 |
1. ให้เชื่อฝ่ายผู้ชนะที่เป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์อย่างเดียว โดยไม่ฟังคำจากผู้แพ้บ้างเลยหรือ แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าความข้างเดียวนั้นคือข้อเท็จจริง? --------------------------------------------------------------------------- ยกมา "หลังจากนั้นในเดือนตุลาคม พ.ศ.2444 ก็ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญและยิ่งตอกย้ำความไม่จริงใจของรัฐไทยที่กระทำต่อเจ้าผู้ครองนครทั้งหลาย โดยเฉพาะรายาปัตตานี ซึ่งถือว่าเป็นความอัปยศที่ท่านไม่อาจจะยอมรับได้อีกต่อไป
โดยทางรัฐบาลคือกรุงเทพฯ ได้ส่งขุนนางคนสำคัญคือ พระยาศรีสิงหเทพ มาเจรจากับเจ้าเมืองมลายูเพื่อแก้ปัญหาความไม่พอใจของเจ้าเมืองที่เกิดขึ้น โดยพระยาศรีสิงหเทพได้ขอเข้าพบรายาปัตตานี และขอให้พระองค์ลงชื่อในหนังสือฉบับหนึ่งซึ่งเขียนด้วยภาษาไทย โดยแจ้งกับรายาปัตตานีว่า เนื้อหาในหนังสือฉบับนี้เป็นข้อร้องเรียนต่างๆ และแนวทางแก้ปัญหาของเต็งกูอับดุลการเดร์ เพื่อจะนำเสนอต่อองค์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่องค์รายาปัตตานีปฏิเสธไม่ยอมลงชื่อเพราะเขียนเป็นภาษาไทย พระยาศรีสิงหเทพให้คำมั่นว่า หนังสือนี้มิใช่หนังสือสัญญาและรายาจะไม่ถูกผูกมัดจากเนื้อหาในหนังสือดังกล่าว แต่รายาปัตตานีก็ยังไม่ลงนาม จนที่สุดพระยาศรีสิงหเทพให้เจ้าหน้าที่แปลหนังสือนั้น และอ่านให้รายาปัตตานีฟัง หลังจากอ่านแล้ว พระยาศรีสิงหเทพได้ให้คำมั่นอีกครั้งหนึ่งว่า ฝ่ายปัตตานีจะไม่มีข้อผูกมัดใดๆ จากหนังสือดังกล่าว และยังสามารถแก้ไขได้ในภายหลังหากรายามีประสงค์ เมื่อได้ฟังคำมั่นรับรองแข็งแรง ในที่สุดเต็งกูอับดุลกาเดร์ กามารุดดีน รายาปัตตานีก็ยอมลงนามในหนังสือนั้น พระยาศรีสิงหเทพจึงออกเดินทางไปสิงคโปร์ เมื่อไปถึงสิงคโปร์ พระยาศรีสิงหเทพแจ้งให้ Swettenham ข้าหลวงอังกฤษทราบว่า ปัญหาปัตตานีคลี่คลายแล้ว เพราะเต็งกูอับดุลกาเดร์ ยอมรับระเบียบการปกครองแบบใหม่ของรัฐบาลสยามในการเจรจานั้น
ทางฝ่ายรายาปัตตานีก็ได้ให้คนของตนแปลหนังสือฉบับดังกล่าวเป็นภาษามลายู เมื่อทราบความในหนังสือดังกล่าวก็สร้างความตกใจให้กับรายาปัตตานีเป็นอย่างมาก เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือแตกต่างจากที่พระยาศรีสิงหเทพได้อธิบายให้ฟัง เพราะหนังสือกลับมีเนื้อหาเป็นว่า รายาปัตตานีเห็นชอบและยอมรับพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ ร.ศ.116 เพื่อความมั่นคงของปัตตานีและเห็นชอบให้แต่งตั้งข้าราชการระดับสูงของสยามที่มีอำนาจเด็ดขาดทุกเรื่องในปัตตานี
ทางรายาปัตตานี ก็ทรงหาทางที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ทางรัฐบาลกรุงเทพฯ ก็ยังบังคับพระองค์ให้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองที่เกิดขึ้นให้ได้ เมื่อไม่สามารถจะยอมรับตามข้อเรียกร้องดังกล่าวได้ รายาปัตตานีจึงถูกจับในที่สุด ถูกถอดยศแล้วนำไป จองจำที่เมืองพิษณุโลก มีกำหนด 10 ปี หลังจากนั้นได้เกิดเหตุการณ์กบฏอีกหลายๆ ครั้งตามมาในช่วงปี พ.ศ. 2452 -2454 ซึ่ง พบว่าผู้ก่อการกบฏส่วนหนึ่งเป็นคนของอดีตพระยาเมืองปัตตานี" --------------------------------------------------------------------------- 2. ก็มีการจลาจลในช่วงราชสำนักหลายหนนี่นา ไ่ม่มีคนตายเลยหรือครับ คุณถึงว่าสงบดี? ยกมาบางส่วน ความเป็นมาของทฤษฎี "แบ่งแยกดินแดน" ในภาคใต้ไทย
โดย ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
....ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเมืองมุสลิมปักษ์ใต้กับกรุงเทพฯ นับแต่แรกจึงแสดงออกถึงแรงต้านจากรายา(ราชา)ปัตตานีมากกว่าด้านอื่น นำไปสู่การต่อสู้ขัดขืนการที่สยามเข้ามาครอบงำเหนือท้องถิ่นและสะท้อนความต้องการอิสระของตนเองถึง 6 ครั้ง คือกรณีตนกู ลัมมิเด็น (พ.ศ.2329), ระตูปะกาลัน(พ.ศ.2349), นายเซะและเจะบุ(พ.ศ.2364 และ พ.ศ.2369), เจ้าเมืองหนองจิก(พ.ศ.2370), เจ้าเมืองปัตตานี(ตนกูสุหลง พ.ศ.2374) และตนกูอับดุลกาเดร์(พระยาวิชิตภักดีฯ) พ.ศ.2445 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการมีรายาปัตตานี
หลังจากนั้นสยามไม่แต่งตั้งเชื้อสายเจ้าเมืองปัตตานีขึ้นครองเมืองอีกต่อไป พฤติการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะอีก 4 ปีต่อมา รัฐบาลสยามก็แก้ไขการปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้เป็น 4 เมืองคือ ปัตตานี, ยะลา, สายบุรี, และระแงะ แล้วตามมาด้วยการทำสัญญากับจักรภพอังกฤษใน "สัญญากรุงเทพฯ"(พ.ศ.2452) เป็นการตกลงกันของมหาอำนาจในการแบ่งดินแดนและเขตอิทธิพลกันในแบบฉบับของจักรวรรดินิยมตะวันตก ที่ใช้กันทั่วในดินแดนที่เป็นอาณานิคมทั่วโลกสมัยนั้น
ตามสัญญากรุงเทพฯ สยามยกเลิกสิทธิการปกครองและอำนาจควบคุมเหนือไทรบุรี กลันตัน ตรังกานูและปะลิส รวมทั้งเกาะใกล้เคียงให้อังกฤษ ในทางกลับกันสยามได้รับสิทธิอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและคนในรัฐไทยทั้งหมดโดยสมบูรณ์ ที่สำคัญรวมทั้งอธิปไตยของสยามเหนือรัฐปตานี ซึ่งเปลี่ยนจากเมืองประเทศราชมาเป็นจังหวัดหนึ่งของสยามไป
อีกด้านอธิปไตยของสยามที่อังกฤษคืนให้คือ การยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและอำนาจกงสุลของอังกฤษในสยาม นักประวัติศาสตร์ไทยตีความสนธิสัญญานี้เป็นผลดีแก่ไทย ในแง่ของความเข้มแข็งและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศ แม้จะต้อง "เสียดินแดนมลายู 4 รัฐ รวมเนื้อที่ประมาณ 15,000 ตารางไมล์ และพลเมืองกว่าห้าแสนคนให้อังกฤษก็ตาม แต่(ถึงอย่างไร) ก็ไม่ใช่ดินแดนที่เป็นคนไทยแท้ๆ" (17)
หากเราให้ประวัติศาสตร์ของผู้ถูกกระทำเป็นฝ่ายพูดบ้าง ก็จะได้อีกภาพหนึ่ง กล่าวคือสุลต่านที่กลันตันและตรังกานูโกรธเคืองมาก จนปรารภกับนายอาเธอร์ แอดัมส์ ที่ปรึกษาการคลังอังกฤษประจำไทรบุรีว่า "ประเทศของฉัน ประชาชนของฉัน ถูกขายไปเหมือนกับการขายลูกวัว ฉันให้อภัยคนซื้อซึ่งไม่มีพันธะกับฉันได้ แต่ฉันให้อภัยคนขายไม่ได้" (18)
--------------------------------------------------------------------------- 3. ในบทความของม.จ.ฯมีสิ่งที่ขัดแย้งกัน โดยเฉพาะ " ส่วนการภายในเราก็ไม่ได้เข้าไปปกครอง นอกจาก ๓ ปี ก็ได้ราชบรรณาการครั้งหนึ่งเท่านั้น "
ซึ่งการปฎิรูปมลฑลเทศาพิบาล ที่รายาปัตตานี(โดนหลอกให้?)เซ็นยอมรับในปี 2444 ก็ทำให้อำนาจการปกครอง มาจากตัวแทนที่ส่วนกลางแต่งตั้ง และทำการเก็บภาษีเข้าส่วนกลางโดยตรง ลดอำนาจของเจ้าเมืองทั้งหมดไปในตัวอยู่แล้ว จนเกิดกบฎ ร.ศ.121(พ.ศ. 2445 นั่นไง)
ส่วนการยกหัวเมืองมลายูให้อังกฤษ เกิดจาก Anglo-Siamese Treaty 1909(ปี 2452)
แถมอ้างว่า เจ้าเมืองมลายูไปเสนอยกเมืองให้เพราะเป็นหนี้ จะยกได้ยังไง ในเมื่อผู้มีอำนาจปกครองหัวเมืองตอนนั้น คือคนจากส่วนกลาง(ตาม การตั้งมณฑลเทศาพิบาลก่อนหน้านั้น)
ผมหาเนื้อหา สนธิสัญญาฉบับเต็มไม่เจอ จะได้มาวิเคราะห์ต่อว่าเราต้องแลกอะไรไปบ้าง
จากคุณ |
:
IHAYO
|
เขียนเมื่อ |
:
22 พ.ย. 55 21:06:58
|
|
|
|
 |