PANTIP.COM : K12910767 ศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ เอกอังกฤษ ที่ไหนดังบ้างคะ [การศึกษา]

ความคิดเห็นที่ 12

เรียนเอกศึกษาศาสตร์หรือครุศาสตร์ทำให้จบมาแล้วได้ใบอนุญาตครูเพื่อไปสอนประถมหรือมัธยมตามกฎระเบียบแบบไทยๆ

แต่ศาสตร์ว่าด้วยการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 (teaching English as a foreign language หรือ teaching English to speakers of other language) แท้จริงแล้วเป็นเอกเทศของมัน "ไม่เป็น subset ของวิชาครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์"

^
ครูสอนภาษาอังกฤษที่เก่งที่สุดในโลก ส่วนใหญ่เก่งเพราะ 1 เป็นเจ้าของภาษาหรือไม่ใช่เจ้าของภาษาแต่สนใจเรียนรู้ภาษาอังกฤษจนเก่งสูสีเจ้าของภาษา 2 เป็นนักคิดที่สมองพลิกแพลงมากๆเพราะภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในภาษาที่เรียนยากแล้วก็สอนยากมากที่สุดในโลก เพราะมันมีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนค่อนข้างเยอะ ยิ่งคิดค้นหาวิธีใหม่ๆก็จะยิ่งคลี่คลายความลึกลับของมัน

เมื่อหลายปีมาแล้วตอนเราหัดสอนภาษาอังกฤษใหม่ๆ เราสอนได้แต่ conversation ให้คนที่พอพูดได้อยู่แล้วให้เก่งมากๆ กับสอน reading comprehension ให้คนที่พออ่านรู้เรื่องอยู่แล้วพัฒนาศัพท์และอ่านเรื่องยากๆได้รวดเร็วมากๆ แต่เราไม่เคยรู้วิธีสอนนักเรียนที่อ่อนมากๆแบบไม่กระดิกหูเลยให้เก่งได้ อีกหลายปีต่อมาหลังจากที่เราเปลี่ยนอาชีพไปเป็นนักแปลแล้ววันๆหนึ่งต้องเขียนภาษาอังกฤษเยอะมากๆ (ในการทำงานแปลไทยเป็นอังกฤษ) จนเรารู้วิธีคิดประโยคภาษาอังกฤษพลิกแพลงได้รวดเร็วมากๆ ประกอบกับเราทดสอบ computer software เพื่อช่วยด้านการเรียนภาษาอังกฤษ (และเรียนรู้อย่างอื่น)มาหลายปี จึงนำมันมาช่วยทุนแรงในการสอนตัวเองและสอนผู้อื่น และพอเริ่มจะรู้วิธีสอน reading comprehension กับ writing ในการสอนรอบ (teaching session) เดียวได้กัน
^
แต่การค้นคว้าใหม่ๆได้มาแค่นี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราภาคภูมิใจนัก จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่งมีนักเรียนที่อ่อนมากๆมาให้เราสอนอยู่ดีๆไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร "มันเหมือนมีแรงดลใจอะไรบางอย่าง" ที่ทำให้

"เป็นครั้งแรกในชีวิตเรามองเห็นทางสว่างว่าจะสอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนที่อ่อนมากๆได้ยังไง"

โดยการเริ่มสอนให้นักเรียนฝึกฟังเสียงฝรั่งจาก audio แล้วหัดพูดตาม (โดยที่เราคอยสอนวิชา phonetics ภาคปฏิบัติให้นักเรียนเพื่อให้นักเรียนรู้ว่าจะขยับอวัยวะออกเสียงแบบไหนถึงจะออกเสียงได้ถูกต้อง และจะฟังเสียงฝรั่งอย่างไรจึงจะรู้ว่า ออกเสียงช้า (strong form) กับออกเสียงเร็วๆ (weak form ใน connected speech) มันต่างกันอย่างไรเพื่อเพิ่มทักษะในการฟังและพูด ซึ่งในกระบวนการ drill คือฝึกฟังแล้วพูดตามซ้ำๆกันนี้ โดยพูดพลิกประโยคกลับไปกลับมา (improvisation) เราคิดหาวิธีสร้างประโยคให้มัน "สอน grammar ไปในตัวกับช่วยจำศัพท์ไปในตัวได้" พอนักเรียนพูดพลิกกลับไปกลับมาได้คล่องแล้วเราถึงให้นักเรียนหัดเขียนออกมาเป็นประโยคพลิกแพลง และสอนให้อ่านข้อความแล้วดึงข้อความที่อ่านเจอออกมาเขียน จากนั้นก็ใช้ computer software ทำ mind mapping เพื่อช่วยความจำ และสร้าง database ขึ้นมาเพื่อให้หาบทเรียนและแบบฝึกหัดที่เรียนไปแล้วเพื่อกลับมาทบทวนได้ง่ายๆ

^
เลยอยู่ดีๆเรากลายเป็นรู้วิธีสอนครบทุกทักษะคือ ฟัง พูด อ่าน เขียน และ grammar ครบสูตรหมดในการสอนแต่ละรอบ (teaching session) โดยไม่แยกสอนเหมือนครูคนอื่นๆสอน

ตอนนี้ในยามว่างเราจะ expand บทเรียนที่เราสร้างขึ้นมาเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บไว้ใน database แต่จริงๆแล้วตอนนี้ยกเลิกการสอนทั้งหมดเพราะงานแปลเอกสารเยอะมากๆ กะว่าพอหาเงินจากการทำงานแปลเอกสารได้พอแล้ว เราอาจนำ database ที่เราสร้างไว้ กลับไปทำงานสอนภาษาอังกฤษใหม่อีก

สิ่งที่เราคิดขึ้นมาได้มันเหมือน "แรงดลใจอะไรบางอย่าง" เพราะเราเลิกสอนภาษาอังกฤษไปตั้งแต่สมัยหลายปีก่อนโน้นก็เพราะเรา "ท้อใจกับการที่เราไม่สามารถสอนนักเรียนที่่อ่อนมากๆนั่นเอง" บางทีช่วงนี้ cells สมองและร่างกายเราเปลี่ยนไปแบบ biological transmutation ไปในทางทีดี มันคงเป็นเพราะเราฝึก Zen Macrobiotics โดยที่กินแต่อาหารธรรมชาติ เช่นข้าวกับผัก organic ใช้เครื่องปรุงธรรมชาติ (ไม่กินน้ำตาลฟอกสี ไม่กินผงชูรส หรือสารเคมีอย่างอื่น) มาตั้งหลายปีแล้ว

แปลกแต่จริง
Zen Macrobiotics กลายเป็นนำมาใช้ในการเรียนรู้ศาสตร์ด้าน teaching English as a foreign language หรือ teaching English to speakers of other languages ได้อย่างน่ามหัศจรรย์!
แก้ไขเมื่อ 12 พ.ย. 55 02:29:36

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 55 02:25:34