 |
**อันนี้หาดูในinternet** ณ บ้านพระอาทิตย์ โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สัตว์แต่ละประเภทให้ความหมายในแต่ละชนชาติไม่เหมือนกัน กรณีที่นายฮุน เซน ได้ต่อว่านายสนธิ ลิ้มทองกุลว่าเป็นจระเข้นั้นถือเป็นคำด่าที่แรงมากสำหรับกัมพูชาว่ามีความหมายในทำนองการเนรคุณ แต่สำหรับคนไทยอาจจะรู้สึกเฉยๆ ในขณะที่งูเห่ากลายเป็นสัตว์ในนิทานของไทยในทำนองเป็นสัญลักษณ์ของการหักหลังและเนรคุณมากกว่า ตัวตะกวด ซึ่งเป็นตัวเงินตัวทอง ซึ่งใช้เป็นคำด่าในประเทศไทย แต่กลับไม่เป็นคำด่าในประเทศกัมพูชาแต่ประการใด ในทางตรงกันข้ามกลับเป็นสัตว์ที่ชาวกัมพูชาจำนวนไม่น้อยให้ความเคารพนับถือเสียด้วยซ้ำ พงศาวดาร ตำนาน นิทาน และความเชื่อเรื่องสัตว์ในแต่ละชนชาตินั้นไม่เหมือนกัน นาค ในสมัยพุทธกาล ซึ่งกล่าวถึงว่ามาพยายามจะมาบวช โดยพระคู่สวดจะต้องสอบสวนในคำถามหนึ่งว่า เจ้าเป็นคนหรือเปล่า? ด้วยเหตุนี้พญานาคในความเชื่อของชาวอุษาคเนย์จึงเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่คน แต่ในความเป็นจริง นาค เป็นชนชาติส่วนน้อยทางตะวันออกสุดของอินเดียวติดพรมแดนพม่า อยู่ ณ บริเวณเทือกขานาค (Naga Hills) เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอัสสัม แต่พวกนาคได้ร่วมกันต่อสู้มานานจนปี พ.ศ. 2507 ได้มีการยินยอมจากรัฐบาลกลางแห่งสหภาพอินเดียให้จัดตั้งเป็น รัฐนาค (Nagaland) ขึ้น จิตร ภูมิศักดิ์ เคยเขียนอธิบายเรื่องความหมายชื่อนาคไว้ในหนังสือความเป็นมาของคำสยาม, ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมขอชื่อชนชาติ พิมพ์ครั้งแรก 2519 ความบางส่วนระบุว่า: ชาวอารยันยุคโบราณ สมัยที่ยังไม่เกิดเป็นรัฐประชาชาตินั้น มีการเหยียดหยามดูถูกพวกนาคมาก ถือเป็นพวกลักขะพวกหนึ่ง และคำเรียกชื่อชนชาติก็กล่าวกันว่ามาจากภาษาอัสสัม ซึ่งเขียน naga แต่อ่านออกเสียงเป็น นอค (noga) แปลว่าเปลือย, แก้ผ้า, บ้างก็มาจากภาษาฮินดูสตานีว่า นัค (nag) แปลว่า คนชาวเขา สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้เคยเขียนหนังสือเรื่อง นาคในประวัติศาสตร์อุษาอาคเนย์ ความตอนหนึ่งว่า แท้ที่จริงแล้วในยุคพุทธกาลนั้น สังคมอินเดียเป็นยุคที่มีการเหยียดหยามคนบางเผ่าที่ระดับสังคมล้าหลังให้เป็นผี เป็นลิงค่างบางชะนี เป็นสัตว์ เป็นยักษ์ โดยไม่ยอมรับว่าเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ เมื่อสังคมอินเดียทั่วไปไม่ยอมรับชนเผ่านาคาหรือนาคว่าเป็นคน คงถือเป็นลิงค่างที่ป่าเถื่อน แม้จะพูดภาษากันรู้เรื่องแต่ก็ยังไม่ยอมรับว่าเป็นคน จึงไม่ยอมรับให้บวชในพุทธศาสนา นาค ยังเป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ต่ำกว่า 2 พันปี โดยมนุษย์สมัยนั้นยกย่องถืองูเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นเจ้าดินและน้ำ สิงสถิตอยู่นาคพิภพเมืองบาดาลซึ่งอยู่ใต้ดินอันเป็นแหล่งกำเนิดน้ำ และคุ้มครองแม่น้ำลำคลอง โดยเฉพาะเมื่ออารยธรรมอินเดียโดยเฉพาะศาสนาพุทธและพราหมณ์แพร่หลายเข้ามา ลัทธิบูชานาคก็ได้ประสมกลมกลืนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิศาสนาที่เข้ามาใหม่มาจนถึงปัจจุบัน ประวัติศาสตร์เขมรเกี่ยวข้องกับนาคอย่างเหนียวแน่น และยังเกี่ยวโยงกับ ตะกวด ด้วย ปรากฏในนิทานบรรพบุรุษของเขมรเรื่อง นางนาคกับพระทอง ซึ่งอยู่ในหนังสือพงศาวดารกรุงกัมพูชา ตอนต้นของราชพงศาวดารนี้ เป็นเรื่องพุทธทำนายตามขนบธรรมเนียมการเขียนตำนานพงศาวดารที่ได้แบบแผนมาจากลังกา กล่าวถึงพระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึงเกาะใหญ่เกาะหนึ่งทางสุวรรณภูมิหรือแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมด้วยพระอานนทเถร วันหนึ่งเมื่อพระพุทธองค์กำลังเสวยภัตตาหารอยู่นั้น สัตว์ตะกวดได้กลิ่นอาหารทิพย์ ซึ่งมีรสโอชาก็มีความปรารถนาอยากจะกินอาหารนั้นมาก จึงคลานเข้าไปสู่สำนักแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าน้อมเกล้าฯถวายบังคม
พระพุทธองค์ทรงพระกรุณาปั้นพระกระยาหาร แล้วโยนไปประทานให้ตะกวดตัวนั้น ครั้นตะกวดได้บริโภคอาหารทิพย์เข้าไปแล้ว ก็รู้สึกมีรสอร่อย จึงได้แลบลิ้นเลียปากของตัวเอง สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงทัศนาเห็นลิ้นตะกวดที่แลบออกเลียปากนั้น เป็นลิ้น 2 แฉก ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์จะทรงตรัสพยากรณ์ พระอานนทเถรเมื่อได้เห็นดังนั้น ก็ทูลถามเรื่องราวจากพระพุทธองค์ โดยพระพุทธองค์ทรงทำนายบอกแก่พระอานนทเถรว่า: ดูกรอานนท์เอ๋ย จำเดิมตั้งแต่นี้ต่อไปภายหน้า เกาะโคกหมันนี้แผ่นดินจะงอกขึ้นอีกใหญ่กว้าง แล้วจะเกิดเป็นนครหนึ่ง ซึ่งสัตว์ตะกวดมีจิตรเลื่อมใสศรัทธามากราบถวายบังคมต่อองค์พระตถาคต โดยอำนาจกุศลโสตประสาทได้ยินศัพทสำเนียงพระสัทธรรมเทศนาแห่งพระตถาคต ในเมื่อเวลาสำแนงให้พญานาคและฝูงเทวาได้สดับตรับฟังนั้น เมื่อตะกวดนี้สิ้นชีพแล้วจะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ แล้วจะได้จุติลงมาเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งครองกรุงอินทปรัตถ์นคร แลพระราชบุตรของกษัตริย์องค์นั้นจะได้เสด็จมายังที่ตรงนี้ จึงพญานาคที่ได้มาฟังแก่พระราชบุตรของกษัตริย์องค์นั้นประทับอยู่ แล้วขนานนามพระนครเรียกว่า กรุงกัมพูชาธิบดี ส่วนนานาประเทศจะเรียกว่าเขมรภาษา แล้วเรียกนามเมืองว่าอินทปรัตถนครเป็น 2 ชื่อ แลบรรดามนุษยชาติในพระราชธานีนี้จะพูดจาสิ่งใดๆ ไม่ค่อยยั่งยืนอยู่ในสัตยานุสัตย์ โดยบุรพกษัตริย์ผู้ตั้งต้นแผ่นดินมีชาติกำเนิดจากสัตว์ตะกวด อันมีลิ้นแฝดแตกแยกออกเป็น 2 ซีก ขีดเส้นใต้ในพระพุทธทำนายตอนท้ายอีกครั้งว่า: แลบรรดามนุษยชาติในพระราชธานีนี้จะพูดจาสิ่งใดๆ ไม่ค่อยยั่งยืนอยู่ในสัตยานุสัตย์ โดยบุรพกษัตริย์ผู้ตั้งต้นแผ่นดินมีชาติกำเนิดจากสัตว์ตะกวด อันมีลิ้นแฝดแตกแยกออกเป็น 2 ซีก พุทธทำนายนี้อยู่ในพงศาวดารกรุงกัมพูชา ไม่ใช่พงศาวดารสยาม !!!
ต่อมาตะกวดตัวนี้ตายไปเกิดมาเป็น พระทองซึ่งเป็นโอรสกษัตริย์เมืองหนึ่ง ต่อมาคิดเป็นกบฏจึงถูกลงโทษให้เนรเทศออกจากเมือง แล้วไปแย่งดินแดนจามจนได้พบกับนางนาค เมื่อพระทองได้แต่งงานกับนางนาคแล้ว พญานาคก็ช่วยสร้างบ้านเมืองให้อยู่ชื่อกรุงกัมพูชา พร้อมทั้งปกป้องคุ้มครองให้เกิดความมั่งคั่งและมั่นคง นิทานพุทธทำนายที่อยู่ในพงศาวดารระบุว่า ตะกวดได้เกิดใหม่เป็นต้นตระกูลกษัตริย์เขมร เท่ากับว่า ตะกวด เป็นบรรพบุรุษของชาวเขมร ดังนั้นความเชื่อตะกวดหรือยกย่องตะกวดเป็นสัญลักษณ์ของบรรพบุรุษมาแต่ยุคดึกดำบรรพ์ มีร่องรอยสำคัญเป็นลวดลายอยู่บนกลองทองมโหรทึก พบที่ภาคเหนือของเวียดนามในวัฒนธรรมดองซอน มีรูปร่างคล้ายตะกวดอยู่โดยรอบหน้ากลอง ทุกวันนี้คนเชื่อสายเขมรบางกลุ่มยังเคารพตะกวดว่าเป็นบรรพบุรุษของตน ทุกปีจะร่วมกันทำพิธีเซ่นสังเวยตะกวด และคนทั้งหมู่บ้านไม่กินตะกวด จึงเห็นตะกวดเพ่นพ่านอยู่ตามบ้านเรือนและต้นไม้ในหมู่บ้าน ตะกวด จึงไม่ใช่คำด่าสำหรับกัมพูชา แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นความเชื่อว่าเป็นต้นตระกูลกษัตริย์และชาวเขมรตามพงศาวดารกัมพูชา!!!
จากคุณ |
:
sukhumvit93
|
เขียนเมื่อ |
:
14 พ.ย. 55 15:35:43
|
|
|
|
 |