ความคิดเห็นที่ 1 แทนที่จะเอาเวลาไป ทำเรื่องhealth  promotionเพิ่ม ถ้า คนสุขภาพแข็งแรง รู้จักดูแลสุขภาพตนเอง ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เข้าโรงพยาบาลน้อย กลับมาผลิตแพทย์ พยาบาลเพิ่ม ออกมาก็เป็นลูกจ้างชั่วคราว ใครเค้าอยากจะเป็น เค้าก็ไปสมัครโรงพยาบาลเอกชน แล้วก็บ่นขี้แตก ป้ายความผิดให้โรงพยาบาลเอกชนว่า แย่งแพทย์ พยาบาลไป ทั้งๆที่คุณมีอะไร คุณไม่เคยให้เอกชนเลย จากคุณ : nurse นะครับ (nurseนะครับ) เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 04:09:21

ความคิดเห็นที่ 2 เพิ่มสายแพทย์สายขาดแคลนก็เพิ่มไปเถอะ แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องลดสายสังคมและมนุษย์เลย อิสระภาพในการเลือกเรียนถูกบีบให้แคบลงไปอีก เหอะๆ คือถ้าให้เหตุผลว่ารับเพิ่มสายจำเป็น แล้วงบฯ และทรัพยากรการเรียนการสอนไม่เพียงพอเลยลดสายสังคมก็พอรับฟังได้นะ แต่บอกว่าหันมาผลิตเพื่อตอบสนองตลาดมันฟังดูแห้งแล้งอ่ะ การผลิตบัณฑิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน เป็นอีกตัวอย่างของการใช้เศรษฐศาสตร์เข้ามาวัดว่าอะไรคุ้มไม่คุ้มอย่างน่ากังขา เอาเงิน เอาตลาด เอาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นตัวตั้ง ทิ้งคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจไว้เบื้องหลัง สมแล้วที่เศรษฐศาสตร์ถูกเรียกว่า the dismal science เรื่องกลัวผลิตบัณฑิตบางสาขาออกมาล้นตลาด ไม่เห็นจะน่ากังวลเลย มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ จาก "มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งผลิตลูกจ้าง" เป็น "มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งให้ความรู้" แก่คน เพื่อให้คนไปประกอบอาชีพของตนตามอิสระ คุณเป็นมหาวิทยาลัยก็สอนให้เด็กมันมีหัวคิดสิ สอนให้เด็กคิดเป็นทำเป็น เหมือนเด็กฝรั่งอ่ะ มันเรียนจบมา ก็หาทางทำธุรกิจของตัวเองทั้งนั้น ยิ่งทุกวันนี้โลกมันไปถึงไหนแล้ว คนเยอะแยะบนโลกใบนี้ นั่งกระดิกเท้าลากเมาส์ หาเงินอยู่กับบ้าน หรือไม่ก็ทำธุรกิจส่วนตัว ส่วนการศึกษาน่ะ ต้องเปิดกว้างเข้าไว้ ต้องมีตัวเลือกสาขาต่างๆ ให้เยอะ เท่าที่ศักยภาพของมหาวิทยาลัยจะสามารถจัดหาให้ได้ เพื่อให้คนได้เลือกศึกษาหาความรู้ ตามความชอบของตน จากคุณ : Varalbastra เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 05:09:39

ความคิดเห็นที่ 3 ความเห็นที่ 1 ครับ ที่บอกว่า "กลับมาผลิตแพทย์ พยาบาลเพิ่ม ออกมาก็เป็นลูกจ้างชั่วคราว" ปกติแพทย์ที่จบมาชดใช้ทุนจะได้บรรจุข้าราชการทุกคนนะครับ ใช้สิทธิเบิกได้ จ่ายตรงทุกคน แต่พยาบาลเป็นลูกจ้างใช้สิทธิประกันสังคม จากคุณ : Son of Library เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 07:20:46 A:118.173.94.179 X: TicketID:348945

ความคิดเห็นที่ 4 "เน้นคุณภาพดีกว่า" สุดยอดแห่งความเห็น จากคุณ : กอรมน เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 09:18:24 A:124.122.233.0 X: TicketID:310799

ความคิดเห็นที่ 5 จุฬาฯไม่ค่อยมุ่งเน้นรับนิสิตสายสังคมศาสตร์มาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ คณะสายสังคมศาสตร์ในจุฬาฯมักไม่ค่อยใหญ่หรือมีบทบาทมากนักในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเปรียบเทียบกับฝั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่คณะสายสังคมศาสตร์มีขนาดใหญ่กว่า บุคลากรมากกว่า อย่างวิศวฯ จุฬาฯ เมื่อ 3-4 ปีที่แล้วรับนิสิตปีหนึ่งถึง 1150 คน (รวมหลักสูตรนานาชาติ ISE ด้วย) ส่วนวิทยาศาสตร์ก็ราวๆ 900 กว่าคนเมื่อเปรียบเทียบกับสายสังคมศาสตร์ เช่น นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ที่รับคณะละ 250-270 คนต่อปี ในขณะที่ มธ รับนักศึกษาป.ตรีคณะนิติศาสตร์ประมาณ 500-580 คนต่อปี ,คณะรัฐศาสตร์ มธ รับนักศึกษา ราวๆ 400 คนต่อปี โดยส่วนตัว ผมมองว่า จุฬาฯไม่อยากรับนิสิตมากจนเกินไปในสายสังคมศาสตร์เพราะจะทำให้ลำดับมหาวิทยาลัยตกต่ำลง รวมทั้ง (จากที่เพื่อนๆเล่ามา) อาจารย์บางท่านก็ไม่ค่อยเต็มใจสอนนิสิตมากสักเท่าไรในบางสาขา โดยเฉพาะหลักสูตรนานาชาติ มัวแต่ไปทำงานวิจัยกันเสียมากกว่า หรือเรื่องอื่นกันเสียมากกว่า ประหนึ่งว่าหลักสูตรนานาชาติคล้ายๆกับ "ภาคพิเศษ" ประมาณนั้น แก้ไขเมื่อ 10 พ.ย. 55 11:29:30 จากคุณ : bangkung_123 เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 11:27:18

ความคิดเห็นที่ 6 คงไม่กล้าลดสายบริหาร MBA ที่คนล้นมากกว่า เพราะเป็นสายหาเงิน ต้นทุนต่ำ จากคุณ : เสือร้องไห้รักเสือนอนหลับ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 11:40:11

ความคิดเห็นที่ 7 สายแพทย์ ต้องมีอาจารย์ประกบหนึ่งต่อหนึ่งนะครับ ขณะฝึกผ่าตัด ทำคลอด  อาจารย์ยืนอยู่ข้างๆเลย ไม่เหมือนคณะอื่นที่สอนทีเดียวเยอะๆได้ อาจารย์แพทย์ก็มีน้อยมากๆ เพราะจะมาเป็นอาจารย์ได้ ต้องเป็นแพทยเหนือแพทย์ สมมติคณะแพทย์มีอาจารย์ 50 คน รับนักศึกษาได้อย่างมากก็ 100 คน สุดๆแล้ว อย่างวิศวะ ก็ให้นักศึกษาฝึกทำกับเครื่องยนต์ทีเดียวสิบกลุ่มพร้อมๆกันได้ แล้วอาจารย์ค่อยๆเดินดู ถ้านักศึกษาทำผิดเครื่องยนต์พัง หรือระบบรวน อาจารย์ก็ค่อยเข้ามาแก้ไขให้ แต่สำหรับชีวิตคน รอแบบนั้นไม่ได้ อาจารย์ต้องเข้ามาช่วยในวินาทีนั้นทันทีที่นักศึกษาทำผิดพลาด  และจะบอกให้ว่า นักศึกษาแพทย์ทุกคนล้วนเคยผิดพลาดมาทั้งนั้น ถ้าไม่ได้อาจารย์มาช่วย หมายถึงชีวิตคนไข้และครอบครัวของเขาเลยทีเดียว รัฐบาลนี้ กำลังจะทำให้ไทยเป็นแบบฟิลิปปินส์ ทั้งระบบแอดมิสชั่น ระบบสอบตรง ซึ่งเหมือนฟิลิปปินส์มาก ทั้งๆที่ เกาหลี ญี่ปุ่น จีน  ไต้หวัน สิงคโปร์  ฯลฯ ยังใช้ระบบเอ็นทร๊านซ์อยู่เลย เพราะ เหมาะสมที่สุด ตอนนี้ กำลังจะบังคับให้มหาวิทยาลัยต่างๆเปิดคณะแพทย์เพิ่มขึ้น แม้แต่มหาวิทยาลัยเอกชน เชื่อว่า อีกสองสามปีข้างหน้า จะมีคณะแพทย์มหาวิทยาลัยเอกชนเกิดขึ้นอีกหลายแห่ง ที่จริงการผลิตแพทย์ ทันตแพทย์เพิ่มเป็นเรื่องดี เพราะปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลแพงโอเว่อร์ และจะว่าไปแล้ว คนที่เรียนแพทย์ก็ไม่จำเป็นต้องหัวดีอะไรมากมาย เพียงแต่ต้องขยัน จำเก่ง และมีจิตใจดี  เด็กส่วนใหญ่ก็เรียนได้ ปัญหาคือจะแก้ปัญหาอาจารย์แพทย์ไม่พอได้อย่างไร จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 11:58:39

ความคิดเห็นที่ 8 ^ ^ แน่ใจเหรอ ว่านักเรียนส่วนใหญ่ก็เรียนได้ ขนาดพวกเทพๆ จากโรงเรียนดังดัง ยังแทบอ้วกแตก ตำราแพทย์นะ ถ้าหัวไม่ดี อ่านจนตายมันก็ไม่เข้าใจหรอกนะครับ ในต่างประเทศ เด็กที่เรียนแพทย์ ก็ถือว่าเป็นเด็กเรียนเก่งกันทั้งนั้น จากคุณ : AKB-SKE เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 14:31:54

ความคิดเห็นที่ 9 นอกจากไม่ควรลดแล้วยังต้องเพิ่มสาขา ใหม่ๆให้ทันกับความก้าวหน้าของโลกยุค ใหม่ๆ มหาวิทยาลัยในไทยจะไม่ได้ตอบ สนองความต้องการแค้ประเทศไทยแล้ว ต่อไปเรากำลังจะร่วมอาเซี่ยน การเป็นตลาด วิชาให้กับนักศึกษาจากทั้วภูมิภาคและทั้ว โลกเป็นหนทางหารายได้เข้าประเทศได้ ถ้าจะมองในแง่ความคุ้มทุน และถ้าต้องการ เพิ่มแพทย์มาเปิดหลักสูตรหลังปริญญาตรี แบบจบจากสาขาไหนก็ได้ ถ้าสอบเข้าผ่าน เรียนผ่านตามที่กำหนด และสอบได้ เราจะ ได้แพทย์ที่มีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ แถมรองรับ ผู้ที่ถูกมองว่าเป็นส่วนเกินจากตลาดแรงงาน ไปด้วย เอามาเพิ่มมูลค่าแล้วปล่อยกลับเข้า ไปในตลาดแรงงานที่ขาดแคลน เรื่องอาจารย์ แพทย์ที่ขาดแคลน เทคโนโลยีมารองรับได้ ในระดับหนึ่ง เคยเห็นการทดลองผ่าตัดบนกระดาน ชนวนอิเล็คโทนิค สามารถผลิกผู้ป่วยจำลองได้ ทุกแง่ทุกมุม หยุดเมื่อลงมีดไปแล้วเพื่อให้อาจารย์ อธิบายได้ด้วยครับว่าถูกหรือผิด สวัสดี จากคุณ : ชัดเจนน้องนาง เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 17:58:21

ความคิดเห็นที่ 10 อ่านแล้วห่วงมหาวิทยาลัยประจำจังหวัดตัวเองจัง จากคุณ : อวัยวะชิ้นนั้น เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 19:10:00

ความคิดเห็นที่ 11 สายสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ไม่ดียังไง ยิ่งมีเยอะ ยิ่งดีซะอีก เพียงแต่หลักสูตรต้องพัฒนาให้ลึกลงไป ดูง่าย ๆ ถ้านักศึกษาพูดภาษาต่างประเทศได้ดี มีความเข้าใจเศรษฐกิจ สังคมและ ธุรกิจบ้าง แค่นี้โอกาสพัฒนาการค้า การต่างประเทศก็ไปได้ไกลแล้ว ที่สำคัญ ต่อให้มีหมอแล้ว เราก็ยังต้องมีคนประสานงาน พนักงาน นักสังคมสงเคราะห์ นักธุรกิจ หรือคนที่มีความเข้ามนุษย์และสังคมระดับสังคม ประเทศและระดับชาติอยู่ โรงพยาบาลไม่ได้มีแต่หมอ ที่สำคัญสายศิลป์อย่างอักษรก็สร้างชื่อให้มหาวิทยาลัยด้วย จากคุณ : ต้น เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 21:21:55 A:110.171.27.245 X: TicketID:091427

ความคิดเห็นที่ 12 ดีแล้วครับ จุฬา เป็นมหาวิทยาลัยคุณภาพ ควรผลิตบัณฑิตในสาขาที่มหาวิทยาลัยทั่วๆไปผลิตไม่ได้ ส่วนทางสายสังคม ก็ลดๆลง ให้เหลือแต่หัวกะทิ ใครสอบเข้า จุฬา ก็ได้เรียนไป ใครสอบเข้าไม่ได้ก็ไปเรียน ราชฎัทร ราม สุโขทัย มีเงินก็ไปเอกชน ---------------------------------------------------------------------------- จากคุณ : นอกวงการ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 22:16:18

ความคิดเห็นที่ 13 ที่จริงการผลิตแพทย์ ทันตแพทย์เพิ่มเป็นเรื่องดี เพราะปัจจุบันค่ารักษาพยาบาลแพงโอเว่อร์ และจะว่าไปแล้ว คนที่เรียนแพทย์ก็ไม่จำเป็นต้องหัวดีอะไรมากมาย เพียงแต่ต้องขยัน จำเก่ง และมีจิตใจดี  เด็กส่วนใหญ่ก็เรียนได้ ปัญหาคือจะแก้ปัญหาอาจารย์แพทย์ไม่พอได้อย่างไร จากคุณ : รักหลอกจึงบอกให้   ---------------------------------------------------------------------------------------- เรียนหมอมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ผมว่าทุกวันนี้หมอต่างจังหวัด ก็ไม่ได้สอบเข้า ยากเย็นอะไรเลย จากคุณ : นอกวงการ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 22:18:41

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณรองนายกมากครับ ขอเครื่องมือทันสมัย เเละ ใส่หัวใจให้หมอด้วย จากคุณ : Alone among the crowd เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 22:47:22

ความคิดเห็นที่ 15 เห็นใคร ๆ ก็ว่าบ้านเราบัณฑิตระดับอุดมมีเยอะเกินไป มีเยอะกว่าประเทศนั้นประเทศนี้ที่เขาเจริญกว่า ตกลงบ้านเราขาดแคลนเฉพาะบางสาขา หรือขาดแคลนทั้งหมด หรือมีเยอะกว่าสายอาชีพ ไม่ใช่ที่ควรจะเป็นกันแน่ จากคุณ : อวัยวะชิ้นนั้น เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 23:15:47

ความคิดเห็นที่ 16 งบหมดไปกับอาคารสถานที่ จ้างคนงาน หมอพยาบาลผมว่าสายอาชีพ มีตัดมีต่อมีเย็บ จากคุณ : Alone among the crowd เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 23:40:46

ความคิดเห็นที่ 17 คิดแบบพวกวัตถุนิยม ก็แบบนี้แหละครับ ทั้งๆที่สายสังคม มนุษย์ สำคัญมากแต่คนมักไม่ค่อยให้ความสำคัญกันเพราะงานหลายๆอย่างมันไม่เป็นรูปธรรมและอยู่เบื้องหลัง เชื่อผิดๆว่า มหาลัยจะดังได้ต้อง แพทย์ วิศวะ สร้างคนให้เป็นหุ่นยนต์กันหมดแล้วสมัยนี้ จากคุณ : -- (รักสาวอุบล) เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 55 12:14:48

ความคิดเห็นที่ 18 จากประสบการณ์ที่เรียนทางสายการแพทย์ในรั้วสีชมพูนี้มา(ไม่ใช่หมอนะคะ) จากการสังเกตคลุกคลีกับเพื่อนๆหลายคณะที่เป็นเด็กหอด้วยกัน ซึ่งมีคณะแพทย์ด้วย(ตอนปี 1) คิดว่าคนเรียนแพทย์ ต้องหัวดีในระดับหนึ่งค่ะ ไม่จำเป็นต้องเก่งเทพๆ คนบางคนเก่งมากๆในวิชาพวกคำนวณ เคมี ฟิสิกส์ แต่ด้านภาษาไม่เก่ง ไม่ชอบ จึงเป็นผลทำให้อ่านตำรายากๆทีละมากๆไม่ค่อยได้ (เพื่อนเรานี่แหละค่ะ ที่ว่าแทบอ้วกคงเพราะความไม่ถนัด) สิ่งที่สำคัญกว่าในการเรียนแพทย์ คือความขยัน อึดถึกค่ะ เพราะเก่งแค่ไหนถ้าไม่อ่าน ไม่ท่องไม่มีวันเรียนแพทย์จบ ข้อสอบมันออกละเอียดยิบ เก่งไม่กลัว กลัวขยัน คนเก่งมากๆอาจจะอ่านแค่รอบเดียว จำได้ แต่คนไม่เก่งมาก ต้องอ่านหลายๆรอบๆ สรุปแล้วยังไงก็ต้องอ่าน และหากไม่เก่งมาก แต่ขยัน จิตใจแน่วแน่มั่นคง ก็สามารถเรียนแพทย์จบได้ ประเทศไทยเราไม่รวยขนาดที่จะให้คนที่อยากเรียนแพทย์ เรียนได้ตามต้องการจึงต้องมีการสอบแข่งขัน มันเลยกลายเป็นว่าคนที่เรียนแพทย์นั้นมีแต่คนเก่งๆๆเท่านั้น เรียนแพทย์นั้นยากก็จริง แต่ไม่ยากไปกว่าการสอบเข้าไปเรียนแพทย์ ซึ่งยากกว่ามาก ส่วนตัวเห็นด้วยที่จะเพิ่มการผลิตแพทย์ พยาบาลเพิ่ม เพราะทำงานใน รพ. ศูนย์รัฐมา 3 ปี ทั้งรพ.มีหมอประจำ(ไม่นับหมอใช้ทุน)อยู่ 50 กว่าคน หมอออกตรวจ ประมาณ 6-7 คนต่อจำนวนผู้ป่วยนอกหลายร้อยคน ที่เหลือดูคนไข้ ward บ้าง ผ่าตัดบ้าง ออกหน่วยชุมชนบ้าง ไปประชุมบ้าง งาน load สุดๆ แต่ไม่เห็นด้วยที่จะลดสายสังคม เพราะศาสตร์ทางด้านนี้มีประโยชน์มากในการพัฒนาด้านความคิด จิตใจ และสามารถนำไปต่อยอดได้เยอะ ยังไงก็ต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน จากคุณ : tomtomgum เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 55 15:48:53

ความคิดเห็นที่ 19 เราว่า จุฬาไม่น่าลดสายสังคม .. เพราะคนที่เข้ามาแต่ละคน ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เด็กหัวกะทิสายศิลป์ ไม่ก็เด็กที่อยากเรียน ตามสายงานที่ตนเองชื่นชอบ ถ้าจะลด โดยเฉพาะพวกสายครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ คุณเอาอะไรมาวัดว่าคนที่จบสายครุ-ศึกษาของจุฬาไม่มีความสามารถ? ที่ประเทศไทยยังมีปัญหาเรื่องการศึกษา ก็ไม่ใช่เพราะรัฐเปิดม.ราชฎัชแล้วผลิตครูทั่วบ้านทั่วเมือง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ประสิทธิภาพไม่ใช่รึไง ? ถ้าไปแก้ปัญหาที่ว่า ให้ครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์ มีในมหาวิทยาลัยชั้นนำ แล้วเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ เพื่อจูงใจให้คนมาเรียนเพื่อนำไปประกอบอาชีพ ยังจะดีกว่า .. - -" จากคุณ : jenssoopa5 เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 55 16:12:24

ความคิดเห็นที่ 20 อีกอย่าง เสริมให้เรียนแพทย์แล้ว หันมาเสริมการเรียนสายอาชีพให้มากๆ รับเด็กโดยการกรองอะไรมากขึ้น ผลิตให้มีความสามารถ รองรับและเพิ่มตลาดให้เด็ก มีเงินเดือนขั้นต่ำที่ไม่แตกต่างจากป.ตรีมากนัก ช่วยกันสร้างค่านิยมการเรียนสายอาชีพ ว่าไม่ได้เลวร้าย ก่อนที่ประเทศไทยจะมีแต่บัญฑิตไม่มีคุณภาพทำงานไม่ตรงสาย - -" จะแก้อะไรช่วยแก้ให้ัมันถูกจุดนิดนึง นะ กศธ. จากคุณ : jenssoopa5 เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 55 16:21:02

ความคิดเห็นที่ 21 ขออนุญาตมองต่าง #18   << เรียนแพทย์นั้นยากก็จริง แต่ไม่ยากไปกว่าการสอบเข้าไปเรียนแพทย์ ซึ่งยากกว่ามาก >> ผมไม่ใช่หมอ แต่รอบตัวมีหมอหลายคน ทุกคนบอกว่า สอบเข้าคือขั้นตอน " ง่ายทีสุด "  ครับ จากคุณ : 447 เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 55 17:00:00

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบในฐานะที่เป็นแพทย์คนนึง "ในกระบวนการของการเป็นแพทย์ การสอบเข้าเป็นกระบวนการที่ง่ายที่สุด" และผมมองว่าคนที่จะเรียนแพทย์ต้องเก่งระดับหนึ่ง ไม่ใช่ใคร ๆ ก็เรียนได้ และคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดบางแห่งสอบเข้าง่ายครับ แต่ว่าลองตามไปดูดิ ว่าเรียนไหวกันมั้ย สอบใบประกอบตกกี่เปอร์เซนต์ จากคุณ : Son of Library เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 55 21:50:51 A:118.173.78.60 X: TicketID:348945

ความคิดเห็นที่ 23 เพิ่มกำลังการผลิตระดับอุดมศึกษา ถ้าหมอเรียนง่ายจริง ป่านนี้หมอคงล้นโลกไปแล้ว นี่ขาดแคลนกันทุกประเทศนะครับ ไม่ว่าจะประเทศพัฒนา กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา ว่าแต่คุณภาพของเด็กนักเรียนม.ปลายเอาไปไว้ไหนกันเหรอครับ ถ้า input ไม่ดี จะไปบีบให้กระบวนการผลิตดีขึ้น สุดท้าย yield ก็ต่ำอยู่ดี จากคุณ : เอาชื่อรัยอ่ะ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 06:24:12

ความคิดเห็นที่ 24 คห.23 http://www.youtube.com/watch?v=0WvZMitq9O8 สารคดีนี้บอกว่า พม่าผลิตแพทย์ได้เกินความต้องการของประเทศ จากคุณ : โซดาน้ำขิง เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 11:06:57

ความคิดเห็นที่ 25 เราเรียนสายสังคมฯมา รู้ไหมคะ งานสายสังคมหางานทำได้ไม่ยาก แต่เงินเดือนไม่สูง (ยกเว้นความเชี่ยวชาญด้านภาษาต่างประเทศ) คนสายสังคมอย่างเราอยู่ได้เพราะใจรักค่ะ เราว่าทุกคนที่เรียนรู้นะคะว่าจบมาเงินเดือนไม่ได้สูง แต่ก็เลือกที่จะเรียน สำหรับเราเรายอมรับว่าพลาดไปตอนเลือกเรียน เราคิดแค่ว่าอยากเรียนแต่ลืมมอง ลืมเจาะจงไปในคณะนั้นๆ ว่าเนื้อหาแตกต่างกันอย่างไร เหมือนกันอย่างไร เน้นด้านไหนเป็นเฉพาะ พอจบมาพบว่าอยากเรียนต่อแต่ไม่อยากขอเงินพ่อแม่ พยายามมองหาทุนสายสังคมแต่ทุนน้อยเหลือเกินค่ะ ทุนส่วนใหญ่โปรแต่สายวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาประเทศ แต่ทุนทางสายสังคมมีน้อย ไม่คลอบคลุมสาขา อยากเรียนก็ต้องออกเงินเอง เพื่อนเราเรียนป.โทรอยื่นทุนมาจนใกล้จบแล้วก็ยังไม่เปิดสอบ (น้อยใจนะคะT^T) เราว่าเพิ่มจำนวนแพทย์และพยาบาลนี่ดีนะคะ แต่ไม่ควรลดสายอื่นๆ ถ้าจะลดก็ดูว่าแต่ละแห่งมีวิชา หรือความแตกต่างทางด้านเนื้อหาอย่างไรก่อนที่จะเหมารวม คณะที่เราจบมามี 14 วิชาเอก 21 วิชาโท มีแผนการเรียนเป็นร้อยแผน แตกต่างกันแล้วแต่บุคคล เลือกนักศึกษามา 10 คน มีแผนการเรียนไม่ซ้ำกัน แล้วคุณจะพูดได้อย่างไรว่าสายสังคมมีคนเรียนจนล้น จากคุณ : hippogift เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 55 15:19:58

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้าการจะเพิ่มแพทย์มันจำเป็นต้องลดพวกสายสังคม ก็ลดไปเถอะ ยังไงสุขภาพประชาชนชาวไทยก็สำคัญกว่าเนอะ มหาลัยอื่นๆที่เค้าไม่เปิดสอนสายแพทย์ก็มีเยอะแยะ ยังมีที่ให้เรียนอีกเยอะแยะนี่นา เรียนที่ไหนก็ไม่ต่างกันมากหรอกอยู่ที่ตัวเอง อ่านหนังสือเอาก็ได้ แต่สายแพทย์เป็นสายที่ต้องใช้เงินทุนรัฐบาล ในค่าอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงอาจารย์ใหญ่ มหาลัยที่เปิดสอนก็มีจำนวนจำกัดด้วย ที่คนเรามีชีวิตอยู่ได้เรียนอะไรเยอะแยะแบบนี้ ก็เพราะวิทยาการทางการแพทย์ไม่ใช่หรอ สมัยก่อนแค่ฝันผุก็ตายได้ละ ใครอายุถึง 60 นี่ถือว่าอายุยืนสุดๆ เวลามีลูกก็มีทีละมากๆเผื่อใครจะตายไปตอนเด็กๆ จะได้เหลือลูกไว้บ้าง เกิดโรคระบาดอย่างแค่อหิวา ก็ตายกันยกเมือง ที่มีชีวิตยืนยาวให้ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากขึ้นก็เพราะวิทยาการทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์เนี่ยแหละ(การพิมพ์หนังสือมาให้เราอ่านได้ก็มาจากวิทยาศาสตร์นะจ๊ะ) จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 55 02:57:13 A:110.169.206.164 X: TicketID:178919

ความคิดเห็นที่ 27 # 18   "เรียนแพทย์นั้นยากก็จริง แต่ไม่ยากไปกว่าการสอบเข้าไปเรียนแพทย์ ซึ่งยากกว่ามาก" ....................ตลกอะ ถ้าไม่ได้เรียนอย่าพูดดีกว่านะ    เรียนแพทย์ ง่ายสุดคือตอนสอบเข้าครับคุณ ตอนสอบเข้าหมออ่านหนังสือหนักๆจริงก็แค่ตอน ม.6อะ อ่านเพื่อจะสอบให้ติดแพทย์      แต่เข้ามาเรียนแล้วตั้งแต่ปี 2 ยันจบปี 6 ต้องอ่านหนังสือหนักกว่าเพราะเนื้อหาทั้งเยอะทั้งยากอาศัยความจำและความเข้าใจเยอะมาก anatomy ต้องจำ แต่ physio biochem pathology พวกนี้มันต้องใช้ความเข้าใจครับ       มีสอบทุก 2-3 อาทิตย์ ไม่ได้สอบขำๆเก็บคะแนนนะฮะ สอบแบบว่าตัดเกรดเลย  เรียนจบแล้วก็ต้องอ่านหาความรู้ไปอีก เพราะวิทยาการทางการแพทย์มันก้าวหน้าเรื่อย ถ้าไม่รู้จักศึกษาก็เป็นได้แค่หมอทีไม่มีความรู้ที่ทันสมัย        เพราะฉะนั้น สอบเข้ามาง่ายสุดแล้วครับคุณ จากคุณ : คุณหลอกดาว เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 11:39:56