คนดีแผ่นดินซ้อง
ตอนที่ บุตรเขยตัวร้าย
เล่าเซี่ยงชุน
พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ยกทัพไปปราบปรามเมืองปักฮวนอยู่เป็นเวลานาน ซึงคี้สามีนางเตียวเง็กบ๊วยกงจู๊ ซึ่งหนีรอดพระราชอาญาก็ไปเข้าด้วยกับข้าศึก ที่ยกมาทัพมาต่อสู้ และถึงแก่ความตายในสนามรบ
รวมทั้ง เตียตง หลีหงี ทหารเอกของ เพงไซอ๋อง และ โซเจียงฮู่ม้า สามีของนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊ ราชธิดาองค์ใหญ่ ซึ่งไปในกองทัพของพระเจ้าซ้องยินจงด้วย
ส่วนภายในเมืองเปียนเหลียง ชื้อเอ็ง และ เล่าอินเหล็ง ได้ก่อการขบถขึ้น แต่ก็ถูก โลฮวยอ๋องผู้สำเร็จราชการปราบปรามเรียบร้อยลง
ฮ่องเต้ก็พระราชทานบำเหน็จ ให้แก่แม่ทัพนายกองที่ไปร่วมพระราชสงครามตามสมควร เพงไซอ๋อง นั้นไม่มีตำแหน่งจะเลื่อน จึงทรงโปรดอนุญาตให้ไม่ต้องถวายคำนับในเวลาเฝ้า และให้เป็นอ๋องสืบตระกูลไปห้าชั่วคน
ส่วน เปาบุ้นจิ้น ก็ทรงโปรดอนุญาตให้ไม่ต้องถวายคำนับในเวลาเฝ้าเช่นกัน และประทานอาญาสิทธิ์ให้ลงโทษขุนนางกังฉินก่อนกราบทูลอีกด้วย ครั้นฮ่องเต้เสด็จไปถึงตำหนักเจียวเอี้ยงเกง เชาฮองเฮาก็เสด็จออกมารับ เชิญเสด็จเข้าไปข้างใน ต่างองค์ต่างก็มีพระทัยยินดียิ่งนัก นางลีกุยฮุยและนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊ก็มาเฝ้าด้วย ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นหน้าพระธิดา ก็มีพระทัยสงสารจนกลั้นน้ำพระเนตรไม่อยู่ จึงตรัสเอาใจว่า
.ซึ่งสามีของเจ้าถึงแก่ความตายครั้งนี้ นับว่าตายด้วยความกตัญญูอย่างชายชาติทหาร ชื่อเสียงย่อมปรากฎอยู่ในแผ่นดิน เจ้าจงหักห้ามความเสียใจเสียเถิด
..
ฮ่องเต้ตรัสปลอบโยนด้วยถ้อยคำต่าง ๆ แล้วก็เสด็จไปเฝ้าพระราชมารดาที่ตำหนักใน หลีไทเฮาทอดพระเนตรเห็นพระราชบุตรก็มีพระทัยยินดียิ่งนัก ฮ่องเต้เฝ้าอยู่พอสมควรแก่เวลาแล้วก็ทูลลากลับ
อยู่มาฮ่องเต้ทรงปรารภถึงนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊ ทรงสงสารที่ต้องเป็นม่าย จึงทรงดำริให้มีการสอบไล่หนังสือเพื่อคัดเลือกมาเป็นขุนนางอีกครั้ง ถ้าคนใดคนหนึ่งยังไม่มีภรรยา ก็จะตบแต่งให้อยู่กินกับนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊ จึงรับสั่งแต่งตั้งข้าหลวงให้ดำเนินการ มีหมายประกาศส่งไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้ทราบทั่วกัน
เมื่อถึงวันกำหนดเจ้าพนักงานก็เรียกผู้สมัคร เข้ามาประชุมพร้อมกันและออกข้อสอบให้ เมื่อเสร็จการสอบแล้วเจ้าพนักงานตรวจเลือกได้สามตำแหน่ง แล้วก็นำความขึ้นกราบทูลฮ่องเต้ และนำตัวผู้สอบได้เข้าเฝ้า ฮ่องเต้ทรงยินดีตรัสถามถึงชื่อแซ่บ้านเมืองที่อยู่ และครอบครัว กับตรัสว่า ถ้าใครยังไม่มีภรรยาจะให้เป็นฮู่ม้าหรือบุตรเขยคนหนึ่ง
ชินซี้มุ้ย ผู้สอบได้ตำแหน่งจอหงวน ก็กราบทูลว่าตนเป็นกำพร้าและยังไม่มีภรรยา ขณะนั้น เปาบุ้นจิ้น เข้าเฝ้าอยู่ด้วยก็กราบทูลขึ้นว่า
จอหงวนนี้ข้าพเจ้าเคยได้เห็น เมื่อครั้งไปแจกอาหารแก่ราษฎรครั้งหนึ่ง ทั้งได้ทราบว่าเป็นบุตรชินชิง และมีภรรยาแล้วชื่อนางตันเพ็กเอ็ง ซึ่งจอหงวนกราบทูลดังนี้ ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่
..
ชินซี้มุ้ยก็ยืนยันขันแข็งว่า
..ข้าพเจ้าหาได้เอาเท็จมากราบทูลไม่ เมื่อไม่ทรงเชื่อถือข้าพเจ้าขอถวายสัตย์สาบานให้
แล้วก็สาบานว่า
ข้าพเจ้าชินซี้มุ้ยขอสาบานถวาย ต่อหน้าเทวดาฟ้าดินว่า ถ้อยคำที่ข้าพเจ้ากราบทูลนี้เป็นความสัตย์จริงทุกประการ ถ้าข้าพเจ้าแกล้งกล่าวเท็จแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าตกนรกเถิด
ฮ่องเต้ก็ดีพระทัยตรัสแก่เปาบุ้นจิ้นว่า ชินซี้มุ้ยพูดจาแข็งแรงควรเชื่อถือได้แล้ว อย่ามีความสงสัยเลย แต่เปาบุ้นจิ้นยังแคลงใจอยู่ จึงให้ชินซี้มุ้ยเขียนหนังสือสัญญาไว้ มีความว่าถ้าวันหลังปรากฎว่าตนเป็นคนมีภรรยาแล้ว ขอให้เปาบุ้นจิ้นตัดศรีษะตนเสีย
พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้จึงทรงจัดการแต่งงานให้ ชินซี้มุ้ยกับนางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊อยู่กินด้วยกันตามประเพณี ทั้งสองก็อยู่ด้วยกันเป็นที่เรียบร้อย
จนเวลาได้ล่วงมาถึงสามปี ขณะนั้นเปาบุ้นจิ้นไปราชการที่เมืองไคฮงฮู้ ก็มีหญิงคนหนึ่งมาหา ชุยสิน ขุนนางผู้ใหญ่ที่ใจเสี่ยง ยื่นเรื่องฟ้องร้องชินซี้มุ้ยฮู่ม้า มีความว่า
ตนชื่อ นางตันเพ็กเอ็ง เป็นภรรยาชินซี้มุ้ย อยู่ที่ตำบลชินเกแขวงเมืองโอก๊วง มีบุตรสองคน คนโตเป็นชายอายุหกขวบชื่อ ชินชุนคี้ คนน้องเป็นหญิงอายุสี่ขวบชื่อ ชินเง็กกี ชินซี้มุ้ยเป็นคนขัดสนแต่พยายามเล่าเรียนหนังสือ เมื่อทางเมืองหลวงประกาสว่าจะมีการสอบไล่นางจึงเอาเสื้อแพรสองสำรับไปขาย เอาเงินให้สามีเป็นค่าเดินทางมาสอบไล่
แล้วก็หายไปไม่ได้ข่าวคราวอย่างใดเลย บิดามารดาของชินซี้มุ้ยก็ตรอมใจเป็นทุกข์ถึงบุตร จนป่วยลง นางก็ต้องเอาใจใส่รักษาพยาบาล ด้วยความอัตคัตขัดสนเป็นที่สุด แม้มีข้าวเหลืออยู่น้อยก็เจียดเอาไว้หุงให้พ่อผัวแม่ผัวกิน ส่วนตัวและบุตรนั้นสู้อดทนกินแต่ปลายข้าวละเอียดปนกับรำอ่อน ๆ ต่อมาไม่ช้าโรคกำเริบหนักพ่อแม่ผัวก็ก็ตาย นางไม่มีเงินจะทำศพจึงขายที่บ้าน เอาเงินมาทำศพแล้วก็พาบุตรทั้งสองไปหามารดาที่เมืองเกงจิว
นางตันม้า ผู้มารดาได้ฟังเรื่องราวก็มีความสงสาร จึงรับเลี้ยงไว้ เพราะอยู่กับ ตันลิ้วลก บุตรชายคนเล็กเพียงสองคน ส่วนบิดาของนางนั้นตายไปหลายปีแล้ว
นางตันเพ็กเอ็งก็ขอยืมเงินมารดาได้ร้อยตำลึง จะไปตามหาสามีที่เมืองหลวง พาน้องชายและบุตรทั้งสองคน ระหว่างเดินทางน้องชายก็ป่วยตายไปอีก ครั้นฝังศพน้องชายตามมีตามเกิดแล้ว ก็เดินทางต่อมาถึงเมืองหลวง และพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนอกเมือง ชีเท่งมุ้ย เจ้าของโรงเตี๊ยมรู้เรื่องที่ชินซี้มุ้ยได้เป็นฮู่ม้า ก็มีความสงสาร จึงแนะให้ไปคอยดักพบสามี
จนถึงวันชิวอิ้ด ชินซี้มุ้ยแต่งตัวขึ้นเกี้ยวจะไปไหว้ฮุดโจ๊วตามประเพณี นางตันเพ็กเอ็งก็จูงบุตรสองคนเดินร้องไห้เข้ามาหา ชินซี้มุ้ยจำได้ว่าเป็นภรรยากับบุตร ก็ตกใจกลัวขุนนางทั้งปวงจะรู้เรื่องเดิมของตน จึงให้บ่าวเฆี่ยนตีขับไล่ไปให้พ้น นางก็พาบุตรเดินร้องไห้มาเล่าให้เจ้าของโรงเตี๊ยมฟัง ซีเท่งมุ้ยจึงแนะนำให้ทำเรื่องราวมาร้องเรียนดังนี้ ชุยสินก็รับเรื่องไว้ และแนะอุบายให้
ต่อมาถึงวันแซยิดชินซี้มุ้ยฮู่ม้า ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยต่างก็พากันไปให้พรตามธรรมเนียม รวมทั้ง ชุยสิน และ ฮั่นฮูก๊ก ขุนนางผู้ใหญ่ ชินซี้มุ้ยก็คำนับรับรองเชื้อเชิญให้ไปนั่งยังที่อันสมควร และรินสุราอย่างดีให้ขุนนางทั้งสองพลางพูดว่า
วันนี้เป็นวันแซยิดของข้าพเจ้า ขอคำนับขอบคุณ ในการที่ท่านอุตส่าห์มาให้พรแก่ข้าพเจ้า
.
แล้วก็สนทนากันอยู่จนบ่าย การละเล่นต่าง ๆ ทั้งปวงก็เลิกหมดแล้ว ชุยสินก็ว่าเวลานี้งิ้วก็ก้เลิกแล้วไม่มีอะไรจะดู จงหาคนมาร้องเพลงฟังกันเล่นเถิด ชินซี้มุ้ยเห็นชอบด้วย จึงให้คนไปเรียกนักร้องออกมา คนใช้ก็พานักร้องหญิงคนหนึ่งออกมา ชินซี้มุ้ยจำได้ว่าเป็นภรรยาเก่าที่ไปคอยดักพบตน เมื่อวันชิวอิ้ด ก็ตวาดเอาว่าให้ไปตามนักร้องผู้ชาย เหตุใดจึงพานักร้องผู้หญิงมา ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับผู้หญิงจะเข้ามาปะปน ชุยสินก็ว่าตนอยากจะฟังเสียงผู้หญิงร้อง ขออย่าได้ขัดขวางเลย แล้วก็สั่งให้นักร้องหญิงนั้นร้องเพลงบทที่น่าสงสารและไพเราะสักหน่อย
นางตันเพ็กเอ็งก็ร้องเพลงรำพันถึงชีวิตของตน ที่มีบุตรสองคนและสามีทอดทิ้ง ทำให้ตนต้องได้รับความทุกข์ยากต่าง ๆ ชินซี้มุ้ยก็มีความโกรธยิ่งนักจึงถลึงตาให้หยุดร้อง ชุยสินเห็นอาการเช่นนั้น จึงถามว่าท่านรู้จักผู้หญิงคนนี้หรือ จึงได้จ้องมองเอาจริง ๆ ชินซี้มุ้ยก็แก้ว่าตนมองดูรูปภาพข้างฝาด้านหลังดอก
นางตันเพ็กเอ็งร้องเพลงจบแล้วก็ร้องไห้ ฮั่นฮูก๊กจึงถามว่าเจ้ามีทุกข์ร้อนสิ่งใดหรือ นางก็ว่าขอให้ท่านทั้งสองจงเป็นที่พึงแก่ตนด้วย แล้วก็เล่าความทุกข์ยากตั้งแต่ต้นให้ฟังโดยละเอียด ชุยสินจึงพูดกับชินซี้มุ้ยว่า
.ถ้าเป็นความจริงดังหญิงนี้พูดแล้ว ท่านควรจะสงสารบ้าง แม้ท่านไม่ใยดีด้วยภรรยาก็จงสงสารแก่บุตรเถิด
..
ชินซี้มุ้ยตอบว่าหญิงนี้ไม่ใช่ภรรยาของตน จะรับว่าเป็นอย่างไรได้ ชุยสินได้ฟังก็มีความโกรธเป็นกำลัง จึงว่า
..ท่านนี้หามีใจเป็นมนุษย์ไม่ ท่านได้ดีแล้วก็ปล่อยให้บิดามารดาอดตายอยู่ข้างหลัง ข้อที่ไม่เวทนาแก่ภรรยาก็ช่างเถิด ส่วนบุตรทั้งสองนั้นเป็นเนื้อไขของท่านแท้ ๆ ควรหรือไม่กรุณาเลย ท่านหลอกลวงพระเจ้าแผ่นดินมีความผิดร้ายแรงอยู่แล้ว ยังจะก่อกรรมให้ความผิดทวีขึ้นอีกเล่า ท่านจงกลับใจเสียเถิด แล้วข้าพเจ้าจะช่วยพูดแก้ไขต่อเปาเล่งถู มิให้ท่านเป็นอันตราย..
ชินซี้มุ้ยมีความกลัวตายเป็นที่สุด ก็ยืนคำเดิมอยู่แล้วว่า เมื่อท่านมีความสงสารหญิงคนนี้จงรับไปไว้ก็แล้วกัน นางตันเพ็กเอ็งได้ฟังก็โกรธเหลือที่จะระงับโทสะได้ จึงด่าชินซี้มุ้ยด้วยถ้อยคำหยาบช้าต่าง ๆ ชินซี้มุ้ยก็โกรธแต่มิรู้ที่จะทำประการใด เพราะขุนนางทั้งสองคอยป้องกันอยู่ ฮั่นฮูก๊กจึงให้นางตันเพ็กเอ็งเดินทางไปฟ้องเปาบุนจิ้นหรือเปาเล่งถู ที่เมืองไคฮงฮู้เถิด เงินค่าเดินทางตนจะออกให้เอง
ชินซี้มุ้ยจึงว่าตนไม่มีความผิด ถึงจะไปฟ้องร้องอย่างไรก็ไม่กลัว แล้วก็ลุกเข้าไปข้างใน ให้คนใช้เอาเงินห่อกระดาษแดง เขียนบอกไว้ว่าทองคำหนักตำลึงหนึ่ง พอคนใช้เอาออกมาให้นางตันเพ็กเอ็ง ชุยสินก็แก้ออกดู กลับเป็นเงินสามเหรียญ ก็โกรธยิ่งนักจึงชวนฮั่นฮูก๊กและนางตันเพ็กเอ็ง เดินออกจากบ้านโดยมิได้ลาชินซี้มุ้ย แล้วมอบเงินค่าเดินทางให้แก่นางตันเพ็กเอ็งเป็นค่าเดินทางไปตามสมควร
ฝ่ายชินซี้มุ้ยมีความแค้นเคืองภรรยายิ่งนัก ที่ทำให้ตนต้องได้อายแก่ขุนนางทั้งสอง และคิดว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมคงจะเป็นผู้เสี้ยมสอนมา จึงให้ทหารไปจับตัวเจ้าของโรงเตี๊ยมมาเฆี่ยนเสียสี่สิบทีแล้วให้ปล่อยตัวไป และเรียก เตียเชย คนสนิทว่าสั่งให้ตามไปตัดศรีษะสามคนแม่ลูกนั้นมาให้ได้ มิฉะนั้นตนเองจะต้องถูกตัดศรีษะ เตียเชยก็จนใจต้องจำรับคำสั่งโดยไม่เต็มใจ
ชีเท่งมุ้ยเจ้าของโรงเตี๊ยมยังไม่ทันไปพ้นจากบ้าน ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจรีบกลับไปโรงเตี๊ยม แล้วบอกกับนางตันเพ็กเอ็งให้รีบหนีไปเสียโดยเร็ว เพราะบัดนี้อันตรายจะมาถึงตัวแล้ว
นางตันเพ็กเอ็งก็ตกใจกอดบุตรทั้งสองไว้ พลางร้องไห้รำพันว่า
..ลูกเอ๋ย แม่ไม่รู้เลยว่าใจคอบิดาของเจ้าจะทำได้ถึงเพียงนี้
.
เจ้าของโรงเตี๊ยมเห็นเวลาจวนค่ำแล้ว จึงเร่งให้รีบหนีไป นางก็คำนับลาพาบุตรทั้งสองหนีออกจากเมืองหลวง แต่พากันเดินไปไม่ไกลนัก ก้เหนื่อยอ่อนทั้งแม่ลูก ต้องเข้าไปนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วก็เลยหลับไปทั้งสามคน
พอรุ่งเช้าเตียเชยก็แต่งตัวถือกระบี่ขี่ม้ามาที่โรงเตี๊ยม บอกให้เจ้าของโรงส่งตัวสามแม่ลูกออกมา อ้างว่าได้รับคำสั่งของฮู่ม้าให้มาตัดศรีษะ ภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยมก็ออกมาบอกว่านางตันเพ็กเอ็งได้หนีไปแล้ว เตียเชยก็ให้ตามสามีออกมาพูดด้วย ชีเท่งมุ้ยก็เดินกระเผลกเข้ามาคำนับ บอกว่าเมื่อวานตนถูกเฆี่ยนเจ็บปวดมากยังเดินไม่ใคร่ถนัด เหตุเพราะนางตันเพ็กเอ็งทำให้ได้รับโทษ เมื่อกลับมาถึงโรงเตี๊ยมจึงไล่ไปแล้ว แต่จะไปไหนตนไม่รู้
เตียเชยเที่ยวค้นดูในโรงเตี๊ยมไม่พบแล้ว ก็ขึ้นม้ารีบติดตามไป จนถึงเวลากลางวันจึงเจอสามแม่ลูกที่กลางทาง นางก็คุกเข่าลงกราบและอ้อนวอนว่า
ข้าพเจ้ามิได้ทำอะไรให้ท่านโกรธเคือง ท่านจะตามมาฆ่าข้าพเจ้าด้วยเหตุใด ข้าพเจ้าแม่ลูกเป็นคนยากจน ได้รับความลำบากแทบปางตายอยู่แล้ว ขอท่านจงเวทนาด้วยเถิด
เตียเชยก็ว่าตนได้ถือคำสั่งฮู่ม้า ให้มาตัดศรีษะแม่ลูกทั้งสามคน นางตันเพ็กเอ็งก็ร้องไห้พลางตอบว่า
.เมื่อท่านจะฆ่าข้าพเจ้าก็ตาม ขอแต่ชีวิตบุตรทั้งสองไว้เถิด
ชินชุนคี้บุตรชายคนโตก็คุกเข่าลงคำนับเตียเชย แล้วอ้อนวอนให้ฆ่าตนแทนมารดา นางชินเง็กกีเห็นดังนั้นก็ร้องไห้ ของให้ยกโทษมารดาและพี่ชายเสียเถิด ตนจะยอมตายแทนเอง
เตียเชยได้ฟังเด็กทั้งสองแสดงความกตัญญูดังนั้น ก็นึกสงสารจนน้ำตาไหล เอากระบี่ใส่ฝักแล้วลงจากหลังม้าพูดว่า
.ข้าพเจ้าฆ่าท่านไม่ลงดอก อย่าตกใจเลย เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่คนใจอำมหิต อย่างฮู่ม้า
..
นางตันเพ็กเอ็งได้ฟังก็ดีใจ จึงคำนับและถามชื่อแซ่ท่านผู้มีคุณไว้ ต่อไปวันหลังถ้าตนยังมีชีวิตอยู่ จะได้แทนคุณท่าน เตียเชยบอกชื่อให้แล้วทั้งสองฝ่ายก็แยกทางกันไป เตียเชยนั้นบ่ายหน้าไปเมืองปักฮวนนอกอาณาเขต ไม่ยอมกลับไปหาชินซี้มุ้ยอีกเลย
ฝ่ายชินซี้มุ้ยนั้นรออยู่หลายวัน ไม่เห็นเตียเชยกลับมาก็มีความวิตก ครั้นคิดว่าเตีย เชยจะปล่อยนางตันเพ็กเอ็งไป ก็ยิ่งกลุ้มใจหนักขึ้น ด้วยเกรงว่าจะไปฟ้องให้เปาบุ้นจิ้นลงโทษ ครั้นหวนคิดถึงบิดามารดาที่ต้องตายจากไป โดยตนมิได้ปฏิบัติรักษา และคิดถึงความชั่วของตนที่ทิ้งลูกทิ้งเมียมาหาความสุข ก็ยิ่งกลัดกลุ้มมากขึ้น จึงเพ้อรำพันถึงบิดามารดาและบุตรภรรยาต่าง ๆ จน นางเตียวเง็กเอ็งกงจู๊แอบได้ยิน และสังเกตจับความจริงได้โดยตลอดแล้ว จึงเข้ามาชี้หน้าพูดว่า
..ท่านเป็นคนอกตัญญูไม่รู้จักคุณบิดามารดา และยังซ้ำทิ้งลูกเมียของตนมาเสียอีก นับว่าเป็นคนเลวทรามที่สุด ท่านทำความชั่วเท่านั้นแล้วยังมิหนำซ้ำ บังอาจกล่าวเท็จต่อพระราชบิดาจนหลงเชื่อ โทษของท่านครั้งนี้ถึงต้องประหารชีวิต แต่เราเห็นว่าท่านก็ได้เป็นสามีของเรา จึงจะไม่กราบทูลให้ทรงทราบ เป็นแต่ต่อไปเรากับท่านจะไม่นับว่าเป็นสามีภรรยากันอีก จะไปมาหาสู่กันอย่างแต่ก่อนไม่ได้ ถ้าท่านยังฝ่าฝืนถ้อยคำ เราจะกราบทูลพระราชบิดาให้ประหารชีวิตท่านเสีย
..
ชินซี้มุ้ยก็มีความตกใจยิ่งนัก คุกเข่าลงคำนับพูดอ้อนวอนขอโทษต่าง ๆ นางเตียวเง็กกงจู๊ก็หาฟังไม่ ตั้งแต่วันนั้นมา นางก็ถือศีลกินเจมิเกี่ยวข้องกับชินซี้มุ้ยดังแต่ก่อน.
############
นิตยสารโล่เงิน กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
จากคุณ |
:
เจียวต้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
21 พ.ย. 55 05:03:22
|
|
|
|