ความคิดเห็นที่ 1 ไม่ทราบคำตอบ แต่ทูต สะกดด้วย "ท" ครับ ทูต, ทูตานุทูต จากคุณ : tnu เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 11:12:10

ความคิดเห็นที่ 2 อัฟกานิสถานไงครับ จบด้วยโดนมองโกลไล่ตีไปถึงยุโรป จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 12:35:29

ความคิดเห็นที่ 3 ทูตมองโกล ที่ส่งไปเจรจาให้พุกามส่งบรรณาการ ในสมัยพระเจ้าพระเจ้านรสีหบดี (Narathihapate) ถูกจับประหาร เพราะทางพุกามเห็นว่าทูตทำวางอำนาจ ไม่ให้ความเคารพกษัตริย์พุกาม ต่อมาพุกามก็ล่มสลายเพราะทัพมองโกล จากคุณ : SadDog เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 16:55:07

ความคิดเห็นที่ 4 สมัยจอมพล ป. เรืองอำนาจ มีเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐเกือบสะดุด เพราะเหตุการณ์การเสียชีวิตของทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแต่มีการสงสัยในตอนนั้นว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับความไม่ลงรอยระหว่างทูตสหรัฐกับ พล.ต.อ.เผ่า ซึ่งทั้งคู่เคยมีข้อขัดแย้งกันมาก่อน จากคุณ : hijack02 เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 17:43:53

ความคิดเห็นที่ 5 ทูตมองโกลเป็นเครื่องมือหาความชอบธรรมในการรุกราน ทูตจีนจะถูกส่งไปเพื่อหาความร่วมมือร่วมรบหรือหนุนให้โจมตีอีกฝ่าย ทูตไทยยังอยู่ในระบบสร้างความสัมพันธ์อันดี ประทับใจ ทูตยุโรปทูตญี่ปุ่นเป็นพ่อค้าหารายใด้ ทูตอเมริกันรัสเซียเป็นหน่วยเก็บข้อมูลส่งกลับประเทศแม่ และถือว่าเป็นราชการประจำที่ต้องดูแลตัวเอง ตายไปรัฐไม่มีการแก้แค้น แค่นำคนผิดมาลงโทษ ธงชาติอเมริกาทำรองเท้าหรือเผาทิ้ง วัฒนธรรมเขาไม่รู้สึกแค้น ถ้าโจมตีกองเรือ นี่คือการประกาศสงคราม จากคุณ : Alone among the crowd เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 21:35:04

ความคิดเห็นที่ 6 สมัยจอมพล ป ทูตอเมริกาขัดแย้งกันเอง โดยซีไอเอสร้างตำรวจพลร่ม สร้างก๊กมินตั๋งยูนาน สร้างตำรวจรถถัง สร้างหน่วยข่าวสันติบาล ทำงานนอกแดนไทย ส่วนทูตทำงานให้รัฐบาลกลาง และกองทัพหลัก คาดเดาไม่ถูกอาจเป็นอุบัติเหตุจริง ซีไอเอตัดสินใจได้เอง แม้แต่ ปธน.อเมริกันถ้าขวางทางปืน อาการน่าเป็นห่วงเล็กน้อย จากคุณ : Alone among the crowd เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 21:56:15

ความคิดเห็นที่ 7 ทูตมองโกลที่ทำหน้าที่ส่งสารไปให้ญี่ปุ่นส่งบรรณาการ ก็ถูกประหารชีวิต เป็นเหตุให้กุบไลข่านพิโรธถึงกับส่งกองเรือรบมหึมากะจะไปถล่มญี่ปุ่นให้หายแค้น แต่ดันออกเรือผิดฤดูเลยเจอพายุกามิกาเซ่พัดจนล่มไปหมด ญี่ปุ่นก็เลยรอดสงครามไปแบบหวุดหวิด จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 23:07:08

ความคิดเห็นที่ 8 ทูต สมัยก่อนเสี่ยงตายมาก มักไม่ใช่คนสำคัญสุดๆ แต่ต้องมีล่ามประจำตัวหรือเอาตัวรอดเก่ง สมัยชุนชิว ทูตจะส่งไปพร้อมกับบรรณาการแก่แคว้นใหญ่ จะมีการหยั่งเชิงตอนงานเลี้ยงว่า หวางมีท่าทีอย่างไร เคยมีทูตแคว้นหนึงของให้หวางรินเหล้าให้ หวางก็รินเหล้าใส่จอกแล้วให้ขันทีนำไปให้ แต่ถูกเสนาบดีห้ามปราม เพราะหวางจะไม่ใช้ภาชนะร่วมกับคนอื่น และการกระทำอย่านั้นแสดงให้เห็นว่าหวางยอมอ่อนข้อให้แก่แคว้นนั้น เอี้ยนยิง สมัยเป็นนายอำเภอ ทูตได้สร้างวาทกรรมสำคัญไว้มาก เช่น ใช้กำลังบังคับผู้อื่นย่อมไม่ได้น้ำใจคน ก้มหัวให้คนถ่อยย่อมไม่ใช่วีรบุรุษ ต้นไม้ที่มีรากมั่นคง ย่อมยืนทนงไม่หวั่นไหว บุคคลผู้กล้าหาญชาญชัย ย่อมพร้อมที่จะตายอย่างมีเกียรติ คนตัวเล็กก็มาแคว้นเล็ก คนตัวใหญ่ก็ไปแคว้นใหญ่ ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าควรเข้าประตูใด ส้มที่ว่านสุ่ย มีรสเลิศ แต่มาปลูกต่างถิ่นย่อมเสียรสไป คนของแคว้นข้าพเจ้าแต่เดิมก็เป็นคนดี พอมาอยู่แคว้นนี้กลับกลายเป็นหัวขโมย สมัยฮั่นหวู่ตี้ จางเชียน ผู้บุกเบิก "เส้นทางสายไหม" ในปีที่พระเจ้าฮั่นอู่ตี้ครองราชย์เป็นปีแรก( ๑๔๐ ปีก่อน ค.ศ.) ได้มีความคิดจะทำสงครามกับพวกซยงหนูที่ได้คุกคามข่มเหงชาวฮั่นมาโดยตลอด แต่หากตั้งประจันกันเดี่ยวๆ พวกซยงหนูจะสามารถถอยหนีไปทางตะวันตกหรือขึ้นเหนือได้ ทำให้ยากจะเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด พระองค์จึงคิดจะนัดหมายกับแคว้นเยว่ซื่อ(ถ้าจำไม่ผิด)ที่เคยถูกซยงหนูตีแตกจนต้องอพยพหนีไปอยู่ทางตะวันตก ให้ลงมือจู่โจมกระหนาบซยงหนูพร้อมกัน(ฮั่นอยู่ทางตะวันออก)ด้วยเหตุนี้จึงมีประกาศขออาสาสมัครไปเยว่ซื่อ จางเชียนก็มาสมัคร ตอนออกเดินทาง มีผู้ร่วมทางร่วมสองร้อย รวมถางอี้ฟู่ ระหว่างทางต้องผ่านแดนของซยงหนู ถึงจะปลอมตัวแล้ว แต่ยังถูกจับตัวได้อยู่ดี กษัตริย์ซยงหนูต้องการให้จางเชียนมาเป็นทูตแคว้นตน จึงรั้งไว้ให้อยู่ที่ซยงหนู มอบสตรีให้เป็นภรรยา ทั้งยังกำเนิดบุตร จางเชียนอยู่ที่ซยงหนู ๑๑ ปี แต่จิตใจยังคงจงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่นไม่เสื่อมคลาย จึงพยายามหาโอกาสจนหนีออกมาได้(ถางอี้ฟู่ ภรรยา และบุตรก็ตามออกมาด้วย) และเดินทางต่อไปจนถึงเยว่ซื่อ แต่กษัตริย์เยว่ซื่อองค์ปัจจุบันเป็นรุ่นหลานของกษัตริย์เยว่ซื่อที่ต้องหลบหนีมาตั้งรกรากยังถิ่นใหม่อย่างทุลักทุเล เขาถือกำเนิดในถิ่นใหม่ จึงเคยชินและชอบในถิ่นใหม่นี้มาแต่แรก ไร้ความคิดจะทำสงครามแย่งแผ่นดินแม่คืนมา จึงทำได้เพียงจัดส่งทูตคุ้มครองส่งจางเชียนจากไป ระหว่างทางกลับ พวกจางเชียนก็ถูกซยงหนูจับได้อีก แต่คราวนี้โชคดีที่ไม่นานในซยงหนูเองเกิดสงครามภายใน พวกจางเชียนอาศัยช่วงที่กำลังเกิดเหตุวุ่นวายหนีออกมาได้ แล้วกลับถึงราชสำนักฮั่นในที่สุด รวมเวลาเดินทางประมาณ ๑๓ ปี ผู้ร่วมทางในตอนแรก เหลือเพียงเขากับถางอี้ฟู่สองคน(ไม่นับบุตรและภรรยาที่มาทีหลัง) ในขณะที่ตกระกำลำบากกับการเดินทาง ถางอี้ฟู่(น่าจะเป็นผู้รับใช้หนึ่ง)คือผู้ที่ล่าสัตว์หาอาหารมาประทังชีวิตเขา จางเชียนได้บันทึกเกี่ยวกับภูมิประเทศของที่ๆตนผ่านรวมทั้งแคว้นเล็กๆต่างๆราวๆ ๕๐ แคว้น(น่าจะเป็นแถบมณฑลซินเจียงในปัจจุบันรวมถึงแถบเปอร์เซีย ซึ่งดินแดนเหล่านี้ ในยุคนั้น ประเทศจีนไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีตัวตนอยู่ด้วย)รวมถึงภาษาและประเพณีของแคว้นนั้นๆที่ตนได้ไปพบมาในระหว่างทางซึ่งนับเป็นประโยชน์ต่อราชวงศ์ฮั่นอย่างมาก แถมเขายังค้นพบเส้นทางไปทางตะวันตกโดยไม่ต้องผ่านซยงหนูให้ถูกจับอีกด้วย หลายสิบปีต่อมา จางเชียนได้รับคำสั่งให้เป็นราชทูตนำบรรดาทูตย่อยไปเยือนทางตะวันตกอีกครั้ง คราวนี้ไปและกลับมาโดยไม่ถูกจับ ปีถัดมาหลังจากกลับมาถึงราชสำนักฮั่น จางเชียนก็ถึงแก่กรรม(ดูเหมือนจะอายุเก้าสิบกว่าปี) บรรดาทูตรองๆที่เขาพาไป ต่างทยอยกันนำบรรณาการจากบรรดาแคว้นเล็กเหล่านั้นมาในปีถัดๆมา ไม่นานราชสำนักฮั่นก็ได้ร่วมมือกับเยว่ซื่อตีกระหนาบซยงหนูจนแตกพ่ายจริงๆ กับการที่ราชวงศ์ฮั่นสามารถขยายดินแดนไปทางตะวันตก นับจางเชียนเป็นผู้มีความชอบเป็นอันดับหนึ่งและจางเชียนยังเป็นตัวอย่างที่ดียิ่งของผู้มีความอดทน ทั้งยังจงรักภักดีต่อมาตุภูมิโดยไม่เสื่อมคลายคนหนึ่ง สามารถอ่านรายละเอียดที่แท้จริงได้ในหนังสือ “ฮั่นซู” ที่เรียบเรียงโดย “ปานกู้” ในหัวข้อ “จางเชียนจ้วน”(บันทึกเรื่องจางเชียน) จากคุณ : Linmou http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.inet.co.th/cafe/library/topicstock/K657535.html สมัยสามก๊ก ทูตเสี่ยงหัวขาดมาก เวลาไปเจรจาหรือส่งสาสน์เพื่อประกาศว่าจะแตกหักด้วยการรบ แต่โดยปกติจะไม่ฆ่าทูต มีนิยายตอนโจโฉแตกทัพเรือที่แต่งให้มีทูตเดนตายไปกล่อมโจโฉจนเชื่อ สมัยอยุธยา เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เสี่ยงภัยล่องเรือไปฝรั่งเศล แสดงธรรมเนียมเข้าเฝ้า ถวายความเคารพแบบไทย จนเป็นที่โปรดปราน โกษาปานเดินทางไปกับเรือฝรั่งเศสเมื่อธันวาคม พ.ศ. ๒๒๒๘ ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เมื่อ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๒๒๙ และเดินทางกลับเมื่อ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๒๓๐ รวมเดินทางไปกลับอยุธยาฝรั่งเศสทั้งหมด ๑ ปี ๙ เดือน โกษาปานเป็นนักการทูตที่สุขุม ไม่พูดมาก ละเอียดลออในการจดบันทึกที่ได้พบเห็นในการเดินทางครั้งนั้น สำหรับการเข้าเฝ้าในครั้งนี้ ออกพระวิสุทธสุนทร (ปาน) ได้กระทำหน้าที่เป็นผู้แทนของราชสำนักอยุธยาอย่างถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีการเข้าเฝ้า จนชาวฝรั่งเศสได้กล่าวยกย่องชื่นชมคณะทูตไทย ซึ่งถือว่าการไปเจริญสัมพันธไมตรีครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง เพราะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การเจริญสัมพันธไมตรีของพระวิสูตรสุนทร (ปาน) และคณะราชทูตในครั้งนั้นได้สร้างชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือในทวีปยุโรป เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่พระเจ้าแผ่นดินทางด้านตะวันออกแต่งคณะราชทูตไปยังสำนักฝรั่งเศสพระเจ้าหลุยส์ทรงจัดการรับรองคณะราชทูตจากกรุงศรีอยุธยาอย่างสมเกียรติยศ และโปรดให้จัดทำเหรียญที่ระลึก และมีการเขียนรูปราชทูตไทยเข้าเฝ้า พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศสเป็นที่ระลึกด้วย http://th.wikipedia.org/wiki/เจ้าพระยาโกษาธิบดี_(ปาน) สมัยธนบุรี พ.ศ. 2324 สมเด็จพระเจ้าตากสิน วรราชา ได้ทรงส่งคณะทูตชุดหนึ่ง มีเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช เป็นหัวหน้าคณะออกไปเจริญทางพระราชไมตรีกับพระเจ้ากรุงจีน ในแผ่นดินพระเจ้าเกาจงสุนฮ่องเต้ ( พระเจ้ากรุงต้าชิง ) ณ กรุงปักกิ่ง ทั้งนี้ก็เพื่อขอให้ทางจีนอำนวยความสะดวก ให้แก่ไทยในการจัดแต่งสำเภาหลวง บรรทุกสินค้าออกไปค้าขายที่เมืองจีนต่อไป โดยขอให้ยกเว้นค่าจังกอบและขอซื้อสิ่งของบางอย่าง เช่น อิฐ เพื่อนำมาใช้ในการสร้างพระนคร กับขอให้ทางจีนช่วยหาต้นหนสำเภา สำหรับจะแต่งเรือออกไปซื้อทองแดงที่ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาใช้สร้างพระนครเช่นเดียวกัน ปรากฎว่าคณะทูตไทยที่ออกไปเจริญทางพระราชไมตรี กับพระเจ้ากรุงจีนครั้งนี้คุมเรือสำเภาบรรทุกสินค้าออกไปด้วยถึง 11 ลำ       ในพระราชสาส์น ที่สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงมีไปยังพระเจ้ากรุงต้าฉิ่ง ในครั้งนั้นปรากฎในจดหมายเหตุจีนว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงออกพระนามของพระองค์เองเป็นภาษาจีนว่า "แต้เจียว" มีคำเต็มว่า เสี้ยมหลอก๊กเจียงแต้เจียว http://www.sainampeung.ac.th/chalengsak/units/unit4/chapter4/chaptor4_0/Thonburi_History7.htm จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 55 10:14:31