 |
ขอเพิ่มเติมส่วนของความเชื่อของอารยันอินเดีย จากที่คุณยองเจียงใหม่เสนอแนะ
ศาสนาพราหมณ์มีวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน นับตั้งแต่การเริ่ม ตั้งถิ่นฐานของชาวอารยันเริ่มตั้งถิ่นฐานในชมพูทวีป ต่อมาในสมัยหลังพุทธกาล ศาสนาพราหมณ์ได้วิวัฒนาการมาเป็นศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์ใหม่ ซึ่งมีหลักคาสอนที่ผิดแผกแตกต่างไปจากต้นกาเนิดเดิมของศาสนานี้ จึงนับว่าศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่มีอายุยาวนานที่สุดของโลกศาสนาหนึ่ง
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นศาสนาที่แตกต่างจากศาสนาอื่นในโลก เป็นศาสนาที่ไม่มีศาสดาผู้ก่อตั้ง เพราะมีจุดเริ่มต้นมาจากความเชื่อว่ามีเทพเจ้าผู้มีอานาจเหนือธรรมชาติ เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง
ต่อมาชาวอารยันผู้ทำหน้าที่ติดต่อกับเทพเจ้า ได้สอนหลักการเรื่องกาเนิดของสรรพสิ่งว่า เทพเจ้าหรือพระพรหม เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งในลักษณะต่างๆ
ต่อมาสรรพสิ่งที่พระพรหมสร้างก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเทพเจ้าองค์อื่นๆ ด้วย ทำให้มีเทพเจ้ามากมายและทำหน้าที่ต่างๆกันในที่สุด ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูจึงกลายมาเป็นศาสนาประเภทพหุเทวนิยมในปัจจุบัน
เนื่องจาก ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีวิวัฒนาการมาเป็นเวลาอันยาวนาน ทำให้แนวความคิดทางศาสนาแตกต่างกันออกไปมาก ดังนั้น การศึกษาประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู โดยแบ่งออกเป็นยุคต่างๆ ดังต่อไปนี้
2.1.1 ยุคอารยัน เดิมทีเดียวชมพูทวีปหรือดินแดนที่เป็นประเทศอินเดียในปัจจุบัน เป็นที่อยู่ของพวกชนพื้นเมืองเรียกว่า ฑราวิฑ (Dravidian) ซึ่งมีเผ่าย่อยอีกหลายเผ่า มีรูปร่างเล็ก ผิวดำ เช่น
เผ่ามองโกลอยด์ เผ่าเปรโตออสเตรลอยด์ และเผ่าเนกริตอย เป็นต้น1
ต่อมาชนชาติใหม่คือพวกอินโด-ยูโรเปียน (Indo-European) อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ตามลุ่มแม่น้ำสินธุ จึงเรียกชื่อชนชาติใหม่นี้ว่า พวกสินธุ สันนิษฐานว่าคงจะเป็นเพราะตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ลุ่มน้ำสินธุ แต่ชนชาติอื่นเรียกเพี้ยนไปเป็นอินดัส (Indus)บ้าง ฮินดู (Hindu) บ้างและกลายเป็นอินดิยาหรืออินเดีย (India) ในยุคหลังๆ2
เมื่ออพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้าสินธุ คงคาและยมุนาแล้ว ก็ปรากฏว่าเจริญกว่าคนพื้นเมือง
1 สมัคร บุราวาส, ปรัชญาพราหมณ์ในสมัยพุทธกาล (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์แพร่พิทยา, 2516), หน้า 3-4. 2สุวรรณา สัจจาวีรวรรณ และคณะ, อารยธรรมตะวันออกและตะวันตก (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2522), หน้า 63.
ชาวอารยันในชมพูทวีปยกย่องธรรมชาติขึ้นเป็นเทพ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ท้องฟ้า พายุ ฝน เป็นต้น โดยเชื่อว่าความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ขึ้นอยู่กับอำนาจของเทวะ ถ้าปรารถนาจะให้หรือไม่ให้เทพแสดงฤทธิ์เดช ก็ต้องอ้อนวอนให้เทพอานวยสิ่งที่ตนปรารถนา
จึงเกิดมีพิธีเซ่นสรวง สังเวยและอ้อนวอน และมีบุคคลผู้ทำพิธีดังกล่าว เรียกว่า พราหมณ์ นอกจากเทพเจ้าที่มีอยู่ในธรรมชาติแล้ว
ชาวอารยันยังเชื่อว่าบรรพบุรุษที่ตายไปแล้วก็มีอำนาจเช่นเดียวกับเทพเจ้าด้วย ในการที่จะให้คุณและโทษแก่ลูกหลาน จึงต้องสังเวยบวงสรวงเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ยังเชื่อว่า พ่อแม่ที่ไม่มีบุตรจะตกนรกชื่อ ปุตระ ถ้าไม่มีลูกชายทำพิธีเซ่นสรวงบูชาดวงวิญญาณของตน ดังนั้น ลูกชายจึงเป็นที่ปรารถนาของชาวชมพูทวีปมาจนทุกวันนี้
เมื่อชาวอารยันเข้ามาปกครองดินแดนชมพูทวีปแล้ว คนพื้นเมืองที่ไม่ยอมอพยพหนีไปเมื่อพ่ายแพ้สงครามก็จะยอมเป็นทาส เรียกว่า ทัสยุ ของชาวอารยัน
ส่วนชาวอารยันก็ถือตัวว่าเจริญกว่าคนพื้นเมือง จึงไม่อยากจะหนี การปะปนทางเชื้อชาติเกิดขึ้น จึงได้ห้ามไม่ให้มีการสมสู่กันระหว่างชาวอารยันกับชาวพื้นเมือง และสงวนอาชีพสาคัญๆและมีเกียรติไว้สาหรับชาวอารยัน
สำหรับชาวอารยันนั้นแบ่งออกเป็น 3 พวกตามตำแหน่งหน้าที่ซึ่งมีฐานะไม่เท่าเทียมกัน ส่วนชนพื้นเมืองเดิมนั้นมีฐานะต่ำที่สุด และประกอบอาชีพที่ชาวอารยันไม่ปรารถนาแล้ว ในที่สุดจึงกลายมาเป็นระบบวรรณะ (Caste system) ขึ้นมา3 ได้แก่
1) วรรณะพราหมณ์ ได้แก่ ชาวอารยันที่มีหน้าที่เล่าเรียนวิชาการเวทมนตร์ กระทำพิธีกรรมต่างๆ และสั่งสอนผู้อื่น 2) วรรณะกษัตริย์ ได้แก่ ชาวอารยันที่มีหน้าที่ปกครองและรักษาบ้านเมือง 3) วรรณะไวศยะ ได้แก่ ชาวอารยันที่มีอาชีพหน้าที่ในการทากสิกรรม การค้าขายและเสียภาษี ชาวอารยันกลุ่มนี้เป็นผู้ควบคุมระบบเศรษฐกิจของสังคม 4) วรรณะศูทร ได้แก่ พวกชนพื้นเมืองเดิมที่ถูกกดขี่ และถูกกีดกันในด้านอาชีพและสังคม ถูกเหยียดหยามว่าเป็นพวกทาสหรือทัสยุ เพราะไม่มีอาชีพที่จะทำ จึงจำเป็นต้องคอยรับใช้พวกอารยัน ได้รับค่าจ้างพอยังชีพเล็กๆน้อยๆ
2.1.2 ยุคพระเวท : ยุคสมัยแห่งคัมภีร์พระเวท
ชาวอารยันได้พัฒนาการนับถือเทพเจ้าให้มีระเบียบแบบแผนดียิ่งขึ้น มีพิธีกรรมต่างๆ มากมายและมีความวิจิตรพิสดารมากยิ่งขึ้น พราหมณ์ผู้ทำพิธีได้รับการยกย่องมากยิ่งขึ้นในฐานะเป็นผู้ที่สามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้
ยุคพระเวทเป็นยุคเริ่มต้นของวรรณคดีของ ชาวอารยัน เพราะมีการแต่งคัมภีร์ขึ้นโดยพวกพราหมณ์ ซึ่งเป็นการวบรวมบทสวดอ้อนวอนเทพเจ้าที่ใช้กันอยู่ในวงศ์ตระกูลขึ้นเป็นหมวดหมู่ เรียกว่า เวท หรือวิทยา หมายถึงความรู้ต่างๆ
3 เมธา เมธาวิทยกุล, ศาสนาเปรียบเทียบ (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์โอเดียน สโตร์, 2525), หน้า 174.
เป็นความรู้จากสวรรค์ที่พวกฤาษี ได้ยินได้ฟังมาจากพระพรหม ซึ่งวิธีการเช่นนี้เรียกว่า ศรุติ คัมภีร์พระเวทมี 3 หมวดจึงเรียกว่า ไตรเพทหรือ ไตรเวท ต่อมาในปลายสมัยพราหมณะ มีการแต่งเพิ่มอีกคัมภีร์หนึ่ง คือ อาถรรพเวท
ในสมัยพระเวทยังไม่มีตัวอักษร คัมภีร์ต่างๆจึงยังคงเป็นการนำสืบทอดกันมาจากการท่องจำปากเปล่าสืบๆมา เรียกว่า มุขปาฐะ คัมภีร์พระเวทถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ พระเจ้าประทานลงมา ห้ามคนนอกศาสนาเรียน พวกพราหมณ์ กษัตริย์ และไวศยะเท่านั้น ที่เรียนได้ พวกศูทรเรียนไม่ได้เลย พวกสตรีในวรรณะสูงทั้งสามก็เรียนไม่ได้
ในยุคพระเวทชาวอารยันนับถือเทพเจ้า 3 กลุ่ม คือ
1) เทพเจ้าบนพื้นโลก ได้แก่ พระปฤถวี พระอัคนี พระยม พระพฤหัสบดี เป็นต้น 2) เทพเจ้าในอากาศ ได้แก่ พระอินทร์ พระมารุต พระวายุ เป็นต้น 3) เทพเจ้าบนสวรรค์ ได้แก่ พระวรุณ พระอาทิตย์ เทพีอุษา เทพราตรี เป็นต้น4
เทพเจ้าเหล่านี้เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ไม่ขึ้นต่อกันและกัน เทพเจ้าที่ได้รับ การยกย่องมากที่สุด คือ พระอินทร์ เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม พระวรุณเป็นเทพเจ้าแห่งการเกษตร พระพฤหัสบดีเป็นเทพเจ้าแห่งวิชาความรู้
http://hselearning.kku.ac.th/UserFiles/chapter2.pdf
ความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ มีวิวัฒนาการ มาพอสมควร
1. ยุคแรก ตั้งแต่ก่อนมีพุทธศาสนา พวกพราหมณ์จะนับถือ เทพเจ้าหลากหลายพระองค์ เรียกว่า พหุเทวนิยม เช่น พระพฤหัสบดีแห่งความรู้ พระอินทร์แห่งการรบ พระอัคนีแห่งไฟ
2. กาลต่อมา เกิดวิวัฒนาการขึ้นใหม่ คือเริ่มมีการยกเทพองค์หนึ่งให้เหนือกว่าองค์อื่นตามสถานการณ์ เรียกว่า อติเทวนิยม เช่น เวลารบก็จะยกพระอินทร์ให้เหนือกว่าเทพอื่น เวลาสอบหรือเล่าเรียนก็จะยกพระพฤหัสบดีให้เหนื่อกว่าองค์อื่น
3. กาลเวลาต่อมา เริ่มยกพระพรหม ว่าเป็นผู้ให้กำเนิด หรือผู้สร้าง โลก และยกพระอินทร์ให้อยู่เหนือกว่าเทพอื่นเป็นประมุขของเทพเจ้าทั้งปวง เรียกว่า เอกเทวนิยม จึงมีการแต่งคัมภีร์ สามเวท ถวายน้ำโสมแด่พระอินทร์โดยเฉพาะ พระเวท ช่วงนี้มี 3 เล่ม เรียกว่า ไตรเวท (สมัยนี้ คำว่า พระอิศวร พระนารายณ์ ยังไม่มี) ช่วงนี้ ตรงกับสมัยพุทธกาล จึงมีคติ พระอินทร์ พระพรหม เข้ามา ในศาสนาอยู่บ้าง
แต่ให้ทราบไว้ว่า พระพรหม ในคติพุทธศาสนา ไม่ใช่ผู้สร้างแบบ ของพราหมณ์ แต่หมายถึงผู้ได้บำเพ็ญพรหมวิหาร หรือณาน สมาบัติ จนได้ไปอยู่ในพรหมโลก
จากคุณ : ไจโรสโคป
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y12649882/Y12649882.html
จากคุณ |
:
ต็กโกวคิ้วป้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
5 ต.ค. 55 16:53:28
|
|
|
|
 |