ความคิดเห็นที่ 1 กระทู้ภาค 1 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันะ์ 2546 ครับ จะครบ 6 เดือน ในวันจันทร์นี้ครับ ถ้าเป็นหนังสือก็หนาประมาณ 2,000 หน้าครับ แซงสงครามและสันติภาพ ไปแล้ว จากคุณ : เกิดมาเลว - [ 3 ส.ค. 46 19:59:40 A:203.147.20.9 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 มารออ่านครับ จากคุณ : ผู้ติดตาม - [ 3 ส.ค. 46 20:33:59 A:203.149.36.35 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อไหร่จะมาน้าาาา จากคุณ : กริช - [ 3 ส.ค. 46 21:47:27 A:202.44.14.194 X:10.11.13.109 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ยินดีอย่างยิ่ง ให้กับกระทู้ครับผม ขอบคุณ คุณสื่อศิลป มาก ขอบคุณ ทุกคนด้วยที่ช่วยกันให้กำลังคุณสื่อศิลป ให้เขียนสิ่งที่ดี ๆ ให้แก่ทุกคน และขอบคุณที่สุด สำหรับ พันทิพ ในทุก ๆ เรื่อง จะตามอ่านตลอดไปครับผม แก้ไขเมื่อ 03 ส.ค. 46 23:54:55 จากคุณ : Ziewchai - [ 3 ส.ค. 46 22:38:55 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มารายงานตัวครับ จากคุณ : ปลาสวรรค์ (Taro_sama) - [ 4 ส.ค. 46 01:45:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เท่ากับสงครามและสันติภาพแล้วหรือนี่ ถ้างั้นผมก็พูดรัสเซียได้แล้วละซิ แหม สมใจสักทีเรียนมาตั้งนาน พูดไม่ได้สักคำ วันนี้คอมพ์เครื่องที่ผมใช้อยู่มันรวนซะแล้ว เข้าเนทไม่ได้เลย คงต้องเรียกช่างมาดู ตอนนี้ก็อาศัยของคนอื่นไปก่อน อาจจะไม่สะดวกสักหน่อย จนกว่าของผมจะซ่อมเสร็จแหละครับ จริง ๆ คงไม่มีอะไรมาก นอกจากชอบโหลดนั่นโหลดนี่ไปเรื่อย คงเจอไวรัสเข้าให้ แต่อย่างว่า คนตกยุคแล้ว อะไรก็ดูยากไปหมด จริง ๆ ไม่ค่อยชอบให้ช่างมาดูหรอก เพราะช่างคนนี้แกทำตัวเหมือนคุณครูไปด้วย คือพอแก้เสร็จก็จะแปะโน๊ตห้ามนู่นห้ามนี่ ประมาณว่าต่อไปให้ทิ้งเครื่องไว้เฉย ๆ อย่าไปแตะอะไรเข้ายังงั้นแหละ รู้งี้ตอนจบ ม.6 ไปต่อวิชาซ่อมคอมฯก็ดีหรอก ไม่น่าไปเรียนมหาลัยเลย เอา ก่อนเรื่องอื่นมาเฉลยเรื่องรัฐนิยมก่อน สมัยจอมพล ป.นั้นได้มีการออกรัฐนิยม ดังนี้ครับ 1. ฉบับที่ 1 ออกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2482 เรื่องการใช้ชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ (เปลี่ยนจากสยามมาเป็นไทย) 2. ฉบับที่ 2 ออกเมื่อวันที่ 3 กรกฏาคม 2482 เรื่องการป้องกันภัยที่จะบังเกิดแก่ชาติ (ที่ว่าให้ประชาชนทุกคนต่อสู้หากข้าศึกรุกราน ถ้าแพ้ก็ให้เผาบ้านเผาเมืองเสีย เหมือนที่ปลัดที่สุราษฏร์ทำไงครับ) 3. ฉบับที่ 3 ออกเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2482 เรื่องการเรียกชื่อชาวไทย 4.ฉบับที่ 4 ออกเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2482 เรื่องการเคารพธงชาติ เพลงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมี (8 โมงเช้า กับ 6 โมงเย็นที่เอามารีไซเคิลใหม่เมื่อวันที่ 1 ส.ค.นี้ไงครับ เห็นภาพที่เขาเอาไปติดที่ขนส่งแล้ว นึกถึงทิวธงสวัสดิกะจริง ๆ ) 5. ฉบับที่ 5 ออกเมื่อวันที่ 1 พ.ย.2482 เรื่องหใชวไทยะยายามใช้เครื่องอุปโภค บริโภคที่มีกำเนิดหรือทำขึ้นในประเทสไทย (ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ อันนี้เอามาผลิตซ้ำหลายหน จนมาเดี้ยงเอาเมื่อตอนปี 40 ที่ปรับไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง นึกว่าคาถาช่วยกันประหยัด ใช้ของไทยจะได้ผล ปรากฏว่าเศราฐกิจแบบโลกาภิวัฒน์มันทำให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้แล้ว เช่น ประกาศไม่ให้ข้าราชการไปประชุมสัมมนานอกสถานที่ ผลที่ได้แทนที่จะประหยัดแต่กลายเป็นฉุดให้โรงแรมเจ๊งทันตาเห็น หรือการขึ้นภาษีของฟุ่มเฟือย ที่ตอนนี้ต้องหันมาทบทวนใหม่ เพราะต่างชาติรองบ้านเราเขาชอบ เพราะพี่เล่นเปิดแทกฟรีชอปรอบบ้านประมาณเดินถึง ผลที่ได้คือเงินยิ่งไหลออก เพราะทีแรกกะว่าจะไปซื้อไวน์กะเคร่องสำอางฝากเมียเฉย ไ แต่ร้านมันดันไปอยู่ติดกับกาสิโน แถมเปิดประตูอ้าซ่า ไม่มี รมต.มาตรวจฉี่อีกต่างหาก เรื่องมันเลยไปกันใหญ่ ต้องหามาตรการมาอุดกันวุ่นวาย) 6. ฉบับที่ 6 ออกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2482 เรื่องทำนองและเนื้อร้องเพลงชาติ (ตอนนี้กำลังถกเถียงกันว่าเปลี่ยนใหม่ดีไหม แต่ตอนนั้นออกประกาศฉบับเดียว อยู่) 7. ฉบับที่ 7 ออกเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2482 เรื่องชักชวนให้ชาวไทยร่วมกันสร้างชาติ (ประวัติศาสตร์ไทยที่เราคิดว่าใช่ ส่วนใหญ่ก็สร้างกันขึ้นมาในสมัยนี้แหละครับ) 8. ฉบับที่ 8 ออกเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2483 เรื่องเพลงสรรเสริญพระบารมี 9. ฉบับที่ 9 ออกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2483 เรื่องภาษาและหนังสือไทยกับหน้าที่พลเมืองดี (ฉบับเจ้าปัญหา นักเขียนชื่อดังหลายท่านประกาศยุติการเขียนเพราะไม่ต้องการเขียนตามรัฐนิยมฉบับนี้ ส่วนหน้าที่พลเมือง เชขื่อว่ารุ่นเรา ๆ คงได้เรียนกันสมัยเด็ก ๆ ในยุคจัดระเบียนสังคมนี้ก็เลยมีคนโหยหาให้จัดมาเรียนกันอีก) 10. ฉบับที่ 10 ออกเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2482 เรื่องการแต่งกายของประชาชนชาวไทย (ฉบับแตกหักครับ เพราะเป็นฉบับที่สร้างความวุ่นวายให้มากที่สุด ที่จำกันติดหูติดตาคือ มาลานำไทยไปสู่มหาอำนาจ นายควงเคยลองของครั้งหนึ่งด้วยการสวมงอบแทนหมวกแบบตะวันตก ทำให้เอาจอมพล ป.ฉุนกึ๊ก แต่ไม่รู้จะว่าอะไร เพราะเป็นหมวกแบบไทย ๆ สุดท้ายเลยหาหมวกแบบตะวันตกให้นายควงใบนึง นายคควงเลยจำต้องทิ้งงอบมาใส่หมวกแทน แต่ก็ไม่วายล้อท่านผู้นำด้วยการใส่เข้าประชุมครม.ด้วยทั้ง ๆ ที่เวลาอยู่ในร่วมต้องถอด จนจอมพล ป.ต้องปรามว่า "ไม่เอาน่า คุณควง" แกเลยยอมถอด) 11. ฉบับที่ 11 ออกเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2485 เรื่องกิจประจำวันของคนไทย (ฉบับนี้แหละครับที่ตอกย้ำความไม่พอใจของคนไทยเข้าไปอีก ด้วยการห้ามเคี้ยวหมาก ต้องจูบเมียก่อนออกจากบ้าน) 12. ฉบับที่ 12 และเป็นฉบับสุดท้ายออกเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2485 เรื่องการช่วยเหลือคุ้มครองเด็ก คนชรา หรือคนทุพพลภาพ (โฆษณายาชูกำลังเอามาเป็นประเด็นในการสร้างภาพลักษรฺให้ผลิตภัณฑ์ ไม่น่าเชื่อนะครับว่าการตอกย้ำหรือผลิตซ้ำอุดมการณ์ที่สร้างขึ้นเมื่อกว่า 50 ปีมาแล้ว ก็ยังใช้ได้อยู่ เพราะคนรู้สึกว่าเรื่องนี้สูญพันธ์ไปแล้วจริง ๆ ) ใครตอบถูกพอที่จะได้รางวัลที่ 1 บ้างครับ ส่วนใหญ่เราจะจำในรายละเอียดได้มากกว่ามช่ไหมครับ โดยเฉพาะเรื่องใส่หมวก ห้ามเคี้ยวหมาก ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของรัฐนิยม 2 ใน 12 ฉบับเท่านั้น ส่วนอีกหลาย ๆ ฉบับที่เรารับได้ก็จะไม่รู้สึกเหมือนกัยที่ปฏิเสธ อย่างเรื่องเคารพธงชาติหรือการกลายเป็นคนไทย เราก็รู้สึกเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เอาเป็นว่าไม่มีใครตอบถูกทั้งหมดแล้วกัน แต่ถ้าเอาเฉพาะที่ตอบกันมาก็ใช้ได้แล้วครับ ให้ผมนึกกระทันหันแบบไม่ได้ค้นคว้าอไรก้ได้ประมาณนั้นแหละ แต่ถ้าจะให้ตัดสินกันจริง ๆ อย่าหาว่าเข้าข้างกันเลยนะครับ ผมขอฝห้เจ๊วิฯแกได้ที่ 1 ไปแล้วกัน ไม่ใช่อะไรหรอก คนอื่นนะนึกถึงแค่เรื่องสวมหมวก เคี้ยวหมาก ใส่กระโปรง อะไรประมาณนี้ แต่เจ๊ฯนะฟันธงเลยว่ารัฐนิยมที่น่าจดจำและนำกลับมาใช้มากที่สุดนั้นคือ เรื่อง จูบเมียก่อนออกจากบ้าน นะครับ เอาที่ 1 ไปเลยเจ๊ฯ จากคุณ : สื่อศิลป - [ 4 ส.ค. 46 08:59:48 A:203.151.227.14 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 แหม..ขอบคุณที่แจกรางวัลให้ งั้นเอาเรื่อง ไวน์ ภาค 4 ไปอ่านเล่นๆก่อน..ยังไม่จบนะ เดี๋ยวจะมาเขียนต่อ http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H2395420/H2395420.html จากคุณ : wiwanda (WIWANDA) - [ 4 ส.ค. 46 13:47:45 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ฉบับนี้แหละครับที่ตอกย้ำความไม่พอใจของคนไทยเข้าไปอีก ด้วยการห้ามเคี้ยวหมาก ต้องจูบเมียก่อนออกจากบ้าน ================================ Which one krub? ห้ามเคี้ยวหมาก or ต้องจูบเมียก่อนออกจากบ้าน??? :) จากคุณ : Ronachai - [ 4 ส.ค. 46 14:51:46 A:129.94.6.28 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 เออ เนาะ ผมก็สงสัยเหมือนกันว่า อันไหนกันแน่ที่ทำให้คนไทยไม่ค่อยพอใจ ไอ้ห้ามเคี้ยวหมากนั้นนะแน่ ๆ แต่ให้จูบเมียก่อนนี่ผมว่าน่าจะไม่พอใจเฉพาะพวกที่แต่งแล้วเกิน 10 ปีขึ้นไปนะ ส่วนพวกข้าวใหม่ปลามันนั่น นะ เจอรัฐนิยมฉบับนี้เข้า อาจจะนิยมรัฐเพิ่มขึ้นอีกก็ได้ จากคุณ : สื่อศิลป - [ 4 ส.ค. 46 15:28:02 A:203.151.225.43 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 มาว่ากันต่อนะ เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลเช่นนี้แล้ว เป้าหมายต่อไปของกลุ่มเสรีไทย คือ ทำอย่างไรที่จะเจรจากับสหรัฐนและอังกฤษให้เห็นใจไทยที่ไปเข้าร่วมกับญี่ปุ่นในช่วงต้นสงคราม สหรัฐฯนั้นไม่ค่อยน่าเป็นห่วง เพราะไม่ถือโทษโกรธไทยอยู่แล้วในเรื่องการประกาศสงคราม เพราะบทบาทของหม่อมเสนีย์และเจ้าหน้าที่สถานฑูตไทยชัดเจนตั้งแต่ต้น แต่ทั้งนี้ก็ขอเว้นไว้ว่าสหรัฐฯได้จัดทำรายชื่ออาชญากรสงครามของไทยไว้ในมือ รอเช็กบิลตอนสงครามเลิกไว้ด้วย อาชญากรสงครามในมือของสหรัฐฯมีดังนี้ครับ 1. จอมพล ป.พิบูลสงคราม 2. พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร (ฐานที่ไปประชุมผู้นำที่โตเกียวแทนจอมพล ป.) 3. หลวงวิจิตร วาทการ 4. นายวนิช ปานะนันท์ ส่วนอังกฤษนั้นได้ทำตัวน่าหนักใจที่สุด เพราะเป็นประเทศเดียวใน 3 มหาอำนาจขระนั้นที่ไม่ยินดีในการเจรจากับไทยเลย เพราะอังกฤษถือว่าการที่ไทยไปประกาศสงครามกับบริติชนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ แม้ว่าไทยจะแก้ตัวได้ว่าการที่ญีปุ่นบุกเข้ามาแบบนั้นไทยเป็นประเทศเล็กฝืนไปก็มีแต่ยิ่งพินาศ อังกฤษก็บอกว่าลำพังแค่นั้นอังกฤษก็เข้าใจ แต่ที่ยอมรับไม่ได้ คือ ทำไมต้องมีการประกาศสงคราม รวมทั้งมีการกระจายเสียงด่าอังกฤษผ่านรายการนามั่น นายคง ที่ลามปามไปถึงราชวงศ์อังกฤษด้วย แต่สุดท้าย หลังจากที่ อ.ปรีดี ส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจาที่วอชิงตันและให้ทางโอ.เอส.เอส ช่วยพูดกับฑูตอังกฤษที่วอชิงตันให้อังกฤษเปิดเผยท่าทีออกมา ก้ได้รับคำตอบว่า 1. อังกฤษถือว่า เป้าหมายสุดท้ายของสหรัฐฯและอังกฤษมมีลักษณะอย่างเดียวกัน 2. อังกฤษไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัยในความแน่แม้จริงใจของผู้สำเร็จาชการแทนพระองค์ที่ปรารถนาจะร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร 3. อังกฤษรู้สวึกว่าพึงดำเนินกาติดต่อโดยตรงกับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปจนกว่าจะถึงเวลาจัดตั้งรับบาลชั่วคราวขึ้นบนแผ่นดินไทยที่ได้รับการปลดปล่อยแล้วตามความดำริของผู้สำเร็จราชการฯ จริง ๆ แล้ว อ.ปรีดี อยากให้มีการตั้งรับบาลพลัดถิ่นขึ้นในประเทศเป็นกลาง อย่างสวีเดน ภายหลังจากที่ไม่สามารถขอให้อังกฤษสนับสนุนให้ตั้งที่อินเดียได้แล้ว แต่อังกฤษก็ยังไม่สนับสนุนให้ตั้งรับบาลพลัดถิ่นเช่นเดิม ทั้ง ๆ ที่จีนนั้นพร้อมสนับสนุนให้ตั้งที่จุงกิงได้ทันทีและมีเงินสนับสนุนให้ก่อนด้วย แต่ไทยไม่ยินยอม เพราะไม่ค่อยแน่ใจในเจียงไคเช็กเท่าไร สหรัฐฯเองก็พร้อมที่จะให้หม่อมเสนีย์เป็นหัวหน้ารัฐบาลพลัดถิ่นที่วอชิงตัย แต่ท่านปฏิเสธ ทำให้จนแล้วจนรอดไทยก้ไม่มีรัฐบาลพลัดถิ่นเกิดขึ้น จากคุณ : อุตรดิฐ - [ 4 ส.ค. 46 16:36:47 A:203.151.225.43 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 จังหวัดอุตรดิตถ์น่ะคับ บังเอิญว่าผมเกิดที่นั่นพอดี ได้รับ email แล้วครับ ของคุณมาก เยอะจิงๆ เมื่อไหร่จะอ่านหมดเนี้ยะ จากคุณ : กริช - [ 4 ส.ค. 46 16:49:33 A:202.44.14.194 X:10.11.13.113 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ผิดจริง ๆ นั่นแหละครับ ขออภัย ตอนพิมพ์ก็รู้อยู่ว่าผิดแน่ ๆ แต่ขี้เกียจนึกเลยใส่ไปเลย กะว่าศาลคงปราณี เอานะ อย่างน้อยก็ทำให้คุณนึกถึงบ้านเกิดได้แวบนึงแหละนะ ส่วนอี-เมล์นะผมก็ไม่มีเหมือนกัน ก็เลยไม่รู้หรอกว่ามันยาวแค่ไหน เว่าค่อย ๆ อ่านไปแล้วกัน อ่านหมดเมื่อไรจะได้มาช่วยเป็นฝ่ายจำเอามาเล่าอีกทีก้ได้ เพราะตอนนี้เขาแบ่งหน้าที่กันไปหลายตำแหน่งแล้ว มีทั้งคนเปิดกะปิดกระทู้อยางเจ้าแม่วิฯ หรือคลังข้อมูลของคุณปลาสวรรค์ทาโร ฝ่ายสนับสนุนข้อมูลอย่างคุณรณ คณเก่ง คุณเกิด คุณเดินดินและคุณชัย อะไรประมาณนี้(ภาพประกอบด้วย) แล้วก็ฝ่ายป่วนไปเรื่อย อย่างแม่ชะชะช่า (ชื่อจริงจำไม่ได้สักที คนอะไรไม่รู้ช่างสรรหาชื่อมาตั้งจริง ๆ ลองนึกดูนะครับว่าจะเข้าสังกัดแผนกไหนดี ถ้านึกไม่ออกก็ตั้งฝ่ายใหม่ก็ได้ เพราะยังขาดทัพเกียกกายอยู่นะ จากคุณ : สื่อศิลป - [ 4 ส.ค. 46 17:05:48 A:203.151.225.43 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 พิมพ์ไว้อันนึงแล้ว มันหายไปไหนก็ไม่รู้ เซ็งเลย ยาวด้วยพิมพ์ใหม่ก็แล้วกันนะ เมื่อนายควงเป็นนายกฯแล้ว ทำให้การทำงานของเสรีไทยง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการติดต่อกับต่างประเทศทำได้สะดวกขึ้นมาหน่อย คือต้องระวังเพาะกับพวกญี่ปุ่นเท่านั้น ไม่ต้องหันซ้ายหันขวาระแวดระวังกระทั่งไทยกันเองเหมือนแต่ก่อน พัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของการประสานงานร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร คือ การให้เจ้าหน้าที่หน่วย โอ.เอส.เอส. เข้ามาปฏิบัติงานในประเทสไทยได้ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นญี่ปุ่นยังเต็มเมืองอยู่ เจ้าหน้าที่ของโอ.เอส.เอส ที่เข้ามารุ่นแรกมี 3 นายคือ พ.ต.กรีน ลี ร.อ.โฮวาร์ด และนายเวสเตอร์ แต่ภายหลังนี่นายเวสเตอร์แกสติแตกเพราะความเครียดและสถานการณ์ที่กดดัน ถึงขั้นพยายามที่จะกระโดตึกตาย เลยส่งตัวกลับแคนดี้ไปก่อน สถานที่ทำงานของโอ.เอส.เอส.ในไทยนั้นก็แสนจะชวนให้สยองขวัญ เพราะเล่นมาตั้งกันที่ตึก FAO ในปัจจุบัน ซึ่งตอนนั้นเป็นของเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ที่ถนนพระอาทิตย์ ขระที่ญี่ปุ่นก็ตั้งกองกำลังกันอยู่ที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย คอยรับทหารที่หนีตายกันมาจากหลาย ๆ สมรภูมิที่เริ่มพ่ายแพ้ เรียกว่าชะโงกหน้าออกไปก็เห็นซามูไรลากันให้เกลื่อนแล้ว แค่ข้ามเจ้าพระยาแค่นั้นเอง ก็น่าที่จะสติแตกหรอกครับ ไม่รู้ว่าวันดีคืนร้าย จะเอาคอตัวเองไปหลบไว้ใต้คมซามูไรเมื่อไร ลำพังแค่มาตั้งกันใต้จมูกทหารญีปุ่นก็เลือดเอดพออยู่แล้ว แถมมาเจอกับคนใช้ช่างพูดเสียอีก เล่นเอาเจ้าหน้าที่ต้นแบบของซีไอเอกลุ่มนี้แทบกระอักเลือด ก้พ่อคนรับใช้บวกหน้าที่พ่อครัวชาวไทยที่เสรีไทยส่งมาให้ช่วยงานในบ้านนะสิ เวลาไปจ่ายตลาดก็เท่ยวไปพูดโพทนาไปทั่ว ว่าทำกับข้าวให้นายฝรั่ง ว่ากันว่า แม่ค้าถึงกับสงสัยว่าทำไมนายฝรั่งถึงกินกล้วยมากขนาดนี้เลยหรือ เรื่องนี้เข้าถึงหูของ อ.ปรีดี ท่านก็ร้อนใจ เพราะสถานการณ์ขระนั้น ไทยเป็นศัตรูกับสัมพันธมิตร ฝรั่งทุกคนต้องไปอยู่ในค่ายกักกัน แล้วไฉนจึงมีฝรั่งมานั่งกินกล้วยอยู่ได้ สุดท้ายท่านก็เลยให้เปลี่ยนคนใช้ใหม่ เอานายใบ้เข้าไปอยู่แทน ส่วนเจ้าหน้าที่โอเอสเอสก็ให้ย้ายออกไปอยูที่วังสวนกุหลาบ เพื่อหลบหน้าหลบตาญี่ปุ่นให้ใกล้ขึ้น เพราะตอนนั้นวังสวนกุหลาบอยู่ในเขตทหาร ยังไงก็เข้าถึงได้ยากกว่าท่าพระอาทิตย์ จากคุณ : อุทัยธานี - [ 4 ส.ค. 46 17:49:05 A:203.151.225.43 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 ส่วนทางอังกฤษนั้น ยังเล่นตัวอยู่ เพราะไม่ต้องการที่จะกระชับความร่วมมือกับเสรีไทยมากนัก (บ้างก็ว่าเป็นเพราะอังกฤษต้องการเข้ายึดครองไทยหลังสงครามโดยแบ่งครึ่งกับเจียงเหมือนกับกรณีเวียดนาม เลยไม่อยากไปรับรองรับบาลพลัดถิ่น เพราะจะทำให้เกิดความชอบธรรมที่ไทยจะปกครองไทยกันเองหลังสงคราม) แต่เม่อโอ.เอส.เอส. เข้ามาแล้ว กองกำลัง 136 ก็เลยต้องส่งคนเข้ามาด้วย โดยได้ส่งพลจัตวา เจ๊กส์ เข้ามาเป็นตัวแทน นายเจ๊กส์นี้ ไม่ใช่คนใหม่คนไกลที่ไหน เคยเป็นทนายทำงานอยู่ในกรุงเทพฯมานาน รู้ช่องรู้ทางดี เมื่อมาถึง เสรีไทยก็จัดให้พักอยู่ใน มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ซึ่งขระนั้นเป็นที่กักกันพลเรือนฝ่ายสัมพันธมิตรกัน ก็ไม่ค่อยเสี่ยงเหมือนพวกโอเอสเอส พลาดพลั้งยังไงก็แค่เป็นฝ่ายศัตรูที่ถูกกักันไว้เท่านั้น จะเสี่ยงอยู่บ้างก็ตอนที่ต้องเดินทางไปประชุมกับเจ้าหน้าที่โอ.เอส.เอส.กับสหรัฐฯ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสรีไทยเป็นผู้ประสานงานให้ แต่ถึงมีเจ้าหน้าที่ของอังกฤาเข้ามาประสานงานแล้วก็ตาม พลจัตวาผุ้นี้ก้ได้รับคำสั่งจากลอนดอนอย่งชัดเจนว่า "ห้ามไม่ให้เจรจาเรื่องการเมืองกับผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของไทยโดยเด็ดขาด" จากคุณ : เลย - [ 4 ส.ค. 46 17:54:47 A:203.151.225.43 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 . จากคุณ : . - [ 4 ส.ค. 46 18:07:54 A:203.151.225.43 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 การติดต่อนี้ยังได้รวมถึงการช่วยเหลือในเรื่องอื่น ๆ ด้วย การที่มีผู้แทนของทั้ง 2 หน่วยงานเข้ามานั่งอยู่ในไทย ทำให้การช่วยเหลือไทยเป็นไปได้มากขึ้น โดยเฉพาะเหตุการร์เฉพาะหน้าที่ไทยกำลังขาดแคลนยาและเวชภัณฑ์อย่างหนัก อ.ปรีดีจึงได้ประสานงานเพื่อขอให้สัมพันธมิตรช่วยส่งมาให้พลพรรคในไทยหน่อยเพื่อที่จะได้ใช้เป็นกำลังสนับสนุนการดำเนินการต่อไป และเมื่อสัมพันธมิตรตกลงใจที่จะให้ความชวยเหลือ ปฏิบัติการหลุดโลกที่ญี่ปุ่นคาดไม่ถึงจึงเกิดขึ้น สิ่งที่สัมพันธมิตรทำก็คือนำเอาเครืองบิน บี 25 บินเข้ามาถึงกลางกรุงเทพฯ ซึ่งขณะนั้นมีกรณีเดียว คือ เข้ามาทิ้งระเบิด ทำให้ทหารฐี่ปุ่นต่างหลบเข้ากำบังกันหมด ผิดกับทางฝ่ายไทยที่ได้นัดแนะกันไว้แล้ว ตำรวจไทยหลายนายจึงได้เตรียมรถเตรียมคนไว้พร้อม ทันทีที่เครื่องบินทิ้งระเบิดทิ้งแคปซูลลงมากลางสนามหลวง เจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยก็ฮือกันเข้าไปคว้ากันคนละหนุบคนละหนับ แผลบเดียวของทั้งหมดก็เข้าไปกองอยู่ในกระทรวงกลาโหมเป็นที่เรียบร้อย เรื่องที่เครื่องบินสัมพันธมิตรเอายาและเวชภัณฑ์มาทิ้งให้ไทยนี้ ไม่ใช่ว่าญี่ปุ่นจะไม่รู้ เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วัน นายพลนากามูระก็เข้าพบกับนายควง หลีกภัย ของให้ชี้แจงเรื่องนี้ ซึ่งนายควงก็บอกว่าพอทราบเรื่องเหมือนกัน แต่เกรงว่าจะเป็นกลลวงของฝ่ายสัมพันธมิตรเอายาพิษแกล้งทิ้งลงมาให้คนไทยใช้ จึงไมกล้านำเอามาแจกจ่ายหรือแบ่งให้กับฝ่ายญี่ปุ่น (บางข้อมูลบอกว่าทางญีปุ่นเข้าไปขอตรง ๆ เลย เพราะรู้ ๆ กันอยู่) ต้องให้ฝ่ายแพทย์ตรวจสอบให้แน่ใจก่อน ตอนนี้ก็ขออายัดไว้ทั้งหมด แต่ไม่ใช่เฉพาะยาเท่านั้นที่เครื่องบินสัมพันธมิตรเอามาทิ้งไว้ให้ เครื่องบินลำหนึ่งเมื่อทิ้งเวชภัณฑ์ให้แล้วก็บินผ่านออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา ปรากฏว่ามีเรือรบของราชนาวีไทยลอยลำอยู่ลำหนึ่ง เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเครื่องบินมาทิ้งระเบิดตามปกติ จึงยิงสวนขึ้นไปชุดหนึ่ง ฝ่ายเครืองบินเมื่อถูกยิงเช่นนั้น ก้ไม่รอช้า กราดปืนกลสวนกลับมาทันทีเหมือนกัน แต่กระสุดเกิดพลาดเป้าหมายไม่โดนเรือเจ้ากรรมลำนั้น แต่ซวยกว่านั้นคือกระสุนปืนกลดันหลงเข้าไปที่อาคารเรียนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเฉพาะเจาะจงต้องพลาดไปเจาะเอาห้องที่นายพลเจ๊กส์ของอังกฤษนั่งทำงานอยู่เสียด้วย ทำให้ตกอกตกใจกันไปพอควร ฝ่ายเสรีไทยก็ต้องไปขอโทศฝ่ายอังกฤาเพราะตอนนั้นความสัมพันธ์ก็แสนจะเปราะบางจะตายอยู่แล้ว ขืนไปทะเล่อทะล่าพลาดพลั้งให้ตัวแทนของลอนดอนเสียชีวิตเข้าไปอีก คงดูไม่จืดเลยทีเดียว ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงได้ให้พลจัตวาผู้นี้ย้ายไปอยู่ที่วชิราวุธวิทยาลัยแทน เพื่อให้ห่างจากจุดยุทธศาสตร์ที่สัมพันยธมิตรจะมาโจมตีทุกวัน ไม่งั้นเกิดวันไหนพลาดพลั้งโดนเข้าจริง ๆ จะลำบากกันทั้ง 2 ฝ่าย จากคุณ : นครพนม - [ 4 ส.ค. 46 18:24:58 A:203.151.225.43 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 คนที่ 20 มารายงานตัวครับ จากคุณ : j - [ 4 ส.ค. 46 18:51:04 A:203.113.38.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 ตอนนี้ยังหาซื้อหนังสือ สงครามและสันติภาพได้ที่ไหนบ้างครับ จากคุณ : Taro_sama - [ 5 ส.ค. 46 01:24:30 ]

ความคิดเห็นที่ 22 รายงานตัวครับ กระทู้นี้มาสาย มาฉลองครึ่งปีให้กับคนแถวนี้อีกหลายๆท่านด้วยครับ ความรู้เพิ่มขึ้นอีกครึ่งปีกันแล้วนะครับ อิอิอิ จากคุณ : คนเดินดินกินข้าวแกง - [ 5 ส.ค. 46 11:07:19 A:202.133.131.10 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 ครึ่งปีแล้วจะมีสอบ มิดเทอม ไหมเนี่ย อิอิ จากคุณ : DogRobo - [ 5 ส.ค. 46 12:08:34 A:61.159.241.79 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขออนุญาต เข้าห้องครับ จากคุณ : เก่ง - [ 5 ส.ค. 46 12:50:24 A:203.151.206.15 X:203.113.81.169 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เอ้า แล้วตอนที่เขาถามเรื่องรัฐนิยมไปไหนเสียละ ไหน ๆ ก็ถามแล้ว เอาไปข้อนึงแล้วกัน ถามว่า เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านเราไปร่วมวงศ์ไพบูลย์กับญี่ปุ่น ทำให้สัมพันธมิตรส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดในกรุงเทพเพื่อทำลายฐานที่มั่นใหญ่ของญี่ปุ่นในแถบนี้ จุดยุมธศาสตร์ที่สำคัญของการทิ้งระเบิดประการหนึ่งคือสะพานข้ามแม่น้ำ เพราะหากสะพานขาดก็จะทำให้การลำเลียงพลหรือส่งกำลังบำรุงทำไปได้ด้วยความยากลำบาก ถามว่า (ย้งกะรายการแฟนพันธ์แท้เลยเนอะ) สะพานใดในกรุงเทพที่ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดของสัมพันธมิตรทิ้งจนขาดหักลงแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสะพานแรก และเครื่องบินที่บินมาทิ้งนั้นเป็นเครื่องบินประเถทใด รุ่นใด ถูกต้องคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ (พูดไว้ก่อนเผื่อไม่มีคนตอบ) จากคุณ : สื่อศิลป - [ 5 ส.ค. 46 15:07:55 A:203.151.225.145 X: ]

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่ทราบครับ (ไม่ฮา) มึนตึ้บเลยครับวันนี้ เพิ่งพูดสัมมนารายงานความก้าวหน้าเสร็จ ไม่ค่อยยุติธรมกะเราเลยแฮะ คนอื่นพูดเกินเวลาเลยไม่โดนถาม ไอ้เรามันคนซื่อ เว้าเสร็จในเวลาเป๊ะ เลยโดนถามซะเพียบ แต่โชคดีแฮะ เพราะคราวนี้ฟังออก ตอบได้หมด เลยไม่มีรายการหน้าแหก ประเภทถามอย่างตอบสองอย่างเหมือนปีก่อน ง่า เข้ามารายงานว่าการบ้านเรื่องอนุสาวรีย์พระนางเรือล่ม นี่เอาไปแปะไว้ที่กระทู้ที่แล้วนะครับ ไม่ได้เขียนเองเพราะพิพม์ไม่ไหว อย่างนี้คุณครูว่าหรือเปล่าฮับ จากคุณ : Ronachai - [ 5 ส.ค. 46 17:38:39 A:129.94.6.28 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 เห็นแล้วครับ น้ำตกพลิ้วเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าประทับใจมาก มีโอกาสยังอยากจะไปอีก เคยไปสมัยยังเรียนอยู่มัธยมครั้งหนึ่ง ยังประมาณป่าดงอยู่เลย เพื่อนอยู่แถวนั้นมันแบกปืนเข้าไปได้แล้วกัน ต่อมาก็ไปตอนเพื่อนบวชสักสิบกว่าปีแล้วมั๊ง เพื่อนเป็นลูกรองผบ.นาวิกฯ พวกเราเลยเฮ ทส.นายพาไปตีค่ายพม่าแตกตลอดทั้งสาย (สวมนวมครับไม่ต้องห่วง) อีกทีก็คราวที่ทำงานแล้ว ก็ยังประทับใจอยู่ โดยเฉพาะปลาพวงที่แหวกว่ายเต็มสายน้ำตก เห็นแล้วก็นึกถึงความหลังเมื่อครั้งกระโดกกระเดกมาลุยเมื่อตอนอายุ 17 อะไรก็ดูลำบากสมราคาลูกผู้ชายคาราบาวไปหมด แต่ตอนนี้ก็แค่ขับรถไปจอดพรืดแล้วก็เดิน ๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงที่ที่เราเคยดั้นด้นมาแทบตายแล้ว รู้สึกดีอย่างยิ่งเมื่อเห็นเรือนนอนที่เราเคยนอนยังหลงเหลืออยู่ ถึงจะผุพังหนักหนาแล้วก็ตาม อย่างนี้เรียกว่าแก่ได้ยังนี่ จากคุณ : สื่อศิลป - [ 5 ส.ค. 46 18:41:20 A:203.151.227.227 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 มาต่อหน่อยนะครับ อย่างที่ว่าเมื่อคุณควงมานั่งเป็นนายกฯ งานต่อต่านญี่ปุ่นก็คล่อตัวขึ้น ซึ่งญี่ปุ่นก็ไม่ได้โง่ เขารู้อยู่เต็มอกว่าคนไทยเล่นเล่ห์กับเขาแล้ว แต่สถานการณ์ที่เขากำลังตกต่ำทั่วโลกทำให้ทำอะไรไม่ได้มากนัก อย่างน้อยสยามก็ยังสงบอยู่สำหรับเขา หากไปหักด้ามพร้าด้วยเข่า รบกับคนไทยขึ้นมาอีก แม้ว่าด้วยแสนยานุภาพของเขาขระนั้น อาจจะชนะได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาก่อไฟเอาไว้ในบ้านตัวเองขระที่คนในบ้านที่ออกไปรบก็กำลังทยอยกันหิ้วปีกเข้ามาเป็นแถว เมื่อบรรยากาศเป็นใจอย่างนี้ เครื่องบินสัมพันธมิตรก็บินว่อนมาส่งเจ้าหน้าที่เขาลงเป็นว่าเล่น เพราะพลพรรคเสรีไทยไปสร้างสนามบินลับไว้ทั่วไปหมด (ที่ภูเรือเห็นเขาติดป้ายไว้ว่าเคยเป็นสนามบนลับ แต่ไม่เคยเข้าไปดูเหมือนกัน) โดยเพาะที่อีสานที่มีขุนพลนามเตียง ศิริขันธ์ ควบคุมดูแลอยู่ งานเสรีไทยก้าวหน้าไปมาก เพราะพื้นที่กว้างใหญ่และกองทัพญี่ปุ่นมีไม่มากนัก ที่นั่นได้มีการสร้างสนามบินลับไว้หลายแห่ง มีเครื่องบินสัมพันธมิตรร่อนลงตลอดเวลา จนทหารญี่ปุ่นผิดสังเกต และมีการตรวจการณ์ทางอากาศ เพื่อถ่ายภาพมายืนยันกับนายควง อภัยวงศ์เพื่อให้ไทยเร่งจัดการ นายควงก็บอกว่า ไม่ใช่มั๊ง เพราะคนไทยนั้นมีอาชีพปลูกข้าว ปลูกมัน เวลาที่เก็บเกี่ยวพืชผลได้แล้ว เขาก็ต้องทำลานกว้าง ๆ เพือตากผลผลิตเหล่านี้เป้นเรื่องธรรมดา ญี่ปุ่นไม่เชื่อก็ต้องส่งคนไปตรวจ แต่ครั้งเดินไปจริง ๆ (ที่ต้องผ่านทางที่ทุรกีนดารเกินกว่าเหตุ) สนาใบนเหล่านั้นก็กลายสภาพเป้นลานตากพริกไปเรียบร้อยแล้ว หรืออย่างคราวหนึ่ง เมื่อเครื่องบินสัมพันธมิตรถูกยิงตก คราวนี้ทหาญี่ปุ่นมั่นใจมาก เพราะเห็นกันแบบตัวเป็น ๆ ยิงเองกับมือ จึงเร่งให้ทางการไทยเร่งจัดหาเจ้าหน้าที่ไล่ตามเข้าไปบนเขาเพื่อค้นซากเครื่องบินให้ได้ เรื่องนี้รู้ถึงพลพรรคเสรีไทยสายอีกสาน เพราะเหตุเกิดในพื้นที่ของคุณเตียง ซึ่ง่านก็แก้ปัญหาด้วยการระดมคนแบยกหมู่บ้าน มาขุดหลุมขนาดใหญ่ฝังเครื่องบินลงไปทั้งลำ แล้วเอาข้าวมาปักดำพรางเอาไว้ ญี่ปุ่นมาตรวจก็เจอแต่นาข้าว หรืออย่างที่แก้ปัญหาแบบเบ้ดเสร็จไม่ทัน เอาแค่ช่วยทหารสัมพันธมิตรที่ถูกยิงร่วงลงมาก้ได้ หลายครั้งที่ทหารญี่ปุ่นเจอแต่ซากเครื่องบินโดยไม่พบศพนักบินเลย เพราะเจ้าตัวนั้นโดนหามส่งเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลสนามที่วังสวนกุหลาบเรียบร้อยไปแล้ว จากคุณ : สุรินทร์ - [ 5 ส.ค. 46 18:55:54 A:203.151.227.227 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 อีกงานหนึ่งที่พลพรรคเสรีไทยทำได้อย่างยอดเยี่ยม คือ การทำตัวเป็นพยัคฆ์ร้ายไทยถีบ คือคอยลักวิ่งชิงปล้นอาวุธยุทธภัณฑ์ของทหารญี่ปุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเป้นที่ไหนเวลาใด ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องประสนงานอะไรกันมาก พอมีไฟเขียวให้หรือมีคนทำเป็นตัวอย่างเข้าหน่อยก็มีคนทำตามไปทั่วเมือง ที่ดัง ๆ หน่อยก็เป็นที่ทางใต้ จำไม่ได้ว่าที่ฉวางหรือเปล่า ที่เขาเอามาสร้างเป็นหนังเรื่อง "สตางค์" นั่นแหละ เพราะตอนนั้นได้รับข่าวมาว่าญี่ปุ่นจะลำเลียงธนบัตรขึ้นมาเพื่อใช้ในกรุงเทพ พลพรรคเสรีไทยก็ออกปฏิบัติการ "ถีบ" เอาถุงเงินนั้นลงมา เป็นข่าวใหญ่โต ตอนหลังเสร็จสงครามต้องไปไล่ตามเอากลับมาพิมพ์ลดค่ากันมหาศาล เรื่องพวกนี้มีเรื่องเล่าหรือเรื่องที่ต่างคนต่างบันทึกไว้เยอะครับ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการของทหารฐี่ปุ่นที่ลงโทษพวกที่จับได้ว่าขโมยของอย่างที่เราเคยได้ยินกันบ่อย ๆ เช่น ขโมยน้ำมันก็จับเอาน้ำมันกรอกปาก ขโมยสบู่ก็เอาสบู่กรอกปากอะไรยังงี้ ก็เป็นความทารุณที่สัมผัสได้ในยุคนั้นนะครับ หรือเรื่องที่เมืองกาญจนบุรีก็มีเรื่องของพลพรรคไทยถีบที่น่ารักอยู่เหมือนกัน กล่าวคือมีรถบรรทุกของญี่ปุ่นมาจอดอยู่ข้างถนนใกล้หมู่บ้าน เจ้าพลขับเกิดปวดเบาขึ้นมากระทันหัน ก็เลยต้องจอดลงไปชิ้งช่องสักหน่อย ชั่วแค่ยิงกระต่ายตายไปไม่ถึงฝูง พอกลับมาที่รถปรากฏว่ายางรถเจ้ากรรมดันมาหายไปเสียเกลี้ยง เหลือแต่ดุมล้อกระดกกระเด่อยู่ 4 ข้างเท่านั้เอง เจ้าโกโบริเมืองกาญจนก็หน้าซีดหน้าเซียว เพราะถ้ากลับไปบอกนายว่ารถถูกลักยางไปสิ้นแล้ว เห็นที่จะไม่แคล้วโดนตบหน้าถีบเข้าคุกเท่านั้นเอง เมื่อสิ้นท่าแล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากไปอ้อนวอนผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านที่ตนรู้จักเพราะว่าผ่านเข้ามาซื้อของกันบ่อย ๆ ว่าเห็นใจเถอะ เขาเป็นแค่ทหารชั้นผู้น้อย ไม่เคยทำทารุณอะไรกับคนไทย ถ้าเขากลับไปอย่างนี้ต้องถูกลงโทษแน่ เจ้าของร้านที่เห็นหน้าเจ้าโกโบรินี้บ่อย ๆ ก็จำได้อยู่ว่าไม่ใช่ทหารพลาลเกเรแต่อย่างใด ก็นึกสงสาร บอกว่า เจ้าจงไปยืนเยี่ยวไกล ๆ สักแป๊บแล้วค่อยกลับมาใหม่ เจ้านั้นก็ทำหน้าไม่ออกบอกไม่ถูก คราวที่แล้วไปเยี่ยวแป๊ปเดียว ยางหายทั้งพวง คราวนี้ยังให้ไปอีก ตัวถังมิเกลี้ยงไปด้วยเหรอ แต่เมื่อผู้ใหญ่แกยืนยันให้ไปเยี่ยวใหม่อีกรอบก้ไม่รู้จะทำประการใดดี ก็ได้แต่ไปยืนแอ่นลม ๆ แล้ง ๆ ตามบุญตามกรรม เพราะมันหมดไปตั้งนานแล้ว แต่เมื่อกลับมาใหม่ความมหัศจรรย์ก็บังเกิด ยางรถทีอันตรธานหายไปเมื่อกี้ ไม่รู้ว่าตาฝาดหรือไร กลับมาสถิตอยู่ที่ล้อเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องเล่าสนุก ๆ ของความน่ารักของคนไทยนะครับ ยามที่ญี่ปุ่นมีชับ ฝรั่งเพลี้ยงพล้ำ ก้พากันสงสารฝรั่งคอยแอบช่วยแอบดูแลอยู่ พอญี่ปุ่นพ่ายแพ้กลับกลายมาเป็นเชลยแทน ก็คนไทยอีกนั่นแหละที่แอบเอากล้วย เอาข้าว เอาน้ำมาส่งให้ชาวเอเชียด้วยกันกินกันตาย จากคุณ : บุรีรัมภ์ - [ 5 ส.ค. 46 19:17:06 A:203.151.227.227 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 ในระยะแรก ๆ ที่เสรีไทยสามารถประสานงานกับสหรัฐฯและอังกฤษได้นั้น เราใช้วิธีส่งพวกข้าราชการหนุ่ม ๆ หรือาสาสมัครออกไปฝึกทหารกันที่ศรีลังกา เพื่อกลับมาประจำในหน่วยใต้ดินเตรียมตัวสนับสนุนสัมพันธมิตรเมื่อต้องเข้ารบกับญี่ปุ่น ครั้งเมื่อถึงยุคนายควง จากเดิมที่ต้องแอบ ๆ ไป ทำทีว่าไปทำงานราชการต่างจังหวัดสัก 3 เดือนแล้วค่อยกลับมา ก็กลายเป็นว่าทางโล่งทางสะดวก ส่งกันไปเป็นจำนวนมาก สักพักก็ได้คิดว่าการส่งคนออกไปมากนั้น นอกจากจะวุ่นวายและเสียค่าใช้จ่ายเยอะแล้ว ยังเสียงต่อการถูกจับได้อีกด้วย ก็เลยเปลี่ยนแผนใหม่ ใช้วิธีอิมพอร์ตทหารอังกฤาเข้ามาเป็นครูฝึกให้เสียในไทยรี่เลย ดังนั้น ในช่วงปลายสงครามจึงมีการระมฝึกเสรีไทยกันยกใหญ่ สามารถจักตั้งขึ้นมาได้ถึง 24 หน่วยทั่วประเทศ โดยอยู่ภายใต้การฝึกของสหรัฐฯ 13 หน่วย และของอังกฤษ 11 หน่วย แต่ละหน่วยจะมีพลพรรคประมาณ 500 คน มีอาวุธครบมือเพราะทางโอ.เอส.เอส ขนเข้าให้ใช้อย่างเต็มที่ โดยมีข้อแม้อย่างเดียวว่าอย่าให้ตกไปถึงมือตำรวจหรือทหาร เพราะไม่แน่ใจว่าจะอยู่ข้างใครกันแน่ ด้วยเงื่อนไขนี้แหละครับที่กลายเป้นจุดแตกหักระหว่างทหารกับเสรีไทยด้วยเรื่องศึกแห่งศักด์ศรีที่ฉุดห้ประชาธิปไตยเราถอยหลังไปอีกหลายสิบปี จากคุณ : ชัยภูมิ - [ 5 ส.ค. 46 19:41:49 A:203.151.227.227 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 ครั้นเมื่อรัฐบาลเป็นใจเข้าให้ พลพรรคเสรีไทยก็ออกปฏิบัติการอย่างฮึกเหิม ทำให้สถานการณ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นตึงเครียดยิ่งขึ้นทุกวัน มีข่าวลืออยู่ตลอดเวลาว่าทหารไทยกับทหารญี่ปุ่นจะรบกันแล้ว ต่างฝ่ายต่างตั้งป้อมประจันหน้ากัน รอแต่คำสั่งของหัวหน้าเท่านั้นเป็นอันได้ลั่นกระสุนใส่กันแน่ เรื่องข่าวลือนี้จะว่าไม่มีมูลเลยก็คงไม่ใช่ เพราะมีคำสั่งอย่างเป็นทางการจากพลโทสินาดโยธารักษ์ รองผบ.สส.ได้ออกคำสั่งลับสุดยอดให้ทหารไทยเตรียมความพร้อม มีการกะเกณฑ์ทหารที่ออกไปนอกกรมกองให้กลับเข้ามาให้หมด ตรวจซ่อมอาวุธยุทธโธปกรณ์ให้เรียบร้อย เรื่องการเตรียมพร้อมของกองทัพไทยนี้ หน่วยงานของอังกฤษได้รายงานไปยังแคนดี้ว่าเป็นเพราะมีข่าวว่าทางญี่ปุ่นจะเข้าควบคุมกองทัพไทยเพื่อเป็นหลักประกันยามถอยทัพ เรื่องนี้จากข่าวลือแว่ว ๆ ก็ชักกลายเป็นจริงเป็นจังมากขึ้นทุกที ถึงขนาดที่มีการทำนายกันเลยว่า ญี่ปุ่นจะเข้ายึดสถานที่สำคัญต่าง ๆ ของไทยภายในวันที่ 1 กรกฏาคม 2488 นีแหละ ซึ่งไทยจะฉกชิงเข้าสู้รบก่อนเพื่อไม่ให้ทหารญี่ปุ่นทำการยึดประเทสไทยครั้งที่ 2 ได้สำเร็จ เรื่องนี้ อ.ปรีดีในฐานะผู้นำขบวนการเสรีไทยได้ทำหนังสือแจ้งไปยังกองบัญชาการที่แคนดี ถึงแผนการต่อสู้กับญี่ปุ่น แต่ได้รับการตอบกลับมาว่าตามแผนของสัมพันธมิตรแล้ว ไทยไม่ควรปะทะกับญี่ปุ่นอย่างน้อยก็ต้องไม่เกิดขึ้นภายในปีนี้ เพราะสัมพันธมิตรยังมีภาระสงครามด้านอื่นอยู่อีกมาก ไม่สามารถระดมกำลังมาช่วยไทยได้ หากมีการปะทะกันขึ้นจริง ๆ จึงขอให้ทางเสวรีไทยลดท่าทีขัดแย้งกับญี่ปุ่นลงเสีย ซึ่งนอกจากคำแนะนำทีเหมือนกับสั่งกลาย ๆ แล้ว สัมพันธมิตรยังได้งดส่งอาวุธให้กับเสรีไทยอีกด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะนำไปต่อต้านญี่ปุ่น ประเด็นนี้มีการพูดกันมากว่าสาเหตุที่สัมพันธมิตรไม่ต้องการให้เสรีไทยลุกฮือก่อนเวลานั้น เพราะกำลังทำสงครามใหญ่ขั้นแตกหักอยู่และมีแนวโน้มว่าจะชนะ จึงไม่จำเป็นที่ไทยต้องเสี่ยงอย่างไม่จำเป็น เพราะมีบทเรียนในบบางประเทศแถบยุโรปที่ขบวนการใต้ดินลุกฮือขึ้นก่อนกำหนด ทำให้ทหารนาซีสังหารไปเกือบหมด ถึงขั้นไม่อาจปฏิบัติการใดได้อีก อีกข้อสังเกตหนึ่งก็คือทางอังกฤษเห็นว่าหากเสรีไทยลุกขึ้นต่อสู้กับญี่ปุ่นแล้วแพ้ สัมพันธมิตรก็เสียช่องทางในการหาข่าวและการสนับสนุนการทำงานในเขตนี้ หรือหากชนะก็จะเป็นข้ออ้างได้ว่า ไทยกู้เอิกราชด้วยตัวเองไม่จำเป็นต้องให้ทหารชาติอื่นเขช้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทย ซึ่งท้ายสุด็มักจะจบลงด้วยการเข้ายึดครองเหมือนที่เวียดนามโดนเมื่อหลังสงคราม สุดท้ายก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ทั้ง ๆ ที่อ อ.ปรีดีก็มีความตั้งใจที่จะให้พลพรรคเสรีไทยปฏิบัติการกับทหารญี่ปุ่นเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง ถึงขนาดที่เคยได้รับรหัสจากฝ่ายสัมพันธมิตรที่แจ้งมาว่าสำคัญมาก ทำให้ท่านเข้าใจว่าเป็นการส่งสัญญาณเตรียมบุก ถึงกับระดมคนมานั่งถอดรหัส บีบีซี แต่สุดท้ายแล้วก็แค่คำสั่งย้ำว่าให้อยู่เฉย ๆ อย่าเคลื่อนไหวเท่านั้นเอง จากคุณ : พะเยา - [ 5 ส.ค. 46 20:36:52 A:203.151.227.227 X: ]

ความคิดเห็นที่ 32 ก่อนลามาตอบก่อนครับ หนังสือสงครามและสันติภาพภาคภาษาไทยคงหายากแล้วครับ ในรอบ 10 ปีที่เดิน ๆ วนอยู่ในร้านหนังสือไม่เคยเห็นเลย เห็นแต่ฉบับภาษาอังกฤษของ สนพ.เพนกวินที่เข้าใจว่าน่าจะย่อลงมาบ้าง เมื่อก่อนเห็นวางอยู่ที่ดวงกมล สยามสแควร์ ไม่รู้เดี๋ยวนี้ยังมีร้านนี้อยู่หรือเปล่า ไม่ได้เดินมากว่า 3 ปีแล้ว ผมว่าตอนนี้หาหนังดูน่าจะพอได้มั๊งครับ เคยเห็นช่อง 7 เอามาฉายแต่ก็นานแล้วนะ ยังไม่เคยเห็นฉบับวีดีโอหรือสารพัดแผ่นทั้งหลายเหมือนกัน จากคุณ : สื่อศิลป - [ 5 ส.ค. 46 20:47:20 A:203.151.227.227 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 ว่าจะไปแล้วแต่ยังคันไม้คันมือขอต่ออีกหน่อยแล้วกัน เมื่อได้รับคำขอร้องแกมบังคับจากสัมพันธมิตรไม่ให้เปิดศึกกับญี่ปุ่นก่อนกำหนดแล้ว พลพรรคเสรีไทยก็ค่อย ๆ ลดปฏิกิริยาลงจนเหตุการณ์สงบเงงียบ สามารถผ่านวันที่ 1 กรกฏาคมไปได้ดดยไม่มีความรุนแรง และในวันที่ 12 กรกฏาคม นายพลนากามูระ แม่ทัพใหญ่ของญี่ปุ่นในประเทสไทยก็ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ภายหลังการตรวจพลในกรุงเทพฯ โดยบอกว่า รู้สึกห่วงใยที่มีผู้เชื่อว่าญี่ปุ่นจะแพ้ง่าย ๆ ถึงกับยอมร่วมมือกับสัมพันธมิตรเพือสร้างสนามบินลับในไทย (แสดงว่าญี่ปุ่นมั่นใจร้อยเปอร์เซนต์ เพียงแต่จับไม่มั่นเท่านั้นเอง) นอกจากนี้ยังย้ำว่าทหารี่ปุ่จะสู้อยู่ในไทยจนคนสุดท้าย และรู้ความเคลื่อนไหวของกองกำลังพลร่มอังกฤษที่อยู่ตามแนวชายแดนไทยว่าแอบเข้ามาทิ้งร่มในเขตไทยเสมอ เรื่องนี้ทำให้พลจัตวาเจ๊กส์รายงานกลับไปที่แคนดีว่า ญี่ปุ่นเชื่อมั่นว่าคนระดับสูงของไทยร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร และสงสัยตำรวจไทยว่าจะให้ความร่วมมือ ส่วนกองทัพบกนั้นยังไม่แน่ใจ แต่อย่างไรก็ตามก็เชื่อว่าญี่ปุ่นคงไม่ยึดไทยแน่ เพราะจะเป็นการสร้างปัญหาที่ยุ่งยากตามมาอีกมาก และหากจะยึดจริงก็คงไม่ออกมาพูดเช่นนี้ การทำแบบนี้เชื่อว่าเป็นแค่การปรามไว้เท่านั้น ว่าญีปุ่นก็รู้ทันขอให้เบา ๆ กันหน่อย ฝ่ายอังกฤษนั้น เชื่อว่าที่ไทยพยายามจะลุกขึ้นสู้กับญี่ปุ่นนั้น เพราะรู้ดีว่าญี่ปุ่นคงแพ้แน่จึงอยากแสดงตัวว่าอยู่ข้างสัมพันธมิตรก่อนที่ญี่ปุ่นจะแพ้จริง ๆ แต่อังกฤษนั้นเห็นว่าหากเป็นเช่นนั้น อังกฤษเองจะเสียผลประโยชน์ในการเรียกร้องเอากับไทยภายหลังสงคราม จึงกำชับพลจัตวาเจ็กส์เป็นหนักหนาว่าอย่ายอมให้ไทยต่อสู้กับญี่ปุ่นเป็นอันจขาดให้เจรจากับ อ.ปรีดีให้ได้ เพราะเกรงว่าญุ่ปุ่นจะไม่ยอมแพ้ในไทย และกระทบต่อการปลดปล่อยเชลยศึกของสัมพันธมิตรที่กำลังสาหัสอยู่ในค่ายที่เมืองกาญ และที่สำคัญคือข้าวไทยจำนวนมหาศาลที่สามารถเลี้ยงอังกฤษและอาณานิคมได้อื้อ จากคุณ : ศรีษะเกษ - [ 5 ส.ค. 46 21:08:50 A:203.151.225.64 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 ความกังวลในเรื่องที่ว่าหากไทยรบกับญี่ปุ่นแล้ว เชลยสัมพันธมิตรจะเดือดร้อนไปด้วยนั้น ทางเสรีไทยก็เกรงอยู่เช่นกัน ดดยเพาะ อ.ปรีดี ที่คงตกเป็นเป้าหมายแรกที่ญี่ปุ่นจะต้องเข้าควบคุมตัว เพราะได้ระแวงมาตลอดว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการเสรีไทย นอกจากนี้ทางค่ายกักันเชลยที่วชิราวุธ มรว.พงศ์พรหม จักรพันธ์ ผู้อำนวยการค่าย ก้ได้แจ้งกับเชลยล่วงหน้าไว้แล้วว่า หากมีการปะทะกันระหว่างญี่ปุ่นกับไทย ประตุค่ายจะเปิดกว้าง ให้แต่ละคนหนีเอาตัวรอดเอาเอง ไทยคงคุ้มครองให้ไม่ได้แล้ว คราวหน้ามาดูครับว่าหลังสงครามที่ยิงกันด้วยปืน รบกันด้วยทหาร จบลงไปแล้ว แต่ไทยยังคงต้องเข้าสู่สมรภูมิการเจรจาต่อรอง ที่มีวาจาเป็นอาวุธต่อไปอีกนานทีเดียว แล้วจะทราบว่าเรามีเอกราชต่อมาได้อย่างไร ไม่แผ่นดินแตกเหมือนกับเวียดนามในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน จากคุณ : มหาสารคาม - [ 5 ส.ค. 46 21:18:20 A:203.151.225.64 X: ]

ความคิดเห็นที่ 35 มารายงานตัวค่ะ ใครจะเข้าแผนกหนูเชิญค่ะ มาร่วมเป็นแผนกทวงหนี้หน้าเลือดกันเถอะ เดี๋ยวจะแถมวิชาลนน้ำมันพรายให้ฟรีๆ(รายการนี้หมดเขตภาค 24 นี้เท่านั้น) เพิ่งรู้ว่าขบวนการ"ถีบ" นี้มีจริงๆ ว่าแต่มันกึ่งๆ ขโมยของเขาเลยนะ แล้วสะพานที่โดนระเบิด คือสะพานพระราม 6 หรือเปล่า เครื่องบิน b 24 หรือดาโดต้านี่แหละไม่รู้ถูกเปล่า สาเหตุที่ไม่มีใครสนใจตอบคำถามเพราะว่าของรางวัลไม่เร้าใจเหมือนภาคที่แล้วหรือเปล่า?5555 จากคุณ : กุ๊กุ๊ม๊ะม๊ะ (จะไปลาสา) - [ 5 ส.ค. 46 22:37:15 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ครับสะพานพระราม6หรือเปล่าครับเพราะเป็นสะพานที่สำคัญต่อการส่งกำลังของญี่ปุ่น จากคุณ : เด็กก่อสร้าง - [ 5 ส.ค. 46 23:18:23 A:203.113.80.15 X: ]

ความคิดเห็นที่ 37 นึกว่าโดนผีกระหังอุ้มไปซะแล้ว ยังรอดมาตามทวงหนี้ได้อีก ใช่ครับ สะพานพระราม 6 เป็นเป้าหมายสำคัญที่สัมพันธมิตรต้องการบึ้มมากที่สุด เพราะสมัยนั้นมีรางรถไฟอยู่ด้วย (ตอนนี้ก็มีแต่ไม่ใช้สะพานแล้ว ไปใช้พระราม 7 คู่ขนานแทน แต่รางรถไฟยังใช้อยู่) เครื่องบิน บี 24 เข้าใจว่าจะมีชื่อว่า ลิเบอร์ตี้นะครับ ไม่ใช่ดาโกต้า แต่ขอเช๊กอีกทีก่อน ใครรู้แน่ ๆ ก็เข้ามาชี้แจงได้ ส่วนวิธีทำลายก็คือใช้โซ่พ่วงระเบิดเข้าด้วยกันแล้วทิ้งลงมา เพราะครั้งแรกนั้นพลาดเป้า ตอนหลังก็เลยเป้นที่นิยมใช้วิธีนิ้ทำลายสะพานมาเรื่อย สะพานพุทธก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่ง แต่พลาด ส่วนใหญ่จะไปหล่นลงโรงไฟฟ้าวัดเลียบที่เป็นเป้าหมายสำคัญเหมือนกัน ตอนนั้นไฟเลยดับทั่วกรุง รถรางวิ่งไม่ได้ ทหารเรือต้องเอาเรือดำน้ำที่พึ่งได้มาจากญี่ปุ่น มาพ่วงแบตเตอรี่เรือกับสถานีจ่ายไฟฟ้าให้กับรถราง แต่ไม่เวิร์ก เพราะไฟจ่ายไม่สม่ำเสมอ เลยต้องเลิกไป เรือดดำน้ำก็หายไปด้วย 60 ปีแล้ว ทหารเรือขอมาหลายทีก็ไม่ได้สักที ส่วนเรื่องของรางวัล คราวที่แล้วพลาดไปหน่อย นึกว่าคนอื่นจะได้รางวัล ปรากฏว่าเจ๊ฯเเจ้ของรางวัลคว้าไปซะแทน ด้วยคำตอบทีเด็ดเกี่ยวกับเรื่องรัฐนิยม ที่เจ๊ฯแกจำเรื่องที่รัฐบังคับให้สามีจูบภรรยาก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง ไม่รู้เวลากลับบ้านต้องพูดคำว่า "I am home " เหมือนในหนังด้วยหรือเปล่า ก็เอาเป็นว่คราวนี้คุณเด็กก่อสร้างกับแม่ชะชะช่า ได้ไปแล้วกันนะครับ ส่วนของรางวัลก็ไปตามทวงกับเจ๊เขาเองแล้วกัน ไม่รู้ป่านนี้เปิดไวน์ฉลองวันเกิดหมดไปกี่ขวดแล้ว สงสัยเกิดทีเป็นเดือน จากคุณ : สื่อศิลป - [ 6 ส.ค. 46 08:31:28 A:203.151.225.83 X: ]

ความคิดเห็นที่ 38 เอ้า ผิดครับ เจ้าบี 24 จริง ๆ แล้วชื่อว่าลิเบอเรเตอร์ บอมเบอร์ Liberator Bombers ส่วนลิเบอร์ตี้นั่นมันชื่อประกันภัย ไม่เกี่ยวกัน ส่วนใครอยากดูภาพก็ไปประท้วงเจ๊แกเองแล้วกันที่ไม่ทำหน้าที่ลิงก์ให้ทันใจ สงสัยไวน์ยังไม่หมดขวด จากคุณ : สื่อศิลป - [ 6 ส.ค. 46 08:38:10 A:203.151.225.83 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 เอารูปไปเลย..B 24 Liberator จากคุณ : wiwanda (WIWANDA) - [ 6 ส.ค. 46 11:23:07 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มาถึงชวงไฮไลท์ของซีรีส์นี้ อย่างที่บอกว่าสงครามโลกภาคนี้ ไม่ใช่เรื่องการยิงกันเปรี้ยงปร้างโครมครามตามสมรภูมิต่าง ๆ แต่จะเป็นเรื่องของเหลี่ยมคูทางการเมืองของทั้ง 2 ฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายไทยที่ต้องพยายามเอาตัวรอดจากการคุกคามของประเทศมหาอำนาจทั้งหลายให้ได้ทั้งในช่วงก่อนและหลังสงคราม สหรัฐฯที่เป็นโต้โผใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตรนั้น ทราบดีอยู่ก่อนแล้วว่า อย่างไรเสียญี่ปุ่นก็คงไม่พ้นเมือได้ไปเกินกว่าปี 2488 แน่ ๆ ดังนั้น จึงได้วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นปี 2487 ว่า จะดำเนินการอย่างไรกับญีปุ่นบ้าง เลยจะขอยกมาให้ดูไปด้วย เผื่อสำหรับตอบคำถามเกี่ยวกับแนวคิดยอดฮิตรุ่นใหม่ที่บอกว่าถ้าปล่อยให้สหรัฐฯหรืออังกฤษเข้ามาครอบครองหรือจัดระเบียบไทยอย่างเต็มตัว ระบบทหารหรืออำนาจนิยมจะหายไปจากเมืองไทยหรือไม่ เพราะเห็นว่าจากการที่เราเป็นอิสระหรือเป็นโมฆะจากการประกาศสงครามนี้ ทำให้ระบบทหารไม่ถูกทำลายเหมือนญี่ปุ่นและเป็นผลต่อเนื่องมาจนทำให้เกิดรัฐประหาร ฉุดประเทสไทยดิ่งเหวเผด็จการยาวนานมาจนถึง 14 ตุลา แผนที่สหรัฐฯจะรอนอำนาจญี่ปุ่นนั้นมีดังนี้ครับ 1. ญี่ปุ่นจะต้องแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข 2. การปฏิบัติด้านดินแดนจะต้องเป็นไปตามปฏิญญากรุงไคโร 3. การป้องกันการรุกรานในอนาคต 4. การจัดตั้งรัฐบาลญี่ปุ่นที่ได้รับความเชื่อถือในสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ 5. การร่วมมือของญี่ปุ่นในระบบเศรษฐกิจภายในกรอบข้อ 3 และ 4 ข้างต้น จากคุณ : สกลนคร - [ 6 ส.ค. 46 12:03:51 A:203.151.225.83 X: ]

ความคิดเห็นที่ 41 และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ก้ได้วางยุทธวิธีไว้ 5 ประการ ดังนี้ 1. ผู้บัญชาการสูงสุดของสหประชาชาติจะมีอำนาจเหนือการดำเนินกิจการภายในและภายนอกของญี่ปุ่น การระงับอำนาจทางรัฐธรรมนูญของสมเด็จพระจักรพรรดิ และบรรดาองค์กรทั้งหลายของญี่ปุ่นในด้านนโยบาย โดยจะจัดให้มีรัฐบาลทหารฝ่ายสหประชาชาติเป็นผู้แกครองด้วยความเข้มแข็และเป็นธรรม โดยเพาะจะปรับปรุงบทกฏหมายญี่ปุ่นที่ไม่เหมาะสม ยุบพรรการเมือง สมาคมและองค์กรอื่น ๆ ของญี่ปุ่นที่ฝ่ายสหประชาชาติไม่เห็นด้วย ประกาศเสรีภาพในการนับถือศาสนา ปรับปรุงระบสารนิเทศใหม่ และควบคุมระบอบการศึกษา 2. ศาลพลเรือนจะคงดำเนินอยูต่อไปภายใต้รับบาลทหาร 3. การปกครองญี่ปุ่นภายหลังสงคราม จะจัดแบ่งเป็น 3 ระยะ ในระยะแรกเป็นการปกครองทางทหารของสหประชาชาติอย่างเข้มงวด ระยะที่สอง จะมีการผ่อนคลายความเข้มงวดลงบ้าง โดยจะปล่อยให้ญี่ปุ่นปฏิบัติงานด้านพลเรือนเองภายใต้การควบคุมของสหประชาชาติ ระยะที่สาม ยินยอมให้ญี่ป่นมีสิทธิเข้าร่วมในสังคมระหว่างชาติได้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย คือ มุ่งที่จะล้มเลิกระบอบนิยมทหารของญี่ปุ่นเสียให้สิ้นเชิง ส่งเสริมระบบเสรีนิยมทางการเมือง และจัดให้ญี่ปุ่นมีระบบการเมืองที่สอดคล้องกับหลักการของสหประชาชาติ ส่นที่เป็นนโยบายเกี่ยวกับไทยนั้นขอยกไว้คราวหน้าแล้วกันนะ จากคุณ : หนองบัวลำภู - [ 6 ส.ค. 46 12:27:35 A:203.151.225.209 X: ]

ความคิดเห็นที่ 42 ในส่วนของไทยนั้น ทางกระทรวงการตางประเทศของสหรัฐฯได้ทำบันทึกลงวันที่ 22 มิถุนายน 2488 ระบุถึงนโยบายที่มีต่อประเทศไทยไว้ดังนี้ครับ 1. รัฐบาลไทยคงจะประกอบด้วยคณะราษฏรต่อไปภายใต้ฝ่ายพลเรือน ซึ่งมีท่านปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นหัวหน้า 2. กลุ่มทหารอาจจะอยู่ภายใต้พลตำรวจเอกอดุล อดุลเดชจำรัส ซึ่งร่วมมือกับท่านปรีดีมาตั้งแค่ปฏิวัติ 2475 3.ในด้านเศรษฐกิจ เชื่อว่าประเทสไทยคงจะอยู่ในเขตอิทธิพลของอังกฤษ เงินบาทจะผูกพันกับเงินปอนด์วเตอริงค์ การค้าของไทยต้องอาศัยตลาดฝ่ายอังกฤษ 4. สภาพบ้านเมืองหลังสงคราม ความเสียหายจากสงครามไม่มากนัก การทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรมุ่งเฉพาะโรงงานรถไฟที่มักกะสัน สะพาน 3 แห่ง โรงงานกลั่นน้ำมัน โรงงานซิเมนต์ และโรงไฟฟ้าที่กรุงเทพฯ และเพื่อแก้ไขปัญหาที่ทางรถไฟเสียหาย ได้มีการกำหนดแผนขยายทางหลวงแผ่นดิน หากเกิดการปะทะกันกับญี่ป่นในแผ่นดินไทย อาจจะต้องมีการทิ้งระเบิดทางอากศเพื่อทำลายเขื่อนบ้าง ซึ่งจะส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง การส่งออกข้าวจะลดลง เสื้อผ้าและเวชภัณฑ์จะขาดแคลน 5. ความสัมพันธ์ระหว่างประเทสนั้น ประเทสไทยมีความหวาดกลัวอังกฤษมาก เนืองจากไม่ยอมแถลงนโยบายเกี่ยวกับประเทสไทย และคงถือประเทสไทยเป็นศัตรู ทั้งยังแสดงถึงความสนใจในคอคอดกระเพื่อเหตุผลด้านความมั่นคง จากคุณ : มุกดาหาร - [ 6 ส.ค. 46 15:14:25 A:203.151.225.209 X: ]

ความคิดเห็นที่ 43 และเมื่อถึงต้นปี 2488 การรบขั้นสุดท้ายเพื่อปิดฉากความอหังการณ์ของญี่ปุ่นก็เริ่มขึ้น นายพลแมคอาเธอร์ ที่ตั้งกองบัญชาการสำหรับสมรภูมิแปซิฟิค อยู่ที่ออสเตรเลีย ได้เสนอแนะการบุกไปยังประธานาธิบดีเฮนรี่ ทรูแมน โดยมีสาระสำคัญคือ กองกำลังทหารที่จะใช้บุก เตรียมไว้ประมาณ 5 ล้านคน เครื่องบินที่ใช้ในการโจมตีจำนวน 1 หมื่นเครื่อง กองเรือประกอบด้วยเรือประจัญบาน 1 ลำ เรือลาดตระเวน 22 ลำ เรือพิฆาต 80 ลำ เรือบรรทุกเครื่องบิน 20 ลำ ตามแผนของแมคนั้นกองกำลังทั้งหมดจะยกพลขึ้นบกที่เกาะฮอนซูในวันที่ 1 มีนาคม 2489 โดยเชื่อว่าจะฝ่าแนวป้องกันของราชนาวีญี่ปุ่นไปได้ เพราะตอนนั้นเหลือเรือป้องกันเกาะเพียง 19 ลำเท่านั้น หลังจากเสียเรือส่วนใหญ่ไปในยุทธนาวีที่เกาะมิดเวย์ แต่ประธานาธิบดีเฮนรี่ ทรูแมน ไม่อนุมติแผนดังกล่าว ดดยไม่แจ้งเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะอะไรเชื่อว่าทุกท่านคงทราบคำตอบดีอยู่ และแล้วเดือนสิงหาคมปี 2488 ก็เป็นปีแห่งโศกนาฏกรรมของคนญี่ปุ่นและกลายมาเป็นบทเรียนให้กับคนทั้งโลกมาอีกนาวนาน เมื่อลิตเติลบอย และแฟตบอล ละลิ่วลงสู่ฮิโรชิมาและนางาซากิ สมเด็จองค์พระจักรพรรดิ์ของญี่ปุ่นก็ทรงออกแถลงการณ์ยอมแพ้สงครามทางวิทยุกระจายเสียง ซึ่งปกติแล้วประชาชนทั่วไปจะไม่มีโอกาสได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ไม่นึกว่าเมื่อได้ยินเป็นครั้งแรกนั้น ก็เป็นเสียงที่ประกาศให้ลูกพระอาทิตย์ยอมแพ้ต่อศัตรูเสียแล้ว เว้นเสียแต่ชาวเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิกว่าแสนคนที่ไม่มีโอกาสได้ยินเสียงนั้นไปตลอดกาล จากคุณ : นางาซากิ - [ 6 ส.ค. 46 15:45:55 A:203.151.225.209 X: ]

ความคิดเห็นที่ 44 แต่กว่าที่ญี่ปุ่นจะยอมแพ้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ปัญหาอยู่ที่กองทัพบกที่มีอำนาจเหนือรัฐบาลอยู่ในขระนั้นถื่อว่าเป็นเร่องที่ยอมไม่ได้ที่จะเสื่อเสียเกียรติขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่ประเด็นในเรื่องการยอมแพ้หรือการรับรู้ชะตากรรมของตนเองนั้น เริ่มมาตั้งแต่ปี 2487 แล้ว หลังจากที่พลเอกโตโจก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กรกฏาคม 2487 และพลเอกกุนิอากิ โกอิชิ เข้ารับตำแหน่งแทน ต่อมาเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2488 นายซูซูกิ ประธานคณะองคมนตรี ก้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อทำหน้าที่สำคัญคือพิจารณาสถานการณ์ที่แท้จริงของสงคราม นายกรัฐมนตรีพลเรือนกับกองทัพเรือนั้นเห็นพ้องต้องกันว่า ถ้าสงครามยืดเยื้อออกไปก็หมายถึงการทำลายประเทศญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง ขระที่ฝ่ายทหารบกเห็นว่าควร ที่จะทำสงครามต่อไป ปลายเดือนมิถุนายน 2488 สมเด็จพระจักรพรรดิ์ทรงเรียกประชุมนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือ รัฐมนตรีว่การกระทรวงารต่างประเทศ เสานาธิการทหารบกและเสนาธิการทหารเรือ เพื่อพิจารณากันว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้สงครามยุติ ที่ประชุมในวันนั้นได้ข้อสรุปว่าสามารถทำได้ 2 วิธีคือติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรโดยตรง หรือให้ประเทศที่สามเป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยแทนให้ ซึ่งที่ประชุมก็ตกลงว่าจะเจรจากับโซเวียตที่ขระนั้นประกาศตัวเป็นกลางกับญี่ปุ่นอยู่ จึงตกลงใจให้เจ้าชายโกโนเย เป็นฑูตพิเศษออกไปพบกับฝ่ายสหภาพโซเวียตเพื่อหาทางระงับสงคราม แต่วิธีนี้ไม่เป็นผล เพราะโซเวียตเองตระหนักดีแล้วว่าสัมพันธมิตรจะชนะอย่างไม่มีเงื่อนไข สตาลินและโมโลต๊อฟ รมต.ตปท.จึงเลือกที่จะเดินทางไปที่พอสต์ดัมแทนเพื่อตกลงร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ฝ่ายญี่ปุ่นนั้นเมื่อได้ศึกษาแนวทางของพอสต์ดัมแล้วก็เห็นว่าพอจะรับได้ เหลือแต่หาทางเจรจากับฝ่ายทหารบกที่ยังแข็งขืนไม่ยอมเชื่อว่าตนจะแพ้สงคราม เมื่อเกิดเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา ฝ่ายรับบาลจึงคิดจะนำเอาเหตุนี้มาเจรจากับกองทัพบกใยอมรับการยุติสงคราม จากคุณ : ฮิโรชิมา - [ 6 ส.ค. 46 15:58:33 A:203.151.225.209 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 เรื่องระเบิดปรมณูนี่จะว่าไปก็เหมือนว่าเป็นกงกำกงเกวียน ที่ญี่ปุ่นได้เคยทำไว้กับประเทศอื่นๆ เช่น ที่เมืองนานกิง ประเทศจีน ที่ว่ากันว่าโหดยิ่งกว่านาซีทำกับชาวยิวเสียอีก จากคุณ : DogRobo - [ 6 ส.ค. 46 16:02:39 A:61.159.242.7 X: ]

ความคิดเห็นที่ 46 เมือเกิดกรณ๊ทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมานั้น ฝ่ายกองทัพบกยังไม่เชื่อว่านี่คือระเบิดปรมาณู มฤตยูตัวใหม่ของโลกที่คร่าชีวิตคนได้ทีละเป็นแสน ๆ ตามที่รับบาลของตนเองอ้าง จึงได้มีการส่งผู้เชี่ยวชาญไปตรวจสอบที่เมืองฮิโรชิมา และได้รับรายงานกลับมาเมื่อวันที่ 9 สิงหาคมว่าเป็นระเบิกปรมาณูจริง ๆ และในเช้าวันนั้นเองโซเวียตก้ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และส่งทหารเข้าไปที่แมนจูกัว (ในฉากสุดท้ายของปูยีวัยหนุ่มจำได้ไหมครับ ที่ทหารญี่ปุ่นมาเร่งให้ปูยีไปขึ้นเครื่องเพื่อบินไปมอบตัวกับสหรัฐฯ แต่เมื่อขึ้นไปบนเครื่องแล้วพบว่าไม่มีนักบินอยู่แล้ว และทันใดนั้นเองก็เห็นพลร่มโซเวียตกระโดดลงมากลุ่มใหญ่ สักพักก็มีทหารโซเวียตเดินขึ้นมาบนเครื่องเพื่อจับทุกคนไป ก่อนจะส่งปูยีคืนให้กับจีนที่เปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้ว อันเป็นฉากต้นเรื่อง) นายกรัฐมนตรีซูซุกิ เข้าเฝ้สมเด็จพระจักพรรดิเพื่อหารือ ซึ่งพระองคืก้ได้เรียกประชุมผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 6 อีกครั้ง ซึ่งในที่ประชุม คือ นายกรฐมนตรี รมต.กระทรวงทหารเรือ รมว.ต่างประเทศ เห็นด้วยว่าให้ยอมรับมติพอสต์ดัม แต่รมว.กลาโหมและเสนาธิการทหาร เห็นว่าต้องเพิ่มเงื่อนไขเข้าไปอีก 2 ข้อ คือ กำลังทหารสัมพันธมิตรต้องไม่เข้ามายึดครองญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจะเรียกกำลังทหารที่อยู่ในต่างประเทสกลับเอง และจะไม่มีพิธียอมจำนนในต่างประเทศ (เลยต้องไปลอยเรือลงนามกันไงครับ) การประชุมตกลงกันไม่ได้ นายกรัฐมนตรีเลยเสนอว่าให้ส่งเรื่องให้องค์พระจักรพรรดิทรงวินิจฉัยชี้ขาดด้วยพระองค์เอง รุ่งขึ้นในวันที่ 10 สิงหาคม รับบาลญี่ปุ่นจึงสั่งให้ฑูตญี่ปุ่นประจำกรุงเบอร์นติดต่อกับสหรัฐฯเพื่อขอเจรจาสงบศึก จากนั้งอีก 4 วัน คือวันที่ 14 สิงหาคม ประธานาธิบดีเฮนรี่ ทรูแมน จึงได้ประกาศต่อชาวสหรัฐฯและชาวโลกว่า ญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขแล้ว และเพื่อเป็นการคาราวะต่อเหล่าบรรดาทหารหาญลูกพระอาทิตย์ พลเอกโกเรชิกะ ฮายามิ รมว.กลาโหม ได้ทำฮาราคีรี หลังจากการประกาศยอมแพ้เพียง 1 วัน วันที่ 16 สิงหาคม ดร.ปรีดี พนมยงค์ ก้ได้ประกาศแถลงการร์ให้วันที่ 16 สิงหาคม เป้นวันสันติภาพ ตามคำแนะนำของอังกฤษเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าไทยไม่ได้เห็นด้วยกับญี่ปุ่นมาตั้งแต่ต้น วันที่ 2 กันยายน จึงมีการลงนามกันบนเรือประจัญบานมิสซูรี่ในอ่าวโตเกียว (ฝ่ายภาพทำหน้าที่ด้วยครับ อยากเห็นนายทหารญี่ปุ่นลากซามูไร มาลงนามยอมรับความพ่ายแพ้บนเรือรบมิสซูรี่ ท่ามกลางเสียงเฮอย่างดีอกดีใจของเหล่ากลาสีเรืออเมริกัน (ถ้าตอนนั้นมีพัทยาแล้ว ผมว่าเจ้าเรือประจัญบานลำนี้คงจอดอยู่ที่อ่าวโตเกียวไม่นานหรอกครับ พอส่งผู้แทนองค์พระจักพรรดิขึ้นฝั่งได้เรียบร้อยแล้ว พ่อต้องรีบถอนสมอโกยอ้าวมาฉลองความสำเร็จกับน้องอ้อยที่บาร์เบียร์แถวพัทยาใต้แหง ๆ ) จากคุณ : เกียวโต - [ 6 ส.ค. 46 16:17:27 A:203.151.225.209 X: ]

ความคิดเห็นที่ 47 นานกิงก็เป็นประวัติแห่งความขมขื่นที่มนุษย์จะพึงทำต่อมนุษย์ด้วยกัน มากกว่หรือน้อยกว่าที่ชาวยิวต้องได้รับคงไม่สำคัญไปกว่าว่าขอจงช่วยกันอย่าให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นอีกเลยนะครับ คุณสุนัขปรมาณู เอาเรื่องของนานกิงมาเล่าให้กันฟังบ้างสิครับ ว่าซามูไรที่ฟันคอคนจีนนั้น มันคมขนาดไหน และยิ่งบาดลงลึกเพียงใด เมื่อรู้ว่าเหตุผลของการฆ่าเพียงเพื่อเอาไว้คุยข่มกันกันเท่านั้นเอง ส่วนที่ไม่ดีของญี่ปุ่นนั้นมากมายครับ แต่ก็ไม่ใช่วาเขาจะเลวร้ายไปเพียงผู้เดียว ประเทศที่มีและใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย คุณูปการอันหนึ่งที่พึงจะหาได้ของการก่อสงครามของญี่ปุนก็คือประกาศใหชาวตะวันตก โดยเฉพาะพวกนักล่าอาณานิคมให้รู้ว่าเอเชียไม่ใช่ลูกจ๊อกที่พวกเขาจะมาข่มเหงหรือขูดรีดไปตามใจชอบ ไม่รู้ว่าความข้อนี้ จะมีชาติเอเชียสักกี่ชาติที่ตระนักถึงและทำตาม จากคุณ : สื่อศิลป - [ 6 ส.ค. 46 16:40:16 A:203.151.225.20 X: ]

ความคิดเห็นที่ 48 กลับมาประเทสไทยครับ เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว หลังจากที่ทุกฝ่ายวิตกกันว่ากองกำลังสัมพันธมิตรจะบุกขึ้นฝั่งและต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นในแผ่นดินไทยซึ่งเป็นที่ชุนุมทหารญี่ปุ่นนอกประเทศมากที่วุดในช่วงระยะสุดท้ายของสงคราม แต่เมื่อทุกอย่างจบลงด้วยดี อ.ปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ออกประกาศสันติภาพเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม โดยมีข้อความดังนี้ "โดยที่ประเทสไทยได้เคยถือนโยบายอันแน่วแน่ที่จะรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัดและจะต่อสู้การรุกรานของต่างประเทสทุกวิถีทาง ดังปรากฏเห็นได้ชัดจากการที่ได้มีกฏหมายกำหนดหนาที่คนไทยในเวลารบ เมือพุทธศักราช 2484 อยู่แล้วนั้น ความจำนงค์อันแน่วแน่ดังกล่าวนี้ได้แสดงห้เห็นประจักษ์แล้ว ในเมื่อญี่ปุ่นได้ยาตราทัพเข้าในดินแดนประเทศไทย ในวันที่ 8 ธันวาคม พุทธศักราช 2484 โดยได้มีการต่อสู้การรุกรานทุกแห่ง และทหาร ตำรวจ ประชาชนพลเมืองได้เสียชีวิตไปในการนี้เป็นอันมาก เหตุการร์อันปรากฏเป็นสักขีพยานนี้ ได้แสดงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งว่า การประกาศสงครามเมื่อวันที่ 25 มกราคม พุทธศักราช 2485 ต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ตลอดทั้งการกระทำทั้งหลายึ่งเป็นปรปักษ์ต่อสหประชชาตินั้น เป็นการกระทำอันผิดจากเจตจำนงของประชาชนชาวไทยและฝ่าฝืนขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฏหมายบ้านเมือง ประชาชนชาวไทยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือสนับสนุนสหประชาชาติผู้รักที่จะให้มีสันติภาพในโลกนี้ ได้กระทำทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือสหระชาชาติ ดังที่สหประชาชาติส่วนมากย่อมทราบอยู่แล้ว ทั้งนี้เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนชาวไทยอีกครั้งหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยต่อการประกาศสงคราม และการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสหประชาชาติดังกล่าวมาแล้ว บัดนี้ ประเทศญี่ปุ่นได้ยอมปฏิบัติตามคำประกาศของสหรัฐอเมริกา บริเตนใหญ่ จีน และสหภาพโซเวียต ซึ่งได้กระทำ ณ พอสต์ดัมแล้ว สันติภาพจึงกลับคืนสู่ประเทศไทย อันเป็นความประสงค์ของประชาชนชาวไทย ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรามาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอประกาศโดยเปิดเผยแทนประชาชนชาวไทยว่า การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่เป็นโมฆะไม่ผูกพันประชาชนชาวไทย ในส่นหนึ่งที่เกี่ยวพันกับสหประชาชาติ ประเทศไทยได้ตัดสินใจที่จะให้กลับคืนมาซึ่งสัมพันธมิตรไมตรีอันดีที่เคยมีมากับสหประชาชาติเอก่อนวันที่ 8 ธันวาคม พุทธศักราช 2484 และพร้อมที่จะร่วมมือเต็มที่ทุกทางกับสหประชาชาติในการสถาปนาเสถียรภาพในโลกนี้ บรรดาดินแดนซึ่งญี่ปุ่นได้มอบให้ไทยครอบครอง คือรัฐกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ประริศ เชียงตุง และเมืองพานนั้น ประเทสไทยไม่มีความปรารถนาที่จะได้ดินแดนเหล่านี้ และร้อมที่จะจัดการเพื่อส่งมอบในเมื่อบริเตนใหญ่พร้อมที่จะรับมอบไป ส่นบรรดาบทกฏหมายอื่น ๆ ใด อันมีผลเป็นปฏิปักาต่อสหรัฐอเมริกา บริเตนใหญ่ และเครือจักรวรรดิก็จะได้พิจารรายกเลิกไปในภายหน้า บรรดาความเสียหายอย่างใด ๆ จากกฏหมายเหล่านี้ ก็จะได้รับการชดใช้โดยชอบธรรม ในที่สุดนี้ ขอให้ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย ตลอดจนชาวต่างด้าวซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรไทยจงตั้งอยู่ในความสงบ และไม่กระทำการใด ๆ อันจะเป็นการก่อกวนความสงบเรียบร้อยพึงยึดมั่นในอุดคติซึ่งได้วางไว้ในข้อตกลงของสหประชาชาติ ณ นครซานฟรานซิสโก" ทั้งหมดนี้คือข้อความในประกาศสันติภาพ ที อ.ปรีดีได้อ่านผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียง เพื่อแสดงให้เห็นว่าไทยไม่ได้ยินดีในการเข้ร่วมสงครามกับฝ่ายญี่ปุ่น ซึ่งจะใช้เป็นน้ำหนักในการเจรจากับอังกฤษเพือมิให้ถือว่าไทยเป็นศัตรู น่าสังเกตไหมครับว่าในเรืองของการคืนดินแดนนั้น เราไม่ได้กล่าวถึงในส่วนของดินแดนเขมรที่เราทำสงครามกับฝรั่งเศสอาณานิคมก่อนหน้าสงครามโลกเพียงเล้กน้อยเลย เพราะตอนนั้นเราเชื่อมั่นว่านั่นคือการเอาดินแดนคืน ไม่ใช่เป็นการยึดดินแดนมาจากใครด้วยการรุกรานทั้งของไทยเองหรือของญีปุ่นเหมือนกับกรณีดินแดนของอาณานิคมอังกฤษ หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือ เรากังวลต่ออังกฤษที่เป็นผู้ชนะสงครามครั้งนั้นอย่างสมศักดิ์ศรีจริง ๆ ขระที่ไม่สนใจกับฝรั่งเศสที่นอกจากจะมีทัศนที่ไม่ดีต่อกันมาก ๆ แล้ว ยังถือว่าฝรั่งเศสเองก็ไม่ใช่ผู้ชนะตัวจริงสักเท่าไร อาศัยว่าได้รับการรับรองใน ฟรีฟรองซ์ แค่นั้นเอง จริง ๆ แล้วคิดยังไงผมก็ไม่ทราบเหมือนกันนะ เดี๋ยวกองเชียร์ฝรั่งเศสจะเล่นงานผมเสียอีก จากคุณ : กรุงเทพ - [ 6 ส.ค. 46 17:18:13 A:203.151.225.20 X: ]

ความคิดเห็นที่ 49 สงคราม ก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาเลยนะครับ จากคุณ : กริช - [ 6 ส.ค. 46 17:29:54 A:202.44.14.194 X:10.11.13.110 ]

ความคิดเห็นที่ 50 หมายความว่าไงครับ ไม่ค่อยเข้าใจ เอาไว้วันพรุ่งนี้มาว่ากันใหม่นะ วันนี้หมดเวลาแล้ว ส่วนผู้ที่ถนัดทวงหนี้ก็ช่วยตามทวงรูปบนเรือมิสซูรีจากเจ๊ฯให้ด้วยแล้วกัน จากคุณ : สื่อศิลป - [ 6 ส.ค. 46 18:34:37 A:203.151.225.20 X: ]

ความคิดเห็นที่ 51 ขอตอบเรื่องสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดสะพานในกรุงเทพฯ ด้วยคนครับ - สะพานแรกที่ถูกทิ้งระเบิดขาด (โดยไม่ตั้งใจ) คือสะพานพุทธฯ ในวันที่ ๑๔ ธ.ค.๒๔๘๗ สะพานพระราม ๖ ถูกทิ้งระเบิด ๓-๔ ครั้ง จนขาดในวันที่ ๗ ก.พ.๒๔๘๘ ทั้งสองสะพานด้วยฝีมือ B-29 ส่วนการทิ้งระเบิดโดยใช้โซ่ร้อยเป็นพวงยังไม่พบหลักฐานยืนยันจากฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ในทางเทคนิคไม่น่าจะกระทำได้โดยสะดวกและปลอดภัย ใครเก่งเรื่องทิ้งระเบิดช่วยตอบด้วยครับ B-24 เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดหลักที่สัมพันธมิตรใช้ถล่มประเทศไทย รวมทั้งที่เข้ามาทิ้งเวชภัณฑ์ที่สนามหลวงตาม คคห ๑๙ ก็เป็น B-24 เช่นกัน B-25 มีรัศมีทำการไม่ถึงกรุงเทพฯ แต่ก็ไปอาละวาดอยู่แถวๆ สะพานบ้านดารา และเป้าหมายอื่นที่อยู่ในภาคเหนือ จากคุณ : ศนิต - [ 6 ส.ค. 46 23:43:53 A:203.185.128.82 X:10.0.4.182 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ตื่นมาแต่เช้า ตาลีตาเหลือกเข้ามาอ่านตามปรกติ..เจองานชิ้นใหญ่เชียว.. รูปนี้เป็นรูปที่ประธานาธิบดี ทรูแมน ออกมาตรวจแถวก่อนส่งเรือไปปฏิบัติภาระกิจ จากคุณ : wiwanda (WIWANDA) - [ 7 ส.ค. 46 00:03:01 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ตอนนี้ เป็นตอนที่ลูกเรือทั้งหมดกำลังตั้งตาคอย เรือของคณะญี่ปุ่นที่กำลังจะมา.. จากคุณ : wiwanda (WIWANDA) - [ 7 ส.ค. 46 00:06:07 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เขามาแล้ว.. จากคุณ : wiwanda (WIWANDA) - [ 7 ส.ค. 46 00:07:20 ]

ความคิดเห็นที่ 55 นายพล แมคอาร์เธอร์..กล่าวต้อนรับ จากคุณ : wiwanda (WIWANDA) - [ 7 ส.ค. 46 00:08:48 ]

ความคิดเห็นที่ 56 อ้าว เจอของจริงเข้าแล้ว คุณศนิตบอกว่าสะพานแรกที่ถูกบอมบ์ขาด 2 ท่อนนะ ไม่ใช่พระราม 6 แต่เป็นพระราม 9 เอ้ย ไม่ใช่ เป็นสะพานพุทธ แถมมีวันเวลามาให้ด้วย ก็ต้องถือเป็นคำตอบหลักอยู่ตอนนี้นะครับ เอ้าเป็นว่าทั้งคุณเด็กก่อสร้างและแม่คุณชะชะช่า ต้องคืนรางวัลก่อนครับ ส่วนตัวพิธีกรเองก็ต้องหลบไปให้คุณหมอเย็บหน้าให้แป๊ปนึง เอาไว้แผลแห้งแล้วค่อยเข้ามาใหม่ นี่แหละครับ ความที่ไม่ค้นคว้าเสียก่อน หลงไปคิดว่าความจำตัวเองยังดีอยู่ ที่ไหนได้ ความจำนะไปนานแล้ว เหลือแต่ความหลง ส่วนเรื่องระเบิดสะพานด้วยระเบิดที่ร้อยโซ่ลงมานี่ ในทางเทคนิคด้านอาวุธผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าทำได้หรือเปล่า แต่จำได้จากที่อ่าน ๆ มา ไม่ได้ค้นคว้ามาอ้างอิงอะไรหรอกครับ ที่จำได้ลาง ๆ อีกอันก็คือหนังสือเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ที่ลงภาพสะพานดราก้อนในเวียดนามเหนือที่สปายไปดักถ่ายภาพสะพานนี้ในช่วงที่ถูกบอมบ์ ที่ช่างพังยากพังเย็นจริง ๆ จึงต้องใช้วิธีนี้แหละครับ ถ้าโดยหลักการแล้วไม่ใช่ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่อาการเบื้องต้นของอัลไซเมอร์ของผมเองนั่นแหละ ยินดีรับผิด แต่ไม่รับโทษครับ มีเยอะแล้ว เอามาเดี๋ยวไม่มีที่เก็บ ส่วนเจ๊นะ ตื่นเช้ามาทรมานคนเล่นหรือไง ภาพชุดนี้ยังมีอีกรูปนึงไม่ใช่เหรอ รูปที่เขานั่งเซ็นบนโต๊ะเลยนั่นแหละ เอามาลงให้ด้วยสิ จากคุณ : สื่อศิลป - [ 7 ส.ค. 46 07:34:14 A:203.151.225.160 X: ]

ความคิดเห็นที่ 57 การประกาศสันติภาพของไทยนั้น ไม่ใช่เรืองที่เรานึกเอาเองจนมีคำล้อว่า "ไซมิส ทอล์ก" ที่หมายความว่าพูดแบบคนไทย คือกลับไปกลับมาได้ เพราะคงมีประเทศเดียวในโลกที่ประกาศสงครามไปแล้ว กลับมาบอกหน้าตาเฉยว่าทีประกาศไปขอให้เป็นโมฆะนะ จริง ๆ แล้วการประกาศสันติภาพนั้น เป็นเรื่องทีทางอังกฤษแนะนำ (สั่ง)ให้เราทำ เพราะเดิมนั้นจะใช้รูปแบบความร่วมมืออย่างอื่น เช่น ตั้งโต๊ะเจรจากับรัฐบาลใหม่หลังปลดปล่อยจากญี่ปุ่น แต่การที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน เพราะเดิมนั้นอังกฤษคาดว่าคงจะต้องถึงสิ้นปี 2488 เป็นอย่างน้อย ดังนั้น เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 1 วันก่อนที่ประธานาธิบดีทรูแมนจะประกาศอย่างเป็นทางการ รัฐบาลที่ลอนดอนก็ได้แจ้งมายังลอร์ด หลุยส์ เมานต์แบตตั้น ว่าให้สั่งนายพลจัตวาเจ๊กส์ที่อยู่ที่กรุงเทพได้ไปพบกับผู้สำเร็จราชการ เพื่อแนะนำให้รีบประกาศเรื่องการประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฯให้เป็นโมฆะเสีย เลิกล้มข้อตกลงที่เป็นการผูกพันเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นเสียให้หมด และประกาศยกกองกำลังทหารไทยให้แก่ฝ่ายพันธมิตรเพื่อใช้งานในภารกิจที่มอบหมาย นายพลจัตวาเจ๊กส์บอกว่า หากปฏิบัติตามน้นแล้ว อังกฤษจะไม่เรียกร้องให้ประเทศไทยยอมจำนนโดยไม่เงื่อนไข จากคุณ : ตราด - [ 7 ส.ค. 46 17:33:12 A:203.151.225.196 X: ]

ความคิดเห็นที่ 58 หลังจากการประกาศแล้ว ทางสหรัฐฯนั้นไม่มีปัญหาเพราะไม่ได้ประกาศสงครามตอบมาตั้งแต่ต้น แต่ทางอังกฤษนั้น ยังไม่สิ้นสงสัย เพราะในคำประกาศยังขาดข้อความสำคัญหลายอย่างที่อังกฤษตองการให้มี เช่น 1. ไม่มีการประกาศเรื่องให้สัมพันธมิตรใช้ทหารไทย 2. ไม่มีเรื่องที่ทางเสรีไทยจะทำการต่อสู้กับญี่ปุ่นแต่ถูกสหประชาชาติระงับไว้ 3. ไม่มีเรื่องการคืนดินแดนอินโดจีนให้กับฝรั่งเศส 4.ไม่พูดถึงเรื่องการส่งผู้แนไทยไปเจรจาที่แคนดี้ แต่เมื่อสหรัฐฯที่เป็นทั้งลูกพี่ใหญ่ และเจ้าหนี้ในการฟื้นฟูประเทศรายใหญ่ (ต้นตอของไอเอ็มเอฟ) แถลงท่าทีต่อไทยไปแล้วว่าไม่ติดใจอะไร อังกฤษก็ต้องจำใจแถลงบ้าง ทั้ง ๆ ที่สงวนท่าทีเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด คำแถลงของอังกฤษที่กล่าวโดยนายเบวิน รมต.ตปท.มีดังเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมนี้ครับ ตามที่ทราบกันแล้วว่า ประเทศไทยได้ใกล้ชิดกับอังกฤษมาอย่างยาวนาน และเมื่อไทยถูกญี่ปุ่นเข้ายึดครอง อังกฤษรู้สึกกระทบกระเทือนใจยิ่งที่ไทยร่วมทำพันธไมตรีกับญี่ปุ่น รวมถึงการรับดินแดนของอังกฤษจากญี่ปุ่น แต่เมื่อภายหลังได้มีการเปลี่ยนรับบาลและมีขบวนการเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นในประเทสไทย อังกฤษได้รับความช่วยเหลือจากขบวนการนั้น และเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมก้ได้รับทราบคำประกาศสันติภาพที่ให้การประกาศสงครามเป็นโมฆะเพราะขัดกับรัฐธรรมนูญของไทย "คำประกาศนี้จะได้รับการพิจารณาด้วยความระมัดระวังเพื่อดูว่าเป็รมูลฐานเพียงพอในการจัดภาวะอันผิดปกติให้เรียบร้อยขึ้นได้หรือไม่ การร่วมมือกับญี่ปุ่นของประเทสไทยก่อให้เกิดปัญหาที่ต้องขจัดหลายปัญหา รัฐบาลจะคำนึงถึงปัญหาเหล่านี้ ท่าทีของอังกฤษขึ้นอยู่กับวิธีที่ไทยจะสนองความต้องการของกำลังทหารอังกฤษที่จะเข้าไปในประเทศไทยเพียงใด ขอบเขตที่ไทยจะแก้ความผิดของรัฐบาลเก่าและจัดการทดแทนความเสียหายแก่ผลประโยชน์ของอังกฤษและสัมพันธมิตรเพียงใด ตลอดจนขอบเขตของการที่ประเทสไทยจะให้ความร่วมมืในการกลับสถาปนาสันติภาพความเป็นระบเยบและการฟื้นฟูในเอเชียตะวันออกเฉียงใดเพียงใด จากคุณ : จันทบุรี - [ 7 ส.ค. 46 17:55:52 A:203.151.225.196 X: ]

ความคิดเห็นที่ 59 ผมหมายถึงว่าตลอดเวลาประวัติศาสตร์น่ะ ของมนุษย์มีแต่สงครามทั้งนั้นเลยอ่ะครับ ปัจจุบันนี้ก็มีไง จากคุณ : กริช - [ 7 ส.ค. 46 18:29:53 A:202.44.8.98 X:10.11.13.110 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ต้องขออภัยคุณสื่อศิลปด้วยครับ ที่เขียนมามิได้มีเจตนาลบหลู่หรือทำให้หน้าแตกแต่ประการใด พอดีผมมีข้อมูลอยู่บ้างก็เลยนำมาเล่าสู่กันฟัง รายละเอียดการทิ้งระเบิดสะพานพระราม ๖ ซึ่งพลอยทำให้สะพานพุทธฯ โดนแจ็กพอตไปด้วยมีดังนี้ครับ ๑๔ ธันวาคม ๒๔๘๗ - เวลา ๐๙๔๐ เครื่องบิน B-29 จากกองทัพอากาศที่ ๒๐ ของสหรัฐฯ จำนวน ๓๓ เครื่อง ได้รับคำสั่งให้มาทิ้งระเบิดสะพานพระราม ๖ เครื่องบิน ๓๒ เครื่องเข้าถึงเป้าหมาย แต่ทิ้งระเบิดไม่ถูกสะพาน มี B-29 เครื่องหนึ่งเข้าทิ้งระเบิดสะพานพระพุทธยอดฟ้า ด้วยความเข้าใจผิด ระเบิดถูกสะพานขาด ๒ มกราคม ๒๔๘๘ - เวลา ๑๐๓๐ B-29 ๔๙ เครื่อง เดินทางจากกัลกัตตา มาทิ้งระเบิดสะพานพระราม ๖ เครื่องบินเข้าถึงเป้าหมาย ๔๔ เครื่อง และทิ้งระเบิดไปทั้งสิ้น ๑๗๙ ตัน ทำให้ตอม่อสะพานชำรุดบางส่วน ๒๗ มกราคม ๒๔๘๘ - ฝูงบิน B-29 ไปทิ้งระเบิดไซ่ง่อน แต่ B-29 เครื่องหนึ่งเครื่องยนต์ขัดข้องต้องบินกลับก่อนถึงเป้าหมาย นักบินจึงเข้าทิ้งระเบิดสะพานพระราม ๖ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำรอง เมื่อเวลา ๐๘๐๐ ได้ผลเล็กน้อย ๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๘ - เวลา ๐๘๐๐-๑๐๐๐ B-29 ๖๔ เครื่อง (เข้าถึงเป้าหมาย ๕๘ เครื่อง) ทิ้งระเบิดสะพานพระราม ๖ ด้วยลูกระเบิดขนาด ๑,๐๐๐ ปอนด์ ๖๙๕ ลูก สามารถทำลายสะพานขาดที่ปลายด้านตะวันออกเฉียงเหนือและช่วงกึ่งกลางสะพาน เป็นอันว่าเรียบร้อยโรงเรียนอเมริกันทั้งสองสะพานครับ จากคุณ : ศนิต - [ 7 ส.ค. 46 22:37:36 A:203.185.128.82 X:10.0.4.181 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เรียน อาจารย์สื่อศิลป์ มาแก้ คห 43 ของอาจารย์ ครับ ระเบิดปรมาณูลูกแรก ชื่อ Little Boy ถูกแล้วครับ ลูกที่สองที่ทิ้งที่นางาซากิ ชื่อ Fat Boy ครับ ไม่ใช่ แฟตบอล หรืออาจารย์พิมพ์ผิด ผมไม่ทราบ หรือกำลังคิดถึงทีมแมนยูอยู่ ลูกแรกหนัก 4,400 กก. ลูกสองหนัก 4,500 กก. .ใครอยู่ที่ Ground zero รับรองเป็นจุณ จุณ (โบ) น. จุรณ จูรณ, ของที่ป่น ,ของที่ละเอียด ,ผง จุณมหาจุณ (โป) น. ของที่แหลกละเอียดมาก (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2542) จากคุณ : เกิดมาเลว - [ 7 ส.ค. 46 23:00:31 A:203.147.20.10 X: ]

ความคิดเห็นที่ 62 คุณเกิดมาเลวพิมพ์เพลินไปหน่อย ระเบิดปรมาณูที่สหรัฐฯ นำไปทิ้งที่เมืองนางาซากิ ชื่อ Fat Man ครับ จากคุณ : ศนิต - [ 7 ส.ค. 46 23:22:45 A:203.185.128.82 X:10.0.4.185 ]

ความคิดเห็นที่ 63 little boy กับ fat man ถูกแล้วครับผม แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 46 01:04:17 จากคุณ : imf41 - [ 8 ส.ค. 46 01:01:45 ]

ความคิดเห็นที่ 64 เอารูปมาลงให้ดู ทางซ้ายคือ little boy ทางขวาคือ fat man เอามาจาก http://www.csi.ad.jp/ABOMB/ แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 46 01:11:27 จากคุณ : imf41 - [ 8 ส.ค. 46 01:08:52 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ขอโทษครับ ที่ผิด แสดงว่ากระทู้นี้ มีคนเข้ามาอ่านมากจริงๆ แต่ไม่ค่อยส่งเสียง เพียงอ่านกันแต่เงียบๆ ขอมือขวาหน่อย คราบบบบบบบบบบบบ.... จากคุณ : เกิดมาเลว - [ 8 ส.ค. 46 01:45:19 A:203.147.20.90 X: ]

ความคิดเห็นที่ 66 แหม คุณศนิต ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้าคนเข้ามาบ่อย ๆจะรู้ว่าเรื่องพิมพ์ผิดกับผมนั่นคู่กันอยู่แล้ว บางทีก็รู้คำแต่พิมพ์ผิดไปจนเสียความหมายหรือบางทีก็พิมพ์ตามความทรงจำ ก็คลาดเคลื่อนไปบ้าง ไม่ถือสาหาความหรือไปคิดว่าเป็นเรื่องหน้าแตกอะไรหรอกครับ ดีเสียอีก เพราะผมก็บอกอยู่เสมอว่า ผมไม่ได้รู้ทุกเรื่องหรอกครับ ถึงกางหนังสือมาพิมพ์ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าเรื่องที่พูดมาจะถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ เพราะหนังสือที่เราเอามาอ้างอิงบาทีก็เพี้ยนมาจากข้อมูลเดิมเหมือนกัน หรือถึงที่สุดเลยก็ต้องเข้าใจด้วยว่า ประวัติศาสตร์นั้นเป็นการสร้างขึ้นโดยสังคม ไม่มีประวัติศาสตร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศโดยไม่สัมพันธ์กับอะไรเลย ดังนั้น บางทีสังคมเองนั่นแหละไปบิดเบือนประวัติศาสตร์เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะสังคมยุคนั้น ๆ มีหลายกรณีครับ แต่ยกมาก็ชวนวิวาทเปล่า ๆ เอาแน่ ๆ คือไม่ว่าครับ ยืนยันหนักแน่น เพราะทั้งผมและเจ๊ฯวิ จะอาการเดียวกัน คือใส่ไปก่อนผิดถูกมาว่ากันที่หลัง แต่ทั้งนี้ก็พร้อมจะรับผิดชอบในสิ่งที่เขียนนะครับ ไม่ใช่เวลาผิดแล้วผมจะมาเถียงแบบข้าง ๆ คู ๆ หรือหลบหน้าหายแวบไปเลย (ที่เขียนมาตั้ง 6-7 เดือนก็เพราะผิดบ่อยนี่แหละครับ เลยต้องกลับมาแก้ตัวอยู่เรื่อย) ดีอย่างยิ่งและขอความกรุณาทุกท่านช่วยเช๊กด้วยครับ บางทีก็ผิดคำ บางทีก็พิมพ์ผิด บางทีก็จำผิด บางทีก็ข้อมูลผิด ว่าไปเรื่อยแหละ แต่ไม่โกรธครับ และอยากให้เข้ามาช่วยแบบนี้บ่อย ๆ ขออย่างเดียวว่า ช่วยกันให้ข้อมูลอย่างสร้างสรรค์แล้วกัน เพราะแต่ละท่านก็ไม่ได้มีอาชีพพิมพ์ข้อความลงในเน๊ตหรอกครับ เราเข้ามาเพราะใจรักกันทุกคน ก็ขอให้บรรยากาศในห้องนี้เป็นไปด้วยความรู้และความสนุกสนานสมานฉันท์ดีกว่า อย่าให้เป็นกะลาโมหะครอบสติปัญญาใครเลย เปลี่ยนชื่อกระทู้เป็น "กะลาแตก"ซะดีไหมละ (อย่าบ้าจี้ตามผมนะเจ๊ฯ) อ้อ ลืมไป ขอชี้แจงเลยว่าข้อมูลที่แต่ละท่านที่เพิ่มเข้ามานั่นน่าจะถูกกว่าของผมแหละครับ เพราะเรื่องการรบหรือรายละเอียดอาวุธในช่วงนั้น ผมไม่ได้หยิบหนังสือหรือเอกสารมาอ้างอิงเลย (สารภาพผิดกันตรง ๆ อย่างนี้แหละ) เพราะคราวนี้กะจะว่าเรื่องการเจรจาความเมืองระหว่างประเทสเท่านั้น บังเอิญว่าอยากจะตั้งคำถามเล่นสนุก ๆ นึกอะไรไม่ออกก็เลยตั้งไปโดยไม่ได้ค้นคว้าอะไรก่อน พอเฉลยเข้าก็ผิดไปอย่างจัง ขออภัยครับ คราวหลังจะระมัดระวังขึ้น จะขีดจะเขียนเรื่องอะไรก็จะไม่หวังพึ่งความจำตัวเองอย่างเดียวอีกแล้ว รับผิดกันตรง ๆ แบบนี้แล้ว คงพอจะรอลงอาญาได้นะครับ ขออย่างเดียวอย่าไปเล่าให้แม่ชะชะช่าฟังแล้วกันว่าผมยอมรับผิดแล้ว เดี๋ยวแกได้ใจ ยิ่งทวงหนี้ผมหนักเข้าไปอีก จากคุณ : สื่อศิลป - [ 8 ส.ค. 46 07:31:30 A:203.151.225.5 X: ]

ความคิดเห็นที่ 67 มาดูปัญหาของไทยหลังสงครามกันต่อนะครับ สหรัฐฯนั้นแทบไม่มีเงื่อนไขอะไรเลยในการประกาศสันติภาพ ส่วนอังกฤษนั้นมีนิดหน่อย คือเกี่ยงว่าต้องให้มีการเลิกสถานะสงครามระหว่างอังกฤษกับไทยเสียก่อน แต่ที่น่าประหลาดใจคือระหว่างที่เรากำลังได้ลุ้นว่าจะปลดปมเรื่องการประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอยู่นั้น ก็มีประเทศหนึ่งทะลุกลางป้องขึ้นมาว่าไม่เห็นด้วยที่สหรัฐฯจะโอนอ่อนผ่อนปรนให้ไทยเพียงนั้น ประเทศแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับไทยในกรณีนี้คืออสเตรเลียครับ โดยทางออสเตรเลียได้แจ้งความเห็นส่งไปให้รัฐบาลที่ลอนดอนว่า รัฐบาลอเมริกันไม่ควรดำเนินการฝ่ายเดียวกับประเทสไทย และควรมีการทำความตกลงทางการเมืองและการทหารเสียก่อนระหว่างพันธมิตรด้วยกัน ออสเตรเลียสนับสนุนอังกฤษที่ถือว่า การประกาศสงครามของไทยไม่ใช่เป็นแค่พิธีการเท่านั้น และการที่ออสเตรเลียประกาศสงครามกับไทยก็มีสาเหตุที่สมควรหลายประการ เช่น 1. รัฐบาลไทยปล่อยให้กำลังทหารญี่ปุ่นผานไปตีมลายู 2. ทหารไทยบุกเข้าไปในพม่า(เชียงตุง) 3.ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐฯ 4. ไทยทำการคุมขังคนชาติบริติช อเมริกัน และเนเธอร์แลนด์ (เขาไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าเชลยฝรั่งในรุงเทพเหล่านี้ อยากอยู่ในค่ายของไทยยิ่งกว่าไปอยู่ในค่ายเชลยญี่ปุ่นหลายเท่านัก) 5. ไทยให้ความช่วยเหลือญี่ปุ่นด้วยวิธีอื่น ๆ อีกหลายอย่าง และที่เราได้ยินกันมากว่าถ้าเรายอมห้พันธใตรเข้ามาปลดอาวุธและปรับระบบเหมือนญี่ปุ่น จะทำให้บ้านเราไม่เป็นเผด็จการทหารนั้น จุดเริ่มหรือแนวคิดแบบนี้มาจากออสเตรีเลียนี่แหละครับ เพราะเขาบอกไว้ว่า "...บรรดาผู้มีจิตกระหายสงครามและเป็นปฏิปักษ์ต่อตะวันตกในประเทสไทยทำให้เกิดภาวะอันเต็มไปด้วยอันตรายในเขตมหาสมุรแปซิฟิกเมื่อปี 2485 ฉนั้น นโยบายของสัมพันธมิตรสำหรับประเทศไทย จะต้องเป็นไปในทางสกัดกั้นอิทธิพลเช่นนั้นมิให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ออสเตรเลียเห็นด้วยกับการรที่จะถือว่ารัฐบาลไทยที่ต่อต้านญี่ปุ่นเป็นพันธมิตร แต่เห็นว่า รัฐบาลใหม่ของไทยจำเป็นต้องเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย และเนื่องจากไทยให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นจึงจำต้องจัดการกับประเทสไทยอย่างเข้มงวด ออสเตรเลียเห็นว่าไม่ควรปล่อยให้ความโน้มน้าวทางฟาสซิสต์คงอยู่ในวงการรัฐบาลหรือการปกครองของไทย ขอคัดค้านความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่ลดหย่อนผ่อนคลายการปฏิบัติต่อประเทศไทย และมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมดังนี้ จากคุณ : ซิดนีย์ - [ 8 ส.ค. 46 12:22:21 A:203.151.225.138 X: ]

ความคิดเห็นที่ 68 1. บรรดาผู้นำกลุ่มนิยมญี่ปุ่น และคนไทยที่เคยช่วยเหลือญี่ปุ่นอย่างเข้มแข็งจะต้องถูกจับกุม 2. คนไทยต้องอยู่ในข่ายบทบัญญัติว่าด้วยอา๙ญากรสงคราม ผู้ทำทารุณกรรมกับเชลยศึกต้องถูกลงโทษ 3.ไทยควรมีความผูกพันแน่ชัดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในภูมิภาคในอนาคตจะต้องให้ความสะดวกทางการเดินทะเลและการเดินอากาศ และความสะดวกอื่น ๆ ตามคำสั่งของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ 4. ควรจัดให้มีนิรโทษกรรมแก่คนไทยทีช่วยสหประชาชาติในด้านการโฆษณา และผู้กระทำผิดทางการเมืองในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็นับเป็นข้อเสนอที่แข็งกร้าวมาก ทั้ง ๆ ที่อินเดียที่เป็นประเทศในเครือจักภพ(ตอนนั้นยังไม่ได้เอกราชด้วยซ้ำ) และประกาศสงครามกับไทยตามหลังอังกฤษก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรกับไทยมากมาย คงเพราะเข้าใจอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร จากคุณ : เพิร์ธ - [ 8 ส.ค. 46 12:30:40 A:203.151.225.138 X: ]

ความคิดเห็นที่ 69 ส่วนอังกฤษที่ทิ้งท้ายไว้ว่า ไม่มีปัญหาอะไร พร้อมที่จะตกลงแบบเดียวกับสหรัฐฯ ขออย่างเดียวว่าต้องให้ทำเรื่องการเลิกสถานะสงครามกับไทยเสียก่อน ทีนี้การเลิกสถานะสงคราม ไม่ใช่เรื่องที่จะบอกปากเปล่าได้นี่ครับ มันต้องเป็นลายลักษณือักษร มีเงื่อนไขมีอะไรตั้งเยอะแยะที่จะเกี่ยวพันไปถึงความได้เปรียบเสียเปรียบกัน ความจริงแล้วอังกฤาได้เตรียมเรื่องนี้มานนแล้ว แต่ดที่ว่าญี่ปุ่นยอมแพ้เร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้ต้องทำเรื่องกับไทยแบบรีบเร่งขึ้นอีกหน่อย ที่นี้เมื่อเราขอว่าอย่าให้เป็นเรื่องของผูแพ้ผู้ชนะเลย เพราะเราไม่ได้อยากประกาศสงคราม อังกฤษก็ว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำในรูปของสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างรัฐผู้แพ้กับรัฐผู้ชนะ แต่ให้ทำในรูปความตกลงระหว่างรัฐบาล ไม่ใช่ระหว่างประมุขของประเทศ (ที่อังกฤษทำแบบนี้เพราะเกรงว่าหากทำเป็นแบบประมุขตอประมุขจะต้องมีการทำสัตยาบัน หรือให้มีการรับรองอีกครั้ง ทำให้ล่าช้าและเกรงว่าเมื่อไทยเห็นเงื่อนไขของข้อตกลงแล้ว จะไปวิ่งเต้นกับสหรัฐเพือให้ช่วยบีบอังกฆษให้อีก) ทั้งนี้ก็เลยออกมาว่า ไทยกับอังกฤษจะยกเลิกสถานะสงครามต่อกันด้วยการทำเป็นหัวจข้อความตกลงประกอบด้วยภาคผนวกแนบท้ายพิธีสารที่หัวหน้าคณะผู้แทนรัฐบาลลงนาม ก็ถือว่าบังคับใช้ได้ทันทีมีผลให้ยเลิกสถานะสงครามระหว่างกัน หลังจากนั้นก็ทำเป็นความตกลงสมบูรรืแบบอีกครั้งตามแนวหัวข้อดังกล่าว ความตกลงหรือข้อตกลงสมบูรรืแบบนี่และครับที่สร้างปัญหาให้กับการเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายยืดเยื้ออกไปอย่างยาวนานและใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการฑูตอีกคนละกระบุงโกย ทั้ง ๆ ที่เจตนาเดิมนั้นต้องการให้เสร็จสิ้นไวไว จากคุณ : ลอนดอน - [ 8 ส.ค. 46 12:41:03 A:203.151.225.138 X: ]

ความคิดเห็นที่ 70 เอาประวัติถนนแถวบ้านมาทดแทนได้มั้ยครับอาจาร์ยสื่อศิลป์ถนน.วชิรปราการจ.ชลบุรีครับผมตั้งชื่อเพื่อรำลึกถึงการเดินทัพของพระเจ้าตากสินผ่านจังหวัดชลบุรีและตั้งทัพอยู่ที่วัดใหญ่อินทรารามครับผม จากคุณ : เด็กก่อสร้าง - [ 9 ส.ค. 46 23:32:45 A:203.113.80.12 X: ]

ความคิดเห็นที่ 71 ได้เวลาขึ้นกระทู้ใหม่แล้วค่ะ.. ขอเรียนเชิญติดตามเรื่องกบฏยังค์เติร์ก ภาค 25 ได้ที่นี่ค่ะ ประเด็นนี้แตกไปยังกระทู้ K2407209 จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 46 16:28:38 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ใครรู้ประเทศรัสเซียที่ขยายดินแดนมายังตะวันออกบ้างครับว่าใครนำแล้วขยายมาได้อย่างไรครับ จากคุณ : + - [ 15 ส.ค. 46 02:46:58 A:203.113.41.132 X: ]