PANTIP.COM : K12891474 ทำไมพระเจ้าจันทรคุปต์ ต้องหันไปนับถือพวกลัทธิเชน ไม่นับถือศาสนาพุทธ []

ความคิดเห็นที่ 13

ความคิดเห็นที่ 5

*เมื่อมีปรากฎการณ์เช่นนี้ จะมีแสงสว่างเป็นประกายราวกับดวงอาทิตย์นับร้อยๆดวงในแกนกระดูกสันหลัง นี่แหละคือการเดินสายกลางจนบรรลุ (เพราะแสงสว่างนี้เองภาษาอังกฤษจึงเรียกการบรรลุว่า 'enlightenment'" *สรุปแล้วตามความคิดของเรานะ พระพุทธเจ้าบรรลุเพราะฝึกศาสตร์ฮินดูอันนี้สำเร็จ จากคุณ : fortuneteller
--------
ภาษาอังกฤษใช้คำว่า enlightenment เทียบกับ นิพพานเพราะเข้าใจไปว่าพุทธก็แค่แนวทางของฮินดูครับ... แต่ทางพุทธจริงๆแล้ว...การฝึก สติปัฏฏฐาน เป็นทางสายเอก การฝึกสมาธิเป็นทางสายรอง
ใช้เกื้อหนุนกันและกันเมื่อจะบรรลุธรรมต้องใช้วิปัสสนาและมีสมถะหนุนครับ ไม่ใช่สมถะล้วนๆหรือวิปัสสนาล้วนๆ

การเห็นแสงสว่างไม่ต้องสมาธิลึกระดับฌานหรอก ถ้าศีลครบ แผ่เมตตาบ่อยๆ ไม่อะไรกวนใจมีความวิเวกพอ อย่างช้าฝึกกันไม่ถึงเดือนก็มีโอกาสได้เห็นหละ

**กรณีที่คุณว่า ผมเคยทำได้ค่อนข้างดีตั้งแต่อายุ 13 ขวบ แสงสว่างจ้าและละเอียดขนาดไหนก็แล้วแต่ระดับความลึกของสมาธิ และหลายท่านที่คุยประจำในห้องศาสนาก็ยังทำได้หรือเคยทำได้เยอะไปครับ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพระสงฆ์อีกหลายองค์

วิํธีคือ รักษาศีล 8 ให้บริสทธ์ ปลีกวิเวก แล้วเดินจงกรม กำหนดสติ ฝึกรู้สึกตัวในชีวิตประจำวัน นั่งสมาธิ ฝึกทำควบคู่กันไปคนทำได้กันเยอะครับ แม้จะไม่ใช่คนส่วนใหญ่ก็เหอะ ไม่ถึงขนาดที่ต้องมีอะไรพิเศษเกินกว่าคนธรรมดาสามัญไปหรอก...

นี่คือแบบพราห์ม(ยุคพุทธกาลยังไม่มีฮินดู กระทั่งนิยายฮินดูสารพัดเรื่องก็ยังมีเค้าโครงแค่พื้นๆเอง เพิ่งมาต่อเติมกันในภายหลัง) และความทุกข์มันก็ยังไม่หมดไปง่ายๆแบบนั้นหรอกครับ...แค่มีความสุขแบบละเอียดมากๆ

*** ที่ศาสนาพุทธสอนเป็นทางสายเอกคือ สติปัฏฐานสี่ เป็นคนละเรื่องกับสมถะแบบพราห์ม
เมื่อก่อนผมก็เน้นฝึกสายสมถะ ก็ได้ผลอย่างที่บอกนั่นหละครับ ความทุกข์มันไม่ได้หายไปไหน.....
ต่อเมื่อผมมาปฏิบัติในสายวิปัสนาควบคู่กันไป จึงเห็นว่าแนวพุทธทำให้ความทุกข์ลดลงเรื่อยๆได้จริง
และนี่คือสิ่งที่พราหม์ไม่ได้สอนใว้... พราหม์ไม่เคยมีเรื่องการพ้นทุกข์ทางใจอย่างเด็ดขาดในขณะยังมีชีวิต
มีแต่พบความสุขจากการนั่งสมาธิ

แต่พระธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน...ผมเชื่อ 100% ไม่ใช่เพราะผมคิดคาดเดาเอาเอง แต่เพราะผมปฏิบัติ และได้ผลตามนั้น

--------------
*"การบรรลุ" เป็นการเปลี่ยน cells สมองและร่างกายแบบ biological transmutation

**เห็นด้วยครับ... ตอนที่เข้าฌานได้ ร่างกายจะพักอย่างสมบูรณ์ มีแต่ระบบอัตโนมัติหลักทำงานอยู่ และทำงานแบบภาวะจำศีล ใช้พลังงานน้อยสุดๆ มีผลต่อร่างกายอย่างที่ผมบอกนั่นหละ จะรู้สึก สดๆ มากๆ เหมือนเกิดใหม่ เทียบง่ายๆก็เข้าฌานไป แค่ 2 ชั่วโมงคล้ายกับได้นอนหลับสนิทเต็มอื่มตั้งเป็นวันเต็มๆ.. ร่างกาย สด ใส และ ทุกสิ่งแจ่มชัด มากเหลือเกิน..

ตอนทำได้ก็ดีนะ ความโลภและโกรธ หายไปจากใจเลย หายไปเป็นวันๆ แต่ความหลงยังอยู่..พอสักพัก เดือนสองเดือนสมาธิเสื่อมก็กลับมาเป็นคนโลภโกรธหลงเช่นเดิม ถ้าทำได้ต่อเนื่องยาวนาน ก็เลิกโกรธไปได้เป็นปีๆ มีสติตลอดเวลา เป็นคนที่ไม่ตกใจอะไรทั้งสิ้น
-----------
*ปรมาจารย์นักพรตเต๋าที่สอนศาสตร์พวกนี้ก็ยืนยันด้วยว่าพระเยซูก็ผ่านกระบวนการ biological transmutation มาเหมือนกัน

** สมาธิระดับสูง แม้คนกิเลสหนาอย่างผมยังเคยฝึกจนทำได้ แล้วระดับศาสดาต่างๆซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีความเมตตากรุณามากมาย ทำไมท่านเหล่านั้นจะทำไม่ได้หละครับ...การแผ่เมตตา พิจารณาความเป็นไปต่างๆสักเล็กน้อย ทั้งก่อนและหลังการทำทำสมาธิ ทำให้จิตอ่อนโยน ละเอียดประณีตขึ้น...ส่งผลดีต่อการเข้าสมาธิครับ

------
*"อายุเป็นร้อยๆปี แต่สุขภาพดีมาก
** ถ้าคุณเข้าฌานได้ทุกวัน ร่างกายพักผ่อนเต็มที่ จิตใจแทบไม่มีความเครียดพอที่จะส่งผลเสียหายแรงๆต่อกายเกิดขึ้นเลย คุณก็อยู่ได้จนร่างกายหมดสภาพของมันไปเอง หรือจะเข้าฌานแล้วไม่ถอยจิตออก ปล่อยให้ร่างกายตายไปทั้งในฌาน ก็ได้เช่นกันครับ.. คนที่ทรงฌานได้เขาไม่กลัวตายกันหรอกครับ

------

สรุปแล้ว ทุกเรื่องที่คุณว่าพิเศษ ผมไม่เห็นว่าจะพิเศษตรงไหนเลย เพราะผมและคนที่ผมรู้จักหลายๆคนเคยทำได้ และมันก็ไม่ช่วยให้พ้นทุกข์ถาวรไปได้เลย แค่กดใว้ชั่วคราว..(แต่ก็ดีมาก เหมือนมีโอกาสพักยก ไม่โดนกิเลสเล่นงานฝ่ายเดียวอยู่ตลอดเวลา ยังพอมีทางได้หายใจคล่องบ้าง)

แต่เรื่องที่เห็นว่า พุทธต่างจากศาสนาอื่นจริงๆ ต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะปฏิบัติแล้วความทุกข ทางใจลดลงได้ชัดเจน ไม่มีศาสนาไหนสอนแบบนี้อีกแล้ว คุณกลับเห็นว่าไม่แตกต่าง....

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต้องปฏิบัติ จึงจะเห็นผล ไม่ใช่แค่คิดหรือแค่เชื่อ

ขอถามหน่อย ถ้าจะกรุณาตอบ คุณมีแนวคิดเช่นนี้ คุณศรัทธาหรือดำเนินชีวิตตามหลัก ตามคติแบบไหนครับ :)

แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 55 23:44:29

จากคุณ : BlueDelphi

เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 23:33:19