ความคิดเห็นที่ 1 ขอรับคนจบตรงเหมือนสมัยก่อนจะดีกว่าไหม คนเก่ง ๆ จะได้มาเป็นครู โทให้ขวนขวายเรียนเอา จากคุณ : อวัยวะชิ้นนั้น เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 18:42:10

ความคิดเห็นที่ 2 อันนี้จะแสดงความเห็นในภาพรวมนะครับ รู้สึกอนาจใจที่การศึกษาระดับป.ตรีถูกลดค่าลงถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ความรู้ที่สามารถเรียนได้ในเวลา 4-5 ปีตามหลักสูตรระดับนี้ที่น่าจะเพียงพอต่อการช่วยชาติทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย แต่เพราะอะไรไม่ทราบที่ทำให้มาตรฐานการศึกษาระดับอุดมศึกษาตกต่ำลง คนวางนโยบายความเข้มแข็งทางการศึกษา(ของแต่ละสถาบัน)ปัญญาอ่อน อาจารย์ง่อยเปลี้ย หรือนักศึกษาไม่เป็นสับปะรดทำตัวไม่เอาอ่าวหรือกระไรถึงทำให้คุณภาพป.ตรีโดยเฉลี่ยต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างทุกวันนี้ นับเป็นการสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง พอหาคำตอบตรงนี้ไม่ได้ก็เลยโบ้ยโยนภาระให้กับการเรียน ป.โท ว่าคือคำตอบ แต่จริงๆมันคือการผลักภาระให้คนที่สามารถทำงานนั้นๆ ได้อยู่แล้วแต่ต้องกลับไปเรียนเพื่อสนองนโยบายเชิดชูใบปริญญา + ส่งเสริมธุรกิจการศึกษาให้หาทางเอาเปรียบฉวยโอกาสกับบัญฑิตป.ตรี คุณภาพต่ำที่ต้องการอัพเกรดตัวเองทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าการเรียนป.โทโทคืออะไรด้วยซ้ำ (สังเกตง่ายๆ จากกระทู้ในห้องสมุดเราที่มักมีคำถามแนวๆ ว่า เรียนโทอะไรที่ไหนดี เรียนยากไหม จบได้ในเวลาเท่านั้นเท่านี้จริงหรือ หรือแม้แต่การมาถามในเรื่องที่ควรต้องไปค้นไปอ่านเองแต่กลับไม่ทำ เป็นต้น) การเรียนป.โทแบบไร้เป้าหมายและไม่จำเป็นสำหรับคนหลายๆ กลุ่มนี้ทำให้ต้องเสียทั้งเงิน ทั้งเวลา ทั้งสมองทั้งๆ ที่เวลาในการเรียนสามารถเอาไปใช้ทำงานเพิ่มพูนประสบการณ์ พัฒนาตัว พัฒนาชาติในด้านอื่นๆ ได้มากมาย แต่กลับต้องมาตกหลุมพรางค่านิยมเส็งเคร็งนี้ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจอย่างน่าเสียดาย มหาวิทยาลัยทั้งหลายเองก็เห็นลู่ทางการตลาดในสภาพการณ์เช่นนี้ พูดให้น่าเกลียดคือหาทางแดกเงิน เปิดหลักสูตรป.โท คุณภาพต่ำออกเยอะแยะไปหมด จนตอนนี้เริ่มลามไปถึงป.เอก แล้วด้วยซ้ำ เห็นแล้วก็ให้สังเวชใจ สรุปคือ แทนที่จะปรับปรุงหลักสูตรป.ตรีให้เข้มแข็งขึ้น เอาจริงเอาจังกับการผลิตบัณฑิตป.ตรีให้มากขึ้น กลับแนะแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด เอะอะอะไรก็ต้องเรียนโทๆ ทั้งๆ ที่ก็รู้กันอยุ่ว่าหลักสูตรป.โท หลายๆหลักสูตรแม้แต่ในมอรัฐมีชื่อก็ไม่ได้ต่างกับการเรียนหลักสูตรป.ตรีง่อยๆ เลย   บางทีผมก็อดคิดเว่อร์ๆ ไม่ได้ว่ามันเป็นการสมคบคิดของพวกนายทุนกับคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบการศึกษาของชาติหรือเปล่าที่ปล่อยระบบการศึกษามันไร้ทิศทางและการควบคุมแบบนี้ ยิ่งย่ำยิ่งแย่มากเท่าไรก็ยิ่งตอบสนองความเป็นทุนนิยมสามานต์มากเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 55 20:27:07 แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 55 20:07:19 จากคุณ : โจโฉ (joechou) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 20:02:41

ความคิดเห็นที่ 3 เอิ่ม ให้เรียน+ฝึกสอน 5 ปี ยังไม่พอหรือเนี่ย คิดอะไรกันเนีี่ย จากคุณ : Arabian Jasmine เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 20:22:34

ความคิดเห็นที่ 4 หลักสูตรวิบัติ ... จากคุณ : เขียนบนถาด (superearthernal) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 21:06:09

ความคิดเห็นที่ 5 จบ ป โตรี แล้วสอนเด็ก เด็กจะท้องเสียรึไงครับ จากคุณ : LUCKPOWERRICH เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 21:15:35

ความคิดเห็นที่ 6 วันนี้ท่านโจ ออกตัวแรงสสสสสสสสสสสสสส์จัง จากคุณ : ปากกัดตีนถีบ จีบไม่ลง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 21:37:03

ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อวานค่ะ ไปงาน EDUCA มา มีวิทยากรจากฟินแลนด์มาเล่าเรื่องการศึกษา และหลักสูตรครูของประเทศเขาด้วย พูดเป็นภาษาอังกฤษ จับความได้บ้างไม่ได้บ้าง เครื่องแปลภาษามีก็ไม่ยอมใส่ พอใส่แล้วฟังไม่รู้เรื่องยิ่งกว่าเดิมอะ สองภาษาตีกันนัวเนีย ฮ่าๆๆ แต่ที่เราจับใจความมาเรื่องหนึ่งคือ ครูฟินแลนด์ ต้องจบปอโทค่ะ แต่เรียน 5 ปี เท่าเราตอนนี้นี่แหละ ของเขาเป็น 3 + 2 มีทำวิทยานิพนธ์ทั้งปอตรี ปอโท มีลงสอนจริง การเรียนเป็นแบบเอกหลักเอกรอง ครูประจำชั้นต้องเรียนเอกหลักครู เอกรองวิชาที่สอน ครูมัธยม (แต่เข้าใจว่าไม่ประจำชั้นมั้ง) เรียนเอกวิชา เอกรองครู  เรียนห้าปีเท่ากัน แต่ได้วุฒิต่างกัน เขาเล่าอีกว่าอาชีพครูก็ไม่ได้เป็นอาชีพที่เงินเดือนเยอะที่สุดนะ แต่ก็เป้นอาชีพที่คนเลือกเป็นกัน เป็นอาชีพที่มีคุณค่าในตัวเองสูง และ10เปอร์เซ็นก็เป็นคนเก่งที่ตั้งใจเป็นครูตั้งแต่ต้นจริงๆด้วย  (คิดว่าจำประเทศไม่ผิดนะ ฮ่าๆๆ แต่ฟังผิดหรือเปล่าไม่รู้) เราไม่รู้ว่าข่าวกับเรื่องนี้เกี่ยวกันไหมนะ แค่เล่าสู่กันฟังเฉยๆ จบข่าว จากคุณ : PaBo เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 21:37:17

ความคิดเห็นที่ 8 นักการศึกษาไทย เพี้ยนขึ้นทุกวัน คิดแต่ละเรื่อง ยิ่งทำระบบการศึกษาไทยยิ่งล้มเหลว รากเหง้าของปัญหา คือ ใบประกอบวิชาชีพครูเป็นเครื่องมือกีดกันคนมีความรู้ไม่ให้มาเป็นครู สงวนอาชีพครูไว้ให้บัณทิตครูคุณภาพต่ำ จากคุณ : คนไทย เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 22:16:09 A:58.9.172.48 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 9 จริงค่ะ เอาแค่ป.ตรีก็พอแล้ว รับคนให้ตรงสายเหอะนะ เมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน กลับบ้าน เพื่อนแม่มาหาแม่ เมาท์กัน เรื่องคุณครูรุ่นน้อง จบโท แต่ทำงานไม่เป็นซักอย่างเลย ภาษาอังกฤษ ยังอ่านไม่ออก แม้แต่เขียนรายงานธรรมดา เธอยังทำไม่เป็น แต่ก็เล่าสู่กันฟังเฉยๆ ไม่ได้เมาท์แตกอะไร แบบทำนองบ่นๆอ่ะค่ะ ทีนี้อีกสองสามวัน คุณครูรุ่นน้องท่านนั้นมาที่บ้านเรา (แต่ก็แก่กว่าเรานะคะ) มาหาแม่เอางานมาให้ทำ ทีนี้พอเค้ารู้ว่าเรากำลังเรียนโท เธอใส่ใหญ่เลย ประมาณว่าโม้ ง่ายมากก เรียนปีเดียวก็จบ แสนจะง่าย แล้วพอดี เลยแม่ให้เธอหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต จริงอย่างเค้าว่า ภาษาอังกฤษ ยังอ่านไม่ได้ คำง่ายๆนะคะ เราไม่ได้ดูถูกหรืออะไร แต่ถ้ากำหนด ว่าจบป.โท ควรจะให้ป.โทมีมาตรฐานดีกว่านี้ก่อนดีไหมคะ แบบคุณครูคนนั้น ทำหน้าแปลกใจมาก เมื่อเราบอกว่า เราทำรายงานเป็นภาษาอังกฤษ และทำthesis คนเดียว เธอบอกว่า เรียนไปทำไมยากจัง ของเธอ ทำงานเป็นกลุ่ม ก็จบไม่เห็นต้องมาแปลงาน แบบเราเลย ....... เราเลยไม่รู้จะพูดยังไง ป.โท เดี๋ยวนี้จบกันเกลื่อน ทำรายงานเป็นกลุ่มก็มี ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เดี๋ยวก็กำหนดเป็น ป.เอกเลยไหมหล่ะ กระทรวง ทำอะไรไม่เข้าท่า จากคุณ : หมูหวานน้ำกะทิ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 22:44:20

ความคิดเห็นที่ 10 ความจริงที่ยังไม่รู้ ถ้าจบ ป.ตรี ได้เงินเดือนเท่าไร แต่ถ้าเรียนเพิ่มอีกปี ได้วุฒิเกือบเท่า ป.โท ได้เงินเดือนเท่าไร แล้วถ้าจบ ป.โท เลยจะได้เงินเดือนเท่าไร ระบบโดยรวมมันแปลกๆ เลยทำให้ยิ่งแปลกไป เพื่อจะช่วยครูในเรื่องการเงิน จากคุณ : นายวุ้นกะทิ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 22:49:52

ความคิดเห็นที่ 11 ยอมรับเรื่องภาษาอังกฤษ สมัยนี้คนจะเรียน ป.โท ไม่ต้องเก่งภาษาอังกฤษก็ได้ รับกันเข้าไปก่อน ขอให้มีเงินจ่าย แล้วค่อยๆ ให้ไปทดสอบภาษา ช่วงเรียนจะวิบัติอย่างไรก็ช่างมันไปก่อน ทดสอบไม่ผ่านก็ไปเรียนแบบพอให้ไปทดสอบใหม่ผ่านตามเกณฑ์ จากนั้นก็จะได้จบ ป.โท ส่วนระหว่างทาง ถ้าไม่ไหว อ่านบทความ งานวิจัยไม่ได้ ค้นคว้าข้อมูลจากตำราภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็เอากูเกิ้ล เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าว่า เห็นภาษาอังกฤษแล้วอยากจะวิ่งหนี บอกตรงๆว่าเพลียจริงอะไรจริง ระบบการรับนิสิตนักศึกษาแบบนี้เข้าไปเรียน มันเยอะมาก มาถึงในสถาบันชื่อดัง ที่เป็นสถาบันปิดทั้งหลาย แทนที่จะให้ผู้เรียนพร้อมทุกอย่างก่อน แต่ก็อย่างว่า ถ้าไม่มีคนเข้ามาเรียน หลักสูตรที่เปิดมาจะเอารายได้มาจากไหน เป็นงูกินหางกันต่อไป จากคุณ : นายวุ้นกะทิ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 22:53:48

ความคิดเห็นที่ 12 #ความคิดเห็นที่ 8 เห็นด้วยครับ มันวิบัติจริงๆครับ เห็นด้วยเรื่องความวิบัติ ยิ่งเรียนเยอะเรียนกันมากยิ่งมองอะไรไม่ออก พาลจะห่างไกลสังคมในชีวิตจริงเข้าไปเรื่อย เป็นเสียแบบนี้จะมาสอนให้เด็กเข้าใจได้อย่างไรกัน เด็กเกิดมาก็อยู่แต่กับกลุ่มเด็ก และเพื่อนๆ โรงเรียน ครู ห้าง ที่กินข้าว รู้จักอยู่แค่นั้น ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมในทางใหนที่ส่อว่าจะหนุนให้พึ่งพาตัวเองได้เลย... คนเรียนปริญญาตรีสมัยนี้จนอายุ 20 ก็ยังรู้อยู่แค่นั้นครับ โลกไม่กว้างพอที่จะคิดทำอะไรด้วยตัวเองได้เลย ในขณะที่คนอายุ 20 สมัยก่อนใจเย็นพอที่จะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้สบายๆ ถ้าจะแก้ที่ครู...เอาแบบนี้ไหม... จบครูมาแล้วจะสอนด้านไหน อาชีพอะไร ถ้าสอบได้อันดับขั้นไม่ถึง ให้ไปทำงานอาชีพที่ต้องประยุกต์ใช้ความรู้นั้นๆจริงๆ 2 ปีเต็ม จึงค่อยไปสมัครสอบเอาใบประกอบวิชาชีพครู แต่เพื่อป้องกันการเสียโอกาสสำหรับพวกหัวกะทิ ก็เว้นที่ใว้เฉพาะพวกที่สอบผ่านบทโหดๆทั้งหมด ทำงานแค่ 1 ปีก็พอแต่เอาแค่ 10 % ของจำนวนครูนะครับไม่ใช่ผ่านเกินครึง และต้องแก้ที่เด็กเช่นกัน... ช่วงมอสามก่อนขึ้นมอหก ควรมีการผ่อนระยะ ให้ไปทำงานได้ เป็นเวลา 1 ปี วันละ 4 ชั่วโมง และต้องรายงานผลกลับไปที่โรงเรียนด้วยทุกสัปดาห์ เรียกว่าทำงานกันตั้งแต่ยังวัยรุ่นเลย เรื่องความรับผิดชอบและเรื่องการรักษาคำพูด ที่ทำงานซึ่งมีคนหลากหลายวัยจะสอนเด็กได้เองครับ ทำให้ใจเย็นขึ้น รู้จักสังคมมากขึ้น แล้วอนาคตจะดีเอง การขึ้นม. 4 ต้องสอบเพื่อเลือกทักษะสายอาชีพและสายวิชาการให้เหมาะกับความถนัด อีกครัง การเรียนปริญญาต้องมีแกบทำงานอีก 1 ปีเป็นอย่างต่ำ..ถึงตอนนี้เด็กจะพัฒนาตัวเองได้ดีมากๆครับ ไม่ต้องทำงานเยอะเหมือนผู้ใหญ่หรอกครับ เอาแค่วันละ 6 ชัวโมงก็พอ แต่ต้องจริงจังวัดผลงานได้ เพราะหลังฝึกงานผ่านไป เขาจะเลือกสิ่งที่ตัวเองรักชอบและถนัดได้ รวมถึงหาเงินเลี้ยงชีวิตได้ มาพิจารณาคณะที่จะเรียน ไม่ใช่แค่เพ้อฝันเข้าไปเพราะใจรักหรือเพื่อนเชียร์ แถมพ่อแม่หนุน แต่ทักษะก็ไม่ให้ พื้นฐานความรู้ก็ไม่ถึงอย่างทุกวันนี้ เพราะกรณีเพ้อฝันทำลายเด็กมากกว่าจะเสริมนะครับ (จึงต้องให้ทำงานจริงเพื่อดึงทักษะในชีวิตจริงออกมาไงครับ) *เว้นแต่พวกสอบผ่านด้วยความเป็นหัวกะทิจริงๆ ซึ่งเอาแค่ 1% ของทั้งประเทศให้แยกออกไปเป็นสายวิชาการต่างหาก ให้ผ่านไปได้เลยไม่ต้องมีแกบสายอาชีพคั่นกลาง 1 ปี ส่วนนี้ประเทศสามารถเลือกพวกครีมๆไปพัฒนาเอาได้ในสายบริสุทธ์ของแต่ละสาขาวิชา แต่ขอร้องอย่าเอามาเป็นอาจารย์ เอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นเถอะ เพราะพวกนี้เรียนลึกมากไปควรได้ร่วมประยุกต์ใช้ความรู้พัฒนาประเทศอย่างจริงจัง ขืนเอามาสอนนักเรียนส่วนใหญ่ก็ตามไม่ทัน จะเสียของเปล่าๆครับ ..พรรคไหนใครเอาแนวคิดนี้ไปใช้ผมเลือกเลยเอ้า... เพราะต่อให้มีคนปริญญาตรีกันหมดครบ 99 ในประเทศ ก็ยังต้องมีคนกวาดถนน คนล้างจานอยู่ดี คนเก็บขยะอยู่ดี การศึกษามันไม่ช่วยทุกด้านหรอก ถ้าประเทศนี้ต้องเรียนเยอะๆเพื่อให้คนมากวาดถนน มารับจ้าง มาเป็นพนักงานต้อนรับ มาเฝ้าบู๊ทขายของ จะซื้อบ้านสักหลังก็ผ่อนกัน 30 ปี รถ 1 คันก็ 6 ปี แค่เวลาที่เรียนก็กินไปหนึ่งในสามของชีวิตยังหวังไม่ได้แม้แต่จะหาอาหารเลี้ยงตัวเองรอด พอทำงานกินวลาไปอีกถึงครึ่งชีวิตก็ยังมั่นใจไม่ได้แม้แต่จะมีบ้านซุกหัวนอน แบบนี้ก็ไม่ต้องเรียนปริญญามันหรอกครับ มันเกร่อไป สู้จบมอหก เงินเดือนต่ำกว่านิดเดียว แต่ออกทำงานได้ก่อน...มีโอกาสเห็นช่องทางฌอกาสได้เร็วกว่า เห็นโลกเห็นสังคมเยอะกว่า ในขณะที่กำลังกายใจยังสดกว่า ผมมั่นใจว่าพัฒนาตัวเองและช่วยชาติได้เร็วและดีกว่ากว่าพวกที่ทนทู่ซี้เรียนจนจบปริญญาตรีส่วนใหญ่เสียอีกครับ   ในชีวิตคน ความรู้มันทำงานไม่ได้เสมอไป มันได้แค่ไม่ถึงครึ่ง แต่ความขยันทำงานและความเข้าใจสังคม รวมถึงความกล้าได้กล้าเสีย ความที่รู้สถานการณ์ ช่วยทดแทนได้ครึ่งหนึ่ง (ซึ่งส่วนนี้โรงเรียนไม่สอน มันต้องออกมาผจญชีวิตเอาเอง) ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของโอกาสและจังหวะ... ประเทศพัฒนาไปได้ก็ตรงจุดนี้หละครับ สาเหตุที่ประเทศนี้มีนักพัฒนาสิ่งต่างๆน้อย มีนักก๊อปปี้เยอะก็เพราะตรงนี้หละครับ คนที่มันสมองยังสดๆ และอยุ่ในจังหวะแสวงหาโอกาสมันไม่ค่อยปรากฏ คือความจริงนั้นมีเยอะ แต่โดนระบบการศึกษามอมเมาให้สมองเริ่มหลงเพ้อฝัน ห่างไกลชีวิตจริงไปเสียแล้ว จบออกมาจึงจูนกับสังคมนอกสถานศึกษาไม่ติด..ได้นักเลงและนักลอกและนักทำตามอย่างว่าง่ายมาแทนที่นักพัฒนาไปเสียนี่... เพราะความคลั่งไคล้การศึกษาฉ้อเบียดบังเวลาในการเติบโตเป็นส่วนหนึ่งของสังคมให้สูญจากชีวิตพวกเขาไปแล้ว... เชื่อผมเถอะ  ปล่อยให้เด็กวัยรุ่นอยู่ในสังคมอย่างผู้ใหญ่บ้าง ให้ทำงานในบริบทของผู้ใหญ่เองบ้าง โดนโกงเงินสามสี่ร้อยตอนที่ยังเด็ก ก็คุ้มค่านัก ยังดีกว่าเอาค่านิยมทางการศึกษามายัดเขาใว้ในกรอโดยอ้างว่าปกป้องสิทธิเด็ก ทำให้ห่างจากสังคมจริงๆไปตั้งหนึ่งในสามของชีวิต ..แล้วปล่อยให้เขาโดนโกงทีละ สิบล้านร้อยล้านตอนโตมาทำงาน..เพราะถึงตอนนั้น เราแทบจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรับรู้อย่างเดียว...!!! แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 55 23:29:42 จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 23:17:58

ความคิดเห็นที่ 13 เอาจริงๆ นะ เพิ่มเงินเดือนครูดีกว่ามั้ย? จะเพิ่มวุฒิให้เข้ายากทำไม แค่นี้คนก็ไม่ค่อยอยากเป็นกันแล้ว ผมหมายถึงครูในระบบการศึกษาตอนนี้ จากคุณ : nopnon เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 23:27:42

ความคิดเห็นที่ 14 ประเด็นคือ คนเรียนปริญญาโท ไม่ใช่เพื่อหาความรู้เพิ่ม ไม่ใช่เพื่อพัฒนาตนเองให้เชี่ยวชาญ รู้ลึกรู้กว้างไปสายเฉพาะทาง แต่เรียนให้จบๆไปเพียงเพื่อเรียกเงินเดือนขึ้นเฉยๆนอกจากจะเบียดบังเวลาทำงานผลักภาระไปให้คนอืนแล้ว การงานก็ใช่ว่าจะดีขึ้น...วุฒิปริญญาโทมันจึงใช้คัดกรองประสิทธิภาพของคนไม่ได้... ถ้าคนบริหารเข้าใจ นี่เป็นความจริงที่ละเลยไม่ได้ มันมีผลต่อประเทศนี้เป็นอย่างมาก แต่ถ้าได้นักบริหารการศึกษาห่วย.. ก็ผลาญเงินเรียนกันต่อไปเหอะ...อย่างที่บอกนั่นหละ ใช้เวลาเรียนไปหนึ่งในสามของชีวิต ยังหาเลี้ยงตัวเองไม่เป็นกันเลย การใช่ชีวิตมันไม่สมดุลย์อย่างหนัก ส่วนตัวผมมีวิธีสอนลูกหลานในแนวทางที่ต่างออกไป...ลูกหลานคนอื่นก็ตัวใครตัวมันละกัน  555 จากคุณ : BlueDelphi เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 23:42:53

ความคิดเห็นที่ 15 ครูในโรงเรียนเดี๋ยวนี้ก็เรียนปริญญาโทกันเยอะขึ้น เรียนเยอะ ก็รู้อะไรเยอะขึ้น เป็นเรื่องดี ส่วนคุณภาพของปริญญาก็แล้วแต่ขีดความสามารถและข้อจำกัดของแต่ละคน แต่บังคับเลยก็ไม่เห็นด้วย น่าจะตามความสนใจ ปริญญาตรีห้าปีก็มีความรู้มากพอแล้ว ส่วนภาษาอังกฤษของปริญญาโท นิสิตนักศึกษาบางคนกว่าจะจบป.ตรีมาได้ก็ไม่ง่าย ทิ้งช่วงไปนานอีกต่างหาก ก็น่าเห็นใจนะ อยากจะก้าวหน้าแต่ภาษาก็ไม่ได้จริงๆ นี้นา จากคุณ : tadaima เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 01:20:43

ความคิดเห็นที่ 16 ก็โยบายมันโง่นี่นา เริ่มโง่ตั้งแต่ออกกฎระเบียบใบอนุญาตครูมากีดกันคนเก่งๆไม่ให้เข้ามาเป็นครูอย่างที่ คุณคนไทยพูดใน คคห 8 วิธีสรรหาครูดีๆง่ายมากๆ ก็แค่เอาคนที่เรียนเอกวิชาไหนหรือเก่งวิชาไหนมากๆ (อาจเก่งเองโดยไม่ได้เรียนเอกนั้น เช่น อ. สงวน วงสุชาติ เรียนรัฐศาสตร์ แต่ดันเก่งอังกฤษระดับเทพๆๆๆ) มาฝึกสอนวิชานั้นๆ แล้วก่อนเป็นครูให้ทดสอบวิชาที่จะสอน เช่นจะสอนภาษาอังกฤษก็ให้ไปสอบ Certificate of Proficiency in English (CPE) ของ University of Cambridge ดูว่าผ่านหรือไม่ผ่าน ไม่ใช่ให้ไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูที่สุดแสนจะงี่เง่า ไร้สาระ! ข้อสอบ (CPE) นี้สร้างขึ้นโดยคณาจารย์ของ University of Cambridge ผู้เชี่ยวชาญด้าน teaching English to speakers of other languages เวลาสอบใช้เคลฺ็ดลับทำข้อสอบแบบพวก TOEFL, IELTS หรือ TOEIC ไม่ได้ด้วย เคยดูทีวีต่างประเทศ ครูสอนภาษาอังกฤษระดับมัธยมในประเทศเพื่อนบ้านเราที่ไม่ใช้เจ้าของภาษาอังกฤษเก่งอังกฤษมากพอสอบผ่าน CPE ได้ทุกคน แต่ให้ครูไทยมีใบอนุญาตครูที่สอนภาษาอังกฤษระดับมัธยมไปสอบ CPE กันทั่วประเทศท้าพิสูจน์ได้เลยว่า "สอบตกกันเกิน 80% หรือมากกว่านั้น" อย่าว่าแต่สอบ CPE ยากๆ (ที่ประเทศอดีตเมืองขึ้นอังกฤษและประเทศในยุโรปรับรองมาตรฐาน) กับเลย แค่ให้สอบ TOEFL นี่ยังไม่รู้ว่าครูไทยที่สอนภาษาอังกฤษซึ่งมีใบอนุญาตทั่วประเทศไทยจะสอบผ่านกันสักกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังดันทุรังเห่อเรียนเรื่องไร้สาระ 5-6 ปีเพื่อออกไปเป็นครูที่ไม่ได้เรียนวิชาที่จะสอนมา การสอนจริงในชีวิตจริงให้ได้ผล มันเกิดจากการค้นคว้าทดลองในชีวิตจริงอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่มาจากการเรียนศึกษาศาสตร์หรือหลักสูตรครูที่ว่างเปล่ามีแต่ทฤษฎี ตอนเราเรียนโรงเรียนมัธยมในประเทศอังกฤษเราไม่เคยเห็นครูฝรั่งคนไหนกางหนังสือเรียนสอน ทุกอย่างที่ครูพูดออกมาเหรือเขียนบน blackboard หรือ whiteboard ออกมาจากสมองครูล้วนๆ ที่เกิดจากความเชี่ยวชาญสะสมกันอย่างแท้จริง กว่าเราจะรู้วิธีสอนภาษาอ้งกฤษแบบรู้ทางหนีทีไล่เราไปหาสื่อการสอนจากต่างประเทศมาหัดใช้งานมัน อ่าน teacher's manuals จากตำราต่างประเทศหลายๆค่ายมันอย่างหนักๆ คิดสร้างสื่อการสอนเองอยู่ตั้งหลายปี จึงกล้ายืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าใครจะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ดีได้ไม่จำเป็นต้องเรียนศึกษาศาสตร์หรือเรียนอะไรไร้สาระเพื่อไปสอบ 9 มาตรฐานเพื่อเอาใบอนุญาตครูไปสนองตัณหานโยบายกีดกันครูเก่งๆ แม้กระทั่งครูสอนวิชาอื่นก็ค้นคว้าแบบที่เราค้นคว้าได้ ยกตัวอย่างเช่นครูสอนฟิสิกส์ถ้าเก่งภาษาอังกฤษมากๆไปหาสื่อการสอนต่างประเทศมาศึกษาหัดใช้งานมัน อ่าน teacher's manuals เยอะๆ และอ่านตำราที่นักฟิสิกส์ระดับโลกเขียน หัดค้นคว้าจาก websites ต่างประเทศเยอะๆ คิดพลิกแพลงสร้างสื่อการสอนเอง สร้างเครื่องมือเอง ทำไปเรื่อยๆมันก็สอนเก่งขึ้นเรื่อยๆ เราถึงกล้าพูดได้ว่าใครสอนวิชาอะไรเก่งๆก็เปิดสอนพิเศษซะ รับรองว่าได้เงินบานเบอะ ไม่ต้องไปเอามันหรอกใบอนุญาตครู แต่ถ้ารู้ตัวว่าสอนไม่เก่งถึงค่อยไปเอาใบอนุญาตครูเพราะจะได้มีกฎระเบียบคุ้มกันตนเองไม่ให้โดนคนเก่งๆแย่งงานยังไงล่ะ แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 55 09:20:09 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 09:15:30

ความคิดเห็นที่ 17 เขียนๆไปแล้วจำสมัยเรียนมัธยมในประเทศอังกฤษได้ นั่นก็คือเด็กนักเรียนฝรั่งไม่ได้แบกหนังสือเรียนจนตัวโก่งแบบเด็กนักเรียนไทยด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า "เดินตัวเปล่าไปโรงเรียนครูฝรั่งก็สอนให้ได้โดยไม่มีตำราเรียน โดยครูก็เดินตัวเปล่ามาโรงเรียนด้วย!" เราจำได้ตอนเรียนคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ และภาษาอังกฤษ ในโรงเรียนในประเทศอังกฤษครูฝรั่งแต่ละคนที่เดินเข้าห้องเรียนมาสอนวิชาพวกนี้ ไม่ใช้ตำราเรียนเลย และนักเรียนก็ไม่มีตำราเรียนอีกด้วย แต่เนื้อหาที่ครูถ่ายทอดออกมาจากการพูดออกมา เขียนบน blackboard หรือ whiteboard หรือติดตั้งเครื่องมือเพื่อทำการทดลองทางวิทยาศสตร์ หรืออะไรต่อมิอะไรหลายๆขั้นตอน มันเป็นเนื้อหาที่แน่นและละเอียดสุดๆและมีการกระตุ้นให้นักเรียนหัดคิดเองตั้งมากมาย อีกทั้งสื่อการสอนอันหลากหลายครูก็สร้างเอง เช่นไปหา videos มาให้เด็กดู หรือหาบทความอะไรมาให้เด็กอ่าน หรือครูเขียนบทเรียนขึ้นมาเอง โดยที่นักเรียนไม่ต้องแบกตำราเรียนเป็นกองพะเนินเทินทึกมาแบบระบบการศึกษาของไทย ^ สอนจากความรู้แน่นๆจากสมองตัวเอง ทำได้ไง ทั้งๆที่ครูฝรั่งพวกนี้ก็ไม่ได้จบศึกษาศาสตร์มา...!!!?? ^ ตอบ ก็เพราะครูฝรั่งพวกนี้พัฒนาความเชี่ยวชาญของตนเอง คิดพลิกแพลงวิธีสอนจากการลงมือศึกษาค้นคว้าทดลองและนำไปปฏิบัติจริง ไม่ใช่เรียนแต่ทฤษฎีศึกษาศาสตร์ที่ว่างเปล่า จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 09:35:37

ความคิดเห็นที่ 18 วุฒิการศึกษา ไม่ใช่ตัวการันตีว่า ประเทศชาติจะได้ครูที่ดีหรือมีความสามารถ จากคุณ : ปูน้อยลอยลม เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 11:42:38

ความคิดเห็นที่ 19 เพราะคิดได้แค่นี้ ระบบการศึกษาไทยถึงได้ไม่เจริญสักที ความคิดแบบนี้ มันสื่อทัศนคติผู้ใหญ่ได้หลายๆ อย่าง ความคิดนี้ มันสื่อถึงว่าบรรดาผู้ใหญ่ทั้งหลาย ให้ค่าปริญญาตรีด้อยไปมากๆ ถึงได้มีความคิดว่า ต้องเรียนมากกว่าตรี ถึงจะพอ ทั้งที่ความเป็นจริง แค่จบตรีก็สอนได้เหมือนกัน สมัยก่อน ครูจบวิทยาลัยครู ไม่ได้มีใบปริญญาด้วยซ้ำ (พึ่งมาเรียนหลักสูตรปริญญาเพิ่มช่วงหลัง) แต่สอนได้ดีมากๆ ก็มี ปัญหาของระบบการศึกษา มันมีหลายอย่าง และในหลายๆ อย่างนั้น มันเป็นความพิการอันเกิดจากความคิดประหลาดๆ ของบรรดาท่านผู้ใหญ่ในกระทรวงเองด้วยซ้ำ ก่อนจะแก้ปัญหาที่ตัวครู ผมว่าควรจะแก้ปัญหาที่บรรดาท่านๆ ทั้งหลายก่อนจะดีกว่า เพื่อที่ว่าจะได้วางแนวทางที่ถูกต้องชัดเจน ไม่ใช่เปลี่ยนแผนมั่วไปมา แก้ปัญหาผิดแล้วโทษปี่โทษกลองอยู่แบบนี้ เพื่อที่ว่า ฉายากระทรวงศึกษาพิการที่เขาเรียกกัน จะไม่กลายสภาพเป็นชื่อกระทรวงจริงๆ ไป จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 12:19:55

ความคิดเห็นที่ 20 งานน้อย คนที่เรียนมากกว่า  มีโอกาสได้งานทำมากกว่า เดี๋ยวนี้ จบ ป.ตรี มา ยังต้องไปเป็น รปภ.ตามศูนย์การค้า จบ นิติ รูปร่างหน้าตา โหด ๆ หน่อย ก็ไป เอาข้อกฎหมายไปข่มขู่   รับจ้างทวงหนี้ จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 13:34:37

ความคิดเห็นที่ 21 ทุกวันนี้ครูส่วนใหญ่ก็จบโทนะคะโดยเฉพาะผู้บริหารนี่ต้องโทเลยคะส่วนสายผู้สนกผแล้วแต่แรงใครแรงมัน..เรื่องของสถาบันไม่ขอกล่าวถึงเราะมีให้เลือกหลากหลายมาใ้เลือกถึงบันไดโรงเรียนเลยคะ..ผ่อนได้ด้วย.  จะเอาแบบไหนทำเรื่องกู้สหกรณ์ให้เรียนด้วยจ้า..จ่ายครบจบแน่เรื่องความรู้เราไม่ว่ากันเพราะโดยมากเรียนปีเดียวดูงานต่างประเทศก็จบ.เพราะฉะนั้นเรื่องคุณภาพเราม่ายยยรู้(เพราะไม่ได้เรียน) โดยมากที่เปิดให้เรียนคือ บริหารการศึกษา. ถามว่าเรียนไปทำไม ตอบได้โดยไม่ต้องคิดว่า เรียนเพื่ิอขอใบประกอบวชาชีพสายผู้บริหาร. เพิื่อเตรียมสอบ ผอหรือสอบรอง คะ โรงเรียนเราครู14คนจบบริหาร. 6คนอีก2คนกำลังเรียนอิๆๆ ทุกวันนี้ทุกคนซ้อมบริหารกันน่าดูเพราะยังสอบผู้บอ กันไม่ติด555 เลยแย่งกันบริหารสนุกดีคะ ส่วนเราไม่เอาด้วย..เทอมหน้าจะเรียนตรีศิลปะอีกสักใบเพราะที่โรงเรียนขาดครูศิลปะคะ จากคุณ : สมครือ เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 14:26:23

ความคิดเห็นที่ 22 การศึกษาไม่ใช่แข่งขันกรีฑานะครับ ถึงจะได้ทำลายสถิติกันไปเรื่อย ๆ จากเมื่อก่อนจบแค่ ม.8 ก็มีความรู้พอทำงานเป็นหัวหน้างานได้ ต่อมาต้องจบ ป.ตรี เดี๋ยวนี้ ป.ตรีทำท่าจะไม่พอแล้ว ต้อง ป.โท ขึ้นไป ถ้ายังไม่หยุดบ้า อีกหน่อยจบ ดร. อาจต้องไปเป็นเซลแมนหรือช่างเครื่องก็ได้ ระดับ ป.ตรี ก็ควรจะต้องมีควมรู้ในระดับที่สามารถเป็นครูได้แล้วครับ ส่วนคนที่จะต่อ ป.โท ควรเป็นคนที่ตั้งจะไปทางสายวิชาการจริง ๆ เช่นเป็นนักวิจัย นักวิชาการด้านการศึกษา ฯลฯ มากกว่า จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 17:57:51

ความคิดเห็นที่ 23 สั้นๆเลยครับ  "วิบัติ" จากคุณ : evethaitay เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 17:59:00

ความคิดเห็นที่ 24 เอ่อ...ขอชี้แจง ครูจบโท เงินเดือนไม่ขึ้นนะครับ เงินเดือนเท่าเดิมครับ... เพียงแต่ร่นระยะเวลาทำผลงานเท่านั้นครับ จากคุณ : amnakim เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 21:15:46

ความคิดเห็นที่ 25 ผมว่าแทนที่จะมาสนใจว่าครูจบปอไร มาสนใจไอ้คุณภาพสถาบันที่ผลิตครูดีกว่าไหมคับ เพราะเท่าที่เห็นอาจารย์ที่จบมาที่ไม่มีคุณภาพเพราะสถาบันไม่มีคุณภาพมากกว่า คนที่เรียนสูงยิ่งสอนไม่รู้เรื่องเพราะความรู้เยอะเกิน ถ่ายทอดมาที คนที่ไม่เคยเรียนงงเป็นไก่ตาแตกเลยทีเดียว จากคุณ : Mimundo เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 02:31:59

ความคิดเห็นที่ 26 ปวดหัวเลย ไม่ขอออกความเห็น เดี๋ยวเผลอใส่อารมณ์ ช่วงนี้เดี๊ยนใจร้อนนน จากคุณ : s.flo เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 04:11:37

ความคิดเห็นที่ 27 ต่อไปภายหน้า จะเป็นครูได้ ต้องจบ ป โท เท่านั้น นึกถึงนิทานมดน้อย http://h2olive.exteen.com/20110320/illust30?n=y http://blackdog0011.ไม่อนุญาตให้โฆษณา/journal/item/15/15 นึกถึงอันนี้ด้วย โอกาสทางการศึกษาเปิดกว้างจริงๆ ^^ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2012/02/K11711879/K11711879.html#18 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 14:03:45

ความคิดเห็นที่ 28 สงสัยอย่างนึงครับ หลักสูตรที่มันเกร่อๆ(โดยลดคุณภาพ)เนี่ย ม.หน้าเงิน หรือ ผู้อนุมัติชุ่ย (เอ๊ะ หรือกลับกันหว่า) จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 55 14:09:17

ความคิดเห็นที่ 29 อย่าเลือกมันเข้ามาอีกเลยนะ ไอ้พวกนี้ จากคุณ : Sgt.Oat เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 00:06:44