันจะมั่วไม่ได้ คนอืนที่เก่งจริงเขาจะรู้ว่าขยายขี้เท่อ เราจึงต้องหาดิคและตำราอ้างอิงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพราะเหตุนี้ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 23:05:48

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้าอยากอ่านให้สนุกก็ไม่ต้องเปิดหรอก เจอมันบ่อยๆมันก็รู้ไปเองว่ามันคืออะไร แต่ถ้าอ่านจบเล่มแล้วยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร และอยากรู้ค่อยไปเปิดทีหลัง พอดีเป็นพวกเดาเก่ง lol จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 01:15:12

ความคิดเห็นที่ 27 เคยทราบว่ามีคนไทยคนนึงจำศัพท์ภาษาอังกฤษได้ทั้งเล่มตอนนี้ทำงานอยู่องการนาซ่า *-* เสียดายคนสูงวัยหลายๆคนที่จะจากโลกไป นี่ถ้า transfer ความเก่งในสมองให้ลูกหลานที่ฉลาดน้อยได้คงดีไม่น้อย เสียดายแทน... จากคุณ : Piss off kuru เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 02:50:50

ความคิดเห็นที่ 28 กระทู้แอบมีดราม่านิด  ๆ นะครับ  อิอิ แต่ได้แนวทางเยอะแยะเลย   ตอนนี้ผมเองก็หัดจำศัพท์แบบที่เป็นรูปประโยคมากกว่าการจำเป็นคำ ๆ รู้สึกได้เลยว่าอ่านได้ลื่นขึ้นจริง ๆ เวลาเปิดดิคก็พยายามดูรูปประโยคที่เขายกตัวอย่างมาให้ดูด้วยนะครับ  จะเห็นธรรมชาติของ collocation ในแต่ละคำด้วย จากคุณ : Plus Size+ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 55 23:50:48

ความคิดเห็นที่ 29 เปิดบ้าง  แต่เลือกเปิดเป็นบางคำ และถ้า จขกท.อ่าน Bangkokpost บ่อยๆทุกวัน เดี๋ยวจะเจอซ้ำๆมาเอง แต่ถ้าคุณขยับไปอ่านยี่ห้ออื่น ก็ต้องเจอศัพท์ใหม่อยู่ดีล่ะ แต่ถ้าอ่านทุกวัน ก็จะซ้ำอีก เรียกว่าเป็นสำนวนแต่ละค่าย จากคุณ : aeroflex เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 18:10:15