PANTIP.COM : K12856275 ใครที่กำลังเรียนโท มศว. ขอคำแนะนำด้วยค่ะ [ห้องเรียนภาษาอังกฤษ]

ความคิดเห็นที่ 4

เราว่าปริญญาโท teaching English as a foreign language เหมาะสำหรับเอาวุฒิไปสมัครงานนะ แต่ถ้าคุณเปิดโรงเรียนสอนภาษาไม่ค่อยจำเป็นหรอก

ลองเรียนหลักสูตรสั้นๆที่ aua ดิ เป็นหลักสูตรรู้สึกจะแค่ 6 เดือนเอง ชื่อ teaching English as a foreign language เหมือนกันแต่เป็นแค่ระดับ certificate รวมเบ็ดเสร็จค่าเรียนทั้งหมดน่าจะเป็นประมาณ 60,000 บาทเอง

หลักสูตรสั้นๆอีกอันที่มหัศจรรย์มากๆ ก็คือรัฐบาลอังกฤษกลุ้มใจกับฝรั่งตกงานก็เลยเปิดสอนฟรี และมีเงินเดือนให้นักเรียนด้วย เป็นหลักสูตร 6 เดือนเหมือนกันเนื้อหาคล้ายกัน แต่ชื่อต่างกันคือ teaching English to speakers of other languages พอคนตกงานเรียนเสร็จรัฐบาลอังกฤษหวังว่าพวกเขาจะเลิกรับเงินสวัสดิการคนตกงาน แล้วรีบๆบินออกนอกประเทศไปสอนภาษาอังกฤษซะให้รวยๆ ฝรั่งชาวอังกฤษคนหนึ่งที่เรารู้จักเรียนจบหลักสูตรนี้มาแล้วไปสอนที่ซาอุ โชคดีได้สอนเจ้าชายซาอุ จนเจ้าชายพอใจตบรางวัลให้เงินมากพอที่ฝรั่่งคนนี้จะ retire แล้วเสวยสุขที่ Florida ได้โดยไม่ต้องทำงานตลอดชีวิต! แต่ก่อนไป Florida เขามาอยู่เมืองไทยชั่วคราวเพื่อช่วยเพื่อนคนไทยจัดตั้งและประกอบธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาในเมืองไทยจนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
^
เราพบฝรั่งคนนี้โดยบังเอิญขณะที่เราขาย time sharing อยู่ที่โรงแรมแม่น้ำ เราไปขายให้เขาในโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งในเมืองไทยที่เขาดำรงตำแหน่ง academic manager อยู่ เขาฟังเรื่อง time sharing ของเราแล้วหัวเราะหึๆ แล้วบอกเราว่าเขาไม่ซื้อแต่ชอบใจที่เราพูดอังกฤษได้ดี เลยให้นามบัตรเราแล้วบอกว่า

"ถ้าอยากเรียนรู้เรื่องการสอนภาษาอังกฤษและอยากทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้มาหาเขา"

อีก 1 เดือนต่อมาเราขาย time sharing ไม่ได้เงินเลย เราเลยเดินคอตกไปหาฝรั่งคนนี้ ซึ่งเขาก็ยินดีที่จะให้งานเราทำและถ่ายทอดความรู้ที่เขาเรียนมา 6 เดือนให้เรารู้มากพอที่จะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษได้

เราเรียนรู้ไปแล้วทำงานกับเขาพักใหญ่ๆ จากนั้นเราไปเปิดสอนเอง สิ่งที่เราได้ไปก็คือ "สื่อการสอนเป็นจำนวนมากที่เราทั้งถ่ายเอกสารไปทั้งอัดเทปไป (สมัยนั้นยังไม่มีใครใช้ CD/DVD กัน)"

^
ซึ่งถ้าเราไม่ได้ทำงานที่นั่นเราคงไม่มีเงินลงทุนซื้อสื่อการสอนมากขนาดนี้ (เพราะสมัยนั้นไม่มี Internet ให้หาสื่อการสอนดีๆของฟรีได้เลย)

สอนๆไปเราได้เงินเยอะมากๆ แต่ (เพราะความโง่) อยากเป็นนักแปล เราเลยเลิกสอนไปพักใหญ่ๆ แล้วทำงานแปล ไปอีกหลายปี

แต่อยู่ดีๆเรากลับมารื้อฟื้นเทคนิคการสอนใหม่ๆ เพราะเรารู้วิธีหา digital media เพื่อการสอนภาษาอังกฤษจาก google ได้เก่งขึ้นเรื่อยๆ และจากการทดสอบ software เพื่อใช้ในการเรียนรู้ เราเอาทุกอย่างมาผสมผสานกันหมด

แล้วค้นพบว่า

1. การมีสื่อการสอนดีๆจากต่างแดนหลายๆชุด แล้วอ่าน teacher's manual ของแต่ละชุด และการ edit (ตัดต่อ) สื่อพวกนั้น จากหลายๆชุดมาทดลองสอนบ่อยๆ ทำให้ทักษะการสอนพัฒนาได้เร็วมากๆ และทำให้อยู่ดีๆมีสมองคิดพลิกแพลงไปได้เอง

2. ต่อให้เราเรียนจากฝรั่งคนนั้นหรือเรียนปริญญาโท teaching English as a foreign language มาครบหมด เราก็ยังสอนไม่ได้ระดับเทพๆๆๆ (ระดับ born teacher) อยู่ดี เพราะข้อจำกัดบางประการ?
^
อะไร?
ตอบ
สมัยนั้น เรารู้อังกฤษแค่ฟังพูดคล่อง และอ่านอังกฤษยากๆพอได้ แต่ writing skills เราถึงผ่าน TOEFL ได้แบบต้อนหมู แต่เราก็เขียนไม่ได้ระดับ professional แต่การทำงานแปลไทยเป็นอังกฤษทุกวันนานๆทำให้ writing skills เรารุดหน้าไปไกลระดับ professional ได้ จนสามารถพัฒนา courses ภาษาอังกฤษดีๆขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง

gaps อีกหลายอย่างที่อุดรอยรั่วได้ นั่นก็คือถึงเราจะเรียน phonetics มาแต่ก็เรียนไม่ครบ ในช่วงการฝึกฝนต่อเนื่องอีกหลาๆยปี เราลด gaps (ช่องว่าง) ระหว่างความเป็น non-native speaker ของเรา กับความเป็น native speaker ของฝรั่ง ด้วยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

3. ความรู้ด้าน computer software (เราเป็นนักทดสอบ software) ช่วยให้เราตัดต่อ digital media และใช้ computer ช่วยสอนภาษาอังกฤษได้ดีกว่าเดิมอีกหลายเท่า

สรุป
ตราบเท่าที่คุณยังมี gaps (ช่องว่าง) ระหว่าง non-native speaker กับ native speaker อยู่มากพอสมควร ปริญญาโท teaching English as a foreign language ช่วยอะไรคุณไม่ได้มากนักหรอก ฝรั่งคนนั้นที่เรียน teaching English to speakers of other languages แค่ 6 เดือนแล้วประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทำได้เพราะ "เขาเป็น native speaker" แต่ตอนนี้เขาไป Florida แล้ว (ไปเสวยสุขที่นั้น) ซึ่งในช่วงนั้นประเทศไทยเพิ่งออกกฎหมายใหม่ที่กำหนดว่า "ไม่ออก work permit ให้ครูต่างชาติที่ไม่จบปริญญาตรี!" พวกฝรั่งที่เป็นครูเก่งๆระดับ born teachers เพราะฝรั่งคนนี้สอนไว้ก็เลยต้องบินออกนอกประเทศไทยหมด เพื่อไปหางานในประเทศอื่นที่ใจกว้าง "ไม่บังคับว่าต้องจบปริญญา แต่สอนจากประสบการณ์และสมองพลิกแพลงได้"

สรุปแล้วเราว่า

ใครเรียนจบปริญญาโท teaching English as a foreign language บางคนอาจโม้ว่าเก่ง แต่เราว่า "จริงๆไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่หรอก" เพราะตราบเท่าที่ผู้ถือปริญญาโทใบนั้นยังมี gaps (ช่องว่าง) ระหว่าง non-native speaker กับ native speaker อยู่ตั้งมากมายระดับเขียนภาษาอังกฤษหรูๆยาวๆแล้ว native speakers ยังชี้จุดบกพร่องได้เพียบ เพราะถ้ารู้อังกฤษแค่นั้นพอลงมือสอนจริงๆก็ไม่มีทางสอนเก่งระดับ born teachers แบบพวกฝรั่งไร้ปริญญาที่สมองพลิกแพลงซึ่งเรียนการสอนโดยการ survey พวกสื่อการสอนในตลาด แล้วนำมาใช้สอนพลิกแพลงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ แบบที่เราเคยเจอมาหรอก

เอาไว้คุณพยายามอุด gaps พวกนี้ให้ได้ซะก่อน ซึ่งตอนนั้นคุณคงมีเงินจากการสอนภาษาอังกฤษมหาศาลแล้ว แล้วคุณบินไปเรียนปริญญาโท teaching English as a foreign language ในมหาลัยดีๆในอเมริกาอย่างที่อาจารย์ Terry Fredrickson (editor ของ Bangkok Post) เรียนมา จะดีกว่าหลายเท่า

ปริญญาโทอย่างนั้นจะน่าเกรงขามกว่า ขลังกว่าตั้งหลายเท่า เพราะตอนคุณเรียนปริญญาโทใบนั้นภาษาอังกฤษคุณใกล้เคียง native speaker เข้าไปแล้ว!
แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 55 11:27:13

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 11:20:44

ความคิดเห็นที่ 7

ที่คุณ Lovely Creature บอกว่า

"โดยส่วนตัวยังเชื่อว่า ความยึดติดของคนไทยกับกระดาษเหล่านี้
ยังคงอยู่ไปอีกนาน และอีกหลายปีแสงที่บ้านเราจะเลิกยึดติดกับกระดาษ
แล้วหันมามองที่ตัวบุคคลแทน

เราจึงตัดสินใจที่จะหาประโยชน์จากความยึดติดนี้
ด้วยการเรียนโทต่อค่ะ"

^
ตอบ
เมื่อก่อนเราก็มีความคิดแบบนั้น แต่ตอนนี้เราใจกล้ามากๆ ระดับโยนความคิดนี้ทิ้งไป แล้วตัดสินใจไม่เรียนต่อ เพราะอะไร? เรานั่งสมาธิฝึก The Law of Attraction แล้วอยู่ดีๆงานแปลราคาแพงๆหลั่งไหลเข้ามาหาเรามากๆ โดยที่เราไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษาสมัครงานเลย แค่ส่งตัวอย่างการแปลไทยเป็นอังกฤษไปให้ลูกค้าดู เราก็ได้งานทำอย่างน่ามหัศจรรย์ จริงๆแล้วมันไม่มหัศจรรย์หรอก คือนักแปลส่วนใหญ่เวลาแปลไทยเป็นอังกฤษ เขียนภาษาอังกฤษมาลูกค้าที่เป็น native speakers ยังจับผิด syntactic errors in the writing of second language learners ได้เยอะ แต่ลูกค้าที่เป็น native speakers พอใจกับภาษาอังกฤษที่เราเขียน เราก็เลยได้งานทำ

แต่ด้วยความอยากรู้อยากเป็นการส่วนตัวเราสะสม digital media สำหรับสอนภาษาอังกฤษไว้มากมาย (มีมากกว่าโรงเรียนสอนภาษาใหญ่ๆดังๆซะอีก) แล้วศึกษามันด้วยความสนใจเป็นการส่วนตัว และพร้อมมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะสอนภาษาอังกฤษ แต่ยังไม่คิดจะไปเปิดสอนที่ไหน

อยู่เฉยๆทำงานแปลเอกสารไปเรื่อยๆนี่แหละ เพราะเท่าที่เป็นอยู่มีแนวโน้มว่าเราจะได้รับมรดกเป็นบ้านและที่ดินจากญาติผู้ใหญ่ 3 คน (ใช่บ้านและที่ดิน 3 หลัง 3 แปลง ราคาแพงๆ) ซึ่งเราเอามาใช้เปิดสอนภาษาอังกฤษได้ (จริงๆแล้วตอนนี้เราก็๋มีบ้านกับที่ดินของตัวเอง หากแต่อยู่กับพ่อ และพ่อเราไม่อยากให้เราเอานักเรียนมาสอนพลุกพล่าน เราก็เลยรอรับมรดกบ้านกับที่ดินจากญาติรายอื่นๆอีก 3 ราย)

เราเคยพูดเรื่องความพร้อมของเราในการกลับไปสอนภาษาอังกฤษให้แฟนสาวคราวลูกสาวเราฟัง (แต่เวลาเดินไปไหนด้วยกันหน้าตาเราเด็กเท่าเธอ เอาไว้ว่างๆคุณ Lovely Creature แวะมาเจอตัวจริงเรา แล้วคุณจะตกใจมาว่าเรารูปร่างหน้าตาเหมือนเด็กวัยรุ่นเกินกว่าที่จะเป็น grandpa ใครได้...555+++...)

แฟนสาวเราที่มีทั้งปริญญาตรีและปริญญาโทด้านภาษาอังกฤษพอฟังแนวคิดเราแล้วเธอพยายามบอกเราว่า

"ไม่น่าประสบความสำเร็จเพราะเธอ (หมายถึงเรา)มีวุฒิการศึกษาแค่มัธยมต้น คนไทยเขาไม่เชื่อถือหรอก"
^
แต่เราตอบเธอว่า เมื่อก่อนเรียนรู้ The Law of Attraction เราขายงานเขียนภาษาอังกฤษเรา (แปลไทยเป็นอังกฤษ) ได้แค่หน้าละ 200 บาทเอง แต่หลังจากเรียนรู้เรื่อง The Law of Attraction เราขายมันได้หน้าละ 800 - 1,200 บาท บางทีเราทำงานเดือนหนึ่งแค่ 15-18 วัน ก็ได้เงินเหลือเฟือ จนเอาเวลาที่เหลือไปเดิน shopping ซื้อเสื้อผ้าแฟชั่น แล้วฝึกโยคะให้หน้าเด้ง แล้วทดสอบ software กับเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองไปเรื่อยๆ ให้ถึงดวงดาว

และเราพูดกับแฟนเราต่อไปว่า

"พอเรารับมรดกบ้านกับที่ดินมา เราจะเปิดสอนภาษาอังกฤษ และจะประกาศให้คนรู้ก่อนมาเรียนว่า สอนโดยอาจารย์ผู้จบมัธยมต้นมา เราว่ามันเป็นอะไรที่ท้าทายดี...555+++...จริงๆแล้วตอนนี้ก็มีคนที่อ่านกระทู้ pantip แล้วรู้ว่าเราจบแค่มัธยมต้นตั้งมากมายหลังไมค์กับส่ง mails มาสมัครเรียนภาษาอังกฤษกับเราอย่างต่อเนื่อง แต่ช่วงหลังๆนี้เราแทบไม่ได้รับสอนใครเลยเพราะเรามัวแต่ทำงานแปลเอกสารราคาแพงๆเยอะมากๆ ดังนั้นการเปิดสอนภาษาอังกฤษในบ้านตัวเองแล้วบอกว่าเราจบแค่มัธยมต้นมา เราก็มั่นใจว่าจะยังมีคนแห่กันมาเรียนภาษาอังกฤษกับเรามืดฟ้ามัวดิน...555+++..."

แต่นั่นมันแค่ทำเล่นๆเป็นงานอดิเรก เราอยากเป็นหมอดูดังๆซะมากกว่า แต่แฟนสาวเราก็พูดอีกว่า

"เป็นไปไม่ได้เพราะเธอ (หมายถึงเรา) พูดจาไม่เข้าหูคน...555++++..."

เราก็ตอบเธอไปว่า

"การที่เราไม่ยอมเรียนต่อเอาปริญญาเป็นการฝึกพลังจิตอย่างหนึ่งโดยการฝังข้อมูลไว้ใน subconscious ว่าเราต้องเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆด้วยตัวเองให้เก่งกว่าคนจบวุฒิสูงๆให้จงได้ เราฝึกพล้งจิตให้ think positive ทำอะไรก็ย่อมทำได้สำเร็จหมด! ไม่ว่าเราจะมีหรือไม่มีปริญญาก็ตาม"
แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 55 13:42:47
แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 55 13:22:27

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 55 13:12:21