ความคิดเห็นที่ 1 ลองคิดดูว่า คนไม่จบเอกภาษาอังกฤษ ก็สามารถเป็นล่ามหรือนักแปลได้เหมือนกัน เพราะภาษาอังกฤษเป็นความรู้พื้นฐานที่ทุกคนจะต้องรู้อยู่แล้ว จากคุณ : myenbood (myenbood) เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 17:33:29

ความคิดเห็นที่ 2 จริงๆแล้วคำถามที่เหมาะสมน่าจะเป็น "ความรู้ภาษาอังกฤษใช้ประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง และความรู้ระดับไหนทำอะไรได้บ้าง" นั่นก็เพราะว่ามันไม่จำเป็นที่คนเราจะต้องประกอบอาชีพตามสาขาที่ตัวเองจบมา ยกตัวอย่างเช่นเพื่อนเราจบวิศวกรรมยานยนต์จากประเทศอังกฤษแต่ไปเปิดภัตตาคารจีน ก็มี เพื่อนอีกคนจบ MBA จากอเมริกาแต่ไปปิ้งหมูแผ่นกับหมูหยองขายที่เยาวราช ก็มี เพื่อนอีกคนจบ aeronautical engineering มาจากอังกฤษแต่กลับมาเมืองไทยทำอาชีพเป็น rock singer ก็มี จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 18:22:34

ความคิดเห็นที่ 3 ตั้งใจถามเจาะจงเอก นี้เลยอ่่ะครับ  เพราะวิชาที่เรียน ไม่ใช่เฉพาะแบบคณะอื่นๆ  แล้วอย่างคณะอื่น ก็มาทำงานแบบเอกนี้ได้  เพราะเป็นภาษาอังกฤษ เลยอยากถามว่่าคนที่จบเอกนี้แบบระดับปานกลางอะครับ (คือก็เก่ง แต่ไม่ได้เทพไปเลย) แล้วทำอาชีพอะไรกันบ้างอ่่ะครับ จากคุณ : HolyDolphin เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 19:10:08

ความคิดเห็นที่ 4 ทำงาน นสพ นิตยสาร หนังสือ ประชาสัมพันธ์ โฆษณา โทรทัศน์ ติืวเตอร์ภาษา เลขานุการ ไกด์ นักแสดง นักข่าว นักเขียน นักการเมือง จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 20:09:34

ความคิดเห็นที่ 5 เอาภาษาอังกฤษ ไปใช้กับวิชาชีพที่คุณชอบค่ะ เรามุ่งมาสายองค์กรระหว่างประเทศ จากคุณ : ณ พิชา เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 21:30:57

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องแบบนี้คำตอบมัน obvious มากๆ อยากรู้ก็ให้ดูนิทานเรื่องที่ว่าพี่น้อง 2 คน (ถ้าจำไม่ผิดนะ) พ่อแม่ไม่มีสมบัติอะไรเลยนอกจากแมวตัวผู้ตัวเมียอย่างละตัว พ่อแม่ตายไปก็ทิ้งแมว 2 ตัวไว้ให้ พี่น้อง 2 คนเดินทางกับแมวไปหมู่เกาะแห่งหนึ่งที่มีหนูชุมมากๆ รับอาสาปราบหนูให้ โดยการเพาะพันธ์แมว แล้วให้มันไล่จับหนูจนหมดเกาะ ชาวหมู่เกาะเผอิญมีทองเยอะ เลยตบรางวัลเป็นทองให้ 2 คนพี่น้องลงเรือกลับมาบ้านร่ำรวยไป ^ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเราต้องรู้ว่าเรามีทรัพยากรอะไรในมือและมีความรู้อะไรในสมอง แล้วประกอบอาชีพให้เหมาะสมกับสิ่งที่เรามี เมื่อ narrow down ลงไปเป็นเรื่องความรู้ภาษาอังกฤษ มันก็ยิ่งชัดเจนใหญ่ คือคนที่รู้อังกฤษครบทุกทักษะคือ ฟัง พูด อ่าน เขียนระดับเทพๆๆๆมากๆ ทำได้หลายอย่าง แต่ในความเป็นจริงแล้วบางคนอาจเก่งมากๆแค่ทักษะใดทักษะหนึ่ง หรือแค่พอได้แบบห่วยแตกมากๆ และคนพวกนี้ถ้าสมองพลิกแพลงก็ปรับตัวให้อยู่รอดได้ แต่ถ้าสมองไม่พลิกแพลงก็ "ตกงาน" หรือไม่ก็ "ได้งานไม่ดีทำ" จะยกตัวอย่างของจริงที่เราเจอมา ให้ดู 1. สาวคนหนึ่งเรียนปี 1 ธรรมศาสตร์ แล้วเรียนไม่จบ แล้วไปเรียนอังกฤษจาก aua ครบทุกระดับ ตอนนั้นเธออายุแค่ 20 กว่าๆพูดอังกฤษคล่องมากๆ มีพรสวรรค์สูงเรื่องพูดชัดใกล้เคียงเจ้าของภาษาและพูดไม่มีผิด grammar แต่เธออ่านอังกฤษยากๆไม่รู้เรื่อง เขียนอังกฤษยากๆก็ไม่ได้ เธอไปสอน conversation ตามบ้านคนรวย แล้วแหกตานักเรียนว่า "เธอเป็นเจ้าของภาษา" เพื่อให้ได้ค่าสอนแพงกว่าครูไทย 2. แฟนเก่าเราจบธุรกิจอังกฤษมาจากราชภัฎเชียงใหม่ เธอพูดอังกฤษคล่องมากๆพูดรู้เรื่อง แต่พูดผิด grammar เยอะมากๆ แต่อ่านอังกฤษยากๆไม่ได้แล้วก็เขียนอังกฤษผิดเละ เธอฉลาดพอที่จะไม่ไปทำงานแปลเอกสารหรือเขียนอังกฤษ เธอไปทำงานเป็นไกด์ หลอกให้นักท่องเที่ยวซื้อของแพงๆเกินราคา แล้วเธอได้ค่า commissions ตั้งมากมายจนมีเงินไปเที่ยวต่างประเทศ มีเงินซื้อบ้านซื้อรถตั้งแต่อายุแค่ 30 ต้นๆ 3. กระทาชายรายหนึ่งรู้อังกฤษงูๆปลาๆแย่ยิ่งกว่า2 รายแรกที่พูดถึง นั่นก็คือเขาเรียนด้วยตัวเอง แล้วฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดก็งูๆปลาๆ ผิด grammar เพียบ แต่เขามีความรู้บางอย่างที่หลายๆคนไม่รู้ นั่นก็คือรู้ว่าจะไปวางของขาย ณ จุดยุทธ์ศาสตร์ได้ยังไงโดยไม่โดนเจ้าที่หรือโดนมาเฟียไล่  นั่นก็คือไปวางรูปที่ลอกจากวัดขายอยู่บนท่าน้ำ (ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นท่าน้ำใกล้ๆโรงแรมอะไรที่นักท่องเที่ยวรวยๆขึ้นลงเรือกัน)สมัยนั้นเราทำงานขาย time sharing (ขายสิทธิการไปพัก resorts ดังๆทั่วโลก) ที่โรงแรมแม่น้ำ เดินไปกับเพื่อนร่วมงาน(ที่จบต่างประเทศหรือมีประสบการณ์ต่างประเทศพูดอังกฤษคล่อง) เดินไปขายทั้งวัน ขายไม่ออกเลย เพราะพอเข้าไปหานักท่องเที่ยวพวกเขาหนีกันหมด แต่พอไปนั่งพักบน pier แห่งนั้น แล้วเจอกระทาชายรายนั้น พูดตะล่อมนักท่องเที่ยวด้วยภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ แต่ขายรูปลอกไปได้ใบละ 1,000 บาท นั่งๆดูอยู่ 2 ชม. พี่แกขายไปได้ 4-5 รูป คุณว่าต้นทุนเท่าไหร่กัน หมอนี่วันๆจะทำเงินได้เท่าไหร่กัน พวกเราถึงกับ "ตกตลึกตาค้าง!" เลยค่อยๆกระแซะเข้าไปหาหมอนี้และขอเรียนรู้วิทยายุทธ์เรื่องการขายให้นักท่องเที่ยว เขาให้ lecture พวกเราว่า "เวลาคุณเข้าไปหานักท่องเที่ยวน่ะ ชวนเขาคุยก่อน แค่ไปเที่ยวไหนสนุกไหม ให้เขาตายใจก่อนว่าคุณจะไม่พยายามขายอะไรให้ พอเขาคุยด้วยสนุกๆผูกมิตรก่อนแล้วค่อยเสนอขาย" 3. อาชีพครูสอนภาษาอังกฤษ เมื่อ 4-5 มาแล้วเจอกระทู้คนเรียนศึกษาศาสตร์เอกการสอนภาษาอังกฤษ ปี  3- 4 เอา essay มาแปะให้แก้ เธอเขียนผิด grammar เกือบทุกประโยค อีกไม่นานเธอจบไป และได้เป็นครู แทนที่เธอจะรีบหาตำรา grammar ม. 1 -4 มาเรียน จะได้สอนนักเรียนได้ถูกต้อง แต่เธอฉลาดกว่านั้น เธอไปเรียนจบปริญญาโท แล้วเอาวุฒิไปขึ้นเงินเดือน เธอไม่สอนเก่งขึ้น แต่ได้เงินเดือนมากขึ้น ในทำนองเดึยวกันคนไม่จบศึกษาศาสตร์แต่จบเอกอังกฤษจากมหาลัยระดับหางแถวแล้วไม่เก่งอังกฤษเอาซะเลยระดับฟัง พูด อ่าน เขียนเละไม่ได้เรื่องเลย จะหาทางรอดตายเหมือนครูคนแรก นั่นก็คือไปสอบ 9 มาตรฐานวิชาครูเพื่อบรรจุเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แบบนี้ก็ "ไม่ตกงาน" เพราะระบบการศึกษาไทยไม่ทดสอบทักษะภาษาอังกฤษเพื่อเลือกครูสอนภาษาอังกฤษ แต่ทดสอบ 9 มาตรฐาน นี่คือการ "ไม่เก่งอังกฤษแต่หางานสอนภาษาอังกฤษได้อย่างชาญฉลาด" ^ แต่คนเก่งอังกฤษมากๆ และอยากเป็นครูจะไม่เดินทางสายนี้นะ พวกเขาจะไปเป็นติวเตอร์กันเพราะค่าตอบแทนสูงกว่า คราวนี้มาเรื่องคนเรียนครู(สอนภาษาอังกฤษ) มาแต่ไม่เป็นครู นั่นก็คือเพื่อนร่วมงานเก่าเราคนหนึ่งในบริษัทแปลเอกสารจบครุศาสตร์จุฬาเอกการสอนภาษาอังกฤษมา เขาเขียนภาษาอังกฤษได้ไม่มีกลิ่นกะปิน้ำปลาเลย เขาไม่เคยเป็นครูเลย แต่เป็นนักแปลแล้วเปลี่ยนอาชีพไปเป็น professional journalist คือเขาเขียนเก่งมากๆ ฟังพูดก็คล่องพูดถูก grammar แต่ยังพูดอังกฤษสำเนียงแบบไทยๆเขาจึงไปย้อมแมวขายว่าเป็นเจ้าของภาษาเหมือนสาวที่จบแค่ปี 1 ธรรมศาสตร์ที่พูดชัดแต่เขียนไม่เป็น เขาจึงต้องเน้น "ทักษะการเขียนอังกฤษระดับเทพๆๆๆของเขาจนประสบความสำเร็จ และหนีจากการเป็นครูในระบบเพราะเงินเดือนน้อยเกินไป" เป็นไง เป็นไง พอเห็นทางสว่างหรือยัง? จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 55 04:36:45

ความคิดเห็นที่ 7 4. งานแปล การแปลจากภาษาที่ 2 ไปเป็นภาษาที่ 1 เรียนกันได้ง่ายหน่อย แต่การแปลจากภาษาที่ 1 ไปเป็นภาษาที่ 2 บางคนเรียนชั่วชีวิต (แต่เรียนผิดวิธี) ก็ยังแปลไม่ได้! ดังนั้น ถ้าจะจับงานแปล ต้องรู้ว่าตัวเองแปลอะไรได้บ้าง ไม่ใช่แปลไปเรื่อยโดยไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ นักแปลหนังสือ(แปลอังกฤษเป็นไทย) รายหนึ่งแปลหนังสือมาแล้ว 200 กว่าๆน่าจะเกือบๆ 300 เล่ม คงแปลมาเกิน 20 ปี เคยให้สัมภาษณ์แล้วรับสารภาพว่าเขา "อ่านอังกฤษรู้เรื่องแต่เขียนอังกฤษไม่เป็นภาษาคน" นั่นก็หมายความว่าเขาไม่มีทางที่จะแปลไทยเป็นอังกฤษได้เลย เขาก็เลยฉลาดทำแต่สิ่งที่ตัวเองถนัด นั่นก็คือ "แปลแต่หนังสือจนชื่อติดตลาด" แต่นักแปลบางคนแปลหนังสือไม่เก่งเท่าคนแรก แต่พอเขียนอังกฤษพอดูได้ และแปลอังกฤษ-ไทย ไทย-อังกฤษ พอดูได้ ถ้าทักษะระดับนี้ทำงานแปลก๋วยเตี๋ยวเรือ (งานแปลลวกๆราคาถูกๆ) ก็หาเงินได้มากพอสมควร ไปตามร้านแปลก๋วยเตี๋ยวเรือ (ร้านแปลลวกๆราคาถูกๆ)แถวๆ ถ.วิทยุ กับ ถ.เพลินจิต ไปสมัครงาน ร้านแปลก๋วยเตี๋ยวเรือรับหน้าร้านหน้าละ 400 - 500 บาท กินหัวคิวไป 50% แล้วจ่ายนักแปลหน้าละ 200 - 250 บาท ถ้านักแปลไม่ชุ่ยมาก เอาว่าเก่งพอประมาณ แล้วปั่น (เอา teen เขี่ยๆไป) ให้ได้วันละ 15 หน้า ก็ได้เงินวันละ ประมาณ 3,000 บาทหรือมากกว่านั้น สบายๆแล้ว แต่ถ้าแผ่วหน่อย แปลให้ได้วันสัก 8 หน้า ก็ได้เงินวันละประมาณ 1,600 บาท หรือมากกว่านั้น สบายๆแล้ว ^ ร้านแปลก๋วยเตี๋ยวเรือมีงานล้นมือให้คุณทำทุกวัน ไม่ต้องกลัวอดตาย แค่แปลแบบเอา teen เขี่ยๆไปก็ได้เงินง่ายๆแล้ว แต่ต้องระวังเพราะเคยมีนักแปลก๋วยเตี๋ยวเรือตายเพราะทำงานแปลไปแล้วหลายคน คือบางคนเส้นเลือดในสมองแตกตาย บางคนหัวใจวาย บางคนแปลๆไปกลายเป็นอัลไซเม่อร์ถามหา  แต่ถ้าโชคดีหน่อยแปลๆไปแล้วเรียนเขียนอังกฤษให้เก่งกว่าเดิมได้ แล้วขยับไปรับงานแปลไทยเป็นอังกฤษแพงๆจากลูกค้าโดยตรงรับได้หน้าหนึ่งเกิน 1,000 บาทสบายๆ (เดือนหนึ่งทำงานแค่ไม่กี่วันแต่รายได้ตัวเลข 6 หลัก) แต่ต้องเขียนอังกฤษให้ใกล้เคียงเจ้าของภาษาที่มีการศึกษาดีนะ ซึ่งกว่าจะฝึกแบบนั้นได้บางคนก็อายุปาเข้าไปตัวเลขขึ้นต้นเลข 5 หรือ 6 ไปแล้ว เว้นเสียแต่จะไปโตในต่างแดนในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 1 หรือเรียนจบเอกอังกฤษจากมหาลัยปิดชั้นแนวหน้าได้เกียรตินิยม ถึงจะเรียน writing ได้เก่งขนาดนั้นเมื่ออายุ 30 ต้นๆ เพื่อนแฟนเราจบอักษรศาสตร์จุฬาเอกอังกฤษเกียรตินิยม เขียนอังกฤษได้เก่งมากๆระดับเทพๆๆๆๆ เธอทำงานรับเงินเดือนสูงๆ แล้วรับแปลเอกสาร PR เป็นงานพิเศษ มีเงินไปเที่ยวต่างประเทศเป็นว่าเล่น และมีเงินลาออกจากงานมาตั้งบริษัทของตัวเองตั้งแต่อายุ 30 ต้นๆ แต่ถ้าใครทักษะการแปลน่าสงสารมากๆ แล้วอยากทำงานแปล ก็ไปติดต่อตามร้านถ่ายเอกสารก็ได้ มีคนเอางานมาให้แปลเยอะพอสมควร ลูกค้าระดับนี้ไม่ค่อยรู้หรอกว่าไอ้ที่แปลมาน่ะมันอ่านรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่อง คือจะเอาราคาถูกเข้าไว้ คือพูดตรงๆว่าถ้าลูกค้าเอางานไปแปลตามร้านถ่ายเอกสารนี่ก็ถือว่า "ลูกค้าสิ้นคิดแล้ว" ถ้าคุณกำลังหัดแปลแล้วไม่เก่งมากๆ ไม่อยากตกงานก็ลองไปหางานตามร้านถ่ายเอกสารดู พวกเขาน่าจะรับหน้าร้านหน้าละ 200 บาท แล้วจ่ายคุณหน้าละ 100 บาทนะ หรือไม่คุณก็โฆษณาตาม pantip market ดูก็ได้ เห็นมีคนตกงานโฆษณารับแปลเอกสารหน้าละ 50 บาทก็ยังมีเลย แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 55 05:12:56 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 55 05:06:38

ความคิดเห็นที่ 8 5. ล่าม หลายๆคนใฝ่ฝันอยากจะเป็นล่าม แต่ยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆอย่างนั่นก็คือ ถ้าคุณไม่ได้ไปโตต่างแดนตั้งแต่อายุน้อยๆ อยู่ดีๆเรียนจบเอกอังกฤษจบมาหมาดๆ ต่อให้จบมหาลัยปิดดังๆก็เป็นล่ามไม่ได้ง่ายๆหรอก เพราะทักษะการฟังและโต้ตอบอย่างรวดเร็วยังไม่ดีพอ แฟนเรา(คนปัจจุบัน)จบอักษรศาสตร์จุฬาเอกอังกฤษ กว่าจะทำงานเป็นล่ามในที่ประชุมบริษัทได้ เธอต้องไปทำงานอื่นในบริษัทฝรั่งที่พูดอังกฤษทุกวันตั้งแต่จบมาใหม่ๆอายุ 20 ต้นๆ ทำๆแบบนั้นไป 10 กว่าปี จนอายุ 30 ต้นๆถึงจะเป็นล่ามได้ในระดับต้องฟังคนตั้งหลายชาติพูดอังกฤษในที่ประชุมแล้วแปลและโต้ตอบไวมากๆ เธอฝึกโดยการเปิด youtube ฟังสำเนียงคนหลายๆประเทศพูด ถึงฟังรู้เรื่องมากขนาดนั้น แต่นั่นเป็นงานประจำแบบรับเงินเดือนนะตำแหน่งคือ ล่าม/นักแปล ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีบริษัทจ้างล่าม/นักแปลประจำหรอกเว้นเสียแต่จะเป็นบริษัทหรือองค์กรข้ามชาติมีโครงการที่ต้อง deal กับหน่วยงานไทยหรือต้องฟ้องร้องกับหน่วยงานไทยยืดเยื้อหลายๆปี แต่งานล่าม/นักแปลที่เป็นงานประจำรับเงินเดือน จะแฝงมาในรูปแบบของงานตำแหน่ง admin คือใช้งานพนักงานให้เป็นล่าม แปลเอกสาร ต้อนรับผู้คนจากต่างประเทศที่มาติดต่อ และให้ทำงานอื่นจิปาถะอีกตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ เราเคยได้งานล่ามเหมือนกัน แต่หางานล่ามเองแบบหางานแปลเอกสารอิสระ หาไม่ได้ง่ายๆหรอก เพราะเวลามีงานล่ามระดับประเทศกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักจะไปจ้างอาจารย์มหาลัยให้ทำหน้าที่เป็นล่าม เราเคยได้งานล่ามจากบริษัทแปลแต่นานๆทีจะมีหลงๆมา โดนบริษัทแปลกินหัวคิวไป 50% แต่ก็ยังเหลือค่าล่ามเยอะพอใช้ได้นะ คือบริษัทแปลรับหน้าร้านวันละ 12,000 บาท แล้วจ่ายเราวันละ 6,000 บาท เคยมีเพื่อนนักแปลได้งานล่ามค่าตัวประมาณนี้ต่อเนื่องกันทุกวันเป็นเวลา 2 ปี มันซื้อรถไป 2 คัน คอมพิวเตอร์ใหม่ไป 4 -5 เครื่อง แต่เราได้แบบ 2-3 ปี จะหลงมาสัก job หนึ่ง แล้วตอนนี้เราไม่ได้ติดต่อกับร้านแปลที่ไหนเลยเราก็เลยไม่มีงานล่ามหรอก หางานล่ามอิสระไม่ได้ง่ายๆนักหรอก แต่นักแปลรุ่นพี่เราเก๋ากว่านั้นซะอีก เธอได้งานล่ามอิสระทำได้ค่าล่ามวันละ 50,000 บาท ทำแค่ไม่กี่ปีรวยเละไปแล้ว ที่ทำได้เพราะเธอมี connections ระดับทูตต่างประเทศ ที่รู้ว่าจะมีงบประมาณเข้าสถานทูตเมื่อไหร่ และจะมีงานล่ามเมื่อไหร่ เมื่อมีทีหนึ่งทำงานล่ามต่อเนื่องยาวหลายเดือน พองบประมาณหมดก็พักผ่อนไปเที่ยว คนธรรมดาๆที่ไม่มี connections อันทรงพลังแบบนักแปลรุ่นพี่เราไม่มีทางได้งานล่ามระดับนี้หรอก สรุปแล้ว งานล่ามก็คือ 1. หาง่ายๆคือทำงานล่าม/นักแปล หรืองาน admin รับเงินเดือนกับบริษัทหรือองค์กรข้ามชาติ (แต่จะสมัครงานล่ามได้ต้องฟังพูดอังกฤษโดยการไปโตต่างแดนในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 1 มา หรือเรียนในไทยแต่จบเอกอังกฤษมหาลัยดีๆแล้วมีประสบการณ์ทำงานที่ต้องพูดอังกฤษทุกวันมาสัก 10 ปีก่อน ถึงจะทำงานล่ามได้ จบเอกอังกฤษในเมืองไทยมาแค่ไม่กี่วัน(ต่อให้จบมหาลัยดีๆ) ทำล่ามทันที ไปไม่รอดหรอก) 2. นานๆทีได้งานล่ามจากร้านแปลเอกสาร 3. เป็นอาจารย์มหาลัย 4. มี connections อันทรงพลัง แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 55 05:53:12 แก้ไขเมื่อ 30 พ.ย. 55 05:36:56 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 55 05:31:26

ความคิดเห็นที่ 9 ^ ^ ^ อ้านแล้วให้นึกถึงคำสอนที่ได้ยินตั้งกะสมัยเด็กๆ นะ เขาว่า "อันความรู้ รู้กระจ่างถึงอย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล!" จากตำนานยอดฝีมือที่ซีอเฮียเล่ามานี่ ใช่เลยยยยยยยยยยยยย!!!! สุดย๊อดดดดดด ส่วนผม ความจริงน่าจะหันมาเอาดีทางนี้ตั้งนานแล้วเนาะ กร๊ากกก มัวแต่ไปทำอย่างอื่น เลยไม่รวยล้นฟ้าซะที แต่ไหนๆ เดินมาทางอื่นจนกลับตัวไม่ได้แล้ว ต้องมุ่งมั่นในทางเราต่อไป !! จากคุณ : Ensign เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 55 13:50:03