ความคิดเห็นที่ 1 พูดให้ชัด ออกเสียงให้ถูกต้อง ควบกล้ำ คำลงท้ายให้ขัดก่อนค่ะ แล้วจะฟังออกเองค่ะ เพระาสมองมันจูนได้ จากคุณ : nina_ninja เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 23:38:46

ความคิดเห็นที่ 2 ลองฟังเป็นการ์ตูนเด็กดูมั้ยครับ เพราะจะพูดช้าและชัด ก่อนอัพเลเวลเป็นพวกหนัง ซีรี่ย์ไป เราจะมีกำลังใจมากขึ้น จากคุณ : pandemic เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 00:37:49

ความคิดเห็นที่ 3 ที่คุณบอกว่า "มีปัญหาอย่างมาก" นั้น ก่อนอื่นอยากทราบว่า "ตั้งแต่เริ่มจากฟังไม่รู้เรื่อง แล้วฟังเรื่อยๆมาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังฟังไม่รู้เรื่องน่ะ มันนานกี่ปีกี่เดือนมาแล้ว" อยากจะบอกให้ว่าตอนเราอยู่ต่างแดนแล้วเจอคนไทยที่อ่อนอังกฤษมากๆที่เพิ่งไปอยู่ต่างแดนใหม่ๆแล้วฟังอังกฤษไม่รู้เรื่องนะ เราพอจะจำสถิติได้ว่าพวกเขาใช้เวลาฟังทุกวันอยู่ประมาณ 2-3 ปีกว่าจะฟังรู้เรื่องเวลาฝรั่งพูดแบบลดความเร็วให้เพราะเห็นไม่ใช่เจ้าของภาษา แต่ถ้าฝรั่งกับฝรั่งคุยกันเองใน pub คนไทยพวกนั้นก็ยังฟังฝรั่งไม่รู้เรื่อง ต้องอยู่ต่างแดนแบบนั้นแล้วฟังอังกฤษไปเรื่อยๆอีกประมาณ 5 ปี ถึงจะฟังฝรั่งกับฝรั่งพูดกันเองเร็วๆได้ แต่มันก็มีคนไทยที่เรียนอังกฤษในเมืองไทยแล้วฟังอังกฤษรู้เรื่องเร็วกว่านั้นนะ ที่พวกที่ฟังรู้เรื่องเร็วส่วนใหญ่ชอบภาษาอังกฤษแล้วเก่งอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว แต่สำหรับคนที่เพิ่งมาเรียนอังกฤษตอนโตจะต้องใช้เวลานานหน่อยแบบคนไทยที่่อ่อนอังกฤษมากๆแบบที่เราเคยเจอในต่างแดนนั่นหละ ตัวเราเองก็อ่อนอังกฤษมากๆ คือศัพท์ก็ไม่รู้ grammar ก็ไม่รู้ แล้วต้องใช้เวลาเรียนฟังนานขนาดนั้นเหมือนกัน แทนที่จะฝึกจากข้อสอบ (เราเดาว่าคุณได้แต่ฝึกทำข้อสอบ เพราะเห็นพูดเรื่อง scripts) ซึ่งมันสุดจะน่าเบื่อ ลองเปลี่ยนเป็นดูหนังฝรั่งมี subtitles อังกฤษไทยสลับกัน แล้วหัดพูดตาม ทำแบบนี้บ่อยๆ ดูมันเรื่องละ 20 รอบ แล้วดูมันให้ครบ 100 เรื่อง ก็น่าจะเรียนฟังได้เร็วกว่าพวกคนไทยที่อ่อนอังกฤษมากๆที่เราเจอและเรียนได้เร็วกว่าตัวเราเองซื่งอ่อนมากๆด้วย จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 04:04:12

ความคิดเห็นที่ 4 วิธีฝึกของแต่ละคนต่างกันตามความสามารถส่วนตัว ความรู้พื้นฐาน ความสนใจส่วนตัวและความมุ่งมั่นรวมถึงเป้าหมายที่ต่างกัน ทำไมไม่เอาเวลาที่มาตั้งกระทู้แล้วคอยอ่านไปฝึกด้วยตัวเอง ที่คิดว่าน่าจะเหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด ส่วนใหญ่อยากได้เคล็ดลับ เทคนิค ทำเหมือนการกวดวิชาเพื่อแค่ให้ผ่าน เหมือนอาหาร fast food ที่ทำให้คุณอิ่มแค่ช่วงเวลาอันสั้น แต่ไม่สามารถเติมเต็มความรู้สึกได้ ทำให้ต้องแสวงหาตลอดเวลา ต้นเหตุไม่ได้อยู่ที่ไม่มีใครบอกวิธีให้ แต่อยู่ที่ไม่ชอบวิธียากที่จะทำให้ความรู้นั้นอยู่กับตัวเราแบบมีพื้นฐานที่ดี สามารถต่อยอดได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งเคล็ดลับหรือเทคนิคอะไรเลย ขอแค่ตั้งใจ ไม่ขี้เกียจ ใช้วิธีที่เหมาะสมกับตัวเองในการศึกษาค้นคว้าในทุกๆด้าน เช่น จุดประสงค์ พื้นฐานความรู้ ความสามารถส่วนตัว งบประมาณ รู้จักประเมินตัวเองได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุดโดยไม่เข้าข้างตัวเองจนมากเกินไป ต้องขออภัยถ้าทำให้บางท่านไม่พอใจ แต่การฝึกฝนคือการทำให้ตนเองมีความเชี่ยวชาญและความเชื่อมั่นมากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะภษาเท่านั้น เข่นเรา เราชอบภาษา แต่ถ้าทางด้านเทคโนโลยี่ เราแย่มาก เราก็เลยต้องพัฒนาตัวเองเท่าที่เราทำได้โดยไม่เครียดมาก ทีเกินความตั้งใจหรือความสามารถของเราก็จ้างวานผู้ที่มีความรู้ด้านนั้นมาทำแทน ซึ่งเราต้องยอมรับว่าจำเป็นต้องจ่ายในราคาที่เขาคิดว่าค่าตัวเขาเท่าไร บางครั้งอาจแพงกว่าหรือเท่ากับเจ้าอื่น แล้วแต่กรณี ถ้าไม่เรียกจนเว่อร์เกินไป ก็รับได้ จากคุณ : hsbchs (hsbchs) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 06:54:18

ความคิดเห็นที่ 5 ฟังบ่อยๆ แบบเสพติดสิ ผมกำลังเริ่มฝึกอยู่ ^_^ จากคุณ : noptee เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:25:35

ความคิดเห็นที่ 6 ขอตอบคุณ hsbchs กับคุณหมอดูนะคะ ตอนนี้ก็กำลังฝึกอยู่ค่ะ และพยายามหาวิธีของตัวเองอยู่ จริงๆ แล้วชอบภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก คะแนนภาษาอังกฤษค่อนข้างดี การออกเสียงพูดก็ค่อนข้างโอเคค่ะ (อันนี้ครูบอก) แต่ถึงชั่วโมงการฟังทีไรนั่งตาแป๋วทุกที ที่ผ่านมาก็ฝึกฟังพวกเพลงภาษาอังกฤษเก่าๆ เพราะมันออกเสียงชัดดี เคยลองเปิดฟังวิทยุภาคอังกฤษทิ้งไว้ทั้งวัน แล้วทำงานไปด้วย แต่ต้องใช้สมาธิอยู่ที่งาน กลายเป็นว่าเหมือนฟังผ่านหูมากกว่า โดยส่วนตัวจึงรู้สึกว่าวิธีนี้ยังไม่เหมาะกับตัวเอง (คือทักษะการฟังยังไม่ดีพอจะใช้วิธีนี้น่ะค่ะ) ตอนนี้ก็ฝึกฟังข่าวสั้นๆ กับพวกบทสนทนาของ BBC อยู่ กับดูซีรีส์จากเว็บที่ทำเพื่อฝึกฟังโดยเฉพาะ (เพราะจะพูดช้าหน่อย) ไม่ใช่พวกซีรีส์หนังทั่วไป ไม่ได้ฝึกพวกทำข้อสอบอย่างคุณหมอดูเข้าใจค่ะ เพราะแบบนั้นหนูเองก็เบื่อเหมือนกันค่ะ :) ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้ลองหลายวิธี แต่ด้วยภาระหน้าที่ และสุขภาพ ก็อาจทำให้ทุ่มเทไม่ได้มากหลายชั่วโมงต่อวัน และจากการฝึก จึงได้พบปัญหา และมาตั้งกระทู้ถาม (เพราะถ้าไม่เคยฝึก เอาแต่ถามเคล็ดลับอย่างเดียวก็คงไม่มีปัญหามาถาม) เราแค่อยากได้คำแนะนำ ประสบการณ์เพิ่มเติม เพื่อจะได้มาประมวลว่า ที่ผ่านมาเรามาถูกทางมั้ย หรือเราควรปรับปรุงเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมสำหรับตัวเองต่อไปก็แค่นั้น ซึ่งคำถาม 3 ข้อข้างบนนั้น ก็ยังไม่มีคนตอบได้ตรงประเด็นเลย อันนี้อาจเป็นข้อบกพร่องของ จขกท. เองที่อธิบายไม่เก่ง หรือไม่ก็เป็นเพราะไม่เคยมีคนเจอปัญหาแบบเดียวกันนี้ จึงไม่เข้าใจในสิ่งที่เราอธิบายก็เป็นได้ ไม่เป็นไรค่ะ เอาเป็นว่าถ้าผู้รู้จะมาให้คำแนะนำเพิ่มเติมอื่นๆ เราก็ยินดีค่ะ แม้ยังไม่ตรงประเด็นก็ตาม ^ ^ (แต่ก่อนเอามาโพสนี่ อ่านให้เพื่อนฟัง เพื่อนเข้าใจคำถามนะ ^ ^) จากนี้ก็จะก้มหน้าพยายามฝึกด้วยตัวเองต่อไป จากคุณ : ant เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 14:47:08 A:124.120.46.63 X: TicketID:117703

ความคิดเห็นที่ 7 ที่ จขกท พูดใน คคห 6 ว่า "เราแค่อยากได้คำแนะนำ ประสบการณ์เพิ่มเติม เพื่อจะได้มาประมวลว่า ที่ผ่านมาเรามาถูกทางมั้ย หรือเราควรปรับปรุงเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมสำหรับตัวเองต่อไปก็แค่นั้น ซึ่งคำถาม 3 ข้อข้างบนนั้น ก็ยังไม่มีคนตอบได้ตรงประเด็นเลย " ^ คือจะตอบตรงประเด็นก็ได้ แต่คำตอบมันยาว แล้วก็ไม่รู้ จขกท จะได้ประโยชน์หรือเปล่า แต่จะลองตอบดูตามที่คุณต้องการ คุณจะอ่านเรื่องที่เราพูดให้เข้าใจต้องลองไปอ่าน คคห 2 ในกระทู้เก่าอันนี้ก่อน ไปอ่าน คคห 2 กระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2012/08/K12588586/K12588586.html พออ่านเสร็จแล้ว อ่านข้อความนี้ ใน คคห 2 ของกระทู้เก่าอันนั้น เป็นการทำวิชา phonetics ให้เป็นเรื่องง่าย แล้วอธิบาย "แค่ปัญญาบางจุด ที่จะต้องแก้เพื่อให้ฟังรู้เรื่อง" แต่ถ้าจะอธิบายทุกจุดเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมด เราต้องเขียนออกมานับเป็นพันๆหน้า! สรุป ตอนนี้ตอบเข้าประเด็นแล้วนะ ตอบในฐานะที่เราเคยฟังไม่รู้เรื่องแล้วเรียนนาน กับ ตอบในฐานะที่เราเคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษมาแล้วเราค้นหาวิธีสอนให้นักเรียนฟังรู้เรื่องได้เร็ว คำตอบก็คือว่าคุณมีทางเลือก 3 ทางคือ 1. หาครูที่เก่งวิชา phonetics มาสอนคุณ โดยอธิบายทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายเหมือนที่เราเขียนไว้ในกระทู้เก่าอันนั้น 2. คุณซื้อตำรา phonetics and phonology จากต่างประเทศมาศึกษาเอง ถ้าคุณเคี้ยวมันลง (มันมี technical terms เยอะมากๆ) คุณก็เรียนจนรู้มากได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยครู แต่ถ้าคุณอ่านภาษาอังกฤษยากๆไม่เข้าใจ มันก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้ 3. หาก 1. กับ 2. ไม่ได้ผล คือ 1. คุณไม่อยากเสียเงินจ้างครูหรือ 2. คุณอ่านตำรา phonetics and phonology แล้วมึนหัว คุณก็ต้องเลือกทางเดินที่ 3.คือเรียนเหมือนที่พวกคนไทยที่อ่อนอังกฤษมากๆที่ไปอยู่ต่างแดนกับเรียนเหมือนเราที่อ่อนอังกฤษมากๆตอนไปอยู่ต่างแดนใหม่ๆ นั่นก็คือพยายามฟังทุกวัน ฟังไปเรื่อยๆ 2-3 ปี ก็ฟังฝรั่งพูดแบบลดความเร็วให้รู้เรื่อง ฟังๆไปครบ 5 ปีก็ฟังฝรั่งกับฝรั่งพูดกันเองเร็วๆใน pub รู้เรื่อง จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 16:19:45

ความคิดเห็นที่ 8 อันนี้พูดจากประสบการณ์นะครับ ถ้าจะให้มีประสิทธิภาพจริงๆ ต้องฝึกพูดไปด้วยน่ะครับ ทั้งฝึกการออกเสียงให้ถูกต้องกับฝึกคุยกับชาวต่างชาติไปด้วย อย่างแรก การฝึกออกเสียงและนำไปใช้จริง รวมถึงการฟังจากคู่สนทนา (ที่เป็นเจ้าของภาษา) จะทำให้เราคุ้นเคยมากขึ้นว่าคำคำนี้เสียงมันจะเป็นแบบไหนในลักษณะไหนในบริบทต่างๆ (เช่น ตอนกระซิบ ตอนพูดไปหัวเราะไป เสียงอู้อี้ทางโทรศัพท์ ฯลฯ) ถ้าเฉพาะฟังจากข่าวนี่ ยังไงๆ ก็มีข้อจำกัด เพราะนักข่าวและบทสนทนาในข่าวผู้พูดมักจะออกเสียงค่อนข้างชัดเป็นส่วนมาก (ฟังซีรี่ส์ฝึกภาษาก็ึึคงไม่ต่างกัน) ไม่เหมือนตอนที่คุยกับคนจริงๆ ในสถานการณ์จริง (แต่ไม่ได้หมายความว่าข่าว/ซีรี่ส์ฝึกภาษาจะไม่มีประโยชน์นะ แค่ว่ามันมีข้อจำกัดอยู่ ถ้าฟังแต่พวกนั้นแล้วมาเจอ "ของจริง" นี่จริงๆ มันก็พอช่วยได้ แต่ก็จะมีส่วนที่ฟังไม่ออกเยอะอยู่ดี) อย่างที่สอง การคุยบ่อยๆ มีปฏิสัมพันธ์กันจริงๆ ทำให้เราจดจำ pattern ของบทสนทนา (และ collocation) ได้ดีกว่า และก็จะทำให้เราสามารถเดาได้ว่าเขากำลังใช้คำอะไรอยู่ และเราก็จะไม่ต้องฟังแบบ passive คือต้องตีความเป็นคำๆ และประกอบประโยคในสมอง ถ้าเป็นแบบนี้พอเจอคำที่เค้าพูดไม่ชัดหน่อยก็จะงง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่ถ้าเรามีประสบการณ์เยอะๆ ก็จะทำให้รู้ว่าในบริบทนั้น หัวข้อนั้น ด้วย Noun แบบนี้ และออกเสียงประมาณนั้น เค้ากำลังใช้ verb อะไรอยู่ มันจะเป็นไปด้วยธรรมชาติน่ะ แต่ถ้าหาเจ้าของภาษามาคุยไม่เจอ ที่ใกล้เคียงที่สุดก็น่าจะเป็นพวกหนัง ภาพยนตร์นะ แล้วใช้วิธีพูดตามเอา ทำเหมือนอย่าง #๓ ว่าไว้ (ตอนผมฝึกก็ใช้วิธีนี้นะ) จากคุณ : ขุนพลวรมันต์ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 16:30:07

ความคิดเห็นที่ 9 ต่อจาก คคห 7 คุณ จขกท อาจคิดว่าเราพูดเกินความจริงว่าทักษะการฟังใช้เวลาพัฒนาหลายปี แต่เรายืนยันว่า "เป็นความจริง" เพราะเราทำงานด้านภาษาอังกฤษกับคนไทยหลายคนที่เรียนในเมืองไทยแล้วฟังอังกฤษรู้เรื่องระดับเป็นล่ามได้ แล้วพบว่ากว่าพวกเขาจะฟังหนังฝรั่งรู้เรื่องเกิน 90% คนพวกนั้นขนาดจบอักษรศาสตร์จุฬาเอกอังกฤษมา ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆเรียน 4 ปี จบมาแล้วฟังอังกฤษฉลุยเลยนะ คนพวกนั้นจบมาแค่ฟังรู้เรื่องพอประมาณ แล้วไปทำงานบริษัทฝรั่งที่ต้องพูดอังกฤษทุกๆวันกันมาเกิน 10 ปีด้วยกันทั้งนัันถึงจะฟังรู้เรื่องมากขนาดนั้น แต่ถ้าคุณไม่ได้เรียนมาด้านภาษา แล้วคุณมาลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ถ้าเรียนโดยไม่มีครูดูหนังแบบที่เราแนะนำมีทางสำเร็จมากที่สุด คือดูหนัง subtitles ไทยกับอังกฤษสลับกัน แล้วฝึกพูดอังกฤษตาม ดูมันเรื่องละ 20 รอบ แล้วดูให้เกิน 100 เรื่อง คุณน่าจะฟังเก่งขึ้นมา แต่คุณจะใช้เวลานานเท่าไหร่นั้น เราตอบไม่ได้ แต่ตอบได้ว่า "แค่ 2-3 เดือน มันเป็นไปไม่ได้ ขนาดมีครูเก่งๆสอนให้ยังเรียนไม่ได้เร็วขนาดนั้นเลย" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 16:34:34

ความคิดเห็นที่ 10 ผมไม่เห็นว่าจะแปลกตรงไหน ที่คุณว่ามา ผมก็เป็นมาก่อน กร๊ากกก ตอนนี้ก็เป็นกับภาษาฝรั่งเศส ฟังแทบมะออกเลย มันติดรวบบบบกันไปหมด ดีที่หนังมันดูง่าย ไม่ต้องเปิดเสียงก็รุและว่าทำไรกัน กร๊ากกก เวลาคัฟ อย่างที่ซือเฮียหมอดูว่า มีแฟนฝรั่งไม่นาน จะฟังออกแถมด่าสวนไฟแล่บ กร๊ากกก จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 16:52:29

ความคิดเห็นที่ 11 เชื่อมั้ยครับ ผมกับเจ้าของกระทู้เป็นเหมือนกันนะ แต่ผมเพิ่งเรียนได้เดือนกว่าเองนะ เรียนพูดนะ ตอนแรกนี่ฟังดูตามสคลิปแล้วก็พูดตาม ยี่สิบประโยคต่อวัน ถ้ายากๆต้องใช้เวลาถึงสองสามวันกว่าจะพูดตามได้ ผมเรียนด้วยตัวเองวันละสามชั่วโมงครับ จากคุณ : Timsmith เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 18:49:08

ความคิดเห็นที่ 12 เราแนะนำให้ดูการ์ตูนก่อนเลยค่ะ พวกที่เป็น Animation หรือว่าเป็น Disney เพราะว่าสำเนียงและคำศัพท์ยังไม่ยากมากนัก ฟังไปเรื่อย จนชิน และสามารถฟังออกทั้งหมด ถึงเขยิบมาดูเป็น ซีรีย์ หรือว่า เป็นหนังฝรั่ง และตบท้ายด้วยการดูข่าว CNN แล้ว BBC หรือข่าวภาษาอังกฤษค่ะ อย่าไปเริ่มฝึกจากที่ยากมากจนเกินไป เพราะว่าเวลาเราทำไม่ได้แล้วจะท้อ เริ่มจากเริ่มต้น ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนการเก็บประสบการณ์ และก็เพิ่มกำลังใจให้ตัวเองด้วยค่ะ สู้ๆนะคะ :) จากคุณ : ตุ๊กตาลิงเต้นระบำ (Spachy) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 18:49:39

ความคิดเห็นที่ 13 ตอนนี้เริ่มพอจะมีไอเดียแล้วค่ะว่าควรจะปรับปรุงการฝึกยังไงบ้าง โดยเฉพาะเรื่อง phonetics ที่คุณหมอดูบอก ที่จริงก็คิดอยู่ว่าปัญหาของตัวเองมันก็คือตรงนี้แหละ เดี๋ยวจะพยายามเรียนรู้เรื่องนี้เพิ่ม ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ant เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 20:26:53 A:124.120.85.218 X: TicketID:117703

ความคิดเห็นที่ 14 เรียนคุณเจ้าของกระทู้นะคะ ถ้าสิ่งที่เราได้พิมพ์ลงไป ได้สร้างความไม่พอใจให้เจ้าของกระทู้ เราต้องขอโทษจากใจริง ด้วยความหวังดี และไม่คอยอยากให้ใครไปเสียเงินเรียน ถ้ามีพื้นฐานที่พอจะศึกษาด้วยตัวเองในระยะเวลาที่จะทำให้ไม่ท้อไปเสียก่อน และจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ใช้ชีวิตและทำงานมาหลายประเทศมามากกว่า 20 ปี ทั้งประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางในหมู่คนหลายชาติหลายภาษา หรือในประเทศที่ถึงแม้จะพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก แต่ยังคงใช้ภาษาหลักของประเทศนั้นเป็นสื่อกลาง เพราะภาษาที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันจะเป็นด่านแรกที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าคุณอยากอยู่ในประเทศนั้นหรือไม่ ถ้าคุณสื่อสารได้ดี คุณจะรู้สึกดีและสนุกทั้งกับการทำงานและการใช้ชีวิตในประเทศนั้น เมื่อเราต้องย้ายไปฝรั่งเศส ที่แม้จะเคยเรียนมาอย่างหนักสมัยอยู่ที่โรงเรียนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย แต่แทบจะนำมาสื่อสารอย่างคล่องตัวอย่างใจอยากไม่ได้ เพราะไม่เคยมีโอกาสที่จะได้พูดอย่างหนักเท่าที่จะเรียนเพื่อให้สอบผ่านได้เป็นหน้าตาของโรงเรียนในสมัยโบราณนั้น แต่เมื่อต้องมาอยู่แน่นอน ก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ลองของ ว่าสิ่งที่อาจารย์เคี่ยวเข็ญอย่างหนักจะทำให้เราผ่านอีกอุปสรรคได้ดีไหม โชคดีที่พื้นฐานที่ได้รับและตักตวงไว้นั้นเป็นพื้นฐานที่ดีมากๆ ทำให้เราต่อยอดได้เอง แม้จะไม่ง่าย แต่ก็เห็นแสงสว่างอยู่ลิบๆที่ปลายอุโมงค์ ใช้เวลานานพอควรและลงทุนส่วนตัวผิดๆถูกๆในการซื้อหนังสือต่างๆไว้มาก วิธีที่ใช้มีหลายวิธี แล้วแต่สถานการณ์ แต่ถ้ารีบร้อน เช่นซื้อกับข้าว แล้วเรียกไม่ถูก ก็ชี้เอา แต่ถ้ายังไม่ชัดเจนก็โทรหาสามี บอกตวามประสงค์ แล้วให้สามีพูดกับคนขายของ แต่ส่วนใหญ่ จะออกจากบ้านทุกวัน แม้ไม่ได้ซื้อของ แต่ก็ไปเดินดูของ สังเกตุการใช้ชีวิตประจำวัน สังเกตุวิธีการพูด แล้วจำมาเลียนแบบ ลองหัดพูดกับคนขายของ ถ้าได้ก็นับว่าผ่านประโยคแรก ถ้ามีตามมาก็พูดอังกฤษตอบไป และถามเขาด้วยว่าถ้าพูดเป็นภาษาของเขา เราควรจะพุดว่าอย่างไร มีสมุดจดด้วย สมัยนั้น แม้กระทั่ง notebook ก็ไม่เกลื่อนเท่าสมัยนี้ โชคดีที่เป็นรุ่นแรกๆของ mobile phone ขนาดเล็กแล้ว และที่ดังๆก็มีแต่ nokia, motorola ส่วนมาก สิ่งที่เราเล่ามานี้ก็เพื่อจะบอกว่า เราเข้าใจความรู้ก อย่างไรก็ตาม ได้รับฟังเทคนิคของแต่ละท่านเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น เพียงแต่ต้องนำมาปรับใช้ให้เข้ากับตัวเองให้ได้ผลดีกับตัวคุณที่สุด อย่าหักโหมมาก ฝึกแต่ละวันในแบบที่คุณทำแล้วรู้สึกดี ขอให้คุณผ่านข้อกังวลเล็กๆในการฟังนี้ไปภายในระยะเวลาอันสั้นนะคะ และขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ย. 55 12:34:00 จากคุณ : hsbchs (hsbchs) เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 10:50:49

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่เป็นไรค่ะคุณ hsbchs ยอมรับว่าทีแรกก็มีแอบเคืองนิดๆ บวกงงๆ ^ ^ แต่ไม่โกรธค่ะ เพราะในนั้นก็มีคำแนะนำดีๆ อยู่เหมือนกัน ขอบคุณนะคะ :) จากคุณ : ant เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 12:37:12 A:124.120.85.218 X: TicketID:117703