ความคิดเห็นที่ 1 เริ่มจาก แกรมม่า ระดับพื้นฐานก่อนจะดีกว่าครับ (ถ้าสำหรับกรณีฝึกฝนด้วยตนเอง ตั้งแต่พื้นฐานเลย)  โดยใช้หนังสือไวยากรณ์ระดับต้นก่อน   อาจจะควบคู่ไปกับการดูภาพยนตร์ หรือ ละครทีวี ต่างประเทศแบบซับไตเติ้ล(ภาษาอังกฤษ)ไปพร้อมกัน เพื่อให้หูปรับสภาพ ทำความเคยชิน  จากนั้นก็เริ่มอ่านบทความหรือคอลั่มนิตยสารไม่ต้องยาวมากในเรื่องที่สนใจ จากหนังสือจริงๆ หรืออินเตอร์เน็ตก็ได้ครับ   ถ้ารู้สึกว่าเรามาได้ประมาณนึงแล้ว ก็ค่อยเพิ่มระดับเข้าไปเรื่อยๆ  เริ่มเขียนแนะนำตัว ๑ ย่อหน้า  เริ่มขยับไปอ่านหนังสือ ไวยากรณ์ระดับกลาง และฟังข่าวจาก บีบีซี ไปตามเสต็ป หาหนังสืออ่านนอกเวลาที่เป็น Children book หรือ short-fiction เพิ่มเติม ส่วนไหนที่คิดว่าเริ่มแล้วไม่ทำให้ท้อ ไม่กดดันตัวเอง น่าจะดีที่สุดครับ  หากไม่มีอะไรมาเร่งรัดเวลาว่าภายในกี่ปีต้องผ่านเกณฑ์ตามนี้ให้ได้ ผมว่าปล่อยไปตามธรรมชาติให้มันค่อยๆ ซึมซับดีกว่า เพื่อนๆ หลายคนที่ปั่นตัวเองให้สอบ TOEFL ให้ผ่านเกณฑ์เพื่อใช้ในการเข้าปริญญาโท ต่างประเทศ  นั่งฟังซีดีภาษาอังกฤษ ฟังข่าว ทั้งวัน  เป็นเวลาหลายเดือน  พอสอบผ่านแล้วกลับมานั่งบ่นทีหลังว่า  ทรมานตัวเองมากๆ ปล. ส่วนตัวผมเริ่มจาก โครงสร้างภาษาก่อน ให้รู้ว่า มันประกอบด้วยอะไร ขึ้นต้น อะไรต่อท้าย และอะไรเป็นตัวจบ  และเทนส์ต่างๆ ที่เข้าใจง่าย   จะช่วยให้เราเข้าใจได้เร็วขึ้น  หากเริ่มจากการดูซาวด์แทร็คบางทีเราจับจุดไม่ถูกว่า ควรจะเน้นฟังส่วนไหนก่อน ยิ่งดูซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษ ก็งงๆ ไม่เข้าใจอยู่ดี  แม้ว่ามันอาจจะเป็น ประโยคพูด ไม่ใช่ประโยคเขียน   แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 55 01:26:54 จากคุณ : หมอกสีจาง เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 01:23:57

ความคิดเห็นที่ 2 เริ่มต้นนี่ เริ่มแค่ไหนน่ะครับ? ถ้าเคยเรียนภาษาอังกฤษมาบ้างแล้ว สมัยประถม-มัธยม ผมว่าอ่านหนังสือเลยจะดีกว่าครับ ลองไปเดินๆ B2S เซ็นทรัลเวิร์ล จะมีหนังสือสำหรับเด็ก แบ่งตามความยากไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ลองไปเปิดๆ ดูครับว่าระดับไหนที่เราอ่านได้ ไม่ยากจนเกินไป ก็เริ่มจากอย่างนั้น ความเห็นส่วนตัว ผมไม่ใช่แฟน grammar ครับ ถ้าไม่ได้แย่ขนาด อ่านไม่ออกเลย a b c ไม่รู้จักเลย ไม่ต้องไปเรียนหรอก อ่านดีกว่า แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 55 01:46:04 จากคุณ : J-Renderer เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 01:38:02

ความคิดเห็นที่ 3 ครับอยากฝึกแบบเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่แรกเลย เข้าใจนะคับเรื่องที่เรียนมาตั้งแต่ประถม มัธยม แต่เหมือนมันไม่ได้อยู่ในหัวเลย ตอนนี้เลยอยากฝึกใหม่หมดตั้งแต่แรกแบบพื้นฐานเบสิคเลย แต่ปัญหาคือไม่รู้จะเริ่มจากส่วนไหน เริ่มต้นยังไง  ตอนนี้ก็ได้แค่คำศัพท์ง่ายๆ พอแปลประโยคจากบทสนทนาในหนังสือ ออกบ้างนิดหน่อยแต่ถ้าให้พูดหรือเขียนอะไรแบบนี้ ตายเลยคับ ไม่รู้จะเริ่มหรือเรียงประโยคยังไง นอกจากประโยคพื้นฐานแนะนำตัวเล็กๆน้อยๆ ก็เลยคิดว่า อยากเริ่มตั้งแต่ต้นเลยดีกว่าคับ จากคุณ : Jatenipat เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 02:03:52

ความคิดเห็นที่ 4 ค้าน คห.1 เต็มที่เลย และเห็นด้วยกับ จขกท เพราะผมทำมาแล้ว ประสบการณ์ตรงเลย หนูทดลองคือ ลูกของพี่ชาย คนนี้ตอนเรียน ม.ต้น ไม่ตั้งใจเรียน ผลการเรียนประมาณสองห้า ไม่ถึงเกณฑ์ได้ต่อ ม.ปลายของโรงเรียน ติดแค่สำรองศิลป์คำนวณ สอบเข้าเรียนต่อก็ไม่ติด ฝุ่นตลบอยู่ตั้งนาน กว่าที่จะได้ที่เรียนเพราะโรงเรียนเรียกสำรองคนที่เจ็ด(ก็เขาแล่ะ) อึดอัดกันแทบตาย พอรู้ว่าเขาต้องเรียนสายศิลป์แน่แล้ว ผมไปค้นเจอหนังสือนอกเวลาสมัยผมเรียนม.ปลาย ชื่อ Fire in the forest ผมก็เอามาให้เขาลองอ่านทันที ปรากฎว่าเขาอ่านไม่รู้เรื่อง แปลไม่เป็น ผมก็เลยบอกวิธีการแปล การเดาศัพท์จากบริบทและประโยคแวดล้อม ซึ่งการจะแปลให้รู้เรื่องได้ก็ต้องเข้าใจไวยากรณ็ด้วย ผมก็แทรกมันตอนนั้นเลย ซึ่งระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษของผมก็ธรรมดามากเลยนะ เด็กชอบมาก มันเหมือนเปิดโลกของเขาใหม่เลย เขาได้เข้าใจว่า ภาษาไม่มีคำว่าเหมืนกันเป๊ะ เดิมยึดภาษาไทยเป็นหลักแล้วพยายามเทียบเคียง ซึ่งมันใช้ไม่ได้ ต้องจัดความคิดใหม่ ว่านี่มันอีกภาษานึง มีวิธีการใช้ในแบบของมัน การแปลการจับคำต่าง ๆ ตรงไหนเป็นประโยคหลัก ตรงไหนเป็นประโยคย่อย อันไหนขยายอันไหน เพราะถ้าแยกไม่ออก ก็ไม่มีทางแปลรู้เรื่อง มันเหมือนกับเด็กได้ทะลุกำแพงบาง ๆ ที่ขังเขามานานออกมาได้ ทำให้เขาชอบภาษาอังกฤษขึ้นมาซะอย่างนั้น เดี๋ยวนี้อังกฤษเขาเทพมาก ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนักเรียนกล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ และมีความกล้าที่จะเข้าไปชวนคุยกับฝรั่ง แค่ปีกว่า ๆ ผมเทียบ(มัน)ไม่ติดแล้ว ตอนนี้ผมกำลังจะใช้วิธีนี้กับน้อง ๆ ของเขา และเด็กทุกคนที่หากมีโอกาสผ่านเข้ามาในชีวิตผม เพราะมันได้ผลนั่นเอง จากคุณ : LUCKPOWERRICH เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 02:17:51

ความคิดเห็นที่ 5 วิธีคนอื่นเราไม่รู้ แต่โดยส่วนตัวแล้วตอนเราเริ่มเรียนแบบจากไม่กระดิกหูเลย เราเรียนแต่ฟังกับพูด และเรียนจากหนังฝรั่งซะเป็นส่วนใหญ่ จากการพยายามเลียนแบบประโยคที่ได้ยินมาพูดพลิกกลับไปกลับมา (improvisation) เราเริ่มพัฒนา 'สัมผัสพิเศษ' ขึ้นมาได้ นั่นก็คือมันเป็น sense อะไรบางอย่างที่เริ่มทำให้รู้ว่าจะผัน verbs กับ pronouns ยังไง (ซึ่งเป็นเรื่องที่ basic ที่สุด) ถัดไปก็คือว่าจะผัน parts of speech ยังไง (ซึ่งเป็นเรื่องยากถัดไป) และอยู่่ดีๆเริ่มเข้าใจ tenses ไปเอง เราถึงเริ่มเรียนอ่านและเขียน แต่พอถึงระดับนี้แล้วเราก็ยังไม่เคยเปิดตำรา grammar อ่านเลย แม้แต่นิดเดียว แต่ก็ใช้ภาษาอังกฤษไม่ผิดเพี้ยนมากนัก กระบวนการเรียนอ่านเราค้นพบกว่าการใช้ dictionaries อังกฤษ-อังกฤษ แล้วจำเป็นต้องอ่านนิยามศัพท์ แล้วอ่านไม่เข้าใจต้องอ่านทวนหลายๆรอบ หรือไปเจอศัพท์ยากๆในนิยามของศัพท์ตัวแรก ก็ต้องเปิดหาศัพท์ตัวอื่นไปเรื่อยๆ มันทำให้เราค่อยๆพัฒนาทักษะด้านการอ่านขึ้นมาเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เราพยายามเรียนด้วยตัวเองแล้วเรียนไม่สำเร็จในอดีตนั่นก็คือ เราฟังแล้วเลียนแบบไปพูดถูกต้อง แต่เราอ่านแล้วเลียนแบบไปเขียนมันไม่ค่อยจะออกมาดีนัก แต่อีกหลายปีต่อมาเผอิญเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแปลภาษาอังกฤษที่เป็นภาษากฏหมายเป็นเป็นไทย แต่ข้อความอังกฤษมันกลับหัวหลับหางกับภาษาไท่ย และภาษาอังกฤษมันกระชับมากๆ มันเขียนม้วนเดียวจบสวยงามมากๆ แต่ภาษาไทยเขียนแบบมันแล้วออกมาตีกันยุ่ง เมื่อตกอยู่ในสถาณการณ์เช่นนี้เราย้อนคิดแล้วจำข้อสอบ CPE (Certificate of Proficiency in English) ของ University of Cambridge ได้ มันมีข้อสอบชนิดหนึ่งที่บีบบังคับให้คนสอบเขียนประโยคพลิกกลับไปกลับมา มันทดสอบแบบนี้ 2 วิธี คือ 1. มันให้ศัพท์มาตัวหนึ่งแล้วให้ประโยคมา แล้วบังคับว่่าให้เขียนประโยคใหม่ให้มีความหมายเหมือนเดิมแต่ให้ใช้คำศัพท์ที่ให้มา 2. มันมันให้ประโยคเต็มๆมา แล้วให้อีกประโยคที่ไม่เต็ม แล้วบังคับให้เขียนประโยคใหม้ให้มีความหมายเหมือนประโยคแรก ^ เมื่อย้อนคิดถึงข้อสอบพวกนี้เราจึงเริ่มรู้วิธีเอา ภาษากฎหมายที่เขียนม้วนเดียวจบมาแยกธาตุ โดยเขียนใหม่ให้เป็นประโยคปัญญาอ่อนหลายๆประโยค ซี่งมันแปลเป็นไทยได้ง่าย ^ ทำๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆเรากลายเป็นเขียนภาษาอังกฤษ (เรื่องอื่นที่ไม่ใช่ภาษากฎหมาย) ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆที่ยังไม่ได้เปิดตำรา grammar ศึกษาอย่างจริงๆ ที่ทำได้ก็เพราะ 'รู้วิธีแยกส่วนประโยคและรู้วิธีวาง clauses สลับที่กลับไปกลับมาได้เองโดยธรรมชาตินั่นเอง' อีกส่วนหนึ่งของ grammar ที่เราเรียนไปโดยไม่รู้ตัว นั่นก็คือจำ collocations คือกลุ่มคำที่คำศัพท์ต่างๆมักจะใช้กันเป็นชุดๆ อันนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่คนซึ่งเรียน grammar จากตำรา grammar จนท่องขึ้นใจ หลายๆคน "ลืมเรียน" ก็เลยขนาดทำข้อสอบ grammar ถูกหมด แต่เขียนภาษาอังกฤษมันก็ยังผิดธรรมชาติเพียบ เราเรียนรู้ในลำดับขั้นตอนแบบนี้มา จนทำงานเขียนภาษาอังกฤษเป็นอาชีพมาตั้งหลายปี แล้วเราถึงเพิ่งมาเปิดตำรา grammar อ่าน แต่ก็ยอมรับว่า 'อ่านไม่เคยจบเล่มสักเล่มเดียว' จากนั้นก็เปิดตำรา writing อ่าน แต่ก็ยอมรับว่า 'อ่านไม่เคยจบเล่มสักเล่มเดียว' ตอนนี้เราไม่ต้องเรียนทักษะอื่นแล้วนอกจาก writing อย่างเดียว แต่เมื่อไม่นานนี้เราพบว่าเราเอาหนังสือภาษาอังกฤษมาอ่านแล้ว copy and paste ข้อความไปทำ mind mapping แล้วเราเริ่มพัฒนาสัมผัสพิเศษใหม่ในการ 'อ่านแล้วเลียนแบบไปเขียนได้' สรุปแล่วเราเรียนภาษาอังกฤษมาคนละลำดับกับคนไทยทั่วๆไป นั่นก็คือเราฟังกับพูดจนพูดแทบไม่ผิดเลย แล้วเราถึงเริ่มเรียน grammar ทีหลัง แต่เราว่าภาษาอังกฤษของเราก็ใช้ได้โอเค ไม่ผิดเพี้่ยนอะไรนัก เพราะเวลาทำงานแปลไทยเป็นอังกฤษให้ลูกค้าที่เป็นฝรั่งหลายๆราย ฝรั่งก็ชมว่าเราเขียนอังกฤษได้ดี สรุปแล้วขั้นตอนการเรียนภาษาอังกฤษของเรานี้ ฟังๆดูเหมือนเราไม่เรียน grammar แต่จริงๆแล้วเราเรียน grammar แต่เรียนโดยไม่เปิดตำรา grammar เรียนเท่านั้นเอง คือเรียนโดยหัดจำประโยคมาพูดหรือเขียนกลับไปกลับมานั่นเอง ส่วนตำรา grammar สำหรับเรานั้นเป็นเพียงแค่ reference คือสงสัยตรงไหนก็เปิดดูให้หายสงสัย แต่เราไม่ใช้ตำรา grammar เพื่อเรียนหรือเพื่อทำแบบฝึกหัด grammar แบบทำตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายแบบเอาเป็นเอาตาย เมื่อประมาณ 6 เดือนที่ผ่านมาเราพยายามสอนภาษาอังกฤษให้นักเรียนบางคนที่อ่อนมากๆจากระดับไม่กระดิกหูเลย โดยเอาเสียงฝรั่งให้ฟังแล้วให้เขาหัดพูดตาม แล้วเอาประโยคที่ฟังมาไปพูดพลิกกลับไปกลับมาโดยที่เราไม่บรรยายเรื่องกฎ grammar แบบคนไทยสอนเลย นี่หละคือวิธีเรียน grammar แบบที่เราเรียน พอเขาพูดพลิกกลับไปกลับมาได้แล้วเราถึงให้เขาหัดเขียนเรื่องที่เขาเพิ่งพูดได้ แล้วให้เขาหัดอ่านข้อความง่ายๆแล้วงัดเอาข้อความที่อ่านมาหัดพูดพลิกกลับไปกลับมาให้ได้อีกแล้วเอาไปหุัดเขียนอีก เราคิดว่าวิธีการสอนแบบนี้น่าจะพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้อีกหลายเท่า ถ้าเรามีเวลาสอนมากกว่านี้ ^ แต่ก็น่าเสียดายที่เราไม่ค่อยมีเวลาสอนใครแล้วเพราะตอนนี้ทำงานแปลยุ่งพอสมควร แล้วก็ไม่ค่อยอยากสอนตัวต่อตัวเพราะถ้าคิดเงินถูกไปเราก็เสียเวลา (เอาเวลาไปทำงานแปลดีกว่า)แต่ถ้าคิดแพงไปนักเรียนก็เรียนได้น้อยครั้งแล้วก้าวหน้าช้า  คือจริงๆแล้วเราอยากจะทดลองสอนแบบนี้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ แต่ก็เผอิญไม่มีสถานที่ ไม่อยากไปเช่าลงทุน ก็เลยเรื่องสอนต้องระงับไว้ก่อน เราเคยคิดเรื่องสอนเป็นกลุ่มผ่าน skype แต่ก็แก้ปัญหาไม่ตกเรื่องเปิดเสียงฝรั่งด้วย video player ผ่าน skype แล้วหยุดมันให้ทันช่วงนักเรียนหลายๆคนฝึกฟังแล้วหัดพูดตาม เคยทดสอบ streaming แต่ยังทดสอบไม่ตลอดรอดฝั่งเรื่องสอนเลยต้องระงับไว้หมดเลย แต่ที่เล่ามานี้ก็เพื่อที่จะยืนยันว่า การเรียน grammar ถ้าผู้เรียนและหรือผู้สอนฉลาดพลิกแพลงพอ มันเรียนได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดตำรา grammar จี้กันเป็นเรื่องๆเลยตั้งแต่นักเรียนยังไม่กระดิกหู เหตุผลก็คือ 'ฝึกฟังเสียงฝรั่ง แล้วหัดพูดตาม โดยพลิกประโยคกลับไปกลับมา กลายเป็น grammar มันซึมเข้าไปเองได้ลึกถึง subconscious' ^ เรียน grammar โดยการหัดพูดประโยคพลิกกลับไปกลับมา มันเร็วกว่าตะลุยอ่านตำรา grammar ตั้งหลายเท่า พูดให้คล่องก่อนแล้วถึงหัดเขียนประโยคพลิกกลับไปกลับมา เรียนแบบนี้ทำให้พูดเขียนได้เป็นธรรมชาติมากกว่าตั้งหลายเท่า จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 05:42:41

ความคิดเห็นที่ 6 เราไม่ได้เก่งนะค่ะ กำลังเริ่มฝึกเหมือนกัน  ส่วนตัวเราชอบอ่านหนังสือ เราเริ่มอ่านหนังสือเด็ก ๆ ที่เค้าแบ่งเป็น level  เราหาแบบมีรูปภาพ จะได้ไม่เบื่อ  ต่อมาก็พัฒนาหาแบบที่มีซีดีมาให้ด้วย ก็ฟังสำเนียง แล้วอ่านตาม   พอเบื่อก็ไปดูหนังฝรั่งซีรีย์อะไรก็ได้ ที่มีซับไทยบ้าง ซับอังกฤษบ้างสลับกัน ตอนนี้เราติดซีรีย์ในเว็บนี้ค่ะ  http://learnenglish.britishcouncil.org/en/elementary-podcasts  พอจบแต่ละตอนเค้าจะแนะนำวิธีการใช้ประโยค สนุกดี เราก๊อปใส่มือถือ ไว้ฟังเวลารอรถเมล์ หรืออยู่บนรถ ใหม่ ๆ แปลไม่ออก ฟังซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จะซึมเข้าไปเอง   ส่วนแกรมม่า ก็ดูวันละนิด ไปเรื่อย ๆ บางทีมันอยากรู้เองว่าแต่ละคำ แต่ละประโยคใช้ยังไง แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 55 07:46:06 จากคุณ : แม่มดตัวจิ๋ว เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 07:45:01

ความคิดเห็นที่ 7 อ่านที่พี่ๆทั้งหลายแนะนำ แล้วนำไปพิจารณาด้วยตัวเองว่าเราเหมาะสมกับการเรียนด้วยตัวเองวิธีไหน ถ้ายังอยากพัฒนาด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แล้วลองนำมาทดลองดูอย่างตั้งใจและให้เวลาในการฝึกฝนอย่างต่ำแต่ละวิธี 6 เดือน ถ้าไม่พัฒนา ก็ลองวิธีต่อมาที่จัดลำดับไว้ แต่อย่าลองในลักษณะที่เป็นแบบ fast food วิธีทดสอบด้วยตัวเองว่าได้ผลหรือไม่ คือ ถ้าต้องการสนทนาได้ดีกว่าเดิม ให้ลองไปสนทนากับชาวต่างชาติในไทยที่คุณคิดว่าน่าสนใจ ถ้าเขาพอฟังรู้เรื่องและแสดงท่าทีไม่เบื่อการสนทนาของคุณก็นับว่าได้ผล ถ้าอยากพัฒนาด้านการเขียน อาจจะเพื่อสอบแข่งขัน สอบเข้า ก็อ่านหนังสือพิมพ์มากๆ ลอกประโยคที่สามารถนำมาใช้ได้ ลองฝึกใช้โดยการเขียนคำถามสั้นๆไปที่หนังสือพิมพ์ อาจจะเป็นการออกความเห็นสั้นๆในเรื่องที่คุณสนใจ ถ้าเขานำของคุณลง ก็แสดงว่าเขาอ่านพอรู้เรื่อง หัวข้อและเหตุผลสนับสนุนความคิดของคุณมีตรรกะที่ดีพอที่เขาจะนำมาลงให้คนทั่วไปได้อ่าน แนะนำหนังสือพิมพ์ หนังสือไวยากรณ์พื้นฐาน และหนังสือรวบรวมบทความข่าวสั้นที่ลงใน Bangkok Post by Ajarn Terry Frederikson ข้อสำคัญ อย่าขี้เกียจและคิดว่าต้องดีภายใน 2 เดือน หรือ 6 เดือน หรือ 1 ปี หรือไม่จำเป็นต้องขวนขวายด้วยตัวเอง คนสอนต้องป้อนให้ทุกอย่าง ถ้าคุณพยายาม ความรู้เหล่านี่จะอยู่ในสมองของคุณเอง ตราบจนวาระสุดท้ายของคุณ ไม่มีใครสามารถมาทวงคืนได้ แม้กระทั่งคนที่สอนคุณด้วยความจริงใจและตั้งใจ ดังนั้น ขอให้เคารพคนที่ให้ความรู้แก่คุณด้วย ไม่ว่าคุณจะจ่ายค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ของดีจริงๆคงไม่สามารถได้มาในราคาที่ถูกจนเหลือเชื่อ หรือได้มาในระยะเวลาอันสั้นอันเหลือเชื่อเช่นกัน นอกจากคุณจะเป็นอัจฉริยะ แต่ถ้าใครเป็นอัจฉริยะ คงไม่มาขอความเห็นหรือความรู้ในห้องนี้แน่ๆ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 55 08:22:12 จากคุณ : hsbchs (hsbchs) เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 07:58:44

ความคิดเห็นที่ 8 ลองอ่านเรื่องต่อไปนี้ดูครับ http://www.tedpower.co.uk/first.html มันเป็นเรื่องที่เขียนด้วยประโยคง่ายๆ ใช้ศัพท์ง่ายๆ ลองดูว่าอ่านรู้เรื่องไหม ถ้าอ่านแล้วไม่รู้เรื่องเลยก็คงต้องเริ่มเรียนภาษาอังกฤษใหม่ตั้งแต่บทแรกเลย แต่ถ้าพอรู้เรื่องก็น่าจะหา graded readers แบบนี้มาฝึกอ่านอีก จากคุณ : นายชัย เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 09:46:54

ความคิดเห็นที่ 9 - ว่างๆก็นั่นอ่านนั่งฟังออดิโอ้บุค(วรรณกรรม)ไปเรื่อยๆอะ http://www.youtube.com/user/CCProse?feature=watch จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 10:31:51

ความคิดเห็นที่ 10 ตามนั้นครับ ผมบอกเป็น คหสต.  แต่ละคนมีวิธีที่ถนัดของตัวเองไม่เหมือนกัน ความอดทนแต่ละคนไม่เท่ากัน ทุกวิธีไม่มีอันไหนไม่ดีครับ มีแต่เหมาะสมกับเรา หรือไม่ ไม่ขอค้าน ความเห็นไหนนะครับ   หาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองให้เจอนะครับ จขกท. จากคุณ : หมอกสีจาง เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 55 13:34:29

ความคิดเห็นที่ 11 การดู DVD คุณสามารถเพิ่ม sub สองอันได้ในเวลาเดียวกัน ลองเล่นในคอมดูซิครับ คุณไม่จำเป็นต้องเปิดทีละ sub แล้วการที่คุณจะเรียนด้วยตัวเองได้นั้นคุณจำเป็นต้องมีตัวช่วยที่ดีๆ เช่น ดิกที่เปิดได้ทันที เร็ว และครอบคลุม เดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีช่วยคุณได้เยอะมาก มันทำให้คุณไม่ต้องง้อติวเตอร์ตลอด ติวเตอร์พยายามยัดให้คุณราวกับว่าคุณคิดไม่เป็น คุณต้องหัดด้วยตัวคุณเองก่อน มันไม่มีที่ไหนที่สอนคุณทุกอย่างเพื่อให้คุณทำเป็นเหนือกว่าเค้าหรอก มีแต่คุณตามมากกว่า จากคุณ : surrogate เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 09:43:46