ความคิดเห็นที่ 6
พอดีย้อนไปตรวจสอบของเก่า เลยได้มาอีก จากแหล่งเดิม http://www.geocities.com/thaibooks_100/searching.html ดังนี้ (ขอบคุณคุณหนอนและคุณชัยครับ)
หนังสือประเภทการเมือง, ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย,เศรษฐศาสตร์ ทรัพยศาสตร์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๕๔ โดยโรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ พิมพ์ครั้งที่สอง ประมาณ พ.ศ.๒๔๗๔ โดย ดร.ทองเปลว ชลภูมิ พิมพ์ครั้งที่สาม พ.ศ.๒๕๑๘ โดยสำนักพิมพ์พิฆเณศ เล่ม ๓ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๔๗๗ พิมพ์ครั้งที่สอง พ.ศ.๒๕๑๙
พระยาสุริยานุวัตร (พ.ศ.๒๔๐๕ - ๒๔๗๙) --------------------------------------------------------------------------- ทรัพยศาสตร์ ประกอบด้วยหนังสือ ๓ เล่ม พระยาสุริยานุวัตร (ผู้เขียน) เขียนขึ้นเพื่อเป็นตำราเศรษฐศาสตร์ มีลักษณะนำเสนอแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์และอธิบายถึงระบบเศรษฐกิจในประเทศตะวันตกในสมัยนั้น ขณะเดียวกันก็นำเอาแนวคิดและกลไกระบบเศรษฐกิจแบบตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับสังคมไทย โดยไม่ลืมรากฐานที่ไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวนายากจน ผู้เขียนได้ใฝ่ฝันที่จะเห็นประเทศไทยพัฒนาไปสู่ประเทศที่มั่งคั่ง เข้มแข็ง เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง และมีความเป็นธรรมในสังคม ทรัพยศาสตร์ เล่ม ๑ มี ๒ ภาค ภาคที่ ๑ การสร้างทรัพย์และ ภาคที่ ๒ การแบ่งปันทรัพย์
เนื้อหาวิชาเป็นการถ่ายทอดแนวคิดเศรษฐศาสตร์แบบคลาสิกของ อดัม สมิธ และเดวิด ริคาร์โต เป็นหลัก ชี้ให้เห็นกลไกทางเศรษฐกิจในระบบตลาด การสะสมทุน การลงทุน การสร้างมูลค่าเพิ่มของทุน การแบ่งงานกันทำในสังคม กรรมสิทธิ์ ปัจจัยการผลิต สมาคมคนงานและการนัดหยุดงาน สหกรณ์ ความสำคัญของการศึกษา และการออม ท่านไม่ได้นำทฤษฏีตะวันตกมาเสนอต่อสังคมไทยเท่านั้น หากยังแสดงปรารถนาที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยเติบโตและเข้มแข็งขึ้นด้วย ท่านได้ชี้ปัญหาความยากจนของชาวนาไทย อันเกิดจากการขาดทุนรอน ขาดกรรมสิทธิ์ในที่ดิน มีหนี้สินภายใต้ระบบดอกเบี้ยสูง ทั้งยังขาดความรู้ในศิลปวิทยการสมัยใหม่อย่างตรงไปตรงมา
ท่านให้ความสำคัญกับชาวนามาก โดยเห็นว่า "ความเจริญของกรุงสยามต้องอาศัยการทำนาเป็นส่วนใหญ่กว่าอย่างอื่น...จะเจริญเร็วและช้าก็สุดแต่ประโยชน์ที่ชาวนาจะได้มากและน้อยเป็นสำคัญ" แต่ท่านเห็นว่าชนชั้นกลางจะเป็นกลุ่มที่สามารถสะสมทุนได้ เพราะชนชั้นสูงแม้มีรายได้มากก็มักใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยไม่สนใจทำงาน ส่วนชนชั้นล่างยากจนมากชักหน้าไม่ถึงหลัง ด้วยความเห็นใจชนชั้นล่าง ท่านจึงเห็นด้วยกับการจัดตั้งสมาคมคนงาน และการรวมตัวนัดหยุดงานที่ดำเนินไปอย่างมีเหตุผลและไม่ละเมิดผู้อื่น เห็นผลเสียของการแข่งขันและความขัดแย้ง และเห็นว่าวิธีการแบบสหกรณ์จะเป็นวิธีลดทอนความขัดแย้งระหว่างนายทุนกับแรงงานลงได้ แต่ท่านไม่เห็นด้วยกับการล้มเลิกกรรมสิทธิ์เอกชน เพราะจะทำให้คนเฉื่อยชาท้อถอยในการงานได้
ทรัพยศาสตร์ เล่ม ๒ เป็นส่วนของภาคที่ ๓ การแลกเปลี่ยน
เนื้อหาในส่วนนี้ ท่านได้ชี้ให้เห็นความสำคัญของการแลกเปลี่ยนค้าขาย อธิบายให้เห็นกลไกตลาด การค้าและการเงินอย่างละเอียด ท่านเห็นว่ารัฐบาลมีหน้าที่ป้องกัน ทั้งเขตแดนและผลประโยชน์ทางการค้าของพลเมือง "ป้องกันกสิกรรม หัตถกรรม และพาณิชยกรรมของพลเมืองไม่ให้เสื่อมทรามลงเพราะการประมูลแก่งแย่งของนานาประเทศ... ยังจะต้องคิดต่อไปอีกชั้นหนึ่งว่า จะช่วยบำรุงอุดหนุนอย่างไร อำนาจและกำลังของพลเมืองที่จะทำประโยชน์ขึ้นได้นั้นจะแข็งแรงพอที่จะต่อสู้อำนาจเช่นเดียวกันของนานาประเทศได้"
ท่านเสนอให้รัฐบาลตั้งกำแพงภาษีเพื่อปกป้องหัตถกรรมในประเทศไทย โดยเห็นว่าในระยะแรกต้องปกป้อง ต่อเมื่อหัตถกรรมและอุตสาหกรรมในประเทศเกิดขึ้นมาพอ ก็จะเกิดความชำนาญและแข่งขันกันจนลดราคาลงมาพอที่จะส่งออกไปขายแข่งกับนานาประเทศได้ ในภาวะที่ประเทศและประชาชนยังขาดเงินทุน ท่านเห็นด้วยกับการกู้ยืมเงินเพื่อการลงทุนทั้งของรัฐและเอกชน ทั้งยังเห็นว่ารัฐควรมีหน้าที่จัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับชาวนาด้วย
ทรัพยศาสตร์ เล่ม ๓ แบ่งเป็น ๒ ภาค ภาคที่ ๑ ว่าด้วย การค้าระหว่างประเทศ และภาคที่ ๒ ว่าด้วยการคลัง ลำดับหมวดเป็นการเรียงต่อจาก ๒ เล่มแรก
เนื้อหาในภาคแรก เป็นการฟื้นประวัติศาสตร์ด้านการค้าทางทะเลของไทยในสมัยโบราณ เพื่อชี้ว่าประเทศไทยเคยรุ่งเรืองจากการค้าทางทะเลมาก่อน โดยรัฐเป็นผู้นำการค้าทางทะเล และยังชี้ว่าในภาวะที่ต่างประเทศและการเดินเรือพาณิชย์ถูกครอบงำด้วยทุนต่างชาตินั้น "ถ้ารัฐบาลไม่นำหน้าและเป็นตัวค้าเองก่อน การค้าต่างประเทศคงจะไม่กลับมาอยู่ในมือของชาติไทยอีกเป็นแน่"
เนื้อหาในภาคที่ ๒ เป็นการอธิบายเกี่ยวกับการเงินแผ่นดิน ที่มาของเงินได้ การจัดสรรงบประมาณ และการใช้นโยายการคลังเป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้ ลดช่องว่างทางสังคม เนื้อหาบางส่วนวิจารณ์การคลังในยุคสมบูรณาญาสิทธิรายย์ ว่าใช้จ่ายเงินในส่วนราชสำนักมาก และชี้ว่าที่มาของเงินได้แผ่นดินมาจาก คนยากจน เห็นว่าควร "เลิกการเก็บรัชชูปการเสียทีเดียวจะดีกว่าที่จะปล่อยให้ความไม่เป็นธรรมตกอยู่แก่ราษฎร" ท่านเห็นว่าควรเปลี่ยนโครงสร้างภาษี หันไปเก็บภาษีตามฐานรายได้และควรเก็บภาษีทรัพย์สินจากคนมั่งมีแทนเพื่อ "ชักทุนของคนมั่งมีไปเสริมแก่คนยากจน" ในเล่ม ๓ นี้ ท่านยังได้ย้ำเน้นประเด็นการตั้งกำแพงภาษี ที่ท่านเคยเขียนไว้ในเล่ม ๒ อีกว่า "ในสมัยปัจจุบันนี้ ต่างประเทศต่างชาติก็พยายามตั้งพิกัดอัตราภาษีสินค้าเข้าเมือง โดยเหตุที่จะบำรุงการกสิกรรม หัตถกรรม และอุตสาหกรรมให้ก่อสร้างตั้งตัวดำรงอยู่และเจริญยิ่งขึ้นได้ โดยเหตุที่จะมิให้คนต่างด้าวส่งสินค้าทับถมเข้ามาขายแข่งราคาทำลายกสิกรรม และอุตสาหกรรมที่ทำกันอยู่"
จากคุณ :
สุธน หิญ
- [
2 ก.ย. 46 17:13:14
A:203.144.143.250 X:203.118.101.178
]
|
|
|