ความคิดเห็นที่ 1 ปกติเขาจะพูดว่า Ignorance is bliss ไม่รู้เรื่องอะไรเสียเลยก็สบายใจดี ส่วนวลีที่ยกมานั้นก็คงมีความหมายตรงข้ามคือคงมีคนไม่เห็นด้วยก็เขียนแย้งว่า ใครว่าไม่รู้เรื่องอะไรแล้วจะสบายใจได้ ส่วนวลีนี้มาจากไหนก็ไม่รู้ Misery loves company ถือเป็นวลีที่ใช้กันจนเฝือหรือ cliche ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ไม่ควรใช้ ก็คงแปลได้ว่า ความทุกข์ชอบมีเพื่อน การเติม does ก็คงเป็นการเน้นย้ำความเห็นนี้ทำนองว่า เออ ความทุกข์ชอบมีเพื่อนจริงด้วยแฮะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 18 ส.ค. 46 17:37:18 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอเสริมของลุงนิด Misery loves company ก็คือ ในยามทุกข์ มีเพื่อนอยู่ด้วย ย่อมดีกว่าอยู่คนเดียวนั่นเอง วลีนี้ มีใช้มาตั้งแต่สมัยโรมัน ยุคบีซี แต่มายังไง ก็ไม่รู้เหมือนกัน แม้กระทั่ง Chaucer ยังเอามาใช้เลย จากคุณ : o;] - [ 18 ส.ค. 46 18:04:06 A:203.156.6.26 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ค่อยแน่ใจวลี misery ... นะครับ ขออนุญาตมองต่างมุมว่า น่าจะเป็นอีกความหมายคือ ..คล้ายๆกับว่า Misfortunes never come singly นะครับ หมายถึงว่า.... ความโชคร้ายไม่ได้มาเดี่ยวๆนะครับ มักจะพาเพื่อนมันมาด้วย คือ พอเวลาเราโชคร้าย.. อะไรๆก็พลอยจะดูแย่ไปหมด..นะครับ รอฟังความเห็นจากทุกท่านด้วยครับผม จากคุณ : Hannibal-Lecter-Psych - [ 18 ส.ค. 46 22:47:57 A:203.156.21.42 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 เชื่อกันว่า "ignorance is bliss" มาจากบทกลอนบทนึงของกวีชาวอังกฤษ Thomas Gray เขียนลงในหนังสือชื่อว่า Ode on a Distant Prospect of Eton College ตีพิมพ์ในปี 1742 เขาเขียนไว้ว่า Yet ah! why should they know their fate? Since sorrow never comes too late, And happiness too swiftly flies Thought would destroy their paradise. No more; where ignorance is bliss , Tis folly to be wise. จากกลอนบทนี้ก็จะเห็นได้ว่า เค้าอยากจะสื่อว่า It is better for man to be blissfully ignorant of his fate. ............. สำหรับวลีที่ว่า Misery loves company เหมือนที่ป้านวลว่ามาอะครับ เริ่มมีใช้ตั้งแต่สมัยโรมันแล้ว งานเขียนบางงานของ Sophocles และ Publilius Syrus ก็เริ่มมีนำมาใช้กันแล้ว แต่อยู่ในรูปของภาษาละติน ใช้ในรูปของภาษาอังกฤษก็ถูกบันทึกไว้ว่า ถูกใช้ครั้งแรกในหนังสือชื่อ Meditations on Passion (c.1349) และถูกรวมไว้ใน John Ray's collection of English Proverbs ในปี 1670 ถูกนำมาใช้ในอเมริกาครั้งแรกในปี 1775 ส่วนความหมายของสุภาษิตนี้ผมคิดว่าหมายถึง คนที่กำลังมีทุกข์จะรู้สึกสบายใจขึ้นถ้าได้ระบายความอัดอั้นตันใจกับเพื่อนร่วมชะตากรรมคนอื่นๆ จากคุณ : PromegaX (promegax) - [ 19 ส.ค. 46 00:01:12 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อิ อิ อิ โทษที ไม่เคลียร์ใน #2 คือที่ว่ามีเพื่อนอยู่ด้วยนั้น หมายความว่ามีเพื่อนให้เราได้ระบาย ได้ฟังความทุกข์ของเรา (ซึ่งคงทำให้เพื่อนทุกข์ร่วมไปด้วยแหละ) ไม่ใช่มานั่งเป็นเพื่อนเฉยๆ เข้าใจอย่างนี้มาตลอด หรือว่าเข้าใจผิดมาตลอด??!!! จากคุณ : o;] - [ 19 ส.ค. 46 00:03:44 A:203.156.8.156 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 อ่ะ... เจ็บอะเจ็บ ชนกะพ่อแก๊ก... จากคุณ : o;] - [ 19 ส.ค. 46 00:05:29 A:203.156.8.156 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 มาร่วมชนด้วยคน ความหมายที่คุณ H-L-P ว่านั้น ไม่น่าจะใช่นะคะ ส่วนใหญ่ถ้าจะพูดทำนองว่าผีซ้ำด้ามพลอย(เขียนถูกไหม?) ก็จะเคยได้ยินเขาพูดกันว่า Bad things come in three. Troubles come in three. ส่วนที่มาว่าทำไมต้องสามนั้น รอคุณแก๊กมาเฉลยก็แล้วกัน เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ ส่วนความหมายที่คุณนวลกับคุณแก๊กตีความเหมือนกันนั้น ก็คล้ายๆ แต่ไม่เหมือนที่ตัวเองคิดเลยทีเดียว ที่เคยได้เห็นมาประโยคนี้ มักจะใช้กันในแง่ลบนิดๆ กึ่งประชดหน่อยๆ ในความหมายที่ว่าคนที่กำลังรู้สึกแย่ หรือล้มเหลว เพราะสถานการณ์อะไรบางอย่างนั้นก็มักจะพยายามมองหาเพื่อนที่อยู่ในสภาพเดียวกัน จะได้ช่วยกันสงสารตัวเอง หรือไม่ก็จะได้รู้สึกดีขึ้นเมื่อรู้ว่ายังมีคนแย่กว่าตัวอีก เพราะฉะนั้น company ในที่นี้จะไม่ได้หมายถึงมิตรภาพสักเท่าไหร่ แต่เป็นความเห็นแก่ตัวลึกๆของคนเราที่ทำให้รู้สึกสะใจนิดหน่อย หรือสบายใจขึ้นเมื่อรู้ว่าคนอื่นก็ลำบากเหมือนกัน อย่างพวกหนังสือศาลาคนเศร้าเมื่อก่อนที่ขายดีก็เพราะอย่างนี้แหละค่ะ บรรดาคนอกหักก็ต้องไปหาเรื่องเศร้าของคนอื่นมาอ่านเพื่อตัวเองจะได้รู้สึกดีขึ้น ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงคลิกเข้าไปอ่านบอร์ดปัญหาชีวิต อย่างวันก่อน เผลอทำอะไรผิดไปหน่อย เจ้าเพื่อนตัวดีแทนที่จะทำท่าเห็นใจกลับบอกเราว่า That's good. It makes me feel better that you also made mistakes. I wasn't the only one. นี่แหละ Misery loves company. หรือเพื่อนอีกคนเห็นลูกฝรั่ง throw tantrums ลงไปดิ้นพราดๆบนพื้นในศูนย์การค้าเพราะจะเอาของเล่น เธอก็หันมายิ้มหวานกับเราแล้วบอกว่า I guess misery does love company, I am not the only one having to deal with these kinds of things. (ลูกคุณเธอก็ไม่ใช่ย่อย) อีกแบบที่เคยเห็นก็คือพวก losers นี่มักจะคบกับพวกเดียวกัน พากันแย่ไปใหญ่ ก็มีคนใช้ประโยคนี้ ว่ากระทบเหมือนกัน เอ! หรือเราคบแต่พวก sarcastic ก็ไม่รู้สินะ :-) จากคุณ : bluesky - [ 19 ส.ค. 46 03:10:20 A:24.223.203.126 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 "เอ! หรือเราคบแต่พวก sarcastic ก็ไม่รู้สินะ :-) " **** เป็นไปได้ครับ แถวนี้ก็เยอะ :-) (คนที่กำลังตอบนี่ก็ใช่ :-) จากคุณ : Pee Kay (Pee Kay) - [ 19 ส.ค. 46 10:16:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอเพิ่มเติมค่ะ รินเอาวลี misery does love company นี่มาจากคอนเสิร์ตของมาดอนน่าค่ะ (ขออภัยที่ไม่ได้ลงไว้ในกระทู้ตั้งแต่แรก) เธอพูดกับผู้ชมตอนแสดงไปสักพักนึงว่า "...Also, you may have noticed there's several cameras around. Flying around, annoying everybody." แล้วก็พูดกับช่างกล้องทั้งหลายว่า " Thank you for putting up with them. ผู้ชมก็เฮอย่างถูกใจ หันไปพูดกับผู้ชมว่า " But if they're annoying you, you can imagine how I feel. Every time I'm dripping with sweat and snot is flying out of my nose. they always zoom in for a close-up. แล้วเธอก็พูดต่อว่า Yes, misery does love company. หลังจากอ่านคำตอบของทุกท่านแล้วรินก็สรุปเอาว่า misery loves company เฉพาะในความหมายของมาดอนน่านี้ (ซึ่งอาจจะมีอีกหลายความหมายที่ใกล้ๆ กัน ดังที่ทุกท่านได้ว่ามา) หมายถึงทำนองว่าเธอคงต้องการคนเห็นใจในความหงุดหงิดรำคาญใจของเธอ เมื่อได้ระบายออกไปให้ผู้ชมรับรู้แล้วเธอก็พูดออกมาว่า " Yes, misery does love company. " อันนี้ตรงกับป้านวลกับคุณgax และน้าแอ๊ด ว่าไว้ และอีกอันนึงที่ใช่เลยก็คือยินดีที่มีเพื่อนร่วมชะตากรรม (คือร่วมกันรำคาญพวกกล้องทั้งหลายที่คอยบัง) ดังที่คุณ bluesky ว่ามาค่ะ อีกอันนึงก็น่าคิดค่ะ คือเป็นไปได้ค่ะว่าเธอพูดว่า " เวลาที่ฉันเหงื่อท่วมและขี้มูกย้อยออกมาตอนแสดง (ซึ่งก็นับว่าเลวร้ายครั้งที่ 1 แล้วนะ) พวกกล้องก็มักจะมาซูมหน้าฉันให้ผู้ชมเห็นจะๆ ซะอีก "(อันนี้เลวร้ายครั้งที่ 2) ซึ่งตรงกับที่คุณ Hannibal-Lecter-Psych ว่าโชคร้ายไม่ได้มาเดี่ยว มันจะพาเพื่อนมาด้วย คือเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แหม...ริน (คิดว่า) เห็นเสน่ห์ของภาษาเลยค่ะงานนี้ มันดิ้นได้ไม่ตายตัวจริงๆ เฮ่อ...ต้องรอให้ทุกท่านมาเฉลยถึงได้ปะติดปะต่อได้ พอได้อ่านคำตอบของทุกท่านแล้วถึงร้องอ๋อ... ก่อนหน้านี้ก็ไม่เก็ตค่ะ ส่วน Ignorance is not bliss เอามาจากที่เดียวกันค่ะ ในเนื้อเพลงเธอร้องทำนองตัดพ้อพระเจ้าว่าทำไมเพื่อนที่ดีสุดของเธอซึ่งเป็นคนแสนดี จึงได้เป็นเอดส์ตายถึง 2 คน แล้วก็ต่อว่าประชดพระเจ้าว่า " Who determines who knows best ? Ignorance is not bliss. " อันนี้รินแปลเอาเอง ถ้าแปลผิดช่วยชี้แนะด้วยค่ะ เธอต่อว่าพระเจ้าว่า " ก็ใครล่ะที่ตัดสินโทษ ใครล่ะที่รู้อยู่แก่ใจที่ทำให้เพื่อนเธอตาย " แล้วก็ต่อว่าพระเจ้าว่า Ignorance is not bliss แหม..แปลเป็นไทยไม่ออกอีกแล้ว ช่วยรบกวนแปลให้หน่อยเถอะค่ะ คือมันเหมือนจะแปลไทยออก แต่แปลไม่ออกค่ะ ขอบคุณทุกท่านค่ะ จากคุณ : ริน - [ 19 ส.ค. 46 22:42:47 A:203.113.45.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผิดแล้ว รินเอ๋ย " Who determines who knows best ? Ignorance is not bliss. " ควรจะแปลว่า "ใครล่ะเป็นผู้กำหนดว่าใครบ้างควรจะรู้เรื่อง? ตอนนี้ความไม่รู้น่ะไม่ใช่สิ่งที่ควรสบายใจนะ" ยิ่งเห็นบริบทที่รินเพิ่มมาให้นี่ค่อนข้างชัดทีเดียว โรคเอดส์น่ะมันป้องกันได้ด้วยการให้ความรู้เพื่อสร้างความตระหนักถึงภยันตรายของโรคนี้ให้กับทุกๆคนในสังคมและจะได้เข้าใจป้องกันตัวเองและคนอื่นๆในสังคมให้ไม่ติดโรค ดังนั้นคนที่ไม่รู้เรื่องก็คือคนที่งมโข่งมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อไปเรื่อยๆก็มีสิทธิ์เท่งทึงเหมือนเพื่อนเขาที่ติดเอดส์ตายไป เขาถึงตัดพ้อพระเจ้าไงล่ะว่าทำไมเลือกกำหนดให้บางคนก็รู้บางคนก็ไม่รู้ เพราะคนที่ไม่รู้เรื่องนั้นไม่สบายใจเฉิบอย่างที่คำพังเพยว่าซะแล้วเพราะมันเสี่ยงต่อการติดเอดส์ Get it? ความจริงน่าจะเรียกร้องให้คนที่ชอบโพสท์ถามโดยไม่ให้บริบทอะไรเลยมาดูกระทู้นี้นะ จะได้เข้าใจว่าการให้บริบทมาด้วยนั้นมันช่วยการแปลแค่ไหน จะได้ช่วยให้คนตอบสามารถตอบได้ด้วยความแม่นยำและมั่นใจมากขึ้น ตอนนี้ตอบบางกระทู้รู้สึกเหมือนเขากำลังขอให้เรายิงนกในม่านหมอกง่ะ มันก็โดนบ้างไม่โดนบ้างไปตามเรื่องยังกะแทงหวย คือไอ้เรื่องแปลหรือเรื่องภาษานี่บางทีมันก็ต้องใช้เวิร์บทูเดาอ่ะนะ แต่ให้เดาบ่อยๆก็ไม่สนุกเท่าไร เอ ว่าแต่เราทะลึ่งมายืนถือปืนคอยยิงนกทำไมหว่า? ยิงแล้วตัวเองก็ไม่ได้เอาไปย่างไปแกงสักตัวเดียว ปืนก็ปืนเรา กระสุนก็กระสุนเรา ดันทำหยั่งงี้มาอยู่ได้ตั้งสามปี บ้าหรือดีกันเนี่ย? จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 19 ส.ค. 46 23:23:28 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณค่ะน้าแอ๊ด เลยถือโอกาสเอาเนื้อเพลงเต็มๆ มาลงให้น้าแอ๊ดช่วยดูอีกทีค่ะ In This Life written by M. Ciccone and S. Pettibone Track 12, Time: 6:22 ------------------------- Sitting on a park bench Thinking about a friend of mine He was only 23 Gone before he had his time It came without a warning Didn't want his friends to see him cry He knew the day was dawning And I didn't have a chance to say goodbye Chorus: In this life I loved you most of all What for? 'Cause now you're gone and I have to ask myself What for? What for? Driving down the boulevard Thinking about a man I knew He was like a father to me Nothing in the world that he wouldn't do Taught me to respect myself Said that we're all made of flesh and blood Why should he be treated differently Shouldn't matter who you choose to love (chorus) Intermediate: ***People pass by and I wonder who's next Who determines, who knows best Is there a lesson I'm supposed to learn in this case Ignorance is not bliss*** (chorus) (intermediate) Have you ever watched your best friend die [what for] Have you ever watched a grown man cry [what for] Some say that life isn't fair [what for] I say that people just don't care [what for] They'd rather turn the other way [what for] And wait for this thing to go away [what for] Why do we have to pretend [what for] Some day I pray it will end I hope it's in this life I hope it's in this life time (repeat) จากคุณ : ริน - [ 19 ส.ค. 46 23:42:03 A:203.113.45.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 รินลองเสี่ยงดูอีกทีนะน้าแอ๊ด คือสงสัยว่า Ignorance is not bliss คราวนี้มันคงจะแปลได้ว่า การที่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นรายต่อไปมันไม่เรื่องที่สบายใจเลย ใช่หรือเปล่าคะ? ขอบคุณค่ะ ขออภัยน้าแอ๊ดและทุกท่านด้วยค่ะที่ไม่เอาเนื้อเพลงเต็มๆ มาลงตั้งแต่แรก เป็นเพราะตอนแรกคิดว่ามันคงไม่จำเป็น หลงคิดว่า Ignorance is not bliss มันเป็นวลีฮิต ทำให้ต้องเสียเวลามาดูบริบททีละขยัก รินสงสัยว่าแต่ละขยักจะได้คำแปลไม่เหมือนกันซะด้วย จากคุณ : ริน - [ 19 ส.ค. 46 23:57:15 A:203.113.45.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมว่าในบริบทของมาดอนนาแบบที่ยกมานี่ น่าจะเป็นอย่างคุณฮานฯว่านะครับ คือ ประมาณว่า คนยิ่งซวยๆขี้มูกไหลอยู่ มารุมถ่ายรูปอยู่ได้ (ทำให้นึกถึงรูปถ่ายของเจ๊จู จูเลีย โรเบิร์ต เมื่อหลายปีก่อน ที่กำลังทำท่าโบกไม้โบกมือ โชว์ขนจั๊กกะแร้สะฟึ่มเลยเชียว เขียนบรรยายใต้ภาพว่า "แฟชั่นใหม่") "คือสงสัยว่า Ignorance is not bliss คราวนี้มันคงจะแปลได้ว่า การที่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นรายต่อไปมันไม่เรื่องที่สบายใจเลย" ยังไม่ใช่นะครับ ให้ลองดูที่คุณแก๊กเอามาแปะให้ดูใน #4 นะครับ มันเริ่มจาก ignorance is bliss--คือ การที่คนๆนึงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ไม่รู้ชะตาตัวเอง ก็สบายใจดี  รู้มากก็ทุกข์มาก (เหมือนได้รับพรจากพระเจ้า ว่า เอ้า ไอ้คนนี้ไม่ต้องให้มันรู้มากหรอก ส่วนไอ้คนนี้เหรอ อ้ะ ให้มันรู้ซะหน่อย อ้อ คนนี้เหรอ เอา ให้มันโตขึ้นเป็นหมอดูก็แล้วกัน...อะไรอย่างนี้) ความไม่รู้ที่คุณรินยกมานี่ ไม่ได้หมายถึงว่ามาดอนน่าไม่รู้นะครับ (คือ ไม่ใช่ her ignorance) มันหมายถึงความไม่รู้ของผู้คนทั่วๆไป แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 46 00:18:42 จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 20 ส.ค. 46 00:02:45 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่ใช่สิ น่าจะเป็นอย่างคุณ gax ว่าในคห.4 มากกว่า คือ การไม่รู้ถึงชะตากรรมมันไม่ดีเอาซะเลย (ไม่สบายใจเลย) จากคุณ : ริน - [ 20 ส.ค. 46 00:11:05 A:203.113.45.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 เอา...ชนกันอีก จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 20 ส.ค. 46 00:20:30 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณค่ะคุณบูมเมอร์ จากคุณ : ริน - [ 20 ส.ค. 46 00:39:45 A:203.113.45.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 "เอ ว่าแต่เราทะลึ่งมายืนถือปืนคอยยิงนกทำไมหว่า? ยิงแล้วตัวเองก็ไม่ได้เอาไปย่างไปแกงสักตัวเดียว ปืนก็ปืนเรา กระสุนก็กระสุนเรา ดันทำหยั่งงี้มาอยู่ได้ตั้งสามปี บ้าหรือดีกันเนี่ย? " **** ไม่ทราบครับ ทราบแต่ว่า ร้องเพลงเก่ง :-) จากคุณ : Pee Kay (Pee Kay) - [ 20 ส.ค. 46 11:16:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แวะมาสวัสดีหน่อยค่ะ ช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ ภาคเหนือกทม. เป็นว่าเล่น ไม่ค่อยได้เข้าเน็ต แต่ยังคิดถึงทุกคนนะคะ จากคุณ : คิมเบอร์ลี - [ 20 ส.ค. 46 13:12:03 ]

ความคิดเห็นที่ 19 หวัดดีครับคุณคิม ยังหัวฟูอยู่เหรอครับ? จากคุณ : Pee Kay (Pee Kay) - [ 21 ส.ค. 46 06:15:32 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สงสัยจะฟูจริงๆ หายไปอีกแล้ว... จากคุณ : Pee Kay (Pee Kay) - [ 25 ส.ค. 46 16:26:02 ]