 |
เราสอน grammar ด้วยวิธีที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขา นั่นก็คือเราไม่เคยเอาตำรา grammar กางให้ดู แล้วไม่เคยให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดข้อเขียนจากตำรา grammar เลย แล้วเราก็ไม่เคยบรรยายยาวเรื่อง grammar ว่ากฎข้อไหนว่าอะไร
"แต่เราใช้วิธีให้นักเรียนฝึกฟังกับฝึกพูดตามฝรั่ง จน grammar มันซึมเข้าไปเอง!"
นั่นก็คือเรา เอา audio หรือ video เสียงฝรั่งพูด (ตัดต่อมาจากสื่อเรียนภาษาอังกฤษจากต่างประเทศหลายๆชุด หรือบางบทเรียนเราก็สร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง) มาเปิดให้นักเรียนฟัง ส่วนใหญ่เป็นประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ให้นักเรียนฟังแล้วฝึกพูดตาม แล้วเอาประโยคที่ฟังได้ไป improvise คือเปลี่ยน subject, verb, object และ modifier พลิกแพลงไปเรื่อยๆ โดยให้นักเรียนใช้ intuition หยั่งรู้ให้ได้เองว่าจะเอาคำศัพท์แต่ละคำ ไปพูดเป็นประโยค (โดยดูตัวอย่างประโยคที่ฝรั่งพูดมา) พลิกแพลงไปเรื่อยๆได้ยังไง ถ้าพูดผิด grammar เราก็บอกให้ลองพูดใหม่ ถ้าพูดได้คล่องแล้วเราถึงให้นักเรียนหัดเขียนข้อความอะไรยาวๆมาให้เราดู
เราพยายามกระตุ้นสมองนักเรียนให้หยั่งรู้ได้เองว่าจะสร้างประโยคยังไง วางตำแหน่ง modifier ได้ยังไง หรือจัดเรียงคำศัพท์เป็นประโยคได้ยังไง ถ้านักเรียนมึนหัวทำไม่ได้จริงๆเราถึงอธิบายกฎ grammar แต่อธิบายสั้นที่สุด เพราะไม่ชอบการบรรยายให้นักเรียนจด เนื่องจากมันเป็น passive learning แต่เราจะให้นักเรียนมี actions เยอะๆ คือฟัง แล้วพูดเขียนออกมาเลย (ซึ่งก็จะมีการอ่านผสมเข้ามาด้วย)
จากนั้นเวลานักเรียน improvise เราจะเร่งความเร็ว คือกระตุ้นให้นักเรียนใช้สมองคิดรูปประโยคออกมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในกระบวนการ improvisation กับ listening/speaking drill เราก็จะแก้ pronunciation นักเรียนไปพร้อมกับกระตุ้นให้นักเรียนใช้สัมผัสพิเศษหยั่งรู้ grammar ไปเอง โดยหลีกเลี่ยงการบรรยายกฎ grammar ยาวๆ เพราะเอาเวลาไปอธิบายว่าให้วางตำแหน่งปากลิ้นยังไงให้พูดคล่องแล้วพูดชัดมากๆ จะเข้าท่ากว่า เพราะถ้าพูดได้คล่องๆลิ้นไม่พันกันเพราะคิดได้ไวๆ และฝึกพูดซ้ำๆ โดยดึงรูปประโยคพลิกแพลงออกจาก subconscious บ่อยๆ อีกหน่อย grammar มันมาได้เองโดยธรรมชาติ
สรุปแล้วเราไม่เคยยึดตำราเล่มไหนเล่มเดียวเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำราคนไทยเขียนไม่ใช้เลย แต่จะใช้สื่อหลากหลายจากต่างประเทศมีตั้งแต่ ebooks, audios, videos และ computer software ช่วยเรียนภาษาอังกฤษ แล้วเอาสื่อพวกนี้ในปริมาณเยอะมากๆมาจากคลัง digital media for English studies ของเรา (ตอนนี้สะสมไว้เพียบเลย) ออกมาเล่นแร่แปรธาตุ เอามาตัดต่อใช้สอนในแต่ละครั้ง
ซึ่งในการสอนแต่ละ session เราไม่เคยสอนแต่ grammar อย่างเดียวเลย แต่จะสอนทุกทักษะผสมผสานกันไปหมด
คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่เราจะบอกให้ว่าเราเคยเจอคนเรียนหลักสูตร grammar ที่เรียนเจาะลึก grammar ล้วนๆ ราคาแพงตั้งหลายหมื่นบาท จบจากโรงเรียนติวที่มีชื่อเสียงโด่งดังว่าติว grammar เก่งที่สุด แต่คนๆนั้นพูดกับเขียนอังกฤษผิดเละเลย!...คือการใช้ภาษาอังกฤษถูกต้องสัมผัสพิเศษออกแนว intuition เป็นใหญ่ ไม่ใช่ท่องกฎ grammar เป็นใหญ่ ^ และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงเปลี่ยนวิธีการสอน grammar ใหม่หมดเลย
ตอนเราหัดสอนภาษาอังกฤษใหม่ๆเราต้องใช้ตำรา grammar และให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด grammar จากตำรา นั่นก็เพราะว่าสมัยนั้นเราเขียนภาษาอังกฤษไม่เก่งมากนักก็เลยคิดประโยคภาษาอังกฤษพลิกแพลงไม่ได้รวดเร็วนัก แต่หลังจากเราเลิกสอนภาษาอังกฤษแล้วไปทำงานที่ต้องเขียนภาษาอังกฤษทุกวันอีก 10 กว่าปีเราเลยกลับมาสอน grammar ใหม่ด้วยวิธีการใหม่ๆ คือกระตุ้นสมองนักเรียนให้มองเห็นคำศัพท์แต่ละคำแล้วคิดประโยคพลิกแพลงแล้วพูดเขียนออกมาให้ได้เร็วมากๆจนใช้ศัพท์สร้างประโยคได้ถูก grammar เองแบบที่เราเคยเรียนมาด้วยตัวเอง
เราโชคดีที่เมื่อ 5-6 เดือนที่ผ่านมามีนักเรียนที่อ่อนอังกฤษมากๆมาให้เราสอนจนเราปรับปรุงวิธีการสอนเราให้ดีขึ้นเรื่อยๆได้ จนเราเชื่อว่ามันไปถึงจุดสุดยอดของมันแล้ว แต่น่าเสียดายที่อยู่ดีๆตอนนี้งานแปลเอกสารราคาแพงๆเข้ามาเยอะมากๆ เราเลยไม่ได้รับสอนภาษาอังกฤษให้ใครอีก เพราะเวลาที่สอนตัวต่อตัว 2 ชม. ที่เราคิดค่าสอนไม่ค่อยแพงนั้น ถ้าเอาไปแปลเอกสารเราได้เงินมากกว่านั้นตั้ง 4-5 เท่า ไอ้ครั้นเราจะคิดค่าสอนแพงกว่านั้นนักเรียนก็ไม่มีกำลังจ่าย
ก็เลยสงสัยวิธีการสอนภาษาอังกฤษใหม่ๆของเราที่ใช้เวลาคิดค้นมาค่อนข้างนาน (จริงแล้วคิดไว้ตั้งแต่ 10 กว่าปีมาแล้วแต่คิดไม่สำเร็จเพราะตอนนั้นเรายังโง่อยู่ เพิ่งมาคิดสำเร็จเมื่อเร็วๆนี้ เพราะเราไปซุ่มฝึกคิดพลิกแพลงมาอีกตั้งหลายปี) มันคงนอนจอดอยู่ในอู่อีกหลายปี เอาไว้เรา retire จากการแปลเอกสารโกยเงินมาเยอะๆก่อน แล้วเราอาจกลับมาสอนภาษาอังกฤษใหม่อีก โดยเราจะเปิด course พิศดาร นั่นก็คือไม่มีการแยกสอนแต่ grammar หรือสอนแต่ vocab...แต่จะสอนครบหมดทุกทักษะหมดในแต่ละ session ซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นการเปิด one-stop school of English ไป
แต่เผลอๆเราว่าเปลี่ยนอาชีพไปเป็นหมอดูเราน่าจะรุ่งกว่านะ...555+++...
แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 55 15:41:02
แก้ไขเมื่อ 14 ต.ค. 55 15:35:01
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
14 ต.ค. 55 15:28:29
|
|
|
|
 |