ความคิดเห็นที่ 1 ผมเจอคำถามนี้ค่อนข้างบ่อยทั้งในจอและนอกจอ วันนี้ขออนุญาตตอบยาวๆเลยละกันวันหลังเจอคนถามอีก ผมจะได้ refer กลับมาให้อ่านที่นี่ได้ ................... Semicolon มีการใช้หลักๆอยู่ 2 อย่าง คือ 1 To separate indepedent parts of a sentence (ต้องขออภัยที่ต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษเพราะไม่แน่ใจว่าเขียนไทยออกมาจะตรงกับที่ต้องการสื่อหรือเปล่านะครับ) 2. to separate elements of a series when some of the elements already contain commas. อยากจะเน้นว่า semicolon มันก็มีหน้าที่สำคัญที่ comma ทำไม่ได้นะครับ ก็เหมือนที่บอกไว้ไง มันทำหน้าที่ทั้ง เชื่อม (connect) ทั้ง แยก (separate) หลักข้อที่ 1 ใช้ semicolon กั้นระหว่าง independent clause ที่ไม่ได้เชื่อมด้วย and, but , or หรือ conjunction ตัวอื่นๆ ลองดูตัวอย่างประโยคนะครับ It's an unusual problem, no one knows much about it. ประโยคข้างบนเป็นตัวอย่างการใช้ comma ที่ผิด หลักมีอยู่ว่า comma is not a connector; it is a separator. ในประโยคข้างบนเราจำเป็นต้องใช้ ; กลายเป็น It's an unusual problem; no one knows much about it. ถ้าเราอยากจะใช้ comma เราจำเป็นต้องใส่ conjunction ลงไป เช่น It's an unusual problem, and no one knows much about it. หลักข้อนี้มีข้อยกเว้นเหมือนกัน คือ ถ้าเราต้องการเน้นความแตกต่างของสองประโยค เราใช้ comma ดีกว่า เช่น The problem was simple,[ละ but ไว้] the solution was difficult. หรือ The problem was simple, the solution difficult. ลักษณะอย่างประโยคที่สองซึ่งเป็นการละก็สามารถทำได้ ข้อยกเว้นอีกอย่างนึงก็คือ ในกรณีที่พูดถึงเหตุการที่เป็น series ประโยคแต่ละประโยคที่ต่อๆกันเป็น series นั้น ใช้ comma ได้ เช่น Jane couldn't vote because she was out of town, Jim couldn't vote because he was sick, Ben couldn't vote because he didn't know it was election day. Only 50 percent of the electorate turned out. อ่านต่อข้างล่างนะครับ จากคุณ : PromegaX (promegax) - [ 21 ก.ย. 46 01:09:48 ]

ความคิดเห็นที่ 2 หลักข้อที่ 2 ใช้ semicolon แยก independent clause ที่ถูกเชื่อมด้วย however, thus, therefore, nevertheless และ conjunction ตัวอื่นๆที่แสดงการเน้นคล้ายๆกัน พิจารณาสองประโยคข้างล่างนี้นะครับ The problem is difficult, however, we will solve it. หรือ The problem is difficult, therefore we couldn't solve it. ในสองประโยคข้างบนเครื่องหมาย comma หลัง difficult ควรเปลี่ยนเป็น semicolon สาเหตุมีอยู่ว่า emphatic conjunctions อย่างพวก however กับ therefore มันไม่ใช่สันธานแท้ๆ จริงๆแล้วมันเป็น adverb กลายพันธุ์มาเป็นสันธาน คือเวลามันทำหน้าที่นำเสนอประโยคมันเลยถูกมองว่าเป็นสันธาน นักไวยากรณ์เลยเรียกพวกมันว่า conjunctive adverbs ทั้งนี้ทั้งนั้น มันจึงไม่หมดสภาพการเป็น adverb และไม่ได้รับคุณสมบัติของสันธานมาเต็มตัวเช่นกัน ดังนั้นการใช้ comma กับคำเหล่านี้ก็ถือว่าผิดหลักข้อที่ 1 ข้างบน เพราะว่าประโยคไม่ได้ถูกเชื่อมด้วย true conjunction conjunctive adverbs แทบทุกตัว ยกเว้น however ตัวเดียว สามารถนำ true conjunction มานำหน้าได้ ซึ่งกรณีนี้ใช้กับ comma ได้ เช่น The problem is difficult, and therefore we couldn't solve it. หลักข้อที่ 3 ใช้ semicolon ในการแยกส่วนของ series ในประโยค ในกรณีที่ส่วนนั้นๆใช้ comma ไปแล้ว พิจารณาประโยคนี้นะครับ The committee included Smith, Jones, and Brown. อันนี้ตรงไปตรงมา ไม่มีความจำเป็นต้องเอา semicolon มาใช้ ถ้าเราเขียนว่า The committee included Smith, the treasurer; Jones, the production supervisor; and Brown, the security officer. เราจำเป็นต้องใช้ semicolon มาแยกแต่ละคนออกจากกัน ถ้าขืนใช้ comma มีหวังจะแปลความหมายผิดว่าคนเข้าประชุมจะมีมากกว่า 3 คน ตัวอย่างข้างบนที่ผมให้มา มี stylebook บางเล่มเช่น The New York Times Manual of Style and Usage บอกว่า ควรใช้ comma วางไว้หน้่า and แทนที่จะใช้ semicolon ดังนั้นประโยคจะกลายเป็น The committee included Smith, the treasurer; Jones, the production supervisor, and Brown, the security officer. จะใช้แบบไหนในกรณีของ and ก็ถูกทั้งคู่แหล่ะครับมันเป็น style ที่แตกต่างกันไปครับผม จากคุณ : PromegaX (promegax) - [ 21 ก.ย. 46 01:34:59 ]

ความคิดเห็นที่ 3 "คำพ้อง" หรือ "ศัพท์คำพ้อง" จากคุณ : jelusalem - [ 21 ก.ย. 46 17:02:08 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณนะคุณ PromegaX ที่เอามาแปะไว้ เพราะตัวเองใช้มั่วมาตลอด คือจริงๆแล้วไม่เคยสนใจเรื่องภาษาอังกฤษเหมือนที่คุณสนใจเรียนจนแตกฉาน ทีนี้พอมาทำงานแปลทีแรกอยากแปลอังกฤษเป็นไทยให้สำนักพิมพ์ หลงคิดว่าคงไม่ต้องเรียนเขียนภาษาอังกฤษมากนัก แต่พอหางานแปลหนังสือเป็นเล่มไม่ได้ ต้องจำใจแปลเอกสาร ส่วนใหญ่จะโดนให้แปลไทยเป็นอังกฤษ เวลาเขียนภาษาอังกฤษ ตัวเองก็โดนงานเร่งมากจน "พลิกตำราไม่ทัน" ไอ้ครั้นจะหยุดอ่านตำรา เพื่อปรับปรุงการเขียนของตัวเองก้อพอหยุดอ่าน เงินก็ไม่พอใช้ ถ้าแปลไปเรื่อยๆเงินพอใช้แต่ภาษาอังกฤษของตัวเองก้อแย่ลงทุกวันทุกวัน เลยทุกวันนี้ต้องพยายามหางานอื่นทำ ที่ไม่ใช่แปลเอกสาร เพื่อให้ภาษาอังกฤษของตัวเองดีขึ้น ถ้าเปลี่ยนเป็นแปลหนังสืออังกฤษเป็นไทยเป็นเล่มๆได้ภาษาอังกฤษเราก้อคงดีขึ้น แต่ก้อยังวิ่งสมัครงานอยู่เนี่ย ....555... จริงๆแล้วในการแปลอังกฤษเป็นไทย ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ (in extreme cases) กลายเป็นจำเป็น เช่นเมื่อแปลเอกสารกฎหมายที่ซับซ้อนจากอังกฤษเป็นไทย ถ้าใครมีทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ จะสามารถ paraphase English passage ที่อยู่ข้างหน้าให้มันมี word order ที่แปลเป็นไทยได้ง่ายขึ้น..... แต่เมื่อเห็นคุณพูดเรื่อง comma กับ semicolon ทนไม่ไหวต้องฝืนใจพลิกตำราเรียนเองบ้าง คือที่คาใช้มานานแล้วเป็นเรื่อง comma ที่อยู่หน้า who, which หรือ that มันมีหรือไม่มีก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับว่าเป็น restrictive หรือ non-restrictive แต่ที่งงมากๆก้อคือว่า เวลาใช้ Word for Windows พิมพ์งาน ถ้าเราไม่ใส่ comma หน้า who หรือwhich โปรแกรมมันจะฟ้องว่าเราทำผิดกฎ (แต่รู้สึกว่าถ้าไม่ใส่ comma หน้า that โปรแกรมมันจะไม่ว่าอะไร) ทั้งนี้ โดยไม่คำนึงถึงว่ามันเป็น restrictive หรือ non-restrictive..... ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหม่ว่า ทำไมโปรแกรมมันบังคับว่าต้องใส่ comma ทุกครั้งไป ....หรือว่ามันเป็น modern American English ที่เราไม่รู้.....หรือว่าโปรแกรมมันเพี้ยน....ตอบหน่อยให้หายส่งกาสัยจาด้ายหมาย.....ที่ถามเนี่ยไม่รู้จริงๆนะ ไม่ใช่ลองภูมิ.. เออเมื่อกี้ลองพิมพ์ดูใหม่ ถ้าเป็นประโยคสั้นๆ ไม่ใส่ comma โปรแกรมมันก็ไม่ว่าอะไรง่ะ งงแฮะ... จากคุณ : drunken immortal - [ 21 ก.ย. 46 20:24:45 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตอบคุณ Drunken Immortal ครับ (ขอใช้ชื่อนี้ละกันนะครับ) ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าผมไม่สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมโปรแกรม Word ถึงเป็นแบบนั้น แต่ถ้าถามความเห็นของผมผมคิดว่าเป็นเรื่องของ consistency ครับ เรื่องของ that vs which เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมานาน นานมากจนกระทั่งข้อสรุปมีหลากหลาย และเนื่องจากข้อสรุปที่มีหลากหลายทำให้งานเขียนออกมาจากแต่ละสำนักขาด consistency ไปโดยปริยาย คือว่า Which จะให้ใช้ในการนำเสนอ parathetical construction ซึ่งก็หมายความว่า ใช้ได้ก็ต่อเมื่อมี comma มาวางไว้ข้างหน้า เช่น I'm returning this book, which I enjoyed. That จะให้ใช้ในการนำเสนอ defining construction คือใช้โดยไม่มี comma มาวางไว้ข้างหน้า เช่น I'm returning a book that you lent me. แต่ทีนี้กฏที่ว่ามานี้ไม่ใช่กฏเหล็กซะด้วย เพราะว่า which มีคนนำมาใช้ทั้งสองกรณีเลย เช่น I'm returning this book, which you lent me. I'm returning a book which you lent me. ทั้งสองประโยคข้างบนถูกทั้งคู่ครับ การใช้ comma ซึ่งต้องใช้ตาม construction แต่ไม่ได้ตาม relative pronoun เลยสับสนปนเปกันไปหมด ทีนี้จะให้โปรแกรม Word มาดูความหมายว่ามันเป็น parenthetical หรือ defining มันก็คงทำไม่ได้ ผมว่านะ ผมคิดว่าการตั้ง strict distinction ระหว่าง that กับ which ตามหลักการที่ว่าไว้ข้างบน นอกจากจะทำให้เกิด consistency แล้ว ยังทำให้การใช้ pronoun ไม่สับสน และ กาีรสื่อสารไม่คลุมเคลือช่วยให้คนอ่านง่ายขึ้นด้วย บางคนพอทราบว่า which สามารถใช้ใน defining construction ได้ พี่แกเล่นเขียนบ่อยจนประโยคดูไม่สวยไปเลย เช่น The books which last are those which reflect the cultures which produce them. ผมว่าถ้าใช้ that ตามกฏแทน which ในประโยคนี้จะดีกว่านะ เอ่อเขียนมาตั้งนาน ไม่ทราบว่าตอบคำถามหรือเปล่าก็ไม่รู้นะเนี่ย เหอะๆ จากคุณ : PromegaX (promegax) - [ 22 ก.ย. 46 01:18:59 ]

ความคิดเห็นที่ 6 โปรแกรมมันจะ assume ว่าเราใช้ which ขยายนามตัวหน้าครับ จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 22 ก.ย. 46 11:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 7 He has a brother who is a doctor. He has a brother, who is a doctor. ไอ้ 2 ประโยคบนเนี้ยความหมายไม่เหมือนกัน ลองพิมพ์ใน Word มันยอมรับทั้ง 2 ประโยคแฮะ ลองพิมพ์แบบข้างล่างอีก 2 ประโยคเข้าไป Word มันก้อยอมรับทั้ง 2 ประโยคอีกน่ะแหละ Jack Cassidy, who came to see me this morning, owns a nightclub in Las Vegas. The Jack Cassidy who came to see me this morning owns a nightclub in Las Vegas. article แต่บางประโยค (เรายังจับจุดไม่ได้ว่าแบบไหน แต่เจอบ่อย) Word มัน เสนอว่าต้องมี comma ลูกเดียว อีทีนี้ก้อเลยงง ว่ามันจะเอายังไงกับเรากันแน่ แฮ่ๆๆๆๆๆ ..??? เราก้อเลยมั่วตามแบบฉบับที่เคยได้ยินครูฝรั่งคนหนึ่งตอบคำถามนักเรียนไทย นักเรียนถามว่า “เมื่อไหร่จะใช้ a, an, the หรือไม่ใส่ article เลย” ฝรั่งมันตอบว่า “อันไหนฟังดูดีก้อเอาอันนั้นน่ะแหละ” เหอๆๆๆๆๆ จากคุณ : drunken immortal - [ 22 ก.ย. 46 13:10:35 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 The Jack Cassidy who came to see me this morning owns a nightclub in Las Vegas. มีแค่นี้นะ ไม่มีคำว่า article ตามมา หลังประโยค เมื่อกี้จับวางแล้วมันแยกชิ้นส่วนไป จากคุณ : drunken immortal - [ 22 ก.ย. 46 13:12:53 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอถามคุณ promegaX หรือท่านผู้รู้ท่านอื่นก็ได้นะครับ เมื่อวันก่อน พอดีได้ไปอ่านบทเรียนสอนแปลในบางกอกโพสต์จากhttp://bangkokpost.net/education/site2003/trse1603.htm "The Shanghai Museum has paid $4.5 million (186 million baht) to retrieve a calligraphic collection which experts termed the most significant event in cultural relics preservation since communist China was founded in 1949." ตอนแรกอ่านแล้วลองแปลในใจเล่น ๆ ดู ก็งงนิดหน่อย เพราะไปคิดว่า which แทน collection ตามที่เรียนมา ถ้า which แทนข้อความข้างหน้าทั้งหมดอย่างนี้ ต้องมี comma หน้า which ไม่ใช่หรือครับ หรือว่าจริง ๆ แล้วไม่มีก็ได้ จากคุณ : tidtee_1 - [ 22 ก.ย. 46 18:46:01 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ประโยคใน คคห9 เราไม่แน่ใจ แต่จะเดาโดยการนำไปเปรียบเทียบกับประโยคง่ายๆใน คคห7 ของเราคือ He has a brother who is a doctor. He has a brother, who is a doctor. อันแรกน่ะ is a doctor เป็นส่วนขยายที่สำคัญ เนื่องจาก He มี brothers หลายคน แต่เขาต้องการพูดถึง brother คนที่เป็นหมอเท่านั้น อันที่สองน่ะ is a doctor เป็นส่วนขยายที่ไม่ค่อยสำคัญ เพียงแค่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเท่านั้น เพราะว่า He มี brother เพียงแค่คนเดียว แต่เอา is a doctor มาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า brother คนเดียวของเขานั้นเป็นหมอ ส่วนใน คคห 9 เราคิดว่าไม่มี comma ที่หน้า which นั่นถูกแล้ว เนื่องจากว่า Museum น่ะจริงๆแล้วคงโดยธรรมดาแล้วต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้ของมาอยู่บ่อยๆ คือมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ นับตั้งแต่จัดตั้งจีนคอมมิวนิสต์ขึ้นมา และผู้เขียนต้องการกำหนดตายตัวลงไปเลยว่า ในคราวนี้เป็น "การจ่ายเงินเพื่อให้ได้มา" ซึ่งเป็นครั้งที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายเห็นว่า "เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุด".... ในทางกลับกัน ถ้าไปใส่ comma หน้า which ก็คล้ายๆจะไปบอกว่า "ตั้งแต่จัดตั้งจีนคอมมิวนิสต์มานั้น มีการจ่ายเงินเพื่อให้ได้ของมาเพียงแค่ครั้งเดียว" ไม่รู้ถูกหรือเปล่านะ ลองให้ผู้เชี่ยวชาญมาแสดงความคิดเห็นดูซิ จากคุณ : drunken immortal - [ 23 ก.ย. 46 07:26:17 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตอบคุณ tidtee_1 ครับ ที่คุณเข้าใจถูกต้องแล้วหล่ะครับ ที่คุณถามมาเป็นเรื่องของ The broad-reference clause ซึ่งก็คือประโยคที่คุณถามมานั่นแหล่ะครับ คือ แทนที่ which จะแทนคำนามคำใดคำหนึ่ง แต่มันจะแทน idea of the main clause คือ ประโยคประเภท broad-reference clause จะใช้กับ which เท่านั้น จะไม่มีการใช้กับ who หรือ that และที่สำคัญโครงสร้างของประโยคจะเป็น nonrestrictive เสมอ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ข้างหน้า which จำเป็นต้องมี comma ครับ ดังนั้นประโยคที่คุณถามมาจึงน่าจะมี comma วางไว้หน้า which ครับผม จากคุณ : PromegaX (promegax) - [ 23 ก.ย. 46 10:50:37 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อ้าวเป็นงั้นไปเหรอคุณ PromegaX โหทำไมมันยุ่งจริงภาษาอังกฤษนี่ มันมีกฎข้อปลีกย่อยเยอะจริง สงสัยรีบๆเรียนภาษาจีนกลางดีกว่า ปวดหัวจริงๆภาษาอังกฤษเนี่ย จากคุณ : drunken immortal - [ 23 ก.ย. 46 11:30:10 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 อ๋อนึกออกแล้ว... มันเป็นกฎอันนี้ใช่ใหม คุณ PromegaX คือประโยคใน คคห9 น่ะ clause ที่ตามมา มันไม่ใช่อ้างอิงถึง noun แต่มันอ้างอิงถึงประโยคทั้งประโยคที่อยู่ข้างหน้า ดังนั้นเมื่อใช้ which ต้องมี comma อยู่ข้างหน้าเสมอ เช่น 2 ประโยคนี้ He told me a joke that made me laugh. อันนี้ that อ้างอิงถึง noun ตัวเดียวคือ joke และ "joke" คือสิ่งที่ทำให้ฉันหัวเราะ แต่ He broke my glass, which upset me. อันนี้ which อ้างอิงถึงทั้งประโยคที่อยู่ข้างหน้า (ซึ่งเป็น antecedent ของ clause ที่ตามมา) และ "การกระทำ" เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันไม่พอใจ ดังนั้นจึงต้องมี comma อยู่หน้า which เสมอ..... โหดีนะที่ คุณ PromegaX อธิบายให้ จนทำให้ตัวเราเองชักจะอยากเริ่มเรียนไวยากรณ์ซะแล้วซี ....ขอบคุณมากๆ ....เราจะเรียนไปก๊งไป.....555.... จากคุณ : drunken immortal - [ 23 ก.ย. 46 12:23:56 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณครับคุณ promegax, คุณ drunken จากคุณ : tidtee_1 (tidtee_1) - [ 26 ก.ย. 46 18:17:34 ]