ความคิดเห็นที่ 1 เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ เรื่องไหว้พระจันทร์ ไม่แน่ใจเป็นเพราะสภาพอากาศในเมืองไทยหรือเปล่า เพราะวันไหว้พระจันทร์ซึ่งที่เมืองจีนบอกว่าเป็นวันที่พระจันทร์วันเพ็ญสวยที่สุด พอมาถึงเมืองไทยกลายเป็นช่วงที่ฝนตกชุกที่สุดของปี ตกได้ตกดี ถึงไม่ตกฟ้าก็ครึ้มเมฆบังพระจันทร์ไปหมดเป็นประจำ เลยไม่สะดวกที่จะไหว้ซักเท่าไหร่ ส่วนเทศกาลกินเจ อาจจะเป็นเพราะแรงโปรโมตของสินค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการประกอบอาหารด้วยส่วนหนึ่ง รวมถึงเป็นค่านิยมของคนบางกลุ่มด้วยที่เชื่อว่าการทานอาหารเจไม่มีเนื้อสัตว์จะเป็นการดีต่อสุขภาพ พอเอามาพูดต่อ ๆ กันมากเข้าก็เลยทำให้คนแห่กันมาทานเจเป็นการใหญ่ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 20:21:01

ความคิดเห็นที่ 2 เป็นผมผมก็เลือกกินครับ ง่ายกว่า สนุกกว่า อร่อยด้วย แถมขนมไหว้พระจันทร์ผมว่าไม่อร่อยด้วย จากคุณ : J-Renderer เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 21:06:18

ความคิดเห็นที่ 3 เพราะรอยเท้าของนิล อาร์มสตอง จากคุณ : คุณหญิงอบเชย เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 21:14:40

ความคิดเห็นที่ 4 ผมก็คิดว่า จะไหว้พระจันทร์ทำไมเมื่อมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์แล้ว? จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 21:20:56

ความคิดเห็นที่ 5 แม่อิฉันเลิกไหว้พระจันทร์หลังจากที่ Apollo 11 ไปลงบนดวงจันทร์ แม่บอกว่าไม่ต้องไหว้ต้องเว่ยแล้ว..ไม่มีพระเจ้าบนดวงจันทร์ คำว่าพระจันทร์ก็กลายเป็นดวงจันทร์ ไม่ต้องใส่คำว่า"พระ" เทศกาลกินเจมันบังเอิญไปเข้ากับแฟชั่น"เห่อสุขภาพ" healthy food ในสมัยนี้  คนไทยรู้จักคำว่า "vegetarian" กันมากขึ้น กินผัก= สุขภาพดี  ไม่มีเชื้อสายจีนก็บอกว่ากินเจ   อิฉันก็เคยเป็นเด็กที่ถือโคมไฟเดินโชว์ชาวบ้านอย่างสนุกสนานในคืนวันไหว้พระจันทร์ ตายจริง ชอบจังที่ จกท.นำประเด็นนี้ขึ้นมา คิดถึงสมัยนั้นนะจ๊ะ จากคุณ : akebi1 เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 21:22:49

ความคิดเห็นที่ 6 เหตุผลที่ 1 ... คนรักสุขภาพกันมาก เลยแห่กันมากินเจกินผัก เหตุผลที่ 2 ... รัฐส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวมาก เช่น เทศกาลกินเจที่ภูเก็ต เหตุผลที่ 3 ... ตามกระแสได้ง่าย คนอื่นกิน เราก็ซื้อมากินมั่ง เดินไปที่ไหนก็มีแต่อาหารเจ                   แต่ไหว้พระจันทร์มันดูเป็นพิธีกรรม ต้องมีการไหว้ มีการจัดโต๊ะหมู่ ดูยุ่งยาก เด็กสมัยใหม่เลยค่อยๆเลิกกันไป ความเห็นส่วนตัวล้วนๆเลยครับ :) จากคุณ : แมลงภู่บนหูกระต่าย เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 21:30:46

ความคิดเห็นที่ 7 กระแสชีวจิต แล้วอีกอย่างไหว้พระจันทร์มันดูจีนเกินแต่กินเจเนี่ยได้หมด จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 22:02:45

ความคิดเห็นที่ 8 นานมาแล้วก็ไหว้ขอพรให้หน้าตางดงาม แต่ไหงได้งามงดมาละนี่T_T จากคุณ : สารพัดช่าง เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 22:56:43

ความคิดเห็นที่ 9 ผมก็ยังไหว้อยู่นะ คนที่บอกขนมไหว้พระจันทร์ไม่อร่อย คนชอบก็มีนะครับ ผมเองก็ไม่กินขนมไหว้พระจันทร์ แต่ขนมไหว้พระจันทร์ไส้คัสตาร์ด เปลือกเหมือนคุ๊กกี้ ไส้ก็เป็นคัสตาร์ดหอมหวาน แน่นทั้งนม และเนย กินแล้วยังต้องยอมรับเลยว่าอร่อยจริงๆ ส่วนพวกไส้หมอนทอง อันนี้ไม่เคยกิน แต่คนชอบเขาก็ชอบกันจริงๆ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 55 23:11:10 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 23:07:23

ความคิดเห็นที่ 10 อันนี้ไม่ได้ตลกนะ แต่ที่บ้านไม่ไหว้เพราะมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์จริงๆ จากคุณ : เนเน่กะมาคุง เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 23:20:34

ความคิดเห็นที่ 11 กินเจ เทศการนี้มีแต่ของอร่อย ร้านค้ามากมาย ตั้งแต่สมัยเด็กๆโรงเจมีของให้กินฟรี มีของแจก กลางคืนมีหนังกลางแปลงให้ดูอีก แต่ผมกินทั้งเนื้อ ทั้งผักตลอด ขนมไหว้พระจันทร์ รู้สึกเหมือนขนมทั่วไปกินเมื่อไรก็ได้ พระจันทร์ก็มองหาไม่เจอ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ย. 55 23:38:07 จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 23:36:16

ความคิดเห็นที่ 12 เท่าที่ทราบ    เทศกาลไหว้พระจันทร์นี่คือวัฒนธรรมของจีนจริงๆแท้ๆมาจากแผ่นดินจีนเลย แต่กินเจนี่จะเป็นลูกครึ่งจีน     คือคนจีนมาสร้างวัฒนธรรมนี้ในไทย แต่ปัจจุบันความนิยมศรัทธาในเทพธิดาฉางเอ๋อลดไปฮวบๆ    ในขณะที่ความศรัทธาในเจ้าแม่กวนอิมยังฝังแน่น จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 23:50:41

ความคิดเห็นที่ 13 คิดว่าที่เทศกาลต่างๆของจีนให้ความสำคัญน้อยลง น่าจะมาจากวิถีการดำเนินชีวิตของเราเปลี่่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน   ทุกอย่างเอารวดเร็ว  เอาความสะดวกเป็นหลัก  รวมถึงต้องคำนึงสภาพเศรษฐกิจด้วย อย่างบ้านผมก็ไม่ได้ไหว้พระจันทร์ตอนกลางคืนมานานมากแล้ว และจะให้ไปตามหาซื้ออ้อยก็คงไม่ไหว  ไหว้กันตามเวลาที่สะดวก ก็คือตอนเช้า ง่ายๆไม่ยุ่งยาก เทศกาลอื่นก็เหมือนกัน ถือเอาความสะดวก และอาจจะมาจากสาเหตุของความไม่รู้ด้วย  จะให้เราเคร่งครัดไหว้ครบตามธรรมเนียม เราก็ไม่รู้แล้วว่าต้องทำอะไร อย่างไร   สมัยเด็กๆก็เห็นพ่อแม่ทำ แต่เราก็ไม่ได้ไปจดจำ คิดว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อด้วยซ้ำไป  พอโตขึ้นมาทำเองก็ไม่รู้   ไม่มีการเชื่อมต่อความรู้จากรุ่นสู่รุ่น   บอกให้ไหว้ก็ไหว้  โดยไม่รู้ว่ามีความหมายอะไร  เมื่อไม่รู้ก็คงจะให้ความสำคัญลำบาก   บวกกับทัศนคติมุมมองบางอย่างของคนรุ่นนี้ที่ต่างจากคนรุ่นพ่อแม่เรา  เคยเห็นบางบ้านที่ไม่ไหว้เนื่อสัตว์เลยก็มี ทุกอย่างมังสวิรัติ   ทุกวันนี้เราจะเห็นของไหว้แปลกๆ  แพ็ตเกจเก๋ๆ   ในใจยังคิดเลยว่าเดี๋ยวนี้เขาไหว้กันอย่างนี้ด้วยเหรอ  คงเป็นไปตามยุคสมัย  คนแต่ละรุ่นส่วนหนึ่งก็คงต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง !!! จากคุณ : tian-lan (tian-lan) เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 00:10:36

ความคิดเห็นที่ 14 โคดมีความสุขสุดๆอ่ะ จะได้กินหนมไหว้พระจันทร์ใส้ทุเรียนหมอนทองไข่เค็มอีกแล้ว ไปกินมาทั้งแผ่นดินใหญ่ ทั้งมาเก๊า ฮ่องกง แต่อร่อยสู้หนมไหว้พระจันทร์เมืองไทยไม่ได้ สงสัยจะติดรสชาติแบบไทยๆไปแล้ว จากคุณ : Michael เบ๊ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 00:46:47

ความคิดเห็นที่ 15 อยากทราบเหมือนกันค่ะ ปีที่แล้วไปสิงคโปร์ รู้สึกเป็นเทศกาลใหญ่สุดของเค้าเลยมั้งคะ เป็นวันหยุดรัฐด้วยค่ะ (national holiday) คนเลยออกมาเที่ยวคึกคักมากๆ ให้เดาคงคิดว่าคนไทยเชื้อสายจีน เลี้ยงลูกให้เป็นอินเตอรขึ้นมั้งคะ มีเงินก็ซื้อคอนโดให้ลูกอยู่ในเมืองกันต่างหากไม่ต้องเจอรถติดเวลาเรียนหรือทำงาน เมื่อต้นปีเจอเพื่อนหลายคนเลยถามว่าไปเชงเม้งที่ไหน เพื่อนตอบกันว่าเดี๋ยวนี้ป๊านั่งรถไปคนเดียวอะไม่อยากกวนตารางงานลูก ('.'@) จากคุณ : Parody เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 02:39:35

ความคิดเห็นที่ 16 ผมก็ลูกคนจีน แต่ผมไม่เคยเห็นพ่อผมไว้พระจันทร์เลยแหะ อาจเป็นเพราะว่ากาแค่ ตรุษจีน เซงเหม็ง สารทจีน กินเจ ก็ไหว้ ทั้ง พุทธ(มหายาน) ไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้ผี แถมยังแบ้งให้เพื่อนบ้านอีก แค่นี้ก็ครบแล้วมั๊ง มากกว่านี้หมดตัวพอดี จากคุณ : Angleevil เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 08:13:57

ความคิดเห็นที่ 17 วัฒนธรรมทุกอย่างมันต้องปรับเปลี่ยน ตามกระแสเวลาที่ผันผ่าน เฉกเช่นเดียวกับเทศกาลใดๆก็ตาม  ไหว้พระจันทร์ก็เช่นกัน ใน คหสต นะ  ตราบใดที่ขนมไหว้พระจันทร์ยังขายได้ (แม้จะไม่มีพิธีไหว้พระจันทร์จริงๆ) ก็ถือว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์ยังคงดำรงอยู่ เหมือนคริสตมาส ที่ใครๆก็กลับบ้าน ไปพบหน้าครอบครัว แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าพิธีมิสซาใหญ่ เหมือนชาวแคธอลิก จริงหรือปล่าว จากคุณ : ปากกัดตีนถีบ จีบไม่ลง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 09:05:06

ความคิดเห็นที่ 18 อ้างจากแหล่งนี้ http://www.toagroproducts.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539274863&Ntype=1 ไหว้พระจันทร์ เทศกาลที่เหลือแค่ชื่อ ขนม ...วันเวลาที่ผ่านไปขนมไหว้พระจันทร์ที่ฝ่าฟันมาได้มี 5 แบบ คือขนมไหว้พระจันทร์ของปักกิ่ง, เทียนจิน, ซูโจว, กวางตุ้ง และแต้จิ๋ว ส่วนขนมไหว้พระจันทร์ที่ขายดีหนักหนานั้น คือขนมแบบกวางตุ้ง(ในบ้านเรามีแต่แบบนี้ ยี่ห้อดังๆบางยี่ห้อก็ใส่สารกันบูด)          โดยตัวขนมไหว้พระจันทร์ยังเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การเมืองครั้งสำคัญของจีนอีกด้วย ลูกหลานจีนโพ้นทะเลจำนวนไม่น้อยเคยฟังปู่ย่าตายายเล่าให้ฟังถึงการกู้ชาติของชาวจีน ด้วยการสอดไส้กระดาษเรียกรวมพลเข้าไปในตัวขนม และทำให้ชาวจีนสามารถกู้แผ่นดินคืนจากมองโกลได้          ตำนานอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นที่รู้จักไม่แพ้กัน คือเรื่องของ "เทวีฉางเอ๋อ" หากเรื่องราวของนางฉางเอ๋อและโฮ่วอี้-สามีของนางที่ได้รับยาอายุวัฒนะจากเทพบนสวรรค์ ซึ่งมีอยู่หลายเวอร์ชั่นสักหน่อย บ้างว่ามีคนจะมาขโมยยา บ้างว่าโฮ่วอี้เมื่อได้ยาอายุวัฒนะจากที่เคยเป็นคนดีกลับกลายเป็นคนชั่วร้าย เข้าตำราว่ามีอำนาจแล้วเสียคน สุดท้ายฉางเอ๋อจึงจำต้องกินยานั้นเสียเองแล้วลอยขึ้นไปอยู่ในดวงจันทร์ เทศกาลไหว้พระจันทร์ยังเป็นประเพณีเซ่นสรวงทางการเกษตรประจำฤดูใบไม้ร่วงของจีนอีกด้วย          ซึ่งนอกจากไหว้พระจันทร์ ยังมีการเซ่นสรวงเส้อ-เทพแห่งแผ่นดิน (พระเสื้อเมือง-ตามความเชื่อของไทย) อีกด้วย โดยวัน 15 ค่ำ เดือน 8 (ตามปฏิทินจีน) เป็นวันเทวสมภพของเทพแห่งแผ่นดิน และเป็นช่วงเวลาที่พระจันทร์มีเวลาเป็นเจ้าท้องฟ้ามากกว่าพระอาทิตย์ ทั้งยังโคจรอยู่ในตำแหน่งรับแสงอาทิตย์สะท้อนมายังโลกได้มาก ท้องฟ้าแจ่มใส โดยเทศกาลอายุพันกว่าปีนี้ เดินเคียงข้างอยู่ในชีวิตชาวจีนแต่ละช่วงเรื่อยมา          สมัยราชวงศ์เซี่ย-ซาง-โจว การไหว้พระจันทร์เป็นเรื่องของราชสำนักเท่านั้น สมัยราชวงศ์ถัง เทศกาลไหว้พระจันทร์แพร่หลายสู่คนทั่วไป และกระจายไปในทุกถิ่น มีการชมจันทร์ และขนมไหว้พระจันทร์ขึ้น          สมัยราชวงศ์หยวน (มองโกล) เทศกาลและขนมไหว้พระจันทร์ กลายเป็นโอกาสและเครื่องมือในการโค่นล้มมองโกล          สมัยราชวงศ์หมิง มีประเพณีให้ขนมไหว้พระจันทร์กันเพื่อร่วมยินดีในความกลมเกลียวพร้อมหน้าในครอบครัวของผู้รับ พอถึงเทศกาลนี้ทุกคนต่างรีบกลับบ้านให้ทันวันไหว้พระจันทร์...มีบันทึกว่า          "เดือนแปด สิบห้าค่ำไหว้พระจันทร์ ขนมไหว้พระจันทร์ต้องกลม...หญิงที่กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ วันนี้ต้องกลับมาบ้านสามี เรียกว่า เทศกาลกลมเกลียวพร้อมหน้า..."          ในยุคราชวงศ์หมิงและชิง ผู้หญิงมีอิสระในการเที่ยวชมจันทร์มากเป็นพิเศษ...ปกติสาวจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกผู้ดีมีตระกูลไม่มีโอกาสออกไปนอกบ้านโดยอิสระ แต่คืนจงชิวเป็นโอกาสพิเศษบรรดากุลนารีเหล่านี้เที่ยวชมจันทร์ได้ตลอดคืน...          สมัยราชวงศ์ชิง เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นวันนักขัตฤกษ์ใหญ่...          สำหรับลูกหลานจีนโพ้นทะเลในเมืองไทยเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว งานไหว้พระจันทร์ เป็นเทศกาลที่คึกคักยิ่ง เป็นงานที่ผู้หญิงแต่ละบ้านประชันงานฝีมือกันสุดฤทธิ์ เป็นงานที่ผู้หญิง (ลูกสาว, ลูกสะใภ้) สามารถฟุ่มเฟือยกับการซื้อหาเครื่องสำอางได้มาใช้ไหว้พระจันทร์ (ไหว้เสร็จเธอก็เอาไปใช้) โดยผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงในบ้าน (แม่, แม่สามี, ย่า) ไม่ตำหนิ          แต่วันนี้การไหว้พระจันทร์ก็ลดลงจนน่าใจหาย ชุมชนใหญ่ของชาวจีนอย่างเยาวราช สำเพ็ง พยายามแก้ปัญหาการไหว้พระจันทร์ที่ลดลงด้วยการจัดให้คนมาไหว้รวมกันที่แถวเล่งบ่วยเอี๊ยะแทน เครื่องไหว้ต่างๆ ที่นี่จึงอลังการงานสร้าง ขนาดที่ว่าเอาวุ้นเส้นมาถักเป็นเปีย เรียงถั่วเขียวเป็นพุ่มเล็กๆ เครื่องกระดาษตกแต่งสวยงาม ฯลฯ          สาระสำคัญของเทศกาลไหว้พระจันทร์กำลังสูญหายไป จากการเปลี่ยนแปลงของสังคมเทศกาลที่บูชาเทพทางการเกษตรเปลี่ยนพร้อมกับสังคมที่เปลี่ยนจากเกษตรเป็นสังคมอุตสาหกรรม เป็นสังคมการค้า          เทศกาลเดียว (ของจีน) ที่ผู้หญิงมีสิทธิใช้จ่ายเงินเพื่อความงาม สามารถออกเที่ยว โดยไม่โดนแม่สามีตำหนิ แม้แต่ผู้หญิงเองก็ให้ความสำคัญกับมันน้อยลง เพราะวันนี้สตรีทั้งหลายมีสิทธิ มีเสียงมากขึ้น เธอทำงานหาเงินได้เอง          แต่แล้วเทศกาลที่มีอายุมากกว่าพันปีถูกท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อมีองค์การนาซาส่งมนุษย์ไปสำรวจดวงจันทร์เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2521 ภาพของ "นีล อาร์มสตรอง" ที่ก้าวเท้าออกจากยานอพอลโล่ 11 ประทับรอยเท้าแรกแห่งมนุษยชาติลงบนดวงจันทร์มีการเผยแพร่ไปทั่วโลก นั่นเป็นการสั่นคลอน "พระจันทร์" สัญลักษณ์และความเชื่อของผู้คน          "พระจันทร์" ที่คนตะวันออกเรียกอย่างให้เกียรติ คนอีกซีกโลกเรียกว่า "ดวงจันทร์" ดาวบริวารของโลกดวงหนึ่ง การตั้งเครื่องบูชาไหว้พระจันทร์ถูกมองเป็นความเชื่อคร่ำครึ งมงาม ล้าสมัย ไร้สาระ ฯลฯ          ลูกหลานจีนโพ้นทะเลถูกตั้งคำถาม และถามกันเองว่าเราไหว้พระจันทร์กันเพื่ออะไร?          ไหว้พระจันทร์ตามตำนานพื้นบ้านงั้นหรือ ในสงครามกู้ชาติมองโกลครั้งนั้นคนที่ไหว้พระจันทร์วันนี้ก็ไม่มีใครเกิดทัน เทวีฉางเอ๋อก็ไม่มีความรู้จักคุ้นเคย          เราไหว้พระจันทร์ตามแบบปู่ย่าตายาย ตามแบบพ่อแม่ที่ไหว้ต่อๆ กันมาเท่านั้นเองหรือเปล่า?          เมื่อคนรุ่นปู่ย่าไม่ให้อยู่เข้มงวดในเรื่องเล่านี้ คนรุ่นพ่อรุ่นแม่บางส่วนก็เริ่มผ่อนกับประเพณีลงไป เมื่อรวมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปตามที่กล่าวแล้วข้างต้น สิ่งที่ส่งต่อมาถึงคนรุ่นลูกจึงไม่เข้มแข็งดังเดิม และอ่อนแรงยิ่งในรุ่นหลาน          ขณะที่เทศกาลต่างๆ ของบรรพชนกำลังถูกลูกหลานบางกลุ่มละเลย ก็มีความพยายามฟื้นฟูจากลูกหลานอีกกลุ่ม นี้เป็นสมดุลที่เกิดขึ้นกับเทศกาล ประเพณี และวัฒนธรรมของคนทุกชาติ ทุกพันธุ์          สำหรับปีนี้ไหว้พระจันทร์ตรงกับวันที่ 6 ตุลาคมที่จะถึงนี้ สำหรับท่านที่ (บ้าน) เคยไหว้พระจันทร์และกำลังคิดจะเลิก ท่านที่เคยรู้จักคลับคลากับการไหว้พระจันทร์ ท่านที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยไหว้พระจันทร์มาก่อนเลย ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ          เทศกาลไหว้พระจันทร์อาจเป็นเพียงจิ๊กซอว์เล็กๆ อันหนึ่ง หากมันคือชิ้นส่วนของภาพใหญ่ที่ต่อมาเป็นตัวเราเอง "แล้วท่านจะทิ้งมันได้ลงคอหรือ? น้ำจะมากหลากในช่วงนี้ของปีด้วยอิทธิพลจากพระจันทร์ มักจัดงานหาคู่ พบปะเพราะรอบเดือนหญิงจะอยู่ในจุดที่พร้อมสืบพันธุ์ ชายก็คึกคัก เป็นเทศกาลสำคัญหลังเก็บเกี่ยวก่อนเข้าตงเทียน แบบ "หนาวเนื้อ ห่มเนื้อจึงหายหนาว หนาวราวอกร้าว ห่มอกหาย หนาวรักห่มรัก อุ่นรักสบาย หนาว คลายเพราะห่ม ที่สมกัน" เพลงหนาวเนื้อ โดย ดิอิมพอสซิเบิ้ล พระจันทร์มีคุณต่อชาวจีน ให้น้ำ ความสว่างในยามค่ำคืน จึงเคารพจัดเทศกาลฉลอง แบบที่ชนชาติอื่นเคารพในธรรมชาติซึ่งมีทั่วโลกแต่ดึกดำบรรพ์ แต่ภายหลังมีความเชื่ออื่นๆเข้ามาเสริมแต่ง เช่น ไทยจะเป็นวันพระช่วยลดความรุนแรงจากดวงจันทร์ ถือศีล มีเทศกาลก็ลอยกระทง ความเชื่อเรื่องอิทธิพลของดวงจันทร์มีมาตั้งแต่คริสตศตวรรษแรกแล้ว เมื่อผู้เฒ่าไพลนี (Pliny the Elder) นักปราชญ์โรมันผู้มีชื่อเสียงได้บันทึกเรื่องราวจากการสังเกตของเขาว่า “ดวงจันทร์ก่อให้เกิดความง่วงเหงาหาวนอนและทำให้ทุกผู้คนที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์รู้สึกเคลิบเคลิ้มจนหลับใหลไปในที่สุด” http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9500000089771 ถ้าตอบตามสมัยนี้ คือ เทศกาลนี้ไม่จุดขาย ที่ทำให้คนจีนในไทยอยากทำกิจกรรม เพราะไม่มีความเป็นชนชาติจีนแต่อย่างใด เป็นแค่เล่านิทานหลอกเด็ก โดยไม่เข้าใจบริบทของบรรพชนแต่โบราณ และไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วรรณคดีของจีน ในทางวิชาการ  เป็นการทำตามๆกันมาแบบงมงาย อย่างที่ต้องไหว้ซาแซ เอาเข้าจริงก็ไม่มีใครรู้ว่าหมายถึงอะไร คนจริงๆใครจะไปกินไก่ เป็ดทั้งอย่างนั้น คนภูเขา ทะเล ทุ่งหญ้า ทะเลทรายก็กินไม่เหมือนกัน สมัยเซี่ย ซาง ชุนชิว ก็ยังไม่มีลักษณะแบบนี้ มีแต่พวกเจ้าลัทธิหลอกลวง เอาเต๋ามาปนพุทธมหายาน ที่หลอกมาจากวิทย์จีนโบราณ มาแต่งเรื่องหลอกลวง ของจริงก็ไม่มาโม้ หาเงินกันเป็นสำนักใหญ่โต การไหว้ฮ๊อเฮียตี๋ แปลว่า ไหว้พี่น้องที่ดี เป็นการสะท้อนความสุภาพและให้เกียรติของคนจีน เรียกผีไม่มีญาติว่าพี่น้องที่ดีของเรา แถบไม่ปรากฏทั้งที่แต่ก่อน ไหว้กันมากในหมู่คนจีนโพ้นทะเลเพื่อ "อุทิศผลบุญในแก่ชาวจีน ที่ไร้ญาติพี่น้อง ที่ลงเรือลำเดียวกัน ลำบากมาด้วยกัน ไม่ปล่อยให้เขาต้องอยู่ลำพังแบบอกอยาก ถึงจะต่างถิ่น ต่างแซ่กัน" คติโลกหลังความตายของจีน ไม่ต่างจากไทยโบราณ มีเทศกาลความเชื่อคล้ายๆกัน คนจีนในไทยปัจจุบัน ไม่ได้ผูกพันกับวิถีเกษตรกรรม(การทำการงานในที่ราบ) ดั่งเช่นสมัยที่อยู่แผ่นดินใหญ่ เป็นคนค้าขาย อพยพภัยสงครามเสียมาก คนที่เกิดในไทยก็ไม่เข้าใจฤดูกาลที่แผ่นดินใหญ่ ส่วนกินเจ ถูกปลุกกระแสอย่างเป็นระบบ โดยการอ้างว่าทำแล้ววิเศษกว่าผู้อื่น เพราะไม่ฆ่ามากิน แต่พืช หอย ไม่มีชีวิต พูดไม่ได้ ร้องไม่เป็น ถือว่าไม่ผิด ทั้งๆที่ไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ในเชิงประจักษ์ เป็นการสมมุติกันเอง เทพชายเอาแปลงเป็นหญิง สร้างเรื่องจนมีการกวาดล้างที่แผ่นดินใหญ่ เลยมาแผลงฤทธิ์ที่อื่นแทน ทั้งที่แต่เดิมเป็นการแสดงอัตลักษณ์ประจำกลุ่มทางการเมือง และรับมาจากอินเดีย ที่กินมังสวิรัต จากทางความเชื่อ และการเมือง และเยียดชนชั้น ให้คนประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ จับสัตว์ ฆ่าสัตว์ เป็นคนต่ำต้อย ราวเป็นพวกบุราคุมินของยุ่น ที่ยังปรากฏโคตรเหง้าในทะเบียนราษฎร์ จนเป็นปัญหาสังคมที่ไม่เล่าในคนนอกฟัง แถมให้ไปเก็บกวาดที่ฟุกุจิม่ะ จนต้องเรียกร้องสิทธิมนุษยชน http://botkwamdee.** ไม่ใช่ลิควิด **/2012/05/ts-fks5.html แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 55 10:11:46 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 10:09:07

ความคิดเห็นที่ 19 ที่บ้านยังไหว้อยู่อ่ะ ขนมไหว้พระจันทร์ผมก็ชอบนะ แต่ที่ไหว้ๆ ก็ไม่ได้เทพธิดาอะไรหรอก แต่ไหว้มาตามบรรพบุรุษ เท่านั้น จากคุณ : Niceguy_C3 เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 10:50:03

ความคิดเห็นที่ 20 กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว ค่าของไหว้ก็แพง  หมดรุ่นพ่อรุ่นแม่ ผมคงไม่สะดวกที่จะไหว้   แต่ผมชอบนะขนมไหว้พระจันทร์ โดยเฉพาะไส้หงวยิ้ง  ไม่มีไข่เค็มยิ่งดี จากคุณ : เสือดำขโมยใจ เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 12:43:47

ความคิดเห็นที่ 21 คหสต นะคะ รุ่นก่อนเค้าก็ไหว้กันดีล่ะค่ะ  แต่พอมารุ่นลูกไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องพวกนี้แล้วค่ะ  กินอย่างเดียว พอมีขายก็ อ้าวว ได้เวลาไหว้พระจันทร์แล้วเหรอเนี่ยย แล้วก็ไปซื้อกิน (ไม่ได้เอาไปไหว้กันเลย 555)   อันนี้เป็นกันแทบหมดเลยค่ะ เพื่อนๆรุ่นส้มไม่มีใครไหว้พระจันทร์เลย และเชื่อว่าหมดรุ่นพ่อแม่ไปก็ไม่มีมาจัดไหว้กันแล้วค่ะ อย่าดีคือซื้อขนมไปไหว้เจ้า แค่นั้น แต่กินเจ มันถือเป็นการละบาป  พอถึงเทศกาลก็จะมาคุยกันว่า แกๆ กินเจมั๊ย  คือจะชวนๆกันกินเจ ละการกินเนื้อสัตว์ เป็นการทำดี เราเลยเลือกที่จะทำกันค่ะ คือการกินเจมันเห็นเหตุ-ผลได้มากกว่าการไหว้พระจันทร์น่ะค่ะ คนรุ่นใหม่เลยเลือกกินเจมากกว่า ง่ายกว่าด้วย ไม่ต้องไปซื้ออะไรมากมายไปตั้งโต๊ะไหว้ จากคุณ : BigSom เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 12:46:35

ความคิดเห็นที่ 22 ที่บ้านยังไหว้อยู่ครับ แต่เพิ่งรื้อฟื้นขึ้นมาหลังจากแยกบ้านออกมาไม่กี่ปีนี้เองครับ ยังดีที่ได้คุยได้ถามอาม่าและได้ช่วยจัดโต๊ะได้ไหว้ตั้งแต่เด็กๆ จนถึงเดี๋ยวนี้มีอะไรสงสัยก็ยังถามอาม่าอยู่ ^^ ประเพณีการไหว้นี้ที่จริงก็เหมือนการได้รวมตัวกันของคนในครอบครัว ที่เคยเหนที่บ้านสมัยก่อนที่รวมกันอยู่เยอะๆนะครับ การเตรียมไหว้ในเทศกาลนี้เป็นเรื่องใหญ่มากไม่น้อยไปกว่าเทศกาลตรุษจีนสาทรจีนเลย ไหนจะต้องยกโต๊ะไปดาดฟ้าบ้าง หน้าบ้านบ้าง ไหนจะผูกอ้อยทำซุ้ม จัดผลไม้ ของไหว้ต่างๆ ที่จะต้องใช้ทั้งแรงผู้ชายและฝีมือผู้หญิงจัดกัน ตอนเด็กๆก็สนุกสนานกันดีเพราะไม่ต้องช่วยอะไรมาก แต่พอโตๆมาก็ได้ช่วยบ้างตามกำลัง แต่พอกลับมาไหว้เองแล้วก็เหนื่อยเหมือนกันครับ เพราะที่บ้านก็คนไม่เยอะเหมือนแต่ก่อน แต่พยายามจัดให้เต็มตามที่อาม่าเคยจัดเลยเหนื่อยนิดหน่อย(เดี๋ยวนี้อาม่าไม่ได้ไหว้จัดเต็มเหมือนสมัยก่อนแล้วเพราะไม่มีคนช่วย) แต่ผมก็อยากจะอนุรักษ์และรักษาประเพณีนี้อย่างน้อยก็ในรุ่นผมก็ยังดี ^^ และคนที่เลิกไหว้เพราะมนุษย์เราส่งยานอพอลโล่ 11ไปลงดวงจันทร์ก็มีมากจริงๆนะครับ!!! ผมยังเคยโดนคนแก่แซวเลยว่าหัวโบราณ 5555 ส่วนที่จะไหว้เทพธิดาฉางเอ๋อ ไหว้ไท่อิมเนี้ย ไหว้เจ้าแม่กวนอิมอะไรก็แล้วแต่ ตามศรัทธาความเชื่อของแต่ละธรรมเนียมก็ไหว้ไปเถอะครับ การที่ปฏิบัติตามบรรพบุรุษที่ท่านได้ทำกันสืบมา ให้ถือเปนการแสดงความกตัญญูในรากเหง้าของตัวเอง ยังไงก็เป็นสิริมงคลกับตัวแน่นอนครับ ^^ จากคุณ : Jayskung เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 13:27:19

ความคิดเห็นที่ 23 ชอบหลาย คห.เลย โดยเฉพาะ #22 ข้างบนนี่เอง ดูโบ ๆ คล้าย ๆ กับผมเลย อนุรักษ์แต่ไม่งมงาย ที่จริงผมไ่ม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ แต่ก็ไหว้เจ้าครับ เพราะถือว่าอนุรักษ์ประเพณี ตรุษจีน สารทจีน ไม่เคยว่างเว้น เพราะพูดจริง ๆ ในไทยเรา คนเชื้อสายจีนก็แทบไม่เหลืออะไรเกี่ยวกับความเป็นจีนแล้วล่ะครับ หนังสือไม่ได้ ภาษาไม่ได้ ธรรมเนียมไม่รู้จัก ไล่เชื้อไล่สายไม่ถูก ไหว้เจ้าตรุษจีนสารทจีนแทบจะเป็นสิ่งเดียวเลยที่ทำให้รู้ว่ารากเหง้าของตัวเองมีบรรพบุรุษเป็นคนจีน ถ้าไม่ไหว้ก็หมดล่ะ ไม่มีแล้วรากเหง้าตัวเอง ตั้งแต่เด็กมา พ่อแม่ผมไหว้ขนมไหว้พระจันทร์ทุกปีครับ เพราะมันอร่อย แต่บ้านเราไม่ได้ไหว้พระจันทร์ตอนกลางคืนครับ เราก็ไหว้ขนม กับส้มและน้ำชา ตอนเช้า เป็นการเคารพเจ้าที่เจ้าทาง(เซ่น ด้วยของอร่อยนั่นแหละ) และไหว้บรรพบุรุษ และพี่น้อง(หมายถึงพี่น้องชาวจีน-ผีไม่มีญาติ) ให้ได้รับความอร่อยร่วมกัน แต่เสร็จแล้วเรากินเอง ตอนเด็ก ๆ เพื่อนในห้องเกิน 90 เปอร์เซนต์ ที่บ้านจะจัดโต๊ะไหว้พระจันทร์ตอนกลางคืน อลังการงานสร้าง แต่บ้านผมไม่ครับ ไหว้เช้า เรียบง่าย เน้นเป็นการรำลึกถึงบรรพบุรุษมากกว่า เคยถามพ่อแม่ว่าทำไมไม่จัดโต๊ะไหว้แบบเพื่อน ๆ คำตอบคือ ขี้เกียจไหว้รอยส้งตรีงฝรั่ง 555 นึกว่าเป็นอยู่บ้านเดียว พอมาอ่านในนี้ที่ไหนได้ เพียบเลย ไม่ไหว้ รอยตรีนฝรั่งเหมือนกัน ส่วนขนมไหว้พระจันทร์เดผมก็จะซื้อมาจากร้านไหหลำเท่านั้น มีไส้ โง่วหยิ่น กับ กิมถุ่ย เป็นหลัก เดี๋ยวนี้ก็ต้องพึ่งของกวางตุ้งที่ขายกันตามท้องตลาด เพราะแบบไหหลำ ก็ล้มหายตายจากกันไปทีละร้าน ๆ เท่าที่รู้ก็ร้าน เบ้าเฮง แถวข้าง ๆ วัดอินทาราม ตรง แถว วิสุทธิกษัตรย์น่าจะยังอยู่ เมื่อก่อนยังหนุ่มมาก ๆ ไปซื้อ คนขายยังชมผมเลยที่พูดไหหลำคล่องปร๋อ ส่วนคนขายเองบอกว่าได้นิดเีดียว และก็มีอีกร้านตรงผ่านฟ้า แบบว่าตอนซื้อต้องไปง้อเขาด้วย จำชื่อร้านไม่ได้แล้ว อะไรเชียง ๆ ซักอย่าง นั่นยังส่งภาษาไหหลำได้อยู่ จนเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมก็ไปซื้อตามปกติ ร้านปิดเงียบ และหลังจากนั้นก็ไม่เคยเปิดอีกเลย เข้าใจว่าแม่เขาเสีย และรุ่นลูกคงเลิกทำไปแล้ว ทุกวันนี้พี่สาวผมก็ยังถามถึง ตงซิวเบี่ย จากร้านคนไหหลำ ซึ่งมันก็จะหาซื้อยากเย็นเข้าไปทุกที ผมก็หมดปัญญาจะไปตามหาแล้ว ก็ต้องพึ่งแบบกวางตุ้งเขาที่วางขายกันเกลื่อนในราคาแสนแพงนี่แหละ แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 55 15:42:54 จากคุณ : LUCKPOWERRICH เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 15:38:49

ความคิดเห็นที่ 24 เรามีเชื้อจีนมานิดหน่อยจากฝั่งตา ตอนเด็กๆเคยเห็น ยายไหว้เจ้า กินเจ แต่ไหว้พระจันทร์รู้สึกว่าไม่เคยเห็นเลยอ่ะ เลยไม่คุ้น แต่ชอบกินขนมนะ 555 เราชอบกินเจนะ แต่ชอบไปกินตามโรงเจ แต่ถ้าให้ซื้อตามตลาด หรือ ซื้อมาทำเอง ไม่ชอบอ่ะ ชอบไปโรงเจ รู้สึกว่ากินที่โรงเจ อร่อยที่สุดแล้ว ไหว้เจ้า รุ่นเราซึ่งเป็นรุ่นหลาน ไม่มีใครทำแล้วอ่ะ เราอยากไหว้นะ แต่ทำไม่เป็น ไม่รู้จะเริ่มยังไง แซ่อะไรยังไม่รู้เลย อีกอย่าง หน้าเราโคตรไทยค่อนไปทางแขกด้วยซ้ำอ่ะ มีแต่คนไม่เชื้อว่ามีเชื้อจีน -_-" จากคุณ : ไม่กินถั่วงอก เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 16:37:30

ความคิดเห็นที่ 25 ลืมประเด็นเรื่องกินเจไปครับ... การกินเจเดี๋ยวนี้แลดูง่ายไม่ค่อยเคร่งเหมือนแต่ก่อน สมัยก่อนแทบจะต้องนุ่งขาวห่มขาวไปกินเจตามโรงเจศาลเจ้ากันเลย แต่เดี๋ยวนี้ใส่ชุดอะไรไปหาตามร้านข้าวแกงก็กินได้แล้ว การปฏิบัติตามธรรมเนียมก็ผ่อนลงไปมาก เช่นการที่ต้องแยกอุปกรณ์การกินไม่ว่าจะเปนจานชามช้อนส้อมตะเกียบหรือแม้แต่กระทะตะหลิว ไม่ให้ใช้ร่วมกันระหว่างคนกินเจกับกินชอกันเลยทีเดียว และถ้ากินก็ต้องกินอย่างน้อยๆ9วัน(ไม่นับล้างท้องตามศรัทธา)ไม่มีการมื้อนึงเจมื้อนึงชอตามที่เหนๆอยู่มากในปัจจุบัน และที่เห็นจะได้รับความนิยมมากกว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์ ก็น่าจะเป็นด้วยเหตุผลด้านบนส่วนหนึ่ง และการที่เทศกาลกินเจเป็นเทศกาลเกี่ยวกับอาหาร ที่ทำได้ไม่ยาก ซื้อได้ไม่ยาก ข้อจำกัดมีไม่มาก ซึ่งต่างกับการปฏิบัติตามธรรมเนียมในเทศกาลไหว้พระจันทร์เยอะ มีการโปรโมทกันอย่างต่อเนื่องในหลายๆแห่งทุกปีๆ และสามารถตอบสนองความต้องการเรื่องกินได้ทั้งคนไทยคนจีน เลยยิ่งทำให้ได้รับความนิยมกันเพิ่มอีกครับ จากคุณ : Jayskung เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 17:12:55

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบพระคุณทุกท่านมากๆครับผม ส่วนใหญ่ทุกท่านเห็นคล้ายๆกันว่า เทศกาลกินเจนั้นสะดวก เหมาะกับยุคสมัยด้วยชูธงสุขภาพ และไม่ยุ่งยากเหมือนการไหว้พระจันทร์ เลยทำให้เทศกาลกินเจปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมไทยและรุ่งเรืองกลายเป็นเทศกาลประจำปีของชาวไทยได้ไม่ยาก ในขณะที่การไหว้พระจันทร์เหลือแต่เพียงขนมเท่านั้น ส่วนเสริมอื่นๆหายหมด หุหุ จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 18:43:29

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่มีตังจะซื้อของ ครับ ปล อีกหน่อยเทศกาล เจ ก็คงเหมือนกัน ผัก แพงฉิบ.....ง แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 55 09:04:58 จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 09:04:34

ความคิดเห็นที่ 28 ประเพณีไหว้พระจันทร์เป็นประเพณีกลางของคนจีนเหรอคะ ? ที่ถามเพราะที่บ้านเราไม่ไหว้ คือไม่ไหว้ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว ทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่เลย ถามสืบไปคือไม่เคยมีใครไหว้ แต่ตรุษ สารท และอื่นๆ นั้นไหว้หมด ถามคนแก่ที่บ้าน ท่านตอบว่า บ้านเราไม่เคยถือประเพณีนี้ แต่ขนมไหว้พระจันทร์นี่คุ้นเคยมาก :D จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 10:03:16

ความคิดเห็นที่ 29 ไหว้พระจันทร์เป็นประเพณีที่ค่อนข้างแพร่หลายในชาวจีนกลุ่มต่างๆครับ แต่คิดว่าน่าจะพัฒนามาจากเทศกาลสารทฤดูใบไม้ร่วง ที่จะเปลี่ยนแปลงฤดูกาลจากร้อนเป็นใบไม้ร่วงแทน ก่อนจะเริ่มมีการไหว้พระจันทร์เข้ามาผสมทีหลัง จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 11:12:57

ความคิดเห็นที่ 30 ถ้าเลิกไหว้เพราะมีมนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์  ทำไมเรายังไหว้สิ่งของที่คนเราสร้างขึ้นมา จากคุณ : เสือดำขโมยใจ เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 12:39:39

ความคิดเห็นที่ 31 ตอบตามความคิดเห็นของคนไม่นับถืออะไรสักอย่าง และเชื่อว่าคนแบบผมมีเยอะมาก ..ไหว้พระจันทร์.. ไหว้ยังไง ไหว้ทำไม คนไทยธรรมดาอย่างผมไม่รู้ รู้แต่ว่าขนมไหว้พระจันทร์แพงมาก ..กินเจ.. กินแล้วช่วยสนับสนุนให้ฆ่าสัตว์น้อยลง อาหารแปลกใหม่มาขายเพียบ มีให้เลือกหลากหลาย ราคารับได้ ถือโอกาสลดความอ้วน (จริง ๆ ไม่ช่วยหรอก) โม้กับเพื่อนหรือญาติได้ว่าเรากินเจ อาหารฟรีมีแจก งานแห่งล่อมังกร เสียบตัวเสียบปากน่าดู จุดประทัดน่าเล่น จากคุณ : แตงโมสีรุ้ง เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 13:14:16

ความคิดเห็นที่ 32 ขายขนมไหว้พระจันทร์กำไรน้อย ขายซอสถั่วเหลือง โปรตีนเกษตร นมถั่วเหลืองเข้าถึงคนมากกว่า พอภาคธุรกิจเน้นให้คนจับจ่ายกับเทศกาลกินเจมากกว่า ไหว้พระจันทร์ก็เลยเป็นเทศกาลรองไปเลย ผมชอบกินขนมไหว้พระจันทร์นะ เคยกินสมัยเด็กๆ ตอนนี้ไม่ค่อยได้กินเจอแต่ S&P ลูกนึงหลายบาท ส่วนใหญ่ไป 7-11 ก็ผ่านไปหยิบขนมปังเจแทน ทั้งที่ขนมไหว้พระจันทร์ก็ยังขายค้างอยู่งั้นแหละ ผมไม่รู้ว่าเขาจะเทกระจาดขายลดราคาตอนไหนนะ อยากไปซื้อมากินเหมือนกัน เพิ่มเติม กำไรน้อยเมื่อพูดภาพรวมของตลาดผลิตภัณฑ์ไหว้พระจันทร์ในเชิงเปรียบเทียบกับตลาดผลิตภัณฑ์เจครับ กำไรต่อชิ้นอาจจะมาก แต่เมื่อรวมๆกันแล้วตลาดผลิตภัณฑ์เจใหญ่กว่ามาก เทศกาลเจกระตุ้นการบริโภคอะไรที่คนทั่วไปเข้าถึงง่ายกว่า เน้นเรื่องกินเจเพราะขายของได้หลากหลายและหลายชิ้นกว่า ส่วนใครทำขนมไหว้พระจันทร์ขายแล้วมีลูกค้าเยอะกำไรดีครับ แต่ไม่น่าเทียบได้กับปริมาณเงินสะพัดในเทศกาลกินเจช่วงปีหลังๆมานี้ที่หอมหวานเหลือเกินชวนให้เข้าไปแย่งส่วนแบ่งตลาด ส่วนผมจีนลูกเสี้ยว เจไม่กิน พระจันทร์ไม่ไหว้ เช็งเม้งไม่มีเพราะทำพิธีไทยกันมาตั้งแต่สมัยทวดที่ตั้งรกราก ตรุษไม่จัดเพราะในตระกูลไม่มีใครรู้พิธีแล้ว เอาแต่อั่งเปา (ถ้ายังมีคนให้) ทั้งหมดนี้เสียดายที่ไม่ได้เข้าร่วมพิธีแบบจีนเพราะดูเพื่อนๆสมัยเด็กแล้วดูคึกครื้น บ้านผมมีแต่พาไปวัดอย่างเดียว แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 55 13:34:23 จากคุณ : คนโง่ว์ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 01:05:15

ความคิดเห็นที่ 33 คห. 16 คุณAngleevil เหมือนกันเลยค่ะ ที่บ้านไหว้ทุกเทศกาล ยกเว้นไม่เคยไหว้เทศกาลไหว้พระจันทร์ เคยถามแม่ (เพราะสมัยเด็กอยากกินขนมไหว้ฯ) แม่บอกว่า พ่อไม่ได้พาไหว้ เลยไม่ได้ไหว้ฯ ตอนนี้ก็ซื้อแต่ขนมไหว้ฯ มาทาน จากคุณ : ฟ้ากำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 04:16:12

ความคิดเห็นที่ 34 ใครว่าขนมไหว้พระจันทร์กำไรน้อย ผมเถียงตายเลย กำไรโคตรเยอะครับ ไม่งั้นพวกร้านเบเกอรี่จะทำกันทุกร้านช่วงนี้เหรอครับ เพราะต้นทุนวัตถุดิบถูกมากๆ ขนมไหว้พระจันทร์กำไรดีแต่โคตรเหนื่อยต่างหากครับ เพราะขนมไหว้พระจันทร์เก็บ ได้ไม่นานและปีหนึ่ง ขายได้หนเดียว ดังนั้นทำสต็อกไว้ไม่ได้ ปีๆ หนึ่งช่วงไหว้พระจันทร์ โรงงานต้องเปิดทั้งวันทั้งคืนเลยครับเพื่อทำให้ได้ตามออเดอร์  แล้วหลังจากนั้นทั้งปีก็ขายไม่ได้เลยจะกำไรขาดทุนก็วัดกันตรงนี้แหละครับ อันนี้แม่เล่าให้ฟังจากประสบการณ์ของญาติที่เคยทำขนมไหว้พระจันทร์ครับ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 55 10:22:54 จากคุณ : Pongkm (Pongkm) เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 10:21:46

ความคิดเห็นที่ 35 เพิ่มเติม จีนมีประเพณีโบราณที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เริ่มตั้งแต่รัชสมัยราชวงศ์โจว กษัตริย์ทุกพระองค์ที่ครองราชย์จะทำพิธีเฉลิมฉลองสักการะสี่ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิสักการะดวงอาทิตย์ ฤดูร้อนสักการะผืนปฐพี ฤดูใบไม้ร่วงสักการะดวงจันทร์ และ ฤดูหนาวสักการะฟ้า เราเรียกกันอย่างแพร่หลายว่า การบูชาพระอาทิตย์ บูชาดิน บูชาพระจันทร์และบูชาฟ้า ซึ่งได้กำหนดและแบ่งเป็นทิศทั้งสี่ คือ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ปักกิ่งเมืองหลวงของจีนทางทิศตะวันออกของกู้กง ที่ฮ่องเต้ทำการบูชาพระจันทร์ โดยใน《คัมภีร์พิธีกรรม》ได้บันทึกไว้ว่า： “กษัตริย์ของไพร่ฟ้าฤดูใบไม้ผลิบูชาอาทิตย์，ใบไม้ร่วงบูชาพระจันทร์。ต้นปีบูชาอาทิตย์，สิ้นปีบูชาพระจันทร์。” ซึ่งคำว่าสิ้นปีบูชาพระจันทร์นั้นตรงกับวันไหว้พระจันทร์ และประเพณีไหว้พระจันทร์ก็ไม่เพียงแต่เป็นประเพณีของคนชั้นสูงอีกต่อไป ซึ่งก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยที่พัฒนาขึ้น เราทุกคนสามารถบูชาพระจันทร์ในวันไหว้พระจันทร์ได้เช่นเดียวกัน http://3go.ezjoy.in.th/index.php?option=com_content&view=article&id=262:4-&catid=4:activity&Itemid=5 การสักการะสี่ฤดู ในเป่ยจิง รอบกู้กง สักการะพระอาทิตย์  ตะวันออก รื่อถานกงยวน(Ritan Gongyuan - Sun of Park) สักการะพระจันทร์    ตะวันตก   เยื่ยถานกงหยวน(Yuetan Gongyuan - Moon of Park) สักการะฟ้า             ใต้          เทียนถานกงหยวน(Tiantan Gongyuan - Temple of Heaven Park) สักการะดิน             เหนือ      ตี้ถานกงหยวน(Ditan Gongyuan - Temple of Earth Park) ไหว้พระอาทิตย์ ยังมีรื้อฟื้นที่เป่ยจิง เพื่อการท่องเที่ยว Sun Worship in Beijing's Ritan Park     2011-03-21 13:33:42     Global Times      Web Editor: Yihang Performers in Qing Dynasty emperor's dress (center) and ministers perform a sun worshipping ritual at Ritan Park in Beijing on Sunday, March 20, 2011. [Photo: CFP] Ritan Park is bringing back sun worship rituals from the Qing dynasty (1644-1911) for the first time since the tradition faded away over 100 years ago to popularize and preserve culture. Two ceremonies were held at 9:30 am on March 20 and at 10:20 am on March 21, the time of spring equinox. The display lasted for an hour, and consisted of three parts. First, over 100 people in a guard of honor escorted the royals (actors) to the altar; then there was a song and dance, performed by folk musicians from Chaoyang district; the ceremony ended with everyone bowing to the east in respect of the sun. The ceremony resembled the rituals recorded in the Qing dynasty in every aspect including costumes, props, dances, and musical instruments. Ordinary citizens weren't allowed to watch the royal ceremony in the old days. The sun worship rituals will become a regular ceremony at Ritan Park in the future. The park was built in the Ming dynasty for emperors to pay their respects to the sun. With the return of sun worship rituals, Beijing has now resurrected all four ancient rituals, worshipping heaven, earth, sun and moon. http://english.cri.cn/6909/2011/03/21/2724s627582.htm http://english.cntv.cn/20110322/105950.shtml รูปเพิ่มเติม http://www.imaginechina.com/showStoryDetail.ic?imgType=NewsImage&id=20120320_82078### Ancient royal sun worship ceremony held in Beijing Performers take part in a re-enactment of an ancient royal sun worship ceremony of Qing Dynasty (AD 1644 - 1911) at Ritan Park in Beijing, China, 20 March 2012. The ceremony resembled the rituals recorded in the Qing Dynasty in every aspect including costumes, props, dances, and musical instruments. Ordinary citizens were not allowed to watch the royal ceremony in the old days. The sun worship rituals has become a regular ceremony at Ritan Park. The park was built in the Ming Dynasty for emperors to pay their respects to the sun. http://www.profimedia.si/picture/ancient-royal-sun-worship-ceremony-held-in/0121894642/ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 55 13:06:43 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 11:03:47

ความคิดเห็นที่ 36 水调歌头 สุ่ยเตี้ยวเกอโถว บทเพลงท่วงทำนองแห่งสายน้ำ ท่านซูตงพัว (苏东坡 ) นามเดิม ซูชื่อ  (苏轼) ราชวงศ์ซ่งเหนือ แต่งขึ้นในวัน  ขึ้น15ค่ำเดือน8 เทศกาลไหว้พระจันทร์ปี ค.ศ. 1076 中秋詞 บทนี้ ซึ่งเป็นอมตะ ซูตงโพแต่งเพราะคิดถึงน้องชายและทุกคนที่เคยพร้อมหน้าในช่วง中秋節ห้าปีก่อนแต่ครั้งนี้เพียงคนเดียวที่เหงา มีแสงจันทร์ เหล้า และ เงา ของตัวเองเป็นเพื่อน 中秋 "จงชิว" (Zhong Qiu) แปลว่า "กลางฤดูใบไม้ร่วง ฉบับพระเทพฯแปล จากหนังสือหยกสร่ายคำ 水调歌头 สุ่ยเตี้ยวเกอโถว 丙辰中秋，欢迎达旦，大醉，作此篇兼怀子。苏轼 ปีปิ่งเฉิงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ดื่มสุราด้วยความเบิกบานจวบรุ่งสาง เมามาก แต่งบทกวีนี้และรำลึกถึงจื่อโหยว ซูซื่อ 明月几时有？把酒问青天。不知天上宫阙，今夕是何年？我欲乘风归去，唯恐琼楼玉宇，高处不胜寒。起舞弄清影，何似在人间。 จันทร์สกาวเช่นนี้มีเมื่อใด ถือถ้วยสุราถามฟ้าคราม ไม่ทราบว่าในวังสวรรค์ คืนนี้เป็นปีใด คิดจะเหินลมกลับไป แต่เกรงว่าวังงามดุจหยกบนฟ้า สูงจนหนาวทนไม่ได้ เริงระบำกับเงากระจ่าง ไหนเลยจะเหมือนอยู่โลกมนุษย์ 转朱阁，低绮户，照无眠。不应有很，何时常别时圆，人有悲欢离合，月有阴晴圆缺，此事古难全。但愿人长久，千里共婵娟。 แสงจันทร์ต้องหอแดง เคลื่อนลงสู่หน้าต่างสลัก ส่องสว่างจนนอนไม่หลับ มิควรโกรธ ยามจากกันไยพระจันทร์มักเต็มดวง คนมีทุกข์มีสุขมีพรากมีพบ พระจันทร์มีมืดมีสว่างมีเต็มมีเสี้ยว เป็นดั่งนี้มาแต่โบราณมิอาจสมบูรณ์พร้อม เพียงหวังคนอายุยืน แม้ห่างกันพันลี้ร่วมกันชมจันทร์งาม 绮 เขาให้อ่านว่า yi http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=304160&Mbrowse=33 http://www.zhongtai.org/forum/index.php?action=printpage;topic=448.0 http://mblog.manager.co.th/ana123/---701/ http://en.wikipedia.org/wiki/Shui_diao_ge_tou แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 55 20:05:11 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 11:14:06

ความคิดเห็นที่ 37 ที่บ้านไหว้ทุกเทศกาล ยกเว้นไหว้พระจันทร์ไม่เคยเห็นไหว้เลยตั้งแต่เกิด หรือจีนไหหลำไม่ไหว้ จากคุณ : วิคเตอร์ เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 17:27:09

ความคิดเห็นที่ 38 ปัจจุบัน ที่จีนแผ่นดินใหญ่ ไม่มีทั้งสองเทศกาลเลยครับ หายไปหมดแล้ว ไหว้พระจันทร์นี่ไม่มีใครไหว้เลย ภาษาจีนเค้าไม่ได้เรียกว่า วันไหว้พระจันทร์ เค้าเรียกว่า เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง ในวันนี้เค้าก็จะกลับไปกินข้าวพร้อมหน้า กินขนมไหว้พระจันทร์ ชมจันทร์กันไป แต่ไม่มีใครไหว้พระจันทร์กันแล้วครับ เทศกาลกินเจนี่แล้วใหญ่ พูดถึงขึ้นมาไม่มีใครรู้จักเลยซักคน ปีนี้ หลังจากวันไหว้พระจันทร์ เพียงวันเดียวก็เป็นวันชาติ หยุดยาว 7-9 วันกันเลยทีเดียว ทางด่วนทางหลวงต่างๆ ก็ขึ้นฟรี ไม่เก็บค่าผ่านทาง คาดว่าปีนี้คนจะเยอะ แล้วก็คึกคักมากๆ แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 55 18:23:32 จากคุณ : GamayTP เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 18:18:25

ความคิดเห็นที่ 39 鄧麗君 ~~ 但願人長久 บทเพลง หวังเพียงคนเราอายุมั่นยืนนาน -- 但愿人长久 míng yuè jǐshí yǒu 明 月 几时 有 bájiǔ wèn qīng tiān 把酒 问 清 天 。 bùzhī tiānshàng gōng què 不知 天上 宫 阙 ， jīn xī shì hé nián 今 夕 是 何 年 。 wǒ yù chéng fēng guī qù 我 欲 乘 风 归 去 。 wéikǒng qióng lóu yù yǔ 惟恐 琼 楼 玉 宇 ， gāo chù bù shèng hán 高 处 不 胜 寒 ， qǐ wǔnòng qīng yǐng 起 舞弄 清 影 ， hé sì zài rénjiān 何 似 在 人间 。 zhuàn zhū gé dī Yǐ hù zhào wú mián 转 朱 阁 ， 低绮 户 ， 照 无 眠 。 bù yīng yǒu hèn héshì cháng xiàng bié shí yuán 不 应 有 恨 ，何事 长 向 别 时 圆 ？ rén yǒu bēihuānlíhé 人 有 悲欢离合 ， yuè yǒu yīn qíng yuán quē 月 有 阴 晴 圆 缺 ， cǐ shì gǔ nán quán 此 事 古 难 全 。 dànyuàn rén chángjiǔ 但愿 人 长久 ， qiānlǐ gòng chánjuān 千里 共 婵娟 。 จันทร์สกาว..กำเนิดมาแต่คราใด     ยกจอกสุรา..น้อมไต่ถามต่อฟ้า ณ วังหลวงบนนภา..ไม่ทราบว่า     จันทร์ราตรีนี้...นับเป็นปีที่เท่าใด ข้าอยากเหินลมหวนคืนกลับไป   เกรงแต่ใน...วิมานหยกสรวงสวรรค์ เบื้องบนนั้น..หนาวยะเยือกเกินทนไซร้ ขึ้นไปเริงระบำเล่นแสงเงาใส ฤาสุขใจดุจอยู่ในโลกมนุษย์ จันทร์ฉายรอบหอแดง   แสงลอดลายบัญชร   ต้องคนนอนไม่หลับ ไม่ควรครุ่นคิดขุ่นใจ   แต่ไฉนยามพรากไกลกัน  จันทร์จึ่งยังเต็มดวง ? คนเรามีทุกข์สุขพลัดพรากพบพาน ดวงจันทร์มีเต็มเสี้ยวมืดมิดสว่างไสว เรื่องยากพร้อมสรรพ์นี้...มีมาแต่บรรพกาล หวังเพียงคนเราอายุมั่นยืนนาน ร่วมชมจันทร์สะคราญ...แม้นห่างกันพันลี้ http://mblog.manager.co.th/ana123/---701/ 苏轼（1037-1101） 字子瞻，号东坡居士，เป็นบันฑิตในยุคปลาย 北宋  สมัยนั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายปฏิรูปที่นำโดย 王安石  ส่วน 苏东坡  นั้นอยู่ฝ่ายอนุรักษ์  การต่อสู่ทางการเมืองทำให้พบกับมรสุมทางการเมืองหลายครั้ง   นอกจากเป็นนักการปกครองแล้ว 苏东坡 ยังเป็น 书法家 ที่มีชื่อ  ในเรื่องบทกวีประเภท 词 นั้นนอกจาก 李煜 ในยุค 后唐 แล้วก็ถือว่า苏东坡  นั้นอยู่ในแนวหน้าทีเดียว   สำหรับบท 《水调歌头》 นี้ถือเป็นสัญญลักษณ์ของ 苏东坡 แต่งเมื่อครั้งถูกส่งไปยัง 密州   苏东坡 เป็นผู้ที่มีจิตใจรักชาติ   รักประชาชน   เฉพาะ 2 ประโยคแรกในบทกวีนี้สะท้อนถึงจิตใจที่อ้างว้างไร้ที่พึ่ง   ได้แต่ถามฟ้าถามเดือน   ส่วนในข้อความนี้ 我欲乘風歸去，又恐瓊樓玉宇，高處不勝寒。คำว่า 歸去 แสดงให้เห็นถึงจิตใจที่ยังหวังว่าจะได้กลับไปรับใช้ราชสำนักอีก    ส่วน 2 ประโยคหลังแสดงความกังวลถึงปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่   ในประโยคนี้ 轉朱閣，低綺戶，照無眠。เป็นการ 把字炼得炉火纯青  คำว่า 轉低 หมายถึงดวงจันทร์เริ่มคล้อยต่ำ   朱閣綺戶 หมายถึงห้องหอที่พักพิง  無眠 ปกติแปลว่านอนไม่หลับ   แต่มักหมายถึงคิดถึงคนที่พัดพรากจนนอนไม่หลับ 不應有恨，เป็นการตัดพ้อต่อฮ่องเต้ที่ไม่พอใจการเสนอความเห็นของตนเอง 何事長向別時圓？อันนี้ตัดพ้อดวงเดือนที่สุกสกาวเหมือนไม่เห็นใจคนมีทุกข์ 嬋娟 ปกติก็หมายถึงดวงเดือน   หมายถึงเทพี 嫦娥  หมายถึงความสวยงามความดีงาม   ผู้หญิงมักนิยมใช้ตั้งชื่อเช่น 婵华，美娟 เป็นต้น http://www.zhongtai.org/forum/index.php?topic=448.5 โพสเพลงไม่ขึ้น http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=1xcxCv06tXk#! แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 55 20:22:48 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 55 20:22:04 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย (ต็กโกวคิ้วป้าย) เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 20:20:31

ความคิดเห็นที่ 40 จงชิว   เทศกาลฉลองฤดูเก็บเกี่ยว วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ในปฏิทินการเกษตรของจีนเป็นวันเทศกาลจงชิว(中秋节) ที่คนไทยเราเรียกว่าวันไหว้พระจันทร์  เดือน 8 เป็นเดือนที่อยู่กลางฤดูชิว  และวันขึ้น 15 ค่ำเป็นวันที่อยู่กลางเดือน 8  จึงเรียกว่าวันจงชิว(中秋) มีบันทึกเรื่องราวของจงชิว ในคัมภีร์โจวหลี่  ตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว การก่อเกิดของเทศกาลจงชิว สืบเนื่องมาการบูชาธรรมชาติของมนุษย์  กษัตริย์ในสมัยโบราณมีพิธีฤดู ชุนบูชาสุริยะเทพ เซี่ยบูชาแม่ธรณี ชิวบูชาดวงจันทร์ และ ตงจื้อบูชาสวรรค์ ชาวจีนมีประเพณีบูชาดวงจันทร์มาแต่โบราณ มีเรื่องเล่ากันว่าสมัยในโบราณเมืองฉีมีหญิงสาวอัปลักษณ์ผู้หนึ่งชื่อว่า อู๋เหยียน นางบูชาดวงจันทร์ด้วยใจศรัทธาอย่างมั่นคง เมื่อโตขึ้นนางถูกคัดเลือกส่งตัวเข้าวัง แต่ไม่ได้รับการโปรดปราณ ปีหนึ่งในคืนวันขึ้น 15เดือน8 กษัตริย์ได้พบนางโดยบังเอิญใต้แสงจันทร์ รู้สึกว่านางงดงามเป็นพิเศษ จึงได้แต่งตั้งนางเป็นราชินี สืบทอดเป็นประเพณีบูชาดวงจันทร์ในวันนี้ โดยเฉพาะสตรีต่างก็ขอพรขอให้สดใสดั่งเดือนเพ็ญ งดงามดั่งเทพีฉางเอ๋อ ฤดูชิว คือฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว  ชาวจีนโบราณมีคำกล่าวว่า   "ชุนไถหว่าน เซี่ยเพาะปลูก ชิวเก็บเกี่ยว"   นั่นก็คือจากการทำงานอย่างอาบเหงื่อต่างน้ำมาตลอดทั้งปี ในฤดูชุนและเซี่ย จะมาเก็บเกี่ยวดอกผลเอาในฤดูชิว จึงเป็นฤดูกาลที่น่ามีการเฉลิมฉลองเป็นอย่างยิ่ง  บรรยากาศในฤดูชิว แกนโลกเบนห่างออกจากดวงอาทิตย์ อากาศร้อนในฤดูเซี่ยเริ่มคลายตัวลง ท้องฟ้าโปร่งใสไร้เมฆหมอกและดูสูงกว่าฤดูอื่น ดวงจันทร์สุกใสกลมโตเป็นพิเศษ จึงเหมาะแก่การดื่มเหล้าจิบชาชมจันทร์  โดยเฉพาะถ้าปีไหนการเพาะปลูกได้ผลดีเรียกว่า เฟิงโซว(丰收) หรือเฟิงเหนียน(丰年) ยิ่งต้องเฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุข และเป็นการเตรียมตัวต้อนรับลมหนาวที่จะย่างกรายมาในไม่ช้า จึงเห็นได้ว่าการเฉลิมฉลองในฤดูเก็บเกี่ยว เป็นเทศกาลฉลองในหมู่มวลชนที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณในสังคมการเกษตร ต่อมาได้เผยแพร่ไปถึงเหล่าขุนนางชนชั้นสูงในรั้วในวัง จนกระทั่งในสมัยถัง จงชิว จึงถูกกำหนดเป็นวันเทศกาลประจำปีอย่างทางการ พอถึงสมัยหมิงและชิง เทศกาลจงชิว ได้ถูกกำหนดเป็นหนึ่งในสามเทศกาลใหญ่ประจำปี     ขณะเดียวกันฤดูชิวก็เป็นสัญลักษณ์ของความทุกข์โศกเช่นเดียวกัน  โดยเฉพาะปีไหนที่ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล การเพาะปลูกไม่ได้ผลเรียกว่าฮวางเหนียน(荒年) ไม่มีข้าวเก็บในยุ้งในฉางมองดูท้องนาเหลือแต่ต้นข้าวที่เฉาแห้ง ต้นไม้ผลัดใบเหลือแต่กิ่ง ใบเหลืองแดงปลิวว่อนตามสายลม คนที่ทุกข์โศกเหม่อมองสายน้ำในลำธาร ที่ใกล้จะแห้งขอดจนมองทะลุเห็นก้น ไหลเอื่อยๆไปอย่างไร้จุหมาย สายลมที่พัดมาต้องผิวกายยิ่งให้รู้สึกเย็นจับจิต ช่างดูเป็นบรรยากาศที่หงอยเหงาเศร้าสร้อยกระไร จึงมีคำกล่าวว่า ว่างชวนชิวสุ่ย(望穿秋水)   เทพีฉางเอ๋อ จรดวงจันทร์ (嫦娥奔月) เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลจงชิวมีอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือเรื่องเทพนิยายฉางเอ๋อ และโฮ่ว-อวี้ ซึ่งเป็นนิยายปรัมปราที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์โบราณว่า ฉางเอ๋อ เป็นภรรยาของโฮ่ว-อวี้  ขโมยกินยาอายุวัฒนะที่โฮ่ว-อวี้ ได้มาจากเจ้าแม่ซีหวางหมู่แห่งเขาคุนลุ้น จึงถูกสาปให้กลายเป็นคางคกฝนยาอยู่ที่วังเย็นบนดวงจันทร์ มีชีวิตอยู่อย่างคับแค้นเดียวดายไปชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่เนื่องจากดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม  มีอิทธิพลต่ออารมณ์และจิตใจของคนเราทั้งยามสุขและยามเศร้า คนทุกชาติทุกภาษาในโลกนี้ล้วนมีนิยายรักโรแมนติค มีบทเพลงบทกวีที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์อยู่มากมาย ทำให้นักเขียนนักนักกวีในยุคต่อมามีความรู้สึกว่าฉางเอ๋อ ถูกสาปกลายเป็นคางคกไปอยู่ที่ดวงจันทร์เป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความรู้สึกของผู้คน ที่เห็นดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม ความนุ่มนวล จึงมีการแก้ไขเทพนิยายเรื่องนี้เป็น ในสมัยของจักรพรรดิ์เหยา บนท้องฟ้ามีดวงอาทิตย์ปรากฎถึง 10 ดวง แผ่รังสีความร้อนแผดเผาจนพืชผลบนพื้นโลกแห้งตาย พื้นดินแตกระแหงท้องทะเลแห้งเหือด ผู้คนล้มตาย ในขณะนั้นเกิดวีรบุรุษผู้หนึ่งชื่อว่าโฮ่ว-อวี้ (บางฉบับว่าเป็นเทพจุติลงมา) มีความสามารถในการยิงธนูสูงเยี่ยม โฮ่วอวี้ ใช้ธนูยิงดวงอาทิตย์ตกลงมา 9 ดวง เหลือไว้เพียงหนึ่งดวงและกำชับให้ขึ้นทางทิศตะวันออกในเวลาเช้า ตกลงทางทิศตะวันตกในเวลาเย็น เพื่อให้เกิดฤดูกาลที่เหมาะแก่การเพาะปลูก โฮ่ว-อวี้จึงกลายเป็นวีรบุรุษที่ได้รับการยกย่อง มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย มีคนหลั่งไหลมาเป็นลูกศิษย์ลูกหา และได้แต่งงานกับฉางเอ๋อ ผู้เลอโฉม วันหนึ่งโฮ่ว-อวี้ เดินทางไปพบเจ้าแม่ซีหวางหมู่ ที่เขาคุนลุ้น ได้รับยาอายุวัฒนะมาเม็ดหนึ่ง โฮ่ว-อวี้ เกรงว่าถ้าตัวเองกินยานี้แล้วคงต้องอยู่อย่างเดียวดายหลังจากที่ฉางเอ๋อเสียชีวิตไปแล้ว จึงไม่ยอมกินฝากให้ฉางเอ๋อ เก็บยานี้เอาไว้ วันหนึ่งโฮ่ว-อวี้  พาลูกศิษย์ออกไปล่าสัตว์ เฟิงเหมิง ลูกศิษย์ทรยศได้บังคับให้ฉางเอ๋อมอบยาอายุวัฒนะให้กับตนเอง ฉางเอ๋อ จึงกลืนกินยานั้นลงไป หลังจากกลืนยาลงไปแล้วฉางเอ๋อ ก็รู้สึกตัวเบาล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า  แต่ความที่คิดถึงและเป็นห่วงสามีจึงไปอาศัยอยู่บนดวงจันทร์  เฝ้ามองสามีที่อยู่บนพื้นโลก  เมื่อโฮ่ว-อวี้ กลับจากการล่าสัตว์จึงได้จัดการสำเร็จโทษเฟิงเหมิง ลูกศิษย์ทรยศ หลังจากนั้นได้แต่เฝ้ามองดวงจันทร์ด้วยความคิดถึงภรรยา ส่วนชาวบ้านต่างก็จุดธูปบูชาฉางเอ๋อที่อยู่บนดวงจันทร์  นิยายเรื่องนี้มีการปรับแต่งเป็นไปหลายรูปแบบ แต่ล้วนแต่เป็นการยกย่องความดีและความงามของฉางเอ๋อ เมื่อประมาน 40 ปีที่ผ่านมาบริษัท国泰ได้สร้างเป็นภาพยนตร์  นำแสดงโดยเจ้าเหลย และเล่อตี้  แต่เรื่องราวกลับเป็นโฮ่ว-อวี้ หลงอำนาจกลายเป็นทรราชแสวงหายาอายุวัฒนะ  ส่วนฉางเอ๋อ นั้นเดิมเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ เมื่อว่ากล่าวตักเตือนโฮ่ว-อวี้ ไม่เป็นผลจึงจรลีหนีไปอยู่ที่ดวงจันทร์(กระต่ายมีหน้าที่ทำยาอายุวัฒนะ) จูหยวนจาง ก่อการคืนจงชิว ในสมัยราชชวงศ์หยวน ชาวจีนต้องทนทุกข์ทรมานกับการปกครองที่โหดร้ายป่าเถื่อนของราชสำนักมองโกลมาช้านาน จนถึงปลายสมัยราชวงศ์หยวน เกิดขบวนการต่อต้านราชสำนักขึ้นทั่วทุกหัวระแหง แต่ไม่สามารถจะติดต่อประสานงานกันได้ เนื่องจากราชสำนักมองโกลทำการปิดกั้นอย่างเข้มงวด ในสมัยนั้นแม้แต่การสุมหัวคุยกันเพียงสองคนก็อาจมีความผิดถึงขั้นประหารชีวิตได้ หลิวป๋อเวิน ที่ปรึกษาทางการทหารของจูหยวนจาง จึงคิดทำขนมเปี้ยะแบบมีใส้ขึ้นมาถือเป็นขนมในเทศกาลจงชิว  แจกจ่ายให้กับชาวบ้านทั่วๆไป โดยมีหนังสือข้อความว่า “八月十五夜杀鞑子” เดือนแปดสิบห้าค่ำฆ่าตาตาร์ (Tatars) ซุกซ่อนอยู่ในขนม ส่งให้กับขุมกำลังที่สำคัญ นัดหมายให้ลุกฮือก่อการขึ้นพร้อมกันในคืนวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 (เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ชาวบ้านต้องมีกิจกรรมตามประเพณีอยู่แล้ว) ทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นขับไล่ราชวงศ์มองโกล อย่างพร้อมเพรียงกัน กองทหารของจูหยวนจางรุกเข้ายึดสถานที่ต่างๆได้อย่างรวดเร็ว หลังก่อการสำเร็จ จูหยวนจาง สถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้น ตั้งตนเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์นามจักรพรรดิ์หมิงไท่จู่ ประกาศให้มีการเฉลิมฉลองชัยชนะ เปิดราชวังร่วมสุขกับประชาชนในคืนเทศกาลจงชิว ของทุกปี และเรียกขนมนี้ว่า "ขนมพระจันทร์" ตั้งแต่นั้นมาขนมพระจันทร์ จึงกลายเป็นขนมประจำเทศกาลจงชิว มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงมากมายหลายรูปแบบ หลายชนิด วันเทศกาลจงชิวจึงกลายเป็นวันเทศกาลขนมอีกเทศกาลหนึ่ง และเนื่องจากวันจงชิว เป็นวันเทศกาลเก็บเกี่ยว นอกจากการเก็บเกี่ยวข้าวในไร่ในนาแล้ว ผลหมากรากไม้ต่างๆก็สุกพอดีวันนี้จึงเป็นวันเทศกาลผลไม้อีกด้วย   เนื่องจากเดือนเพ็ญมีรูปทรงกลม คำว่ากลมนั้นหมายถึงความกลมเกลียว ดังนั้นสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ในวันนี้ไม่ว่าจะเป็นขนมหรือภาพประกอบ จึงนิยมทำเป็นรูปกลมๆเพื่อแสดงถึงความกลมเกลียว จากการสืบทอดมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน เทศกาลจงชิวกลายเป็นวันเทศกาลใหญ่ประจำปีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เป็นรองเพียงวันตรุษจีนเท่านั้น ทุกครอบครัวถือเอาวันนี้เป็นวันสำคัญของครอบครัว ต้องอยู่พร้อมหน้ากินข้าวมื้อกลมเกลียวร่วมกัน คนที่จากไปทำงานอยู่ไกลบ้านก็ต้องกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา จึงถือเป็นวันครอบครัวอีกวันหนึ่ง   http://hakkapeople.com/node/3177 แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 55 20:43:15 จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย (ต็กโกวคิ้วป้าย) เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 20:21:42

ความคิดเห็นที่ 41 บทเพลง หวังเพียงคนเราอายุมั่นยืนนาน จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย (ต็กโกวคิ้วป้าย) เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 20:53:52

ความคิดเห็นที่ 42 ผมไม่ค่อยชอบทานขนมไหว้พระจันทร์ ผมว่ามันไม่ค่อยอร่อยเลยครับสำหรับผม ขนมเปี๊ยะอร่อยกว่าอีก -*- จากคุณ : มดปลวกติดปีก เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 10:41:38

ความคิดเห็นที่ 43 เหลือแค่การชมจันทร์แล้วค่ะ ไม่ไหว้เพราะเสียศรัทธาในนพระจันทร์ไปแล้ว จากคุณ : JinHanNa เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 14:42:52

ความคิดเห็นที่ 44 ขนมไหว้พระจันทร์แพงงงงงงงงงงงง รสชาติก็งั้นๆ หวานมาก เลี่ยนนน จากคุณ : นานาอาละวาด เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 14:53:11

ความคิดเห็นที่ 45 ในสายตาก็คล้ายๆข้างบนเขียนมา คือ ข่าวมนุษย์เหยียบดวงจันทร์ กินเจเพื่อสุขภาพหรือศีลธรรม แต่ที่เห็นๆคือ สมัยๆนี้ คนไทย คนจีนเป็นลูกผสม รวมถึงวัฒนธรรมไม่ค่อยเข้มเหมือนสมัยอากง อาม่า เพื่อนที่มีเชื้อสายจีนบอกว่า คนจีนที่เกิดเมืองไทยก็ปรับตัวมากขึ้นค่ะ จากคุณ : แม่อ๊บ (obst) เขียนเมื่อ : 29 ก.ย. 55 20:09:18

ความคิดเห็นที่ 46 Anything Goes (Chinese Version) Music:Cole Porter Lyrics:Cole Porter Chinese version performed by:Willie Scott(Kate Capshaw) Yi wang si-i wa ye kan dao Xin li bian yao la jing bao jin tian zhi dao Anything goes Yi wang el lu chu cha ku chom yi how Chin su shu sha ley fong yen yi dao yi dao Anything goes Wang kwong sheh sheh yi den dao dao Pyen da way ba pyeh weh dao Mong weh zong zu da doh zu jah quay mee ko sha Goot zu was wet fay wah long deh lah Dong ma zeh hong za dao song yi ding way bao Anything goes (Sung faster) Dong ma zeh hong za dao song yi ding way bao Anything goes http://raven.theraider.net/showthread.php?t=11441&page=3 http://raven.theraider.net/archive/index.php/t-11441.html 魔宮傳奇〈Anything Goes〉歌詞？以文找文 krantas 在天空部落發表於00:34:42 偶然又想到這首歌，這首歌的中文改編內容一直是個謎，因為根本沒人聽得懂。 這次嘗試是根據外國人聽寫的歌詞、Kate Capshaw的錄音以及原曲歌詞的意義來試圖拼湊成的。我的基本假設是Kate Capshaw唱的是普通話，而不是上海話或廣東話，此外歌詞意義跟原曲是有點相通的，也就是當初是有人翻譯過，只是內容沒有留下來。但既然聽寫內容和Kate Capshaw的發音都不太準確，所以很多也都是純臆測。有人有更好的想法的話，可以提出來改進。也許等改到夠好的程度時，可以來做個終極對照版給老外們看吧。 Yi wang si wa yi kan dao xin li bian yoa la jing bao jin tian zhi dao 以往絲襪一看到心裡便要拉警報，今天知道 Anything goes. 什麼事都能發生 Yi wang yi-liu zuo jia cuo ci mei hao jin zhi shi xia liu fang yan yi tao yi tao 以往有作家熟悉美好金詩，時下牛糞眼裡倒一倒 Anything goes. 什麼事都能發生 Feng kuang shi jie shan e dian dao zhou bian wei ye bai bian wie zao 瘋狂世界現已顛倒，照片會一百遍偽造* dang meng zhong wang zi da dou zhi shi gui nu ke xiao 他們總忘記大多事情會很可笑 Gu ci wo sui fei hua lun tian lao dang wo jun hun zhi dao jun yi ding hui bao 可惜我雖非valentine喏*，但我今晚知道將一定回報 Anything goes. 什麼事都能發生 *打星號的都是最不確定的地方。第一句也許是「走遍為一百遍味道」？「照片會一邊變味道？」都很奇怪。第二句我假設歌詞會對應romancer，而這裡聽起來又有點像把valentino（義大利文的valentine，情人）寫成中文唱出來。 http://blog.yam.com/krantas/article/53611501 Anything Goes(Original) In olden days a glimpse of stocking Was looked on as something shocking, But now, God knows, Anything Goes. Good authors too who once knew better words, Now only use four letter words Writing prose, Anything Goes. The world has gone mad today And good's bad today, And black's white today, And day's night today, When most guys today That women prize today Are just silly gigolos And though I'm not a great romancer I know that I'm bound to answer,When you propose,Anything goes * Tap dancing break* I know that I'm bound to answer,When you propose,Anything goes http://raven.theraider.net/archive/index.php/t-11441.html จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 08:41:49

ความคิดเห็นที่ 47 ทำไมเราจำได้แค่ สมัยก่อนใช้ขนมโก๋เป็นหลักในวันไหว้พระจันทร์น่ะค่ะ น่าจะเพราะแถวบ้านเราไม่เคยเห็นขนมไหว้พระจันทร์แบสมัยนี้เลย ร้านขนมจันอับมีแต่ขนมเปี๊ยะปกติ ถั่วตัดปั้นเคลือบน้ำตาลรูปสัตว์ ถั่วตัดงาตัด ขนมใบไม้ ขนมลูกเต๋า อะไรพวกนี้ สมัยก่อนชอบเดินดูคนจีนตามตลาดเค้าตั้งโต๊ะไหว้พระจันทร์ ดูของสวยๆงามๆมีสร้อย มีกำไล เคร่องสำอางแบบคนจีน(สมัยก่อนน่ะมันไม่ค่อยมีพวกนี้หรอก แป้งผัดหน้าสาวๆก็แป้งซองๆยี่ห้อโกริน หรือแป้งน้ำยี่ห้อแฮบปี้) ดูโคมไฟ ดูยี่ซ้อ ซาเจ๊บ้านนั้นบ้านนี้ เค้าแต่งตัวสวยๆ เป็นความจำสมัยเด็กๆ ก็เกือบห้าสิบปีมาแล้วละ จากคุณ : ป้าหนูดา เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 15:38:07

ความคิดเห็นที่ 48 ผมชอบขนมไหว้พระจันทร์มากกว่ากินเจ. แต่ไม่มีเชื้อจีนนะครับ จากคุณ : น่ารักอย่างกะยักษ์วัดแจ้ง เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 20:24:57

ความคิดเห็นที่ 49 ขนมไหว้พระจันทร์อร่อยนะ แต่แพง T_T กินบ่อยไม่ไหว จากคุณ : คานเหล็กกล้าทาแล็กเกอร์ เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 55 21:42:36

ความคิดเห็นที่ 50 แต่ที่มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน เวียดนามจัดกันใหญ่โตมากมาย ที่สำคัญองค์กรส่งเสริมการท่องเที่ยวของบ้านเขาสนับสนุน เป็นไฮไลต์กันเลย แขวนโคมไฟกันอลังการมากมาย และเป็นช่วงวันหยุดยาวของคนจีนแผ่นดิน ใหญ่ด้วย (พวกเขานิยมไปเที่ยวต่างประเทศกันช่วงตรุษจีนกับช่วงไหว้พระจันทร์ ที่บางปีตรงกับวันชาติของเขาพอดี (หยุดยาว) คนจีนแผ่นดินใหญ่นิยมเที่ยว ต่างประเทศ ใช้เงินเติบมากกว่าก่อนด้วย ซึ่งถ้าภาครัฐเห็นอะไรบางอย่างตรงนี้ น่าจะสร้างโอกาสเพิ่มขึ้นอีกมากเลย) ประเด็นกระทู้ เราว่าธรรมเนียมนี้เริ่มเลือนลางหลังจากคนรุ่นเก่าจาก แผ่นดินใหญ่จากไป ไม่มีการตั้งโต๊ะไหว้เจ้ากันเหมือนแต่ก่อน คนก็เลย เห็นไม่สำคัญ และไหว้พระจันทร์ก็ใกล้กับกินเจพอดี  เทศกาลกินเจจะมีโรง ทานตามเขตต่างๆ เตรียมพิธี การท่องเที่ยวไทย(ภาครัฐ) รวมทั้งบริษัทห้างร้าน ผู้จัดจำหน่ายอาหารแบรนด์ต่างๆโปรโมทกันเต็มที่ ร้านค้าจะเริ่มปักธงเหลือง กันไปทั่วทำให้เกิดอิมแพ็คเทศกาลกินเจจกำลังะเริ่มแล้ว ส่วนไหว้พระจันทร์กลาย เป็นความเชื่อที่สืบกันในครอบครัว ยกเว้นร้านค้าขายขนมเปี๊ยะทุนหนาไม่กี่ เจ้าแล้ว ขาดการโปรโมท องค์กรท่องเที่ยวไทย (ไม่มีแผน) เหมือนอย่างก่อน เข้าตรุษจีน และกินเจ (คล้ายว่าธรรมเนียมได้ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย) ก็น่าเสียดาย แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 55 11:48:00 แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 55 11:47:12 แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 55 11:43:34 จากคุณ : silkroad เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 11:38:36