ความคิดเห็นที่ 1 ก็นั่นน่ะสิ ได้ข่าวอยู่เหมือนกัน ถ้าลองแล้วจะมารายงาน อย่างป้าแกเป็นหวัดนี่ คงไม่ใช่หวัดนกกระจอก คงเป็นหวัดนกอินทรี ขอให้หายเร็วๆนะครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 24 ม.ค. 47 17:29:43 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Get well soon ka, K.Pa Nual! จากคุณ : Goddess - [ 24 ม.ค. 47 18:44:07 ]

ความคิดเห็นที่ 3 หายไวๆนะคะ เดี๋ยวอิฉันส่งซุปจากกัลปพฤกษ์ไปให้ จะได้แข็งแรงค่ะ มีแรงให้ความรู้ต่อไป ขอเพียงบอกมาคะ จะให้เด็กไปส่งโดยไว จากคุณ : friend - [ 24 ม.ค. 47 21:17:22 A:203.151.225.35 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 มิน่าล่ะ ป้าหายหน้าไปเลย หม่ำวิตามินซีเยอะๆ น้ำผลไม้ก็ยิ่งดี แล้วก็ทำดีท๊อกซ์สวนล้างลำไส้ อดอาหารล้างพิษซะ หน่อย กินน้ำเยอะๆ นอนมากๆ หน่อย เดี๋ยวก็หาย ถ้ากิน แต่ทิฟฟี่ๆๆ ก็นอนนานหน่อยกว่าจะหาย เออ...ว่าแต่ว่ารู้ได้ไงว่าป้าแกเป็นหวัดล่ะเนี่ย จากคุณ : ริน - [ 24 ม.ค. 47 21:25:05 A:203.113.45.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 อ้าวเพิ่งได้ข่าวเนี่ย ... ขอให้ท่านท่านป้าหายป่วยไวๆนะจ๊ะ....... จากคุณ : tansy - [ 24 ม.ค. 47 21:27:18 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 ทำดีท๊อกซ์สวนล้างลำใส้ ???? เป็นหวัดเนี่ยนะ ? จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 24 ม.ค. 47 23:53:39 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ชวนพี่เก๋ไปทำมั่งจิ จะได้หายเจ็บขา จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 25 ม.ค. 47 11:06:32 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ทำดีท๊อกซ์สวนล้างลำใส้ ???? เป็นหวัดเนี่ยนะ ?.....ใช่จ้าคุณหมอแอ๊ด......วิธีนี้ (รู้สึกว่าตามที่ ด.ร. สาทิต เอามาแนะนำ แพทย์เยอรมันเป็นคนคิด) .....แต่หลักการมันน่าจะมาจากการแพทย์แผนโบราณของจีนนะ .....ที่ว่าอวัยภายในสำคัญๆจะมีอวัยวะที่ทำงานประสานงานกันเป็นคู่ เช่นไตประสานงานกับกะเพาะปัสสาวะ ....เป็นธาตุน้ำ ส่วนปอดนั้นประสานงานกับลำใส้ใหญ่ ทั้งสองอวัยวะเป็นธาตุโลหะ......การมีปัญหาที่ปอดเช่นเป็นหวัด เมื่อไปล้างลำใส้มันทำให้หายใจโล่ง และมันขับเชื้อไวรัสออกไปเป็นจำนวนมาก กว่าไวรัสที่ยังเหลือจะก่อหวอดอีก ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็น่าที่จะจัดการกับมันได้แล้ว.......พวกยาไทยกับยาจีนโบราณบางอย่างรักษาหวัดได้โดยการทำให้ถ่ายท้องแบบอุตลุดเลย........โดยไม่ต้องใช้สารเคมีที่แรงๆ qi (ลมปราณ) ของปอดแรงมากๆช่วงเวลา 0100 น. - 0300 น. qi (ลมปราณ) ของลำใส้ใหญ่แรงมากเมื่อเวลา 0300 น. - 0500 น. ในช่วงเวลา 2 ของชั่วโมงที่ qi มีพลังแรงสุดในแต่ละ major organ แพทย์จีนเชื่อว่า อวัยวะนั้นจะอยู่ในสภาพที่ดีสุดหรือเลวร้ายที่สุด เช่นในระหว่าง 0100 น. - 0300 น. คนที่เป็นวัณโรคอาจมีอาการทุเลาขึ้น (ไปในทางดี) หรือถึงกับทรุดหนัก (ไปในทางไม่ดี) จนอาจถึงตายได้........ ส่วนอาการของ Pee Kay นั้น เป็นอาการป่วยของโรคคนรวย.....วิธีรักษา ลองฝึก Macrobiotics อย่างเคร่งมากๆ (ลองไปซื้อตำรามาอ่านดูดิ) แล้วรับประทานยาน้ำระดมพล เพื่อถ่ายท้อง ประมาณเดือนละครั้ง .....ก็น่าที่จะรักษาหายได้.... ท้าพนันได้เลยว่า โรคคนรวยเช่น เบาหวานหรือเก๊าท์ ถ้ารักษาดัวยแผนปัจจุบันแล้วเรื้อรัง แต่ถ้าใช้ Macrobiotics รักษาโอกาสที่จะหายขาดมีมากๆ....... ถ้าสนใจให้ไปที่ http://www.kushiinstitute.org/ จากคุณ : tansy - [ 25 ม.ค. 47 14:07:24 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 ลืมบอกไปเรื่องทำดีท๊อกซ์เนี่ย....ตัวเองเชื่อในหลักการณ์ของมัน แต่ไม่เคยทำ เนื่องจากพอเห็นสายยางและเครื่องเคราพะรุงพะรัง ระโยงระยาง ก้อร้องว่า "Oh my God!" ไม่กล้าทำ ....มันยุ่งยากเกินไป...เลยใช้กิน "ยาน้ำระดมพล" แทน ได้ผลเหมือนกัน.... จากคุณ : tansy - [ 25 ม.ค. 47 14:10:54 A:202.129.0.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 อืม...กำลังจะเข้ามาถามว่า ไอ้ ดี-ท็อกซ์ นี่มันคืออะไร แล้วนั่งเบ่งอึเอาแทนได้ไหม จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 25 ม.ค. 47 16:49:34 ]

ความคิดเห็นที่ 11 detoxification จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 25 ม.ค. 47 16:56:55 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ไอ้ d-tox ที่ผมรู้จักนี่มันคือการบำบัดผู้ติดยาเสพย์ติดน่ะครับ แต่ที่เห็นโฆษณากันทุกวันนี้นี่ ยังไม่ได้ติดตามค้นดูว่าเค้าทำอะไรกัน จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 25 ม.ค. 47 18:07:34 ]

ความคิดเห็นที่ 13 โธ่ ป้าของผม.... หายไวๆ มาม่า ยำยำนะครับ :-) ส่วนผมนี่ ขอหายเองโดยไม่ต้อง Detox ได้มั้ย? จากคุณ : Pee Kay (Pee Kay) - [ 25 ม.ค. 47 20:40:23 ]

ความคิดเห็นที่ 14 การสวนล้างลำไส้เป็นหนึ่งในการดูแลสุขภาพที่ตกทอดมาแต่โบราณ ตั้งแต่คัมภีร์ไบเบิ้ล การแพทย์กรีกยุคฮิปโปเครติส ปัจจุบันในยุโรปและสหรัฐอเมริกา การสวนล้างลำไส้เป็นแขนงหนึ่งของวิชาวารีบำบัด ในการแพทย์แผนธรรมชาติถึงกับมีการจัดตั้งสมาคม เช่น The Colon International Association และ The International Colon Hydrotherapy Foundation ในสหราชอาณาจักร แพทย์ที่ใช้วิธีนี้ในการรักษามะเร็งอย่างจริงจังคือ นพ.แม็กซ์ เกอร์สัน และ ทพ.วิลเลียม เคลลี ดร.เบอร์นาร์ด เจนเซน และ ดร.นอร์แมน วอร์กเกอร์ ฯลฯ เจ้าหญิงไดอาน่า และซาร่า ดัชเชส แห่งยอร์ก ก็ใช้วิธีนี้เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสุขภาพ การแพทย์ตะวันตกเองได้กำหนดการสวนล้างลำไส้ไว้เป็นการรักษาวิธีหนึ่งในคู่มือ Merck Medical Manual ตั้งแต่ปี 1899 ถึง 1977 แพทย์ไทยรุ่นแรกๆ ที่ศึกษาแพทย์แผนตะวันตกและปัจจุบันเป็นอาจารย์แพทย์ก็เคยใช้การสวนล้างลำไส้กับคนไข้อยู่บ่อยๆ และวิธีนี้ยังเป็นวิธีหนึ่งในการใส่ยาบางอย่างให้กับคนไข้ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรหรือยาแผนปัจจุบันก็ตาม การสวนล้างลำไส้ ก็ใช้น้ำได้หลายๆ อย่าง เช่นน้ำกาแฟ น้ำสมุนไพร น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก น้ำคลอโรฟีลต่างๆ ฯลฯ คุณสมบัติของสารแต่ละอย่างก็ต่างกันไป แต่หลักๆ แล้วที่ต้องการก็คือล้างพิษสำไส้และตับ แต่ตอนนี้ที่นิยมมากๆ ก็คือน้ำกาแฟ เพราะคาเฟอีนในกาแฟมีคุณสมบัติกระตุ้นให้ตับขจัดสารพิษ โดยคาเฟอีกจะถูกดูดซึมผ่านทางลำไส้ใหญ่ แล้วก็ผ่านเส้นเลือดดำที่ชื่อว่า Hemorhoidal vein, Sigmoid vein, Left colic, Right colic vein ผ่านตรงไปยังตับโดยไม่ผ่านอวัยวะอื่น ทั้งนี้เป็นกลไกธรรมชาติที่ต้องการให้สารทั้งหลายที่ผ่านทางเดินอาหารมา ได้รับการคัดกรองจากตับเสียก่อน เพื่อทำลายสารพิษต่างๆ ก่อนที่จะส่งไปอวัยวะอื่น เหตุฉะนี้ เราจึงอาศัยโครงสร้างดังกล่าวให้เกิดประโยชน์ด้วยคาเฟอีน ถามว่ากินกาแฟแทนได้ไหม? ตอบว่าคาเฟอีนมันก็เข้าตับเหมือนกันด้วยเส้นเลือดดำเส้นเดียวกัน แต่ๆๆ กระเพาะยังมีเส้นเลือดดำอีกเส้นหนึ่ง คือ Esophageal vein ซึ่งเมื่อดูดซึมแล้วจะไม่ผ่านตับ ก่อให้เกิดผลกับหัวใจ สมอง ซึ่งเราไม่ต้องการ นอกจากนี้คาเฟอีนจะกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย ทำให้กระเพาะระคายเคือง เป็นฤทธิ์ที่ไม่พึงประสงค์ และนอกจากนั้นในรายละเอียดแล้วกลไกขจัดพิษอีก 2 ข้อจะไม่เกิดเมื่อดื่มกาแฟ ถามว่าการสวนล้างลำไส้เป็นวิธีเป็นวิธีที่ผิดธรรมชาติและไม่ควรทำใช่ไหม? ตอบว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องอาบน้ำ แปรงฟัน สระผม ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติไปเลยจะดีไหม? จริงๆ แล้วเราใช้ชีวิตผิดธรรมชาติมานานแล้ว ไม่ว่าจะอาหารการกินที่เปลี่ยนไป ขาดเส้นใย (fiber) (มีงานวิจัยว่าชาวแอฟริกาที่อาหารหลักเป็นธัญญพืชแบบ Whole grain คือไม่ขัดขาวเอาเส้นใยออก ขับถ่ายวันละปริมาณมาก เล่นกันเป็นโล เป็นมะเร็งลำไส้น้อยมากๆๆ เหตุเพราะอุจจาระไม่คั่งค้างในลำไส้ใหญ่เหมือนชาวศิวิไลซ์ทั้งหลาย) สารเคมีตกค้างในอาหาร สารกันบูด ผงชูรส สีผสมอาหารต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำลายสุขภาพทั้งสิ้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องสวนล้างลำไส้ อ้อ...วิธีนี้ยังเหมาะม๊ากมากกับคอทองแดงทั้งหลายด้วย รินก็อ่านเรื่องนี้มาพอรู้บ้าง ก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องไร้เหตุไร้ผลทางวิชาการ และพอลองทำเป็นระยะๆ ตามแต่จะนึกอยากพอทำแล้วก็เห็นว่าได้ผลดีจริงๆ มันจะโล่งทั้งกายและใจ รู้สึกได้ว่าสุขภาพดีขึ้นจริง และยิ่งประกอบกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิคไปด้วยก็ยิ่งเจ๋งเป้ง เลยเอามาแนะนำด้วยหวังว่าจะเป็นประโยชน์ค่ะ จากคุณ : ริน - [ 26 ม.ค. 47 00:08:31 A:203.113.45.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 "..ถามว่าการสวนล้างลำไส้เป็นวิธีเป็นวิธีที่ผิดธรรมชาติและไม่ควรทำใช่ไหม? ตอบว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องอาบน้ำ แปรงฟัน สระผม ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติไปเลยจะดีไหม? ..." โห ใครกันหว่าที่พัฒนาตรรกะแบบนี้ในการโต้แย้ง แบบว่าไม่รู้จะเถียงยังไง ก๊ากกกกก ไม่ต้องเอานักตัดแปะอย่างยัยบุ๊คมาจับหรอก เรายังจับแทนได้เลย การสวนล้างลำใส้นี่มันมีที่ใช้ของมันอยู่ ไม่เถียง ประเด็นก็คือ มันก็เหมือนกับวิธีการอื่นๆทาง alternative medicine ซึ่งยังไม่มีการพิสูจน์ทราบหลักการ เหตุผล สรรพคุณ และโทษ อย่างเป็นหลักการและเป็นที่ยอมรับได้ คือข้ออ้างมาตรการทาง alternative medicine นั้นมีมากมาย อ้างอิงสมุดข่อยโบราณ อ้างอิงบุคคลทั้งในอดีตและปัจจุบัน อย่างการใช้สมุนไพรก็เหมือนกัน ต้องรู้จักแยกแยะว่าอะไรเหมาะไม่เหมาะ ของทุกอย่างในโลกนี้มีทั้งคุณและโทษ ไม่มีอะไรหรอกที่จะมีแต่คุณหรือมีแต่โทษ แม้แต่ยาหรือการรักษาแผนปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้คือมีทั้งคุณและโทษ การเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบุคคลและกาละเทศะจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การแพทย์แผนปัจจุบันนั้นแน่นอนว่าไม่สามารถให้คำตอบกับทุกอย่างได้เพราะก็ไม่ใช่รู้ทุกอย่าง แต่คำตอบที่เป็นทางเลือกนั้นก็ต้องมีวิธีพิจารณาให้เหมาะสมด้วย ไม่ใช่เชื่อแบบงมงาย ประเด็นที่ผมมองอะไรหลายๆอย่างในการแพทย์ทางเลือกก็คือ ผู้นำมาใช้หลายๆรายอ้างอิงหลักการข้างๆคูๆโดยมิได้ใช้หลักกาลามสูตร บางรายน่าเคลือบแคลงว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง พูดง่าบๆคือมันต้องรู้จักเลือกด้วย ไม่ใช่หลับหูหลับตาเชื่อ มาตรการทางสุขภาพที่บุคคลจะยินยอมให้นำมาใช้กับร่างากายของตนเองนั้นเป็นสิทธิของปัจเจกชนโดยสมบูรณ์ ไม่มีใครบังคับควบคุมได้ พูดง่ายๆคือจะเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรก็เป็นเรื่องของคนๆนั้น หลายๆอย่างก็ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ามันเกิดประโยชน์หรือจะมีโทษหรือไม่ อย่างนี้ก็ไม่ว่ากัน เชิญตามสะดวก ทำแล้วสะบายตัว สะบายใจ ก็ดีออก การสวนล้างลำใส้นี้ก็เหมือนกัน ผมก็เคยโดนสวนตอนเล็กๆเพราะไปกินปูกินกุ้งเข้าแล้วแพ้เป้นลมพิษ พ่อจับสวนด้วยน้ำด่างทับทิม สวนแล้วก็หาย มันก็คงมีส่วนช่วยในการกำจัดสารที่ทำให้เราแพ้ออกจากลำใส้ได้เร็วขึ้น แต่ยา antihistamine ที่กินมันก็คงช่วยเหมือนกันแหละน่า ว่าแต่สวนล้างลำใส้รักษาโรคหวัดนี่มันมี documentation ไหมล่ะว่ามันเป็นวิธีการรักษาที่มีสรรพคุณและมีประสิทธิผล? ขอศึกษาด้วยคน เพิ่งเคยได้ยินจ้ะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 26 ม.ค. 47 08:54:03 ]

ความคิดเห็นที่ 16 5555...น้าแอ๊ดนี่เก่งจริงๆ (อ้าว...ก็เป็นหมอนี่) จับผิดเรื่องสวนลำไส้รักษาหวัดได้ ความจริงอันนี้รินก็ไปเช็คดูในหนังสือเกี่ยวกับแพทย์ทางเลือกแล้วหละ แต่ไม่เจอจริงๆ ด้วย เขาแนะนำวิธีอื่นไว้ อย่างเช่นอดอาหารล้างพิษ กินน้ำผักผลไม้ที่มีวิตะมินซีเยอะๆ ฯลฯ แต่ไม่มีสวนล้างลำไส้ตอนเป็นหวัดเลย มีอยู่นิดหน่อยที่บอกไว้ว่าดังนี้ โรคและอาการผิดปกติที่สัมพันธ์กับสุขภาพลำไส้ใหญ่ - การกินอาหารที่ขาดเส้นใย ทำให้สุขภาพสำไส้ใหญ่ไม่ดี เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดโรคต่างๆ ได้แก่ ..................................................... กลุ่มโรคของภูมิต้านทานเช่นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด โรคลมพิษ ผื่นแพ้ ภาวะภูมิต้านทานต่ำ เช่น เป็นหวัดง่าย ป่วยแล้วหายช้า โรคภูมิต้านทานไวเกินอื่นๆ เช่น รูมาตอยด์ SLE แล้วรินก็มีเพื่อนคนนึงเขาบอกว่าเวลาเริ่มจะปวดหัวหรือเริ่มอาการเป็นไข้เป็นหวัดครั่นเนื้อครั่นตัว เขาจะรีบสวนทันที แล้วก็สังเกตดูตัวเองว่าบางครั้งอาการโรคที่กำลังจะเป็นต่างๆ ก็หายทันที (หมายถึงหยุดอยู่แค่นั้นแล้วก็หาย) ถึงแม้บางครั้งก็จะหายเร็วกว่านอนกินยาแล้วพักผ่อนเฉยๆ เพื่อนอีกคนนึงก็ยืนยันอย่างเดียวกัน รินก็เลยคิดว่ามันคงจะเป็นประโยชน์บ้าง อย่างน้อยก็คงจะทำให้ระบาย ไม่ร้อนใน ก็เลยเอามาโพสต์ไว้ค่ะ ส่วนเรื่องตรรกะชวนหัวนั้น รินจำมาจากหนังสือของคุณหมอคนนึง (ขอสงวนนาม) ที่ท่านบรรยายเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ เนื้อความจริงๆ เป็นดังนี้ "มีคนบอกว่า การทำดีท็อกซ์มันผิดธรรมชาติ แต่ทีนี้ลำไส้เรามันผิดธรรมชาติมานานแล้ว ประสาทมันเสียมาตั้งนานแล้ว เอาละ ถ้าทุกอย่างทำตามธรรมชาติหมด ฟันอย่าแปรง น้ำอย่าอาบ...." รินตัดมาส่วนหนึ่งที่หมอเขาว่าไว้ยังงี้ล่ะค่ะ ตรรกะจะแปร่งๆ ยังไงก็ลองพิจารณากัน แต่คิดว่าตอนที่คุณหมอบรรยายคงจะต้องการโน้มน้าวให้คนฟังเห็นคล้อยตามกับข้อดีของการทำดีท็อกซ์ รินเองก็ทำมาระยะนึงแล้ว รู้สึกได้ว่ามันดีจริงๆ อันนี้ไม่ได้ฉุดลากให้ใครมาเชื่อ แต่เอามาลงไว้เผื่อท่านใดอ่านแล้วจะสนใจค่ะ จากคุณ : ริน - [ 26 ม.ค. 47 13:57:34 A:203.113.45.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 เรื่องแพทย์ทางเลือก ผมเห็นด้วยแทบทุกกรณีนะครับ ยกเว้นอันเดียว ดื่มน้ำปัสสาวะตัวเอง ทำใจไม่ได้ยังไงก็ไม่รู้ครับ จากคุณ : โทเมอิ - [ 27 ม.ค. 47 19:37:45 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ก็น่าจะทำใจได้ง่ายกว่าดื่มน้ำปัสสาวะคนอื่นล่ะครับ นะ ไม่งั้นเค้าคงไม่แนะนำ จากคุณ : vb vb (บูมเมอร์) - [ 27 ม.ค. 47 20:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 19 น้ำปัสสาวะนี่พระพุทธเจ้าก็แนะนำนะ แต่เป็นน้ำปัสสาวะดองลูกสมอหรือมะขามป้อม ภาษาพระเรียกว่า ยาดองน้ำมูตรเน่า ส่วนหลวงพ่อชาท่านแนะนำให้ดื่มน้ำปัสสาวะตัวเองเป็นยา แสดงว่าในน้ำปัสสวะนี่มันต้องมีอะไรดีๆ อยู่ เคยอ่านอยู่เหมือนกันแต่ว่าลืมไปแล้ว เห็นว่าฝรั่งมันเล่นสัมปทานติดตั้งเครื่องดักจับที่ห้องน้ำสาธารณะสกัดออกมาเป็นยา แล้วเอามาขายเราซะแพงเลย ชื่อว่าสารอะไรหนอ??? ลืม จากคุณ : ริน - [ 27 ม.ค. 47 21:42:00 A:203.113.44.72 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 แหวะ.... จากคุณ : ชีวิต.... - [ 27 ม.ค. 47 23:49:57 A:161.200.255.161 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณทุกๆ ท่านที่เป็นห่วง บัดนี้ พอมีแรงกระย่องกระแย่งมาจิ้มๆๆๆๆ ได้พอประมาณเจ้าค่ะ แต่บอกเจงๆ ว่าพอหายแล้ว ขี้เกียจชะมัดเลย หนูรินจ๋า ป้าขอบายได้ป่าว เรื่อง detox เนี้ยะ.... ม่ายหวายเจงๆ อ่านเจอก็เพลียแล้ว เปลี่ยนเป็น intox แทนได้อ่ะป่ะ จากคุณ : o;] - [ 1 ก.พ. 47 22:16:56 A:203.156.75.56 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 รินต้องไปเปิดดิคฯ ดูถึงเข้าใจคำว่า intox 555... ป้าๆ รินไปซื้อหนังสือ "คู่มือ+เทคนิคการทำ video CD คุณภาพสูง" ฉบับสมบูรณ์ ของคุณ ดิเรก วงษ์วานิช มาแล้วหละ โอ้..มันดีจริงๆ สมแล้วที่ชาว pantip เขาฮิตกันมากเลยเล่มนี้ และก็แนะนำกันต่อๆ มา คุณดิเรกเขาอธิบายละเอียดยิบ ถ้ามุ่งมั่นจริงก็ทำได้ไม่ยาก ทำไมถึงบอกว่าต้องมุ่งมั่น เพราะมันมีเทคนิคหยุมหยิมนิดพอสมควร แต่ถ้าทำสำเร็จนะจะได้วีซีดีคุณภาพสูงจริงและก็ลงทุนน้อยด้วย (ความจริงทั่วๆ ไปก็ทำได้ไม่ยากหรอกไอ้วีซีดีเนี่ย แต่ถ้าจะให้คุณภาพดีต้องมีเทคนิคนิดหน่อย) ถ้าป้าสนใจก็ลองหาๆ ดูนะ รับรองว่าคุ้มถ้าเอาจริง จากคุณ : ริน - [ 2 ก.พ. 47 00:27:38 A:203.113.44.72 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 เขาบอกหรือเปล่าว่าต้องใช้กาแฟแบบไหน? คงไม่ระบุว่าต้องเป็นเอสเปรสโซ่หรือมอคก้าหรือบราซิลซันโตสหรืออราบิก้าหรือบลูเมาน์เท่นเท่านั้นนะ แล้วต้องคั่วและบดกันสดๆ ทำหยั่งงั้นมันก็ยังกะกาแฟสดที่เขาขายๆกันอ้ะ แล้วเป็นตุงฮูหรือเขาช่องได้หรือเปล่า? แล้วถ้ามีการคั่วเม็ดมะขามปนเข้าไปด้วยนี่ใช้ได้ไหม? จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 2 ก.พ. 47 13:28:31 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เขาบอกว่าต้องกาแฟจากแดนเอสกิโมเท่านั้นค่ะ ล้อเล่นค่ะล้อเล่น ต้องเป็นกาแฟบริสุทธิ์ 100% เท่านั้น กาแฟที่ขายๆ อยู่ใช้ไม่ได้ค่ะ (นอกจากจะบอกว่าเป็นกาแฟบริสุทธิ์ 100%) เขาบอกว่าขั้นตอนการผลิตมันมีการปรุงแต่งเลยทำให้ได้กาแฟไม่บริสุทธิ์ ที่รินใช้ก็เป็นแบบมีกากที่เขาทำไว้สำหรับดีท๊อกซ์โดยเฉพาะ (แต่เดี๋ยวนี้เขามีแบบสำเร็จไม่มีกาก แต่รินไม่ไว้ใจ เดี๋ยวมันเอาเขาช่องมาหลอกขายเราก็ไม่รู้ แต่มีบางท่านเป็นส่วนน้อยก็อนุโลมให้ใช้แบบเนสกาแฟได้ถ้าจำเป็น) ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว โม้ต่ออีกหน่อยดีกว่าค่ะ....ถ้าคนไทยไซส์เอเซียก็เอามา 1 ช้อนโต๊ะไม่ต้องปาด ต้มให้เดือด 15 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำมา ผสมน้ำเย็นให้อุ่นๆ และได้ปริมาณ 1.5 ลิตร (ไม่ควรสวนตอนน้ำกาแฟเย็นเกินไป จะทำให้กลั้นได้ยากส์มากกกก) ใส่ถุงแล้วก็สวน (อย่าลืมเจลก่อน) แล้วกลั้นไว้ให้ได้อย่างน้อย 15 นาที แล้วค่อยไปถ่ายออก ถ้ามี B-complex แบบหลอดที่ใช้ฉีด ก็สลัดใส่น้ำกาแฟไปด้วยก็ยิ่งดี หมอบอกว่ามันจะเป็นอาหารให้แบคทีเรียดีๆ ในลำไส้ (และจำได้ว่ามันมีผลต่อตับด้วย) เมื่อตับได้รับการกระตุ้นก็จะทำงานมากขึ้น ข้อห้าม ห้ามผู้ที่ผ่านการผ่าตัดลำไส้โดยเปิดลำไส้ให้ขับถ่ายทางหน้าท้อง ผู้ที่มีความดันเลือดสูงวิกฤตที่ยังคุมไม่ได้ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจที่ยังคุมไม่ได้ ในเด็กวัยเจริญเติบโต ในหญิงมีครรภ์ ผู้สูงอายุที่ร่างกายอ่อนเพลียมาก มีเคสตัวอย่างเรื่องจริงของคนใกล้ตัวจะเล่าให้น้าแอ๊ดฟัง แต่มันเป็นกรณีเดียวคงจะสรุปแน่นอนไม่ได้ คือเขาอายุเกือบๆ 50 แล้ว มีอาการท้องโตและก็แข็งๆ กินอะไรนิดหน่อยก็แน่นท้อง ตัวก็ซีดเหลืองๆ เขียวๆ ไปหาหมอเก่งๆ ที่พระมงกุฏฯ หมอตรวจตับแล้วบอกว่าเป็นตับแข็ง บอกว่าอยู่ได้ไม่เกินครึ่งปี แกก็ทำใจแล้ว แต่ก็มีคนแนะนำให้สวนกาแฟ ด้วยความไม่อยากตายแกก็เลยทำมันทุกวันเช้าเย็น ปรากฏว่าอยู่มาได้ 3 ปีแล้ว พอไปตรวจใหม่หมอก็บอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว นี่ทุกวันนี้ก็ยังอยู่และก็เห็นหน้ากันทุกวัน จากคุณ : ริน - [ 2 ก.พ. 47 21:38:23 A:203.113.44.72 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 ใครหว่า ไปทำนายโรคโดยการระบุอายุขัยเขาเสร็จสรรพ ทำยังกะเป็นยมบาล เป็นลูกศิษย์จะเบิ๊ดกระโหลกให้ เพราะโดยส่วนตัวแล้วผมไม่เคยทำอย่างนี้เลย เรื่องของคนเรานี่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ไม่ได้หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองเสมอไป ร่างกายคนเรานี่มันมีอะไรที่เหนือความคาดหมายอยู่เรื่อยแหละ เพราะมันเป็นเครื่องจักรชีวภาพที่ซ่อมแซมตัวเองได้ ถ้าเจ้าของไม่ abuse มันมากเกินไป คอยเช็คลม เติมน้ำมันเครื่อง มีการ ป.บ.ตามสมควร มันก็ไม่พังง่ายๆหรอก รายที่รินว่านี่ก็แสดงว่าแกดูแลตัวเองดีพอสมควร ไม่ไป abuse ตับมันต่อ ก็เลยทำให้ส่วนที่เหลือมันทำงานได้ดีขึ้นพอที่จะทำให้แกอยู่ได้ ตับนี่เป็นอวัยวะที่สามารถงอกขึ้นมาเสริมส่วนที่ตายได้นะ เขาเคยรายงานคนไข้ที่ตัองตัดตับทิ้งไปแปดสิบเปอร์เซนต์เพราะตับแตกจากอุบัติเหตุ ปรากฎว่ามาตรวจทีหลัง ไอ้ยี่สิบเปอร์เซนต์ที่เหลือมันงอกของมันมาชดเชยได้ แต่ในกรณีของตับแข็งนี่จะปัญหามากหน่อยเพราะว่ามันเกิดจากเนื้อตับมันตายแล้วเกิดเป็นแผลเป็นในตับ พอเป็นมากขึ้นๆเนื้อตับที่เหลือมันงอกไม่ออกเพราะถูกแผลเป็นรัดหมด นอกจากนั้นก็จะมีปัญหาเรื่องความดันของหลอดเลือดในตับสูงอีก อย่างไรก็ตาม ถ้าตับเสียจนถึงขั้นตับแข็งแล้วนี่ไม่ reversible คือแข็งแล้วแข็งเลย ถ้าอาการมันมากขึ้นๆก็ต้องผ่าตัดเปลี่ยนตับจึงจะรอด จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 3 ก.พ. 47 01:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อ๋อ...เข้าใจแล้ว แล้ว ป.บ.นี่มันอะไรคะ? จากคุณ : ริน - [ 3 ก.พ. 47 10:32:45 A:203.113.44.72 X: ]