ความคิดเห็นที่ 1 ไม่รู้สิครับ อย่างผมไม่ได้จบการแปลหรือภาษามา แต่ถ้าแปลด้านที่ตัวเองจบมา เช่น เศรษฐศาสตร์ หรือ การระหว่างประเทศ ก็แปลได้นะ ส่วนใหญ่ได้พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ในบอร์ดนี้ล่ะครับ ที่ใจดีชอบช่วยเหลือกัน จากคุณ : เอย์ - [ 9 ต.ค. 46 14:05:04 A:203.107.160.90 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 แล้วหางานแปลที่ง่ายๆ อย่างนั้นได้ที่ไหนหรือคะ คือตอนนี้ทำงานแปลอยู่ เป็นอาชีพค่ะ แต่อยากได้งานเสริมด้วย เพราะเงินเดือนไม่พอ รบกวนช่วยบอกด้วยนะคะ จากคุณ : kate - [ 9 ต.ค. 46 14:24:59 A:203.144.143.250 X:203.118.102.242 ]

ความคิดเห็นที่ 3 นักแปลอาชีพที่เห็นที่นี่ ก็ไม่ได้จบทางด้านภาษาหรือการแปลมานะครับ เท่าที่ผมเห็น (ถ้าจำไม่ผิด อาจจะยกเว้นป้านวล) แต่ที่ทำๆกันก็เพราะใจรักนะครับ (และก็เพราะเงิน 5555 อันนี้ของตายอยู่แล้ว) โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่าการทำอาชีพเสริม น่าจะเป็นสิ่งที่ตัวเองรัก ทำแล้วมีความสุขครับ ถ้าคุณมีความสุขกับการแปล ก็น่าทำ จากคุณ : Pee Kay (Pee Kay) - [ 9 ต.ค. 46 20:38:46 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตอบคุณ Kate งานง่าย ๆ ที่ว่าก็เช่นงานแปลของนักศึกษาน่ะค่ะ คือบางทีเราก็ช่วยแปล text บ้าง essay บ้าง คุณลองติดต่อพวกร้านประเภทร้านอินเตอร์เน็ต หรือพวกรับเข้าเล่มที่ใกล้ ๆ สถาบันศึกษา หรือลองเขียนป้ายไปแปะไว้ตามเสาในหมาวิทยาลัยก็ได้ว่ารับแปลงาน ประมาณนี้แหละค่ะ จากคุณ : น้ำ - [ 9 ต.ค. 46 22:41:24 A:203.148.252.239 X:210.203.188.155 ]

ความคิดเห็นที่ 5 การแปลงานจริงๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรียนมาโดยตรงหรือไม่ ผมเรียนการแปลมา จบเอกภาษาอังกฤษ แต่ชอบและสนใจคอมิวเตอร์ เลยมาทำงานแปลด้านคอมพิวเตอร์ แต่อาจมีการใช้คำ เลือกใช้คำได้ดีกว่าไม่ได้เรียนมา แต่หากไม่ได้เรียนการแปล แต่รักและชอบแปล ก็สามารถทำได้ ฝึกมากๆ การเรียนที่ผมเรียนคือการฝึก แล้วลองแปลบ่อยๆ มา discuss กันว่าทำไมแปลแบบนี้ ทำไมไม่เป็นแบบนั้น มันได้ฝึกมากกว่า ผมว่าเวปบอร์ดนี้ ใครชอบ สนใจแปลก็ลองแปลๆมาโพสดูครับ หากคนอื่นมีความเห็นต่างกันก็แปลได้ต่างออกไป หนังสือการแปลเยอะแยะ ฝึกได้ครับ ไม่ต้องกลัว ตอนนี้ผมรับงานแปลอยู่ แต่ก็ยังมีคนคอยตรวจสำนวนอีกรอบอยู่ดี ยังไงสำนวนแปลต้องให้หลายๆคนดูครับ เราแปลเองสำนวนเราอาจใช้ไม่ได้กับคนอื่น ลองฝึกมากๆครับ ที่นี่มีคนคอยเป็นกำลังใจให้นักแปลทุกคนครับ จากคุณ : yokekung - [ 9 ต.ค. 46 23:26:13 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คุณ yokekung - คุณแปลงานคอม แล้วกำลังแตกแขนงไปทำสัญญาด้วยหรือคะ แห๋มมมม พี่เก๋ ทำรู้เรื่อยเลยนะ :-))))))) จากคุณ : o;] - [ 10 ต.ค. 46 00:06:24 A:203.107.210.181 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 ในความคิดส่วนตัวของผมนะครับมีความเห็นอยู่สองข้อครับ ข้อแรกคือ การแปล เป็นกระบวนการเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้นครับ ถ้าคุณเริ่มเบื่อเรียน การแปลก็คงจะเป็นอุปสรรคไปตลอด ข้อต่อมาคือ ผมว่า งานแปลไม่มีทางรู้ล่วงหน้าหรอกครับว่า ยากหรือง่าย เพราะเราไม่มีทางรู้คำทุกคำ หรือ เรื่องทุกเรื่อง การแปลต้องทำความเข้าใจ ตีความตัวงานทุกชิ้น ดังนั้น งานที่ง่ายคือ งานที่คุณเข้าใจมาก่อนแล้ว ก็เท่านั้นเอง จากคุณ : นักแปลพเนจร - [ 10 ต.ค. 46 01:17:05 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ o;] - ครับ ผมก็สนใจจะแปลได้หลายๆแขนงน่ะครับ จริงๆชอบคอมมากๆ ชอบแปลพวกคอมครับ งานสัญญาไม่ได้รู้เรื่องโดยตรง แต่ศึกษาอยู่ (จริงๆอยากได้ตังค์อ่ะ เลยรับมา อิอิ) แต่ยังกลัวๆเพราะสัญญาผิดไม่ได้เลย ผมแปลไม่ได้เรื่องนักหรอกครับ ขอบคุณที่ติดตามครับผม ตอนนี้แปลสัญญา หาดิกช่วยอยู่ครับ จะพยายามให้ดีที่สุดครับผม จากคุณ : yokekung - [ 10 ต.ค. 46 01:23:55 ]

ความคิดเห็นที่ 9 55555 จริงรึเปล่าล่ะครับ ป้า? :-))) ผมนึกออกอีกอย่าง งานแปลเป็นงานที่ต้องการความอดทนสูง อีกอย่าง คนที่ชอบเขียนจะไม่น่าค่อยชอบแปล ตามความคิดของผมนะครับ จากคุณ : Pee Kay (Pee Kay) - [ 10 ต.ค. 46 21:49:11 ]

ความคิดเห็นที่ 10 สำหรับผม ไม่ได้จบแปล แต่ไม่มีอุปสรรคครับ อีกอย่างคือ ผมก็เรียนรู้ตลอด และผมถือว่างานแปลคือการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง เราไม่มีทางรู้อย่างที่คุณนักแปลพเนจรบอก ไม่มีทางรู้ว่างานชิ้นนั้นจะมีปัญหามากแค่ไหน มันไม่ใช่ถ่ายเอกสารที่กำหนดเวลาได้ตายตัว พูดเรื่องงานแปล พูดแล้วยาว มันเป็นสิ่งที่ผมรัก และอยู่กับมันมานาน คิดว่าเข้าใจได้ดีพอสมควร รายละเอียดปลีกย่อยมันมีเยอะ แปลเก่งแล้ว ต้องหางานเก่งด้วยครับ ต้องรู้ว่าลูกค้าของเราอยู่ที่ไหน ขยันไว้ เดี๋ยวดีเอง จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 11 ต.ค. 46 01:29:22 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่เป็นอุปสรรคค่ะ การแปลเป็นศาสตร์ที่สอนกันไม่ได้ทั้งหมด เรียนรู้ได้แค่หลักการพื้นฐาน ที่เหลือต้องลุยเอง เปรียบไปก็คล้ายศิลปินน่ะค่ะ สไตล์ใครสไตล์มัน คนเรียนแปลไม่ใช่จะแปลได้ดีทุกคน และเช่นกัน คนไม่ได้เรียนก็ใช่ว่าจะแปลได้ไม่ดี ส่วนตัวคิดว่าอย่างแรกภาษาไทยต้องดีก่อนนะคะ (ในกรณีที่คุณต้องการแปลอังกฤษเป็นไทย) ภาษาอังกฤษรู้ไม่มากยังพอหาความหมายได้ แต่ทักษะในการถ่ายทอดให้เป็นภาษาไทยที่สละสลวยนั้น เป็นความสามารถเฉพาะตัวจริงๆค่ะ ไม่มีคอร์สการแปลที่ไหนในโลกสอนได้ สนับสนุนคุณนักแปลพเนจรและคุณพ่อโปรเจ็กต์นะคะ ทำเท่าไหร่ก็เจอเรื่องที่ไม่รู้อยู่ดี วิธีเดียวที่จะพัฒนาตัวเองได้คือ ต้องแปลให้เยอะที่สุด ไม่ใช่แค่การเข้าชั้นเรียนค่ะ :) จากคุณ : มณฑารัตน์ - [ 12 ต.ค. 46 10:49:16 A:203.152.5.210 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุณมณฑารัตน์มีผลงานแปลออกมาหลายเล่มแล้วครับ และเธอก็ไม่ได้มีภูมิหลังเรียนเรื่องการแปลมาด้วย แหะ แหะ ตอบแทนเจ้าของเฉยเลย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 12 ต.ค. 46 11:51:30 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แล้วขอถามเพิ่มเติมได้ไหมค่ะ พวกพี่นักแปลในนี้ โดยเฉพาะท่านที่ทำการแปลเป็นอาชีพ นั้น จบต่างประเทศกันหรือเปล่าคะ หรือ ได้ไปเทคคอร์สต่างประเทศบ้างหรือเปล่าคะ แล้วถ้าคนไม่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศเลย หรือ ไม่เคยแม้แต่จะไปเที่ยวต่างประเทศนั้นจะสามารถแปลได้ดีหรือไม่คะ เพราะดิฉันมีความรู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้ไปอยู่ต่างประเทศนั้นจะทำให้เราไม่รู้สึกลึกซึ้งกับภาษาของเขา เอ เข้าใจผิดหรือเปล่าหนอ จากคุณ : ผ่านมา - [ 16 ต.ค. 46 21:19:59 A:202.133.170.146 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมไม่เคยไปต่างประเทศ แต่ผมเรียนเอกภาษาอังกฤษที่อาจารย์ไม่ได้สอนแบบครูคนไทยที่ท่องๆๆจำๆๆๆ แต่จะสอนเป็นภาษาอังกฤษหมด บางทีก็พูดไทย เรียนพิเศษไม่ใช่นั่งฟัง งีบหลับ แต่จะมีกิจกรรมตลอด ฝึกพูดคุย ฝึกเขียน ฝึกแปล ในการเรียนการแปลนั้นอาจารย์จะให้เวลาแปล แล้วมาโต้แย้งกันว่าทำไมแปลแบบนี้ ทำไมไม่แปลแบบนั้น รูปประโยคเป็นยังไง เน้นความหมายอย่างไร ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น อีกอย่างเรื่องภาษาไทย เหมือนต้องแปลไทยเป็นไทย แล้วค่อยแปลเป็นภาษาอังกฤษที่มีความหมายตรงที่สุดครับ สรุปคือไม่เกี่ยวกับต่างประเทศ อยู่เมืองไทยถ้าสภาพแวดล้อมเอื้อ มีโอกาสฝึกมากๆ ก็จะเป็นการฝึกประสบการณ์ไปเรื่อยๆไม่มีวันหมดครับ ผมไม่ได้บอกว่าผมแปลดีหรือไม่ แต่การฝึกฝนช่วยเราได้มากครับ เอาข้อผิดพลาดมาดู แก้ไข ฝึกบ่อยๆ ลองๆไปครับ คือเราต้องได้ทั้งภาษาไทย สำนวน ประโยค ภาษาอังกฤษครับ จากคุณ : yokekung - [ 16 ต.ค. 46 22:27:49 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อย่าไปกังวลเลยครับเรื่องต่างหรือไม่ต่างประเทศ คนแปลดีหรือไม่ดีไม่ได้ขึ้นกับการไปอยู่ต่างประเทศ การแปลได้ดีนั้นจะต้องสามารถถ่ายทอดต้นฉบับจากภาษาต้นทางมาสู่ภาษาปลายทางได้โดยที่สื่อความคิดได้อย่างแจ่มชัด รักษาสำนวนและบรรยากาศได้มากที่สุด ไม่มีเนื้อความขาดหายไป และไม่มีอะไรแปลกปลอมเข้ามา เงื่อนไขที่จะทำให้เกิดผลดังข้างต้นได้ก็มีอยู่แค่ว่าผู้แปลจะต้องมีทักษะการใช้ภาษาได้ในระดับดีมากทั้งภาษาต้นทางและภาษาปลายทาง ต้องทั้งสองภาษานะครับ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ สมมุติว่าคุณจะแปลหนังสือจากอังกฤษเป็นไทย คุณก็ต้องมีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับที่อ่านหนังสือเล่มนั้นได้เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง เข้าใจทั้งศัพท์สำนวนสไตล์และบริบททางสังคมวัฒนธรรมและความคิดของเขา เมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องพยายามถ่ายทอดสิ่งที่คุณเข้าใจนั้นให้ออกมาเป็นภาษาไทยเพื่อให้คนอ่านที่ใช้ภาษาไทยได้เข้าใจและรู้สึกเหมือนกับที่คุณเข้าใจและรู้สึก จะใช้พรรณาโวหารหรือศัพท์สำนวนอย่างไรก็เป็นลูกเล่นของแต่ละคน แต่ข้อใหญ่ใจความคือต้องได้อารมณ์เหมือนต้นฉบับ ไม่ใช่หนังสือเดิมเขาอ่านแล้วรู้สึกโศกสลด พอแปลเสร็จแล้วคนอ่านขำกลิ้ง อย่างนี้ก็คงไม่ดีแน่ คิดว่าคงเข้าใจที่ผมพยายามสื่อนะครับ คนแปลเก่งแปลไม่เก่งก็ต่างกันตรงนี้แหละครับ จะเห็นว่าจริงๆแล้วแม้แต่สาขาวิชาที่เรียนมาก็ยังไม่ใช่เงื่อนไขที่จะทำให้เป็นนักแปลได้อย่างแน่นอนเลย คนเรียนภาษามาก็ใช่ว่าจะแปลหนังสือได้ดีกันทุกคนเสียเมื่อไร จะเห็นว่าเงื่อนไขในเรื่องทักษะการใช้ภาษาทั้งสองภาษาที่ผมพูดมานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการไปเรียนต่างประเทศ จริงอยู่ผู้ที่ไปเรียนต่างประเทศนั้นอาจมีโอกาสมากขึ้นที่จะเกิดทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศกว่าคนที่อยู่แต่ในประเทศ แต่ก็ไม่จริงเสมอไป ผมเห็นมาถมเถที่ทักษะภาษาของคนที่ไปเรียนต่างประเทศนั้นไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอะไรมากนัก คนเก่งๆน่ะมีเยอะแต่คนไม่เก่งก็เยอะเหมือนกันครับ แล้วเผลอๆไปเรียนเมืองนอกกลับมาก็ยังใช้ภาษาไทยไม่เป็นเสียอีก แล้วจะไปแปลได้ดีอย่างไรก็ยังนึกไม่ออก จริงๆแล้ว นักแปลที่เก่งๆที่ผมได้สัมผัสนั้น สิ่งเดียวที่ผมเห็นว่ามีเหมือนกันก็คือความสนใจและความขยันในการแปลครับ บางคนก็ไปเมืองนอกมา บางคนก็ไม่ได้ไป อีกอย่างหนึ่งที่อยากให้ตระหนักก็คือว่า ไม่มีใครหรอกครับที่เก่งเหนือมนุษย์จนแปลได้ทุกอย่าง คนเรามันมีขีดจำกัดของประสบการณ์ตรงครับ ถ้าต้นฉบับเป็นเรื่องของการรบเอาคนที่ไม่รู้เรื่องทหารมาแปลก็คงนึกออกว่ามันจะเป็นอย่างไร เอาคนไม่รู้เรื่องธุรกิจมาแปลงานธุรกิจก็เข้าป่า เอาคนที่ไม่เจ้าบทเจ้ากลอนมาแปลกวีนิพนธ์ก็เหวอ นักแปลโดยมากจะมีวงการที่ตัวถนัดอยู่สองสามอันนอกนั้นก็ต้องเปิดตำรากันมือเป็นระวิงทั้งนั้นแหละ ห้องยำภาษานั้นช่วยได้ตรงนี้ตรงที่เป็นแหล่งพบปะให้ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและความรู้กันครับ ประหยัดเวลา ประหยัดแรงงาน ได้ประโยชน์ร่วมกัน นักแปลที่แปลๆหนังสือกันอยู่หลายคนก็ยังมีข้อผิดให้เห็นจังเบอร์ เขาวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่บ่อยๆ ตอนนี้ก็มีอยู่กระทู้หนึ่งที่ห้องสมุด ลองแวะไปอ่านดูสิครับ จะได้ความคิดขึ้นอีกเยอะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 16 ต.ค. 46 23:23:30 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่เคยเรียนต่างประเทศครับ ไม่เก่งมากมาย แต่ก็เป็นนักแปลอาชีพคนหนึ่ง ที่ทำรายได้เป็นล้านแล้วจากงานแปล ไม่รู้สึกว่าเป็นอุปสรรคอะไร อยู่ที่เรารู้จักตัวเราดีแค่ไหนมากกว่า ผมไม่เก่ง ผมก็จำกัดแวดวงของตัวเองให้แคบลง กลายเป็นนักแปลเฉพาะทาง มีงานเข้ามาเรื่อยๆ ว่ากันว่า รู้อะไรให้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล ครับผม จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 18 ต.ค. 46 02:18:23 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ตอบคำถาม "การที่ไม่ได้จบด้านภาษาหรือการแปลโดยตรงจะเป็นอุปสรรคไหมคะ" ตอบกวนๆพ่อโปรเจกต์เล่น อิๆๆๆ..... ตอบว่าเป็นอุปสรรคครับ! .....คือว่าผมเคยทำงานแปลให้กับบริษัทแปลแห่งหนึ่ง เจ้าของก้อส่งลูกสาวไปเรียนภาษาอังกฤษในต่างประเทศ โดยหวังว่าเมื่อจบมาก็จะมารับช่วงกิจการจากคุณแม่ (จะได้เลิกจ้างผมยังไงล่ะ...555...) ลูกสาวเรียนจบปริญญาโทเอกการสอนภาษาอังกฤษมาจากสหรัฐ พอจบมาเธอเขียนภาษาอังกฤษไม่เป็นประโยคครับ อ่านภาษาอังกฤษยากๆก้อไม่รู้เรื่อง เธอพยายามแปลงานโดยการคัดลอกงานเก่าๆที่ผมแปลไว้ พวกแบบฟอร์มหนังสือรับรองโสด แต่ถ้าหาตัวอย่างเก่าๆที่เหมือนตนเอกสารที่กำลังจะแปลไม่เจอ เธอก้อแปลของใหม่ไม่ได้ ..... ทุกวันนี้เธอถือปริญญาโทของเธอไปติดต่อหน่วยงานต่างๆในฐานะผู้เชี่ยวชาญการแปลครับ เพราะหน่วยงานต่างๆต้องการหลักฐานความเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาครับ คือเธอเอางานแปลคนอื่นไปยื่นตามหน่วยงาน แต่บอกว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญเสียเอง โดยการนำปริญญาโททางด้านภาษาของเธอไปแสดงครับ เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์นี้ผมเพิ่งแปลใบปริญญาโทของเธอให้เธอเองครับ (เธอแปลเองไม่ได้) จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เพื่อให้บริษัทของคุณพ่อคุณแม่ของเธอ ประทับตรา เพื่อเธอจะได้นำไปยื่นเวลาติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งสถานทูตฝรั่ง (ส่งปริญญาโทต้นฉบับภาษาอังกฤษ) ทั้งตรวจคนเข้าเมือง, สรรพกร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, ศาล หรือหน่วยราราชการไทยอื่นๆ (ส่งปริญญาโทฉบับแปลเป็นไทย ที่ผมแปลให้ครับ).... ตอนนี้เจ้าของบริษัท (คุณพ่อคุณแม่ของเธอ) ไม่ค่อยส่งงานให้ผมแล้วครับ เพราะจ้างนักแปลอีกคนที่คิดค่าแปลถูกกว่าผม เพื่อหวังแข่งขันบริษัทแปลอื่นได้ในเรื่องราคาหน้าร้าน (เพราะนักแปลคนนั้นคิดค่าแปลถูกกว่าผมเกือบครึ่งหนึ่งแน่ะ)....คือความจริงพวกเขาก็ยังจะจ้างผมแปลอยู่แต่โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องแปลเดี๋ยวนั้นทันที (คือกะกวาดลูกค้าประเภท walk in ให้หมด คือแย่งจากบริษัทอื่นไงล่ะครับ) แต่ผมไม่อยากทำ เพราะผมจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็น tutor คงแปลได้แต่งานส่งวันนี้แล้วเอาพรุ่งนี้ (แปลตอนสอนนักเรียนเสร็จแล้ว) ไม่ใช่ลูกค้านั่งรอรับ.... ในขณะนี้ลูกสาวเจ้าของกิจการแปล ไปติดต่อหน่วยงานต่างๆโดยอ้างว่าตัวเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาและการแปลครับ...... เห็นไหมล่ะครับว่าวุฒิทางด้านภาษาช่วยได้ครับ ถึงแม้ว่าจะเอาไป "ต้มน้ำกินไม่ได้" แต่ก้อทำให้ยืดอกอย่างเทห์ได้สุดๆครับ......ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ........แต่ต้องขอบอกว่าคนที่จบทางด้านภาษาจากสหรัฐที่เขาเก่งภาษาอังกฤษมากๆก้อมีนะครับอย่าเข้าใจผิด บางคนไม่ได้เรียนทางด้านภาษาเช่นคุณ PromegaX ที่ตอบปัญหาในนี้บ่อยๆ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ (นักวิจัย) ครับ แต่ภาษาอังกฤษของเขาน่ะเก่งกว่าอาจารย์ในมหาลัยไทยหลายๆคนที่จบทางด้านภาษามาเสียอีก .....ใดๆในโลกล้วนอนิจังครับ........ เป็นไงพ่อโปรเจกต์ ใครว่าวุฒิภาษาไม่สำมะคัน อิๆๆๆๆๆ เห็นอะยัง????? ธ่อๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : drunken immortal - [ 22 ต.ค. 46 19:20:19 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 ฮาด้วยคนสิ แล้วเธอได้งานไปบ้างหรือยัง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 22 ต.ค. 46 22:04:24 ]

ความคิดเห็นที่ 19 "แล้วเธอได้งานไปบ้างหรือยัง" คำตอบก็คือ ได้ไปเพียบเลยครับ! คุณพ่อคุณแม่เธอเปิดร้านแปลให้เธอมาหลายปีแล้ว เธอรับงานรับเงินค่าแปลแล้วก้อส่งคนอื่นแปล ถ้าเป็นแปลให้ลูกค้าธรรมดา เธอก้อจะรอลูกค้ามารับหรือส่งงานไปให้ทาง e-mail หรือทางมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แต่ถ้าลูกค้าเป็นสถานทูตหรือหน่วยงานราชการ เธอจะนำงานไปส่งด้วยตัวเองเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสถานทูตและหน่วยงานต่างๆดังกล่าว โดยยื่นงาน (ที่คนอื่นแปล) แล้วประทับตราประจำตำแหน่งของเธอ (ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญการแปล) และลงลายมือชื่อของเธอในฐานะผู้เชี่ยวชาญการแปล ซึ่งในกรณีนี้เธอจำเป็นต้องยื่นใบปริญญาโท(ทางด้านการสอนภาษาอังกฤษ) ของเธอทั้งฉบับภาษาอังกฤษและฉบับแปลเป็นไทย เนื่องจากเดี๋ยวนี้ หลายๆหน่วยงานต้องการหลักฐานการเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแปลครับ .....ที่เอามาแปะนี้ไม่ใช่ไปว่าให้ร้ายใคร แต่เพียงแต่เล่าให้ฟังว่า สถานการณ์ในประเทศไทยขณะนี้ทางหน่วยงานต่างๆเริ่มเข้มงวดกับการไปแสดงตัวว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาครับ ดังนั้น จึงเป็นการตอบเจ้าของกระทู้ในประเด็นที่ว่า "วุฒิทางด้านภาษาหรือการแปล" มีความสำคัญหรือไม่อย่างไร นั่นเองครับผม .....ระวังให้ดีนะพ่อโปรเจกต์ เจอยังงี้แล้วจะหนาว อ่ะๆๆๆๆ..... จากคุณ : drunken immortal - [ วันปิยมหาราช 10:04:12 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 ฮาๆๆๆๆๆ โฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สงสารเมืองไทยง่ะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ วันปิยมหาราช 23:49:57 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เรื่องนี้คล้ายนิยายจีน คือเมื่อเห็นวรยุทธ์ของศิษย์ ก้อย่อมเดาได้ว่าวรยุทธ์ของอาจารย์เป็นเช่นไร อันนี้ฟังเหมือนนินทา แต่ไม่ได้ให้ร้ายแก่ใครเนื่องจากไม่บอกชื่อจริง เป็นเพียงเล่าให้ฟังว่าเรื่องแปลกๆอย่างนี้มีในระบบของไทย ....เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าเอามาเล่าซ้ำ คือมหาลัยที่ผู้หญิง (ที่แปลไม่เป็นแล้วมีร้านแปล) ผู้นี้จบปริญญาโททางด้านการสอนภาษาอังกฤษมาจากสหรัฐ ขอย้ำว่า "ไม่ใช่มหาลัยห้องแถวนะ" แต่เป็นมหาลัยมีชื่อเสียงของสหรัฐ (ไม่อยากเอ่ยชื่อ) แต่เธอเรียนจบมาได้อย่างไรในระดับนั้นโดยไม่รู้ verb form ของ help วันหนึ่งผมพิมพ์ลงในคอมพิวเตอร์ข้อความว่า I helped her do something. เธอมายืนอยู่ข้างหลังแล้วบอกว่าทำไมไม่เป็น I helped her did something. ผมก้องงว่า ทำไมง่ายๆแค่นี้เธอก้อไม่รู้ ผมก้อเลยบอกเธอว่า We say "we help somebody do something" or "we help somebody to do something" or "we help somebody with something", but we never say "we help or helped sombody did something"! ในช่วงนั้นอาจารย์ของเธอแปลงานมาเหมือนกัน ผมตรวจดู พบคำแปลประหลาดๆ คือ ต้นฉบับภาษาอังกฤษเขาว่า The dispute shall be referred to arbitration. แปลเป็นไทยน่าจะได้ใจความว่า จะต้องให้อนุญาโตตุลาการตัดสินกรณีพิพาท หรือ จะต้องส่งกรณีพิพาทไปให้อนุญาโตตุลาการตัดสิน หรือถ้าจะลวดลายหน่อย ก็น่าจะแปล การตัดสินกรณีพิพาท ให้กระทำโดยพิธีการอนุญาโตตุลาการ คือคำว่า refer ในที่นี้มันแปลว่า "ส่ง" คล้ายๆกับประโยคที่ว่า My doctor referred me to a specialist. = แพทย์ของฉันส่งฉันไปให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง รู้ไหมว่าอาจารย์เธอแปล "The dispute shall be referred to arbitration." มาว่าอย่างไร? เธอแปล มาเป็น "กรณีพิพาทจะได้รับการอ้างอิงถึงอนุญาโตตุลาการ" แล้วอาจารย์ของเธอน่ะจบจากมหาลัยเดียวกันในสหรัฐ (มหาลัยที่มีชื่อเสียง) จบเอกการสอนภาษาอังกฤษในระดับปริญญาเอก แล้วอาจารย์ของเธอน่ะสอนในมหาลัยไทย (ไม่กล้าบอกชื่อ) ในระดับรองๆจากมหาลัยที่เอ็นติดยากที่สุด แต่มหาลัยในสหรัฐแห่งเนี้ย ถ้าให้พ่อหนุ่ม PromegaX คนเก่ง ของเราไปเรียนเอกอังกฤษ สงสัยจบมายิ่งเก่งอังกฤษมากว่านี้อีกหลายเท่า แปลกใหมล่ะ ใดๆในโลกล้วนอนิจังจริงๆนะ!? จากคุณ : drunken immortal - [ 24 ต.ค. 46 09:33:02 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่มันเกี่ยวเนื่องกันก้อคือว่า มีเจ้าของบริษัทแปลแห่งหนึ่ง จบมหาลัยในไทย (ไม่ต้องไปเรียนในต่างประเทศ) เป็นหนึ่งในมหาลัยที่เอ็นติดยากที่สุด ไม่ใช่จบเอกอังกฤษ แต่ เขาสนใจภาษาอังกฤษมาก ใน office เขามีตำราหลายร้อยเล่ม และเขาจ้างฝรั่งมาสอนด้วย จนในที่สุดตัวเขาเองแปลได้เก่งมากๆ ทั้งอังกฤษเป็นไทยและไทยเป็นอังกฤษ ผมอ่านคำแปลของเขาแล้วเลื่อมใสมาก ว่าเขาแปลได้เก่งจริงๆ สมแล้วที่มีบริษัทแปลเป็นของตัวเอง....... เรื่องตลกก้อคือว่า เจ้าของบริษัทแปลรายนี้ เขามีลูกชายคนหนึ่ง ซึ่งลูกชายคนนี้ เมื่อเรียนปริญญาตรี (เอกอังกฤษ) ในเมืองไทย เรียนมหาลัยเดียวกับที่ผู้หญิงคนที่มีร้านแปล (แต่แปลไม่เป็น) เรียน และเรียนกับอาจารย์คนเดียวกัน (ที่จบปริญญาเอกเอกการสอนภาษาอังกฤษจากมหาลัยสหรัฐ) แล้วไม่รู้ว่า "refer" แปลว่า "ส่ง" ก้อได้ ..... assignment ชิ้นสุดท้ายก่อนรับปริญญา ที่อาจารย์ด๊อกเตอร์ท่านนั้นให้นักศึกษาทำ ก้อคือ ให้ไปเอานวนิยายไทย เล่มบะเร่อเลย ไปแปลเป็นอังกฤษ นวนิยายเล่มนั้นเขียนด้วยสำนวนภาษาไทยที่หวือหวามากๆ เป็นเรื่องคนติดคุก อ่านผ่านๆไปเจอข้อความเช่น "เฮ้ยผู้คุมจะว๊าก mueng นะโว้ย..." และอะไรแปลกๆอีกมากมาย.... พ่อของเด็ก (เจ้าของบริษัทที่แปลเก่ง) เอาหนังสือเล่มนั้นมาให้ผมดู แล้วชวนกันหัวเราะว่า "อาจารย์ท่านนี้มีอารมณ์ขันดีนะ เอิ๊กๆๆๆๆๆ เอาเรื่องยากๆเช่นนี้มาให้เด็กปี 4 แปลได้ยังไงกัน?" ผมก้อว่า "นั่นน่ะซี ผมอยากเห็นนักว่าถ้าท่านอาจารย์ด๊อกเตอร์ผู้นี้ แปลเอง แทนที่จะให้เด็กแปล คำแปลภาษาอังกฤษมันจะออกมายังไงนะ???" ก้อเลยสรุปเอาว่า เจ้าของบริษัทแปลเขาบอกว่า "ไม่อยากให้ลูกชายเครียด เดี๋ยวผมส่งนักแปลของผมแปลทั้งเล่มเลยหรือคุณจะเอาไปแปลเองก็ได้"......แล้วจริงๆเกือบทั้งมหาลัย นักศึกษาก้อไปจ้างเขาแปลกันทั้งนั้น ไม่มีใครแปลเองหรอก ...... และแล้วอีกหลายปีต่อมา ผมก้อมีโอกาสได้ยลโฉมลีลาการเขียนภาษาอังกฤษของอาจารย์ที่เป็น ร.ศ. ด.ร. ผู้นั้น ตอนเธอแปลงานชิ้นหนึ่งจากไทยเป็นอังกฤษ มันเป็น commercial writing ผมอ่านภาษาอังกฤษของเธอดูแล้ว ผมกล้าบอกได้เลยว่า "มันกระท่อนกระแท่นมากๆ" ในขนาดที่เรียกได้ว่า เจ้าของบริษัทแปล (ที่แปลเก่ง) ซึ่งเรียนจบแค่ปริญญาตรีในเมื่องไทย สามารถเขียนได้ดีกว่าเธอแบบ "ชนะขาดลอยเลย" !!!!!???? จริงๆแล้วภาษาอังกฤษของอาจารย์ด๊อกเตอร์ท่านนั้น ต่ำกว่าภาษาอังกฤษของเด็กฝรั่งอายุ 16 ขวบมากมายหลายเท่า ตอนนี้ลูกชายเจ้าของร้านแปล (ที่ตัวเจ้าของแปลเก่ง) ก้อเรียนจบมหาลัยสหรัฐเหมือนกันแต่เป็นจบ MBA มา คือเขาไม่อยากไปยุ่งกับภาษาอังกฤษให้มันมากมาย เอาแค่สื่อสารได้และหาข้อมูลได้ก้อพอแล้ว......เลยน่าจะสรุปได้ว่าทักษะทางด้านภาษาหรือการแปลนั้น นอกจากพรสวรรค์แล้วจำเป็นต้องมีพรแสวงเป็นแน่แท้ และไม่จำเป็นต้องไปจบจากต่างประเทศมาหรอก เพราะเดี๋ยวนี้สื่อต่างๆมันมีมาก เช่นรายการทีวีที่รับจากต่างประเทศด้วยจานดาวเทียมเป็นต้น จากคุณ : drunken immortal - [ 24 ต.ค. 46 10:41:29 A:202.129.0.164 X: ]