ความคิดเห็นที่ 16
อันนี้จากมติชน สุดสัปดาห์ จ้า
"ขันขื่น" พา"ช่างสำราญ" เดือนวาด พิมวนา ฝ่าคลื่น ข่าวรั่ว-ลือ-ลวง สู่ฝั่งซีไรท์ "46
"เป็นเรื่องที่เล็กแต่ใหญ่ เป็นเรื่องที่ง่ายแต่งาม เป็นเรื่องที่เจ็บปวดแต่ไม่รวดร้าว เป็นเรื่องที่ขมและขื่นแต่ไม่ขื่นขม"
เป็นคำสรุปง่ายๆ สั้นๆ กระชับของ ประภัสสร เสวิกุล นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยถึงหนังสือนวนิยาย "ช่างสำราญ" ของ เดือนวาด พิมวนา ที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรท์) ประจำปี 2546 ของประเทศไทย ซึ่งเพิ่งประกาศผลไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับหนังสือที่เข้ารอบสุดท้ายทั้ง 7 เล่ม ซึ่งปีนี้ถึงรอบของนวนิยายประกอบด้วย "ช่างสำราญ" ของ เดือนวาด พิมวนา, "ปีกแดง" ของ วินทร์ เลียววาริณ, "โพรงมะเดื่อ" ของ ประมวล ดาระดาษ, "โลกของจอม" ของ ทินกร หุตางกูร, "เสียงเพรียกจากท้องน้ำ" ของ ประทีป ชุมพล, "เสือตีตรวน" ของ บัญชา อ่อนดี และ "อ้วน" ของ ศักดิ์ชัย ลัคนาวิเชียร
พลันที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ประกาศอย่างเป็นทางการว่านวนิยาย "ช่างสำราญ" ได้รางวัลซีไรท์ หลังจาก พิบูลศักดิ์ ละครพล หนึ่งในคณะกรรมการตัดสินรอบสุดท้าย ซึ่งเป็นตัวแทนอ่านบทร่ายถึงคุณสมบัติหนังสือที่ได้รับรางวัลนี้เสร็จ
ในห้องเจ้าพระยา โรงแรมโอเรียนเต็ล ที่จัดแถลงข่าว ทั้งหมดต่างเงียบกริบ พูดตามศัพท์นวนิยายกำลังภายในก็บอกได้ว่า "เงียบจนได้ยินเสียงเข็มตก"
อาจจะเป็นเพราะสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนประกาศผลรางวัลซีไรท์ประจำปีนี้ เกจิและคอลัมนิสต์แวดวงวรรณกรรมต่างฟันธงและยืนยันอย่างแน่นอนพ้องกันทุกสำนักว่า "โลกของจอม" นวนิยายของ ทินกร หุตางกูร มาวินแน่ในปีนี้ บางสำนักย้ำอย่างแน่ชัดถึง 1,000% เลยทีเดียว บางสำนักก็ออกลูกประชดแกมตีรวนสร้างสีสันให้เกิดกระแสจับตามอง
แต่คณะกรรมการตัดสินรอบสุดท้ายเท่านั้นคือ นิตยา มาศะวิสุทธิ์ ประธาน, ประภัสสร เสวิกุล, รศ.ดร. รื่นฤทัย สัจจพันธุ์, รศ.ดร.คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์ (ว.วินิจฉัยกุล), ผศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร, นพพร ประชากุล และ พิบูลศักดิ์ ละครพล จะรู้ดีที่สุดว่า
"ความจริงคืออะไร"
และทำให้บรรดาคนที่ฟันธงหน้าม้าน หลงเต้นไปตามเกม กับข่าวรั่วข่าวลือและข่าวลวง
จะว่าโผพลิกก็อาจจะไม่พลิก เพราะในช่วงระยะแรกที่ประกาศนวนิยาย 7 เล่มที่เข้ารอบมา "ช่างสำราญ" ของ เดือนวาด พิมวนา ก็โดดเด่นมาตลอด เพียงแต่มาวูบหายไปในโค้งสุดท้าย
มาดูคำแถลงของคณะกรรมการตัดสินกัน
นิตยา มาศะวิสุทธิ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการตัดสิน บอกว่า บทร่ายคุณสมบัตินวนิยาย "ช่างสำราญ" นั้นสมบูรณ์จนกรรมการคนอื่นไม่ต้องเพิ่มเติมอีกแล้ว
"เพราะฉะนั้น ดิฉันในฐานะที่เป็นประธานกรรมการตัดสิน ขอเรียนให้ทราบว่า ความเห็นของกรรมการปีนี้เป็นเอกฉันท์ และความเห็นนั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากคุณพิบูลศักดิ์แต่อย่างใดเลย ทุกคนเห็นดีเห็นงามไปหมด แทบจะเรียกได้ว่า ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว"
นอกจากนี้ นิตยา ยังบอกว่า นวนิยาย "ช่างสำราญ" ทำให้ประหวัดหวนนึกถึงนวนิยายเรื่อง "ลูกอีสาน" ของ คำพูน บุญทวี ที่ได้รับรางวัลซีไรท์เป็นเล่มแรกด้วยในลักษณะที่พ้องกันถึง "ความขมและขื่นแต่ไม่ขื่นขม"
เมื่อมีการโยนคำถามขึ้นไปหาคณะกรรมการตัดสินว่า นวนิยายเรื่องนี้เสนอเป็นตอนๆ จบในตัวเอง ถือว่าเป็นนวนิยายหรือไม่ ? รศ.ดร.คุณหญิงวินิตา บอกว่า ตัวเองไม่ได้ติดใจว่ารูปแบบเป็นนวนิยายหรือไม่เป็น
"ดิฉันมองเห็นว่า เราอ่านเป็นตอนก็ได้ อย่างตอนที่อ่านเราเห็นขึ้นมาตอนใดตอนหนึ่ง มันจะไม่ครบถ้วนสำนวน มันต้องอ่านทั้งเล่ม เนื้อเรื่องมันจะเชื่อมโยงกันโดยตลอด จะยิ่งเห็นว่าพฤติกรรมตัวละครแบ่งออกเป็นตอนๆ ก็จริง แต่ก็มีตัวละครหลักที่แสดงบทบาท ซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติของนวนิยาย เพราะฉะนั้น มีการตั้งคำถามก็จริง แต่ทุกคนก็ลงความเห็นว่า หนังสือนวนิยายผู้เขียนมีอิสระที่จะสร้างรูปแบบของนวนิยายไม่ให้ซ้ำกับธรรมเนียมนิยมของการเขียนนวนิยายเมื่อศตวรรษที่ 19 เขาจะมีสิทธิสร้างอะไรปลีกย่อยตามความประสงค์ของเขาอย่างไรก็ได้
อย่างไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องสมมติขนาดยาวที่มีเหตุการณ์ต่อเนื่องติดต่อกัน มีการลำดับเหตุการณ์ มีตอนต้น มีการคลี่คลาย อันนี้ดิฉันเห็นว่า มันเข้ากับลักษณะของนิยาย"
ทางด้าน รศ.ดร.รื่นฤทัย นายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยฯ เดือนวาดใช้วิธีการสร้างเรื่องจากมุมมอง เหมือนกับว่าเรื่องราวไม่ได้ต่อเนื่องกันไป แต่จริงๆ ตัวละครมันจะร้อยเรื่องต่อเนื่องกันไปในประสบการณ์ของตัวละคร
"จะเป็นนวัตกรรมใหม่หรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่ว่ามันก็เป็นวิธีการเล่าเรื่องของนวนิยายที่น่าสนใจ ตรงนี้ก็เป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งที่มองเห็น
ในความชื่นชอบของ รศ.ดร.รื่นฤทัย อีกอย่างในนวนิยายเล่มนี้ เธอมองเห็นว่า เรื่องราวมันสร้างความสะเทือนอารมณ์ให้ผู้อ่านอย่างสูง ทั้งๆ ที่เรียบง่าย
"โดยมองจากมุมมองของเด็กๆ ซึ่งก็คิดแบบเด็กๆ แล้วจุดที่เด่นสำคัญก็คือ ในประเด็นที่เป็นเรื่องของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น ครอบครัวแตกแยก หรือปัญหาเรื่องความยากจน จริงๆ แล้วเป็นเรื่องแรงๆ ดิฉันมองว่า ชุมชนนี้เหมือนกับหมู่บ้านเอื้ออาทร ซึ่งไม่ใช่หมู่บ้านของรัฐบาล แต่วสะท้อนให้เห็นว่า ที่สังคมอยู่ได้ เพราะคนเรามีน้ำจิตน้ำใจเกื้อกูลเอื้ออารีต่อกัน เป็นจุดที่มองเห็นว่า เป็นข้อดีที่ผู้เขียนนั้นมีมุมมองต่อสังคม โดยมองเห็นว่า เรายังมีความหวังกับสังคม"
ผศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร มองว่า นวนิยายเล่มนี้มีลักษณะเด่นที่แตกต่างไปจากนวนิยายเล่มอื่น นำเสนอเรื่องปัญหาของสังคมเหมือนกัน แต่ว่าที่โดดเด่นประเด็นแรกคือเรื่องของมุมมอง
"ไม่ว่ามุมมองที่เปลี่ยนจากมุมสูงมาเป็นมุมซูมเข้าไปในรายละเอียดในแต่ละชีวิต จากตอนเริ่มต้นมุมมองจากมุมสูงของผู้หญิงที่อยู่บนยอดหลังคา เสร็จแล้วก็มองลงมา ถ้าเปรียบเหมือนกับการถ่ายทำภาพยนตร์ มองในลักษณะแพนลงข้างล่าง มองในลักษณะมุมกว้างในมิติของเหมือนกับเป็นพระเจ้า หลังจากนั้นมุมมองก็เหมือนกับการซูมเลนส์เข้าไปชีวิตแต่ละชีวิต เพราะฉะนั้น ที่เป็นตอนๆ มันก็เหมือนกับการแบกกล้องไปในแต่ละจุดแต่ละจุด ในแต่ละสังคม แต่เรื่องแบบนี้ก็เรียงร้อยเข้าด้วยกัน มีโครงเรื่องว่า ในท่ามกลางความยากลำบากของเด็กซึ่งพ่อแม่ทิ้งลูกไป เป็นครอบครัวแตกแยก ผู้เขียนได้นำเสนอจากมุมมองของเด็ก ซึ่งเด็กจะมีลักษณะความสนุกสนานอยู่ แม้ว่าชีวิตตัวเองจะรันทด"
ประเด็นที่โดดเด็นมากอย่างที่สอง ผศ.ดร.ตรีศิลป์ จับได้ว่าคือ เรื่องทัศนคติของผู้เขียน ที่สามารถนำเสนอเรื่องราวที่เป็นเรื่องของความทุกข์ยาก
"ปัญหาของเด็กที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับปัญหาที่เขาไม่ได้สร้างขึ้น แต่ผู้เขียนใช้ทัศนคติที่ว่า โลกนี้ช่างสำราญ มีความเอื้ออาทรกัน โลกไม่ได้ดำมืด ไม่ได้สิ้นหวัง ทำให้เราสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในโลกนี้ มีความหวังที่จะอยู่ต่อไป แม้ว่าจะเผชิญกับปัญหาที่เรายังแก้ไม่ตกก็ตาม"
ประเด็นสุดท้าย ซึ่งเป็นประเด็นที่สามที่โดดเด่นออกมา ผศ.ดร.ตรีศิลป์ ชี้ว่า เพราะผู้เขียนเข้าใจที่จะแทรกประเด็นอารมณ์ขัน ในแต่ละตอนที่เป็นเรื่องความขมขื่นของชีวิต
"ทำให้เกิดการตีความได้หลากหลาย ผู้เขียนเข้าใจที่จะสร้างสัญลักษณ์เข้าใจที่จะใช้กลวิธีเทคนิค โดยพยายามจะคิดเป็นมุมมองของเด็ก ซึ่งทำให้เกิดอารมณ์ขัน อยากจะเรียกว่า เป็นความขันขื่น ดิฉันคิดว่าผู้เขียนฉลาดที่ทำให้เรื่องที่เครียด เรื่องที่เป็นปัญหาของพื้นฐานของสังคมไทย แต่ผู้เขียนนำเสนอให้ไม่ทำให้รู้สึกว่า โลกนี้ไร้ความหวัง โลกของผู้เขียนยังเป็นโลกที่น่ารื่นรมย์ เพราะในมุมของความทุกข์ยากยังมีมิติของความสนุกสนานอยู่ ถ้าเราไม่ขึงตึงเกินไป เหมือนคำของพุทธศาสนาที่บอกว่า เดินทางสายกลาง แต่ผู้เขียนไม่ได้วางตัวเป็นนักเทศนาโวหารที่จะบอกว่า คนอ่านควรจะคิดอย่างไร ทำอย่างไร ผู้เขียนปล่อยให้ตัวละครเล่าเรื่องราวนั้นให้โลดแล่นมาเป็นเรื่องราว มันมีการร้อยต่อเข้าด้วยกัน
เพราะฉะนั้น ชื่อเรื่องก็เข้ากับโลกทรรศน์ ทัศนคติ แทรกโวหารเข้าไป ช่างสำราญก็เหมือนกับในที่สุดแล้วโลกนี้น่าอยู่ แม้ว่าจะเจอกับปัญหาที่หนักหนาสาหัสก็ตาม ถ้าเราช่วยกัน นั่นคือลักษณะพิเศษของสังคมไทยเรื่องราวที่เป็นปัญหา เพื่อนบ้านก็ช่วยกันได้คนละไม้คนละมือ เรื่องที่เป็นปัญหาสาหัส มันอาจจะลดน้อย และทำให้รู้สึกว่า โลกนี้มันน่าอยู่กันต่อไปได้ ไม่ถึงโลกนี้ไร้ความหวัง"
ทางด้านนักวิชาการและวิจารณ์วรรณกรรมโพสต์โมเดิร์นอย่าง นพพร ประชากุล บอกว่า จุดที่เขาชอบมากที่สุดคือ นวนิยายเล่มนี้มีวิธีการเล่าเรื่องให้อิสระกับผู้อ่านค่อนข้างมาก
"ทุกสิ่งทุกอย่างที่เล่าในนวนิยายเรื่องนี้จะเล่นกันที่ระดับของพื้นผิวของปรากฏการณ์แต่เพียงอย่างเดียว ไม่มีการเจาะลึกลงไปที่สาเหตุ แต่ว่าขณะที่เรื่องดำเนินไปบนพื้นผิวอย่างเดียว เขาก็เปิดช่องหรือว่าชี้ช่องแล้วก็แนะนัยให้ผู้อ่านคิดต่อ คือให้ผู้อ่านลงลึกด้วยตัวเองถ้าต้องการ มันเป็นอารมณ์ขันขื่น แต่สามารถคิดต่อไปได้เองโดยไม่ต้องอธิบายว่า ตรงนี้เป็นปัญหาสังคมของประเทศไทย"
ปีนี้ซีไรท์ก็ผ่านพ้นไปอีก 1 ปี แม้จะเป็นวงจรอันรื่นรมย์หรือขมขื่นให้กับ นักเขียน นักอ่าน นักวิจารณ์ นักวิชาการ ในวงการวรรณกรรมไทยก็ตาม แต่ 25 ปีซีไรท์ เศษหนึ่งส่วนสี่ศตวรรษที่ผ่านมาก็สะท้อนภาพต่างๆ ของมันเองที่ดำเนินไปอย่างไม่หยุดหย่อน
และจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างแน่นอน
ข้อสังเกตซีไรท์ 2546
ปีนี้เป็นปีแรกที่ไม่มีคำประกาศเกียรติคุณของหนังสือที่ได้รับรางวัลซีไรท์
แต่เป็นบทร่ายคุณสมบัติของหนังสือที่ได้รางวัลแทน
พร้อมกันนั้นไม่มีลายเซ็นรับรองจากคณะกรรมการตัดสินทั้ง 7 คนที่เซ็นเป็นธรรมเนียมแบบทุกปีที่ผ่านมา
รวมถึงแผ่นกระดาษบทร่ายคุณสมบัติที่นำมาแจกสื่อมวลชน ไม่มีหัวประทับตรารางวัลซีไรท์มาด้วย
หน้า 87
จากคุณ :
แอน
- [
31 ส.ค. 46 01:09:13
]
|
|
|