ความคิดเห็นที่ 1 100 200 300 400 500 600 700 ....... 1000 2000 3000 ...... คุณไม่บอกรายละเอียดมา ผมตอบไม่ถูกครับ มันแล้วแต่ปัจจัยหลายๆ อย่าง จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 17 พ.ค. 47 03:27:25 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เอกสารอะไรแปลหน้าละสามพัน? แล้วอะไรที่แพงกว่าสามพัน? โห สักสิบหน้าก็อยู่ได้แล้วเดือนหนึ่ง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 17 พ.ค. 47 05:57:58 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เอาแบบหน้าละ 3000 สามวันต่อหน้าก็พอลุง ผมกินเบียร์วันหนึ่งไม่เกิน 3000 บาทเด็ดขาด นอกจากไปแหล๋นข้างนอก 555b3 จากคุณ : ลุดวิก - [ 17 พ.ค. 47 14:08:42 ]

ความคิดเห็นที่ 4 โห ความรู้ใหม่ ... มีราคาแพงขนาดนั้นด้วยเหรอ จากคุณ : คืนนี้ไม่เหมือนคืนนั้น - [ 17 พ.ค. 47 15:13:13 ]

ความคิดเห็นที่ 5 รับแปลสัญญาธุรกิจให้ไมโครซอฟท์เหรอคุณพ่อ หรือแปลให้สุลต่านบรูไน หน้าละสามพัน โอ้วอยากเป็นนักแปลซะแล้ว จากคุณ : ยัยริน - [ 17 พ.ค. 47 16:40:12 A:203.113.45.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 เคยได้ยินมาครับ บริษัทเก่าผมก็รับงานราคาประมาณนั้น ส่วนสัญญาไมโครซอฟท์สงสัยจะแพงกว่านั้นครับ คุณริน ผมก็ไม่เคยได้เสียที ส่วนใหญ่รับราคามาตรฐานกึ่งฟรีแลนซ์กึ่งบริษัท เคยได้สูงสุดประมาณหน้าละเกือบสองพัน แปลวันเดียวสองหมื่นกว่า เอกสารธรรมดา แต่พอแปลเอกสารเจรจาซื้อขายน้ำมันกับพวกแลกเปลี่ยนเงินตรามูลค่าเป็นพันล้าน กลับได้หน้าละไม่กี่ร้อย สู้ขาใหญ่แถวนี้ไม่ได้ครับ แปลไม่กี่สิบหน้า ค่าแปลพอซื้อบ้านได้เป็นหลัง ถึงได้บอกว่า มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 18 พ.ค. 47 00:58:45 ]

ความคิดเห็นที่ 7 โห..รายได้งาม จากคุณ : ยัยริน - [ 18 พ.ค. 47 02:16:14 A:203.113.45.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 #6 เออนะ แล้วมากดค่าตัวเรา ทั้งๆที่นักแปล field นี้หายากมากๆ อย่างนี้ต้องโก่งค่าตัวซะแร้ว (555 ล้อเล่นน่ะค่ะ เราทำใ้ห้แบบช่วยเหลือกันมากกว่าเป็น commercial เนอะ) วันก่อนอ่านบทความของนักวิชาการท่านนึงในกรุงเทพธุรกิจ เค้าพูดถึงตลาดในอนาคต ไอ้เราก็งง เอ๊ะถ้าจะไปตลาดในอนาคตนี่ต้องนั่ง time machine ไปหรือเปล่า สักพักก็ตระหนักได้ว่าเค้าคงหมายถึง futures market แหงๆ นักวิชาการท่านนั้นคงไม่ทราบว่าภาษาไทยเค้าใช้ว่า ตลาดล่วงหน้า (คือถ้าไม่รู้จริงๆ ก็ใช้ภาษาอังกฤษทับศัพท์ คงไม่มีใครว่าไรมั้ง) จากคุณ : Goddess - [ 18 พ.ค. 47 13:30:49 ]

ความคิดเห็นที่ 9 โอ๋ว... เจออีกแล้วค่ะ "ขาใหญ่" คุณพ่อขา... หนูเพิ่งจะงงกะกระทู้ตะกี้ เจอที่นี่อีกแล้ว แล้วหนูจะรู้มั้ยเนี่ย จากคุณ : ยายเชย+เฉิ่ม - [ 18 พ.ค. 47 13:53:26 A:203.156.78.195 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 เฮ้ย สะดุ้งเลยอ่ะ ฮ่าๆ เหมือนๆ มันจะเข้าตัวแฮะ ม่ายช่ายนะครับ งานส่งส่วนใหญ่จะทำไม่ทัน หรือทำไม่ได้มากกว่า ไม่ได้หวังทั้งกำไรและขาดทุน แต่ต้องเอาลูกค้าไว้ ไอ้ futures market นี่ถ้าผมเจอ ผมก็แปลตลาดในอนาคตเหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นศัพท์เทคนิค แล้วจะไปทับศัพท์ได้ไงอะ พอยุ้ยพูดถึงก็นึกได้ว่าเคยได้ยินนะ จะจำไว้จ้า ขอบคุณมาก ง่วงนอน จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 18 พ.ค. 47 14:22:24 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขาใหญ่ในนี้มีไม่กี่คนหรอก ยายเชยลองเดาดูสิ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 18 พ.ค. 47 16:55:59 ]

ความคิดเห็นที่ 12 #9 น่าจะเป็นคุณบุศบรรณมั้งคะ แต่ถ้าให้ขาใหญ่กว่านั้นก็ต้องคุณพีเค (โธ่ ลุงแอ๊ด เดี๋ยวนี้คุณบุศฯไม่ค่อยได้มาในนี้เท่าไหร่แล้ว คนใหม่ๆคงนึกไม่ถึงหรอกค่ะ ว่าแต่คุณยายเชยนี่อาจไม่ใช่คนใหม่ก็ได้ ความรู้สึกมันบอก อิอิ) #10 I understand. แต่นึกออกไหม สถานการณ์มันเป็นแบบนี้: งานไหนที่เทคนิคมากและยาก ที่คุณพ่อฯทำไม่ได้ หรือหาคนอื่นช่วยแปลไม่ได้ ก็จะมาให้ยุ้ยช่วย คือ เรียกว่างานง่ายๆหรืองานทั่วๆไปน่ะ ยุ้ยไม่ได้แอ้มหรอก นักแปลคนอื่นก็แปลได้ จะมารบกวนยุ้ยทำไม นึกออกป่ะคะ คือยุ้ยนี่เป็น last resort แล้ว เพราะฉะนั้นอะไรที่มาถึงมือเราน่ะ เรียกว่าเป็นงานที่ specific จริงๆ แน่นอนในทางธุรกิจ คนที่มี specific skills/resources ที่หายากเนี่ย จะมี ้high economic rent ตามมาอยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกค่ะ เราไม่ได้ทำธุรกิจกัน เพราะฉะนั้นอย่าซีเรียส แหะๆ ยังมีอะไรจะเขียนต่ออีก แต่โดนเรียกตัวแล้ว ต้องขอตัวก่อนนะคะ :) จากคุณ : Goddess - [ 18 พ.ค. 47 18:10:16 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เอาอีกแล้ว จอมแฉ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 18 พ.ค. 47 22:50:23 ]

ความคิดเห็นที่ 14 รออ่านต่อนะครับ.. ใครมีความคิดเห็นแบบเดียวกันก็บอกได้ครับ อย่าเก็บไว้ในใจ ผมไม่รู้หรอก ผมเป็นคนทำงานหนัก บางทีก็ไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นหรือลืมถอยกลับมามองตัวเองเหมือนกัน ผมมีเรื่องอยากอธิบายเหมือนกัน แต่อยากฟังก่อน ใครอึดอัดก็บอกนะ ผมขอร้อง พูดกับผมตอนนี้เลย อย่าเก็บไว้แล้วทำเหมือนไม่มีอะไร ผมชอบคนที่พูดตรงๆ หรือจะพูดอ้อมๆ ก็ได้ ผมจะพยายามเข้าใจ แต่ถ้ายิ้มอย่างเดียว ไม่บอกผม ผมอนุมานเอาว่าไม่ติดใจอะไรนะครับ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 47 01:09:42 จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 18 พ.ค. 47 23:35:49 ]

ความคิดเห็นที่ 15 #14 เฮ้ย บอกว่าอย่าซีเรียสๆ ธ่อ ที่อุตส่าห์เขียนเล่านี่ก็เป็นการตอบเจ้าของทู้ว่าค่าแปลควรจะได้เท่าไหร่ ก็เลยบอกว่ามันขึ้นอยู่กับ 1. ความซับซ้อนของงาน 2. ความเฉพาะทางของงาน 3. ปริมาณ 4. ชื่อเสียงและคุณภาพของผู้แปล 5. ความสามารถในการจ่ายของผู้จ้าง ฯลฯ แค่จะบอกว่าถ้าจะหานักแปลเฉพาะทางมากๆ ก็แพงกว่าปกติมากค่ะ ก็แค่นั้น ไม่ได้ติดใจอะไรคุณพ่อฯซะหน่อย ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีอาชีพนักแปลที่จะมาเรียกค่าตัวเท่านั้นเท่านี้ แค่คิดว่าเราเอาความรู้ของเราที่มีมาช่วยเพื่อนฝูงให้เป็นประโยชน์เฉยๆ ความรู้ที่มีแต่เก็บไว้กับตัวคนเดียวก็เท่านั้น ไม่มีวันงอกเงย เอามาแชร์ให้เกิดประโยชน์ดีกว่า (ก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่ในห้องนี้ ที่เข้ามาสอน/ตอบคำถาม/ให้ความรู้) อย่าคิดมากค่ะ แซวนิดหน่อยว่าโดนกดค่าตัว ก็เครียดมาเชียวนะคุณพ่อฯ โอเคนะคะ Smile for me, won't you baby? จากคุณ : Goddess - [ 19 พ.ค. 47 14:09:04 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ความหมายระหว่างบรรทัดมันเยอะจังครับ งานไหนที่เทคนิคมากและยาก ที่คุณพ่อฯทำไม่ได้ หรือหาคนอื่นช่วยแปลไม่ได้ ก็จะมาให้ยุ้ยช่วย คือ เรียกว่างานง่ายๆหรืองานทั่วๆไปน่ะ ยุ้ยไม่ได้แอ้มหรอก นักแปลคนอื่นก็แปลได้ จะมารบกวนยุ้ยทำไม นึกออกป่ะคะ = ทีงานง่ายๆ ละก็ทำเอง พองานยาก ทำไม่ได้ไม่มีใครทำ ก็ส่งมาให้เรา คือยุ้ยนี่เป็น last resort แล้ว เพราะฉะนั้นอะไรที่มาถึงมือเราน่ะ เรียกว่าเป็นงานที่ specific จริงๆ แน่นอนในทางธุรกิจ คนที่มี specific skills/resources ที่หายากเนี่ย จะมี ้high economic rent ตามมาอยู่แล้ว = รู้ไหมว่าสาขาที่เราชำนาญเนี่ยะหายากนะ ค่าตัวแพง แล้วนายก็ส่งแต่งานยากๆ = แถมข้างบนยังบอกว่ากดค่าแรงอีก แล้วบอกว่าอย่าซีเรียส!?! เท่าที่นึกออก (อาจมีมากกว่านี้) มีอยู่สองงาน ชิ้นนึงเนื้อหาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ แต่เกี่ยวข้องกับการเงินด้วย งานแบบนี้ลูกค้าไม่ถือว่า specific แค่เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นราคาไม่แพงหรอก ผมไม่ใช่นักแปลสมัครเล่นที่ตั้งราคาได้ตามใจชอบไม่แปลก็ไม่เดือดร้อน ผมต้องมีงานเข้าอย่างน้อยครึ่งเดือนในแต่ละเดือนถึงจะอยู่ได้ ยังต้องอิงตลาด จำได้ไหมเคยมีคนพูดทำนองว่าแปลหน้าละห้าร้อยนี่ถูกไม่อยากแปล คนทำเป็นอาชีพเสริมเข้ามาบอกถูกไปทั้งนั้น แต่คนทำเป็นอาชีพจริงๆ อย่างคุณนวลหรือคุณแทนซี่ (ขออภัย ขออ้างถึง) บอกใครไม่แปลส่งมาสิ แล้วบอกก็ได้ รับมาสูงกว่าที่จ่ายห้าสิบบาท ที่ไม่แพงเพราะรับมาสองร้อยกว่าแผ่น แต่โดนหักภาษีนะครับ ณ ที่จ่ายสามเปอร์เซ็นต์ แต่ปลายปีต้องไปเสียให้ครบสิบเปอร์เซ็นต์ ถามว่าแบบนี้กดไหม งานอีกชิ้นนึงก็ไม่ต่างกัน เป็นงานแปลหนังสือเกี่ยวกับความเชื่อที่ลูกค้าเอาไว้อ่านเอง เห็นว่าชอบด้านนี้ด้วยเลยส่งให้แปล ไม่เห็น specific เลย จริงๆ งานทุกชิ้นถ้ามันถูกเกินไป ก็คุยกันได้ ผมต้องการงานมีคุณภาพเพื่อไปรักษาลูกค้าไว้ บอกมาผมก็จ่าย แต่อย่าคิดว่าผมกด ใช่ ผมชอบพึ่งพาเพื่อน แต่ไม่เคยหากินกับเพื่อน ผมอยากให้งานออกมาดีที่สุด ก็จะส่งให้คนที่ชำนาญที่สุดและว่างเป็นคนทำ ไม่ใช่พอเจองานยากแล้วไม่แปลเอง ถามว่าทำไมต้องส่งให้เพื่อน เพราะงานของผม 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นงานในฟิลด์ของตัวเอง ผมไม่หางานที่ตัวเองไม่ถนัด มีก็คือหลุดเข้ามาเองนิดๆ หน่อยๆ เราก็เอาลูกค้าไว้ ก็หาเพื่อนทำไป แต่ถ้าเป็นลูกค้าใหม่กิ๊กถามมาก่อนว่าทำได้ไหม ส่วนใหญ่ผมจะให้เมล์ติดต่อกันเอง จริงๆ ก็ยอมรับว่ายุ้ยแปลงานได้ดีระดับหนึ่ง และมีความรู้ในสาขาของตัวเองดีมาก ถึงได้โทรไปปรึกษา ไปถามศัพท์ประจำ และเข้าใจว่าค่าตอบแทนในงานสูง งานก็ยุ่ง เหมือนอีกหลายท่าน ราคาที่ส่งก็เกรงใจ เกรงใจทุกครั้งที่เอางานไปให้คนอื่นแปล แต่ทุกคนก็เหมือนกัน คือเห็นว่ารู้จักกัน พอถามราคาที่สะดวก ไม่มีใครบอก บอกไม่เป็นไร ตามสะดวก ทุกครั้งก็จะพยายามตัดให้แบบไม่มีใครเดือดร้อน คือคนแปลก็แบบ เอาวะ ช่วยมันหน่อย ไม่ได้ราคาอะไรสมน้ำสมเนื้อ แต่ก็ไม่เสียแรงเปล่า คนให้แปลอย่างผมก็มีคนมาช่วยแปลงานไป ไม่ต้องมีกำไร ไม่ขาดทุนก็โอเค อาศัยว่าได้ในส่วนที่แปลเองเป็นหลัก ส่วนใหญ่ก็หักไว้แค่ห้าสิบหรือร้อยนึง แต่สิ่งที่ยึดปฏิบัติทุกครั้งคือบอกงบประมาณ ทุกครั้งที่ให้ใครแปลงานจะถามจะบอกเรื่องเงิน ไม่ใช่แปลแล้วค่อยคุยกัน เพราะเป็นเรื่องคุยกันได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ มันต่ำเกินไปก็บอกได้ ผมถือว่า ถ้ารบกวนเขามากไปก็ไม่ดี มันเป็นงานของเรา ตรงนี้เราก็ยอมควักเพิ่ม เพราะเราได้ประโยชน์ เขาเสียประโยชน์ แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นสัญญาเลยคือ คุณแปลงานให้ผม ผมมีหน้าที่จ่าย ลูกค้าเบี้ยวผมก็จ่าย เคยมีมาแล้ว เคยส่งงานให้นักแปลสองท่านแปลงานชิ้นเดียวกัน ซ้ำกัน เพราะไม่มีเวลาตรวจ ต้องเอาชิ้นที่ดีที่สุด ก็ขาดทุนแล้ว อีกงาน ลูกค้าเบี้ยว เก็บเงินไม่ได้จนทุกวันนี้ ผมยังไม่บอกนักแปลเลย ว่าผมเก็บเงินไม่ได้ ก็จ่ายตามปกติ นักแปลก็ในนี้แหละ ผมเป็นแบบนี้ ส่วนที่บอกว่า “งานทั่วๆไปน่ะ ยุ้ยไม่ได้แอ้มหรอก” ก็ถามจริง ถ้าส่งงานให้ประจำจะทำเหรอ มีเวลาเหรอ มันไม่ได้อยู่ที่ผมนะ แต่จริงๆ ก็ถูกตรงที่ว่าผมแปลเองเป็นส่วนใหญ่ เพราะงานเกือบทุกวันของผมคือฟิลด์คอมพิวเตอร์ งานที่แทบจะหลับตาทำเองได้ จะไปจ้างใครทำ และเพื่ออะไร แล้วผมผู้ชายครับ fair enough คบกับผม จะรู้ว่าผมชอบพูดตรงๆ เพราะผมก็ชอบฟังแบบนี้ เวลาผมขอความช่วยเหลือ แล้วใครติดขัด ลำบากใจ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด บอกผมเลย ว่าไม่สะดวก เราจะยังเป็นเพื่อนกันต่อไป ถ้าคุณช่วยผมแล้วคุณลำบากใจ คุณเก็บไปคิด คุณอย่าช่วยเลย เพราะขณะที่คุณลำบากใจ ผมก็ไม่สบายใจ ผมเป็นแบบนี้ ชอบพูดตรงๆ ใจผมไม่ซีเรียสอย่างที่คิด จบแล้วก็จบกัน แต่ถ้าผมไม่พูด ผมอาจซีเรียส เพราะฉะนั้นอย่าตีความว่าตัวหนังสือซีเรียส โกรธเหรอ คิดมากเหรอ ไม่ใช่ครับ ไม่ต้องคิดมาก ขอบคุณที่เตือนให้ผมคิดถึงหัวอกคนอื่นมากขึ้น สวัสดีครับ จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 19 พ.ค. 47 16:17:13 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สรุปที่เขียนมานี่ระบายความอัดอั้นตันใจเหรอคะ ได้ๆๆ เราเป็นที่ให้ระบายได้เสมอ :) Friends always listen. Anything else ka? ปกติพี่เอกไม่เคยแทนตัวเองว่าผม ปกติจะใช้คำว่าพี่ ถ้าใช้ผมนี่แปลว่าโกรธแน่นอน ถ้าทำให้โกรธก็ขอโทษด้วย แต่ยุ้ยไม่เคยโกรธพี่หรืออัดอั้นตันใจกับพี่เลยนะคะ ก็ย้ำๆๆๆๆ ว่าบอกเฉยๆ ว่าค่าจ้างเฉพาะทางมันสูงกว่าปกติ ไม่ได้ว่าอะไรพี่เอกนี่ ก็เวลาพี่เอกมีงานด่วนหรืองานยากก็ส่งมาให้ ถ้ายุ้ยว่างก็ไม่เคยปฏิเสธ บอกอย่าซีเรียสยังไม่ยอมอีกแน้ ดื้อจริงแฮะคนราศีสิงห์ :) นี่เพิ่งกลับเข้ามาออฟฟิศ ก็รีบเปิดอ่านกระทู้นี้ทันทีเลย ก็เจอจนได้ เดี๋ยวคืนนี้โทรไปงอนง้อขอโทษนะตัวเอง ไม่คิดว่าจะไปกวนโทสะพี่ แต่แหม เราไม่ได้เจตนาว่าพี่เอกซะกะหน่อย ยอมๆ หน่อยไม่ได้เหรอจ๊ะ ไม่เคยคิดจะทำให้ใครเสียใจ เราก็ให้ facts & opinions เฉยๆ ขอโทษด้วยนะคะ ทุกๆคนที่เคยเสียใจกับการกระทำและคำพูดของยุ้ย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจผิดหรืออะไรก็แล้วแต่ ขออโหสิกรรมด้วยนะคะ ยินดีเสมอที่ได้รับใช้ ไม่เคยเก็บไปคิดเลย แต่พี่เอกกลับคิดว่าเราเก็บไปคิดเหรอ คิดว่ายุ้ยเป็นคนอย่างนั้นเหรอ เสียใจจัง :( ไม่เคยคิดกัับพี่เอกอย่างงั้นเลยจริงๆง่ะ ไหงคิดไปถึงขั้นนั้นได้ สงสัย image เราคงแย่มากๆๆๆๆๆ น้อยใจอ่ะ Tell me you still love me, will you? จากคุณ : Goddess - [ 19 พ.ค. 47 17:48:29 ]

ความคิดเห็นที่ 18 นึกถึงคำที่ JJ เคยถาม คุณอยู่กับคอมพิวเตอร์มากไปหรือเปล่า หรือจะใช่เนาะ ขอโทษนะยุ้ย ถ้าพี่เขียนแรงไป พี่งงๆ กับความคิดยุ้ย แล้วก็ความคิดตัวเอง เหมือนเราหากินกับเพื่อนเลย แล้วหลายๆ อย่างมันก็ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอก งานแปลมันเป็นงานอย่างหนึ่ง ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร มันก็มีบางสิ่งบางอย่างที่คนภายนอกไม่เข้าใจ เหมือนที่เราไม่เข้าใจอาชีพอื่นในบางเรื่องนั่นแหละ ไม่ต้องโทรมาหรอกจ้า ไม่มีอะไรหรอก พี่เหนื่อย เมื่อคืนติดงานโต้รุ่ง จำไม่ได้แล้วว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของเดือนนี้ เด๋วว่าจะนอนพัก แล้วค่อยตื่นมาทำงานต่อ ลูกค้าหน้างอหลายวันละ ต่อไปมีอะไรก็บอกพี่สิ เก็บไว้ทำไม ไอ้วิชาอ่านใจสตรีน่ะ พี่โยนทิ้งไปนานแล้ว จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 19 พ.ค. 47 18:57:15 ]

ความคิดเห็นที่ 19 and จากคุณ : lilymay - [ 19 พ.ค. 47 21:23:55 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ึคุณgoddess ค่ะืทำงานด้านbusiness หรือค่ะ accounting field?? ถ้าจำไม่ผิดคุณไม่ได้อยู่เมื่องไทยใช่เปล่าค่ะ ถ้าละลาบละล้วงมากไปก็ขอโทษ และไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ จากคุณ : **CaNndY cAne** - [ 20 พ.ค. 47 11:31:18 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ไม่บอกว่าอยู่เมืองไทยหรือเปล่า แต่สามารถมามั่วสุมกับเฒ่าทารก แม่พลับพลึงเดือนห้า บัณฑิตเรือพ่วง นักแปลสติเฟื่อง ตลอดจน นักแปลหมัดเมา ที่ซอยทองหล่อกับซอยโชคชัยสี่ได้ก็แล้วกัน ไม่ได้แฉนะจ๊ะ เคี๊ยกๆๆ แค่ขอเอาคืนบ้างเท่านั้นแหละ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 20 พ.ค. 47 12:38:49 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เพิ่งเข้าใจชีวิตนักแปลอาชีพจากกระทู้นี้เอง ไม่งั้นต่อให้ตั้งกระทู้ถามก็ไม่มีทางได้รู้อย่างนี้ ขอบคุณคุณยุ้ยที่ทำให้คุณพ่อบรรยายซะละเอียดเลย หะเอิ๊กๆๆๆ จากคุณ : ยัยริน - [ 20 พ.ค. 47 12:52:18 A:203.113.45.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 goddess เป็นผู้จัดการสวนสนุกมัง ถ้าจำไม่ผิด น้อยๆ หน่อยยัยริน ออกนอกหน้าซะ แหม... จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 20 พ.ค. 47 13:34:04 ]

ความคิดเห็นที่ 24 "ไอ้วิชาอ่านใจสตรีน่ะ พี่โยนทิ้งไปนานแล้ว" สงสัยว่า ตอนนี้ เพ่อ่านแต่ใจ"บุรุษ"ง่ะ สำหรับยัยริน (พันทิพน่าจะมีรูปเอาไม้บรรทัดตีมือบ้างนะ จะได้ไม่ต้องใช้อันนี้ ) ขอตัวไปทำงานต่อแร้ว จากคุณ : o;] - [ 20 พ.ค. 47 15:26:09 A:203.156.73.99 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 5555 หวัดดีค่ะป้า นานๆ มายังรีบไปซะอีก จากคุณ : ยัยริน - [ 20 พ.ค. 47 17:04:24 A:203.113.45.168 X: ]

ความคิดเห็นที่ 26 งานอะไรของป้านวล "งานต่อแร้ว" งานไรอ่ะคะ นึกว่าป้านวลทำงานแปล แหะๆ ตลกป่าวป้า หัดๆไว้ เผื่อไปแสดงบนเวที หัดตลกทีไร โทนี่ชมว่า 'Don't give up your day job' ทุกที จากคุณ : ตา (ta/'o-o/') - [ 20 พ.ค. 47 19:55:56 ]

ความคิดเห็นที่ 27 หนูแปลหน้าละ 500 ค่ะ เป็นงานของบริษัท แต่รับมาจากเพื่อน ซึ่งเจ้าเพื่อนตัวดีเธอก็แสนดีกับบริษัท ต่อซะเหลือเกิน ก็โอเคแหละเพราะดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆ ได้เงินมาเป็นค่านมลูกก็ยังดี ช่วยกันมาสักพักจนเค้าคิดว่าค่าตัวเราเท่านั้นจริงๆ พอคุณเพื่อนออกไปแล้ว คนอื่นมารับหน้าที่ต่อ เลยให้เราเท่าเดิม แถมเธอขูดกว่าเพื่อนรักเราซะอีก แปลไป เกือบ 4 หน้า ตัดของเราเหลือ 2 หน้าครึ่ง โดยการจัด layout + artwork ไม่ใช่ตัดความ งงเหมือนกันค่ะ ในความรู้สึกเรา บอกว่าเอ๊ะไม่น่าเป็นอย่างงี้นะ แต่ว่าไม่เคยทำงานแบบนี้กะที่อื่น เลยไม่กล้าเถียง เมื่อก่อนลดราคาให้เพราะเห็นเป็นเพื่อนกัน เช่น 4 หน้าครึ่ง คิดแค่ 4 ละกัน แต่ตอนนี้เห็นจะไม่ไหวแล้ว คราวหน้าก่อนรับงานจะต้องตั้งกฎ กติกา มารยาทกันใหม่ซะแล้ว เห็นควรไหมคะ ขอถามเพิ่มนะคะ เวลาตั้งหน้ากระดาษ และขนาดตัวอักษร ปกติจะตั้ง time new roman # 12 นี่โอเคไหม หรือใช้วิธีนับตัวอักษรเอา ที่ใช้ทุกวันนี้เป็นแบบคิดตามจำนวนหน้ากระดาษที่แปลแล้ว อ้อ.. ลืมบอกไปว่าแปลจากไทยเป็นอังกฤษค่ะ คุณพ่อคะ พอจะให้ความกระจ่างเกียวกับมาตรฐานสากลได้ใหมคะ เผื่ออนาคตข้างหน้าจะได้เป็นมืออาชีพกะเค้ามั่ง แต่มิบังอาจเป็น 'ขาใหญ่' หรอกนะคะ สีมือไม่ถึงอ้ะ จากคุณ : ยายเชย - [ 20 พ.ค. 47 20:12:02 A:203.156.76.217 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณ Goddess คะ ลืมบอกไป ..หน้าใหม่ค่ะ เคยแต่ติดตามแต่ผลงานท่านทั้งหลายแต่ไม่เคยเสนอตัวรับใช่ชาติซักที อยากฝากตัวด้วยเหมือนกัล :-) จากคุณ : ยายเชย - [ 20 พ.ค. 47 20:16:07 A:203.156.76.217 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 รายละเอียดต้องพ่อโปรเจ็กต์เขาเพราะเขาทำเป็นอาชีพ ซึ่งมันก็คงมีมาตรฐานอยู่ อีกวิธีหนึ่งก็คือนับคำกันเลย วิธีนับคำก็ให้โปรแกรมเวิร์ดมันนับให้น่ะแหละ แต่คำละเท่าไรจำไม่ได้ ต้องถามพ่อโปรเจ็กต์ วิธีนี้จะแก้ปัญหาจำนวนหน้าที่พลิกแพลงตามการจัดเลย์เอาท์พิลึกๆได้อย่างเด็ดขาด จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 20 พ.ค. 47 21:08:53 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ตกลงน้องสาวเราหายคิดมากหรือยังเนี่ยะ ............................................ ตานี้มาเรื่องการคำนวณราคา มีสองแบบที่พบบ่อย คือ นับหน้า และนับคำ งานแปลก็มีสองแบบที่จะกล่าวถึง คือ ไทยเป็นอังกฤษ และอังกฤษเป็นไทย ไทยเป็นอังกฤษ - นับหน้า ส่วนใหญ่จะใช้ในเมืองไทย และใช้การนับหน้าต้นฉบับครับ เพื่อที่เจ้าของงานจะได้ทราบค่าใช้จ่ายที่แน่นอน ฟอนต์ไม่ค่อยเป็นปัญหา จะเป็น Angsana หรือ Cordia 14-16 จะไม่ให้จำนวนหน้าที่ต่างกันนัก เพราะฟอนต์มาตรฐานสองฟอนต์นี้มีระยะบรรทัดห่าง (ลองเทียบกับ Tahoma ดูจะเห็นครับ ตัวหนังสือพอกัน แต่ระยะบรรทัดผิดกันมาก) ขอให้มีคอลัมน์เดียว ใช้ได้หมด - นับคำ อันนี้ใช้ในต่างประเทศครับ วิธีนับจะนับคำภาษาอังกฤษ คือภาษาปลายทาง เพราะฝรั่งมันฉลาด มันรู้ว่าถ้านับคำในภาษาที่ไม่ได้ใช้อักขระโรมัน แล้วจะต้องจ่ายเพิ่มชัวร์ อันนี้จะใช้ฟอนต์อะไรก็ตามสบาย ไม่มีปัญหา เพราะเขานับที่คำ แปลอังกฤษเป็นไทย - นับหน้า ก็ส่วนใหญ่ใช้ในเมืองไทยอีกเหมือนกัน นับหน้าต้นฉบับ สำหรับงานแปลทั่วไป ฟอนต์ต้นฉบับประมาณ time new roman หรือ Arial 10-12 แต่ถ้าฟอนต์เป็น Angsana หรือ Cordia (มักเป็นงานภาษาอังกฤษที่เขียนโดยคนไทย) จำนวนคำจะน้อยกว่า แม้ตัวจะเล็กกว่า เพราะระยะบรรทัดห่าง - นับคำ (ต้นฉบับ) อันนี้มาจากต่างประเทศ นิยมใช้กันมากขึ้นในประเทศไทย เพราะไม่ต้องมานั่งเถียงกันเรื่องฟอนต์ เรื่องรูปภาพประกอบ การนับคำของต่างประเทศเพื่อเสนอราคางานนั้น จะเสนอเป็นราคาต่อคำ ยกเว้นในบางประเทศ เช่น อังกฤษ นิยมเสนอราคาต่อพันคำ ทีนี้กรณีของยายเชย ผมเข้าใจว่านับหน้า แต่นับหน้าปลายทางซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ นับแบบนี้ไม่เป็นมาตรฐานเท่าไหร่ ภาษาไทยเรามักจะไม่ค่อยกระชับ พอแปลเป็นภาษาอังกฤษมันจะหดลงประมาณ 15-20% สมมติว่ายายเชยบอกว่ารับหน้าละ 500 ต้นฉบับสิบหน้า นับตามต้นฉบับจะได้ 5000 แต่ถ้ารับราคาเดิม นับตามคำแปล มีแนวโน้มว่างานแปลจะเหลือประมาณ 8-9 แผ่น ขึ้นอยู่กับฟอนต์ที่ใช้ ถ้านับคำดู สมมติว่าภาษาไทยต้นฉบับสิบหน้ามี 5000 คำ พอแปลเสร็จ ลองนับคำภาษาอังกฤษ มันจะเหลือประมาณ4000 คำ ถ้ายายเชยรับงานแบบนี้จริงๆ แล้วรู้สึกขาดทุน อยากจะดัดหลังลูกค้า ก็ให้แปลเป็นภาษาอังกฤษโดยใช้ฟอนต์ไทยพวก Angsana หรือ Cordia ซึ่งตัวหนังสือจะดูเล็ก แต่ระยะบรรทัดห่าง (สำคัญตรงนี้แหละ) ก็จะได้เปรียบขึ้นมาหน่อย แต่ถ้าเลือกได้ เลือกวิธีมาตรฐานดีกว่าครับ ไม่ต้องมีปัญหากับลูกค้า เป็นการแก้ปัญหาแบบ win-win ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย จุดมุ่งหมายของการเลือกวิธีคิด ว่านับเป็นหน้าหรือนับเป็นคำก็เพื่อเลี่ยงปัญหาการคิดราคาระหว่างเรากับลูกค้าครับ จะบอกว่าอย่างไหนได้ราคากว่าไม่ได้ ไม่ได้เน้นตรงนั้น ความถูกแพงจะขึ้นอยู่กับว่าเราคิดหน้าละหรือคำละเท่าไหร่ ซึ่งถ้าเราใช้วิธีมาตรฐานแล้ว ถูกหรือแพงเป็นเรื่องที่ตกลงกันแล้ว ก็ขจัดปัญหาเรื่องมานั่งทะเลาะหรือกินแหนงแคลงใจกันได้ ปล. ราคาที่ยายเชยรับนั้นถ้าเทียบเป็นหน้าต้นฉบับภาษาไทย จะตกที่ประมาณ 400 ครับ บวกลบนิดหน่อย อ้า...เดี๋ยวจะว่าบอกไม่หมด ในการนับคำ สิ่งที่ต้องระวังคือ โปรแกรมจะไม่รวมพวก Footer/Header และคำที่อยู่ใน Text Box ครับ สังเกตง่ายๆ ก่อนนับให้ลองเลือก Select all ดู โปรแกรมจะนับเฉพาะที่มีแถบไฮไลต์สีดำขึ้น ตรงไหนมี Text Box มันจะเป็นสีขาวเหมือนเดิม คงพอช่วยได้นะครับ จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 21 พ.ค. 47 04:02:29 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ง่า..มันมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกนิดหน่อย แต่ผมนึกไม่ออกแล้วครับ รู้สึกปวดๆ หัว ผมอธิบายไม่เก่ง ถ้าไม่ชัดเจน รบกวนสอบถามมาอีกครั้งนะครับ จะตอบเท่าที่ตอบได้ จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 21 พ.ค. 47 04:16:35 ]

ความคิดเห็นที่ 32 โห แจ่มแจ้งแดงแจ๋ ต้องเซฟเข้าคลังกระทู้ไว้ ยุ้ยๆ ไปไหนแล้วล่ะ ยุ้ย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 พ.ค. 47 10:27:48 ]

ความคิดเห็นที่ 33 สวัสดีค่ะ พี่ ป้า น้า อา ลุงแอ๊ด ที่คิดถึงทุกคน ตอนนี้มารายงานตัวค่ะ หลังจากหายหน้าไปนาน ตอนนี้ใช้ชื่อล็อกอินใหม่นะคะ ด้วยพบว่ามีคนใจตรงกันใช้ชื่อเดียวกัน เลยขอรายงานตัวชื่อใหม่ "รักเฌอ..ประเทศไทย" แทน "ยายเชย" ชื่อเดิมนะคะ ส่วนคุณ "ยายเชย" ที่เข้ามาตอบกระทู้ปัจจุบันขอยืนยันว่าเป็นหน้าใหม่ค่ะ เพราะดิฉันไม่ได้เข้าห้องนี้มานานแล้วค่ะ แต่ยังคงติดตามผลงานทุกท่านมาตลอด คิดถึงทุกคนเลยค่ะ ขอคารวะทุกท่านด้วยชาเขียว สักจอก สองจอก จากคุณ : รักเฌอ..ประเทศไทย - [ 21 พ.ค. 47 11:27:30 ]

ความคิดเห็นที่ 34 โห แสดงว่าคนอยากเชยไม่ได้มีคนเดียว ชื่อใหม่นี่ผมเห็นอยู่แถวสวนลุมนี่ครับ ................................................ ขอเรียนถามคุณแอ๊ดสามข้อครับ เครื่อง defibrillator มีศัพท์ภาษาไทยไหมครับ ทั่วไปแล้วหมอเรียกว่าอย่างไร แล้ว pads ที่ใช้กับเครื่องนี้ หมอเขาเรียกกันว่าอย่างไรครับ ผมว่าเรียกทับศัพท์แหง ผมเห็นนักแปลเขาใช้แผ่นรอง จะแก้ก็ไม่กล้าแก้ เพราะจะเป็นแพด, แพ็ด ก็อ่านไม่ได้เสียงแท้จริง จะเป็นแผ็ดก็แปลกๆ เป็นหน้าจอเครื่องครับ ผมไม่ได้แปล เขาให้ตรวจทานรายละเอียดเฉยๆ ตอนนี้ Stand Clear เราใช้ทับศัพท์หรือเปล่า ขอบคุณครับ จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 21 พ.ค. 47 14:16:50 ]

ความคิดเห็นที่ 35 defibrillator ยังไม่มีการบัญญัติศัพท์โดยราชบัณฑิตยสถาน ดังนั้น ต้องบัญญัติเอาเอง การจะบัญญัติเอาเองก็คงต้องมีข้อพิจารณาเรื่องความถูกต้องทั้งในแง่ข้อเท็จจริง สามัญสำนึก หลักภาษา ตลอดจน ความสะดวก ความง่าย ความกระทัดรัด แล้วในข้อเท็จจริง เครื่อง defibrillator คืออะไร? มันเป็นเครื่องมือใช้แก้ไขอาการ cardiac arrest ชนิด ventricular fibrillation cardiac arrest คืออาการหัวใจหยุดทำงาน จะเป็นเพราะมันหยุดไปเลยไม่ขยับเขยื้อน(Asystole หรือ stand still) หรือ มีการขยับเขยื้อนแต่ไม่มีประสิทธิผลในการสูบฉีดโลหิต (Fibrillate) ก็ได้ผลเท่ากันคือตายถ้าแก้ไม่ได้ fibrillate เป็นกริยา fibriilation เป็นนาม เป็นกริยาก็หมายความถึงการที่เส้นใยกล้ามเนื้อหัวใจมีการบีบตัวเหมือนกัน แต่มันไม่สามัคคี เส้นโน้นหดเส้นนี้หย่อน ทำงานไม่สัมพันธ์กัน แทนที่จะบังเกิดผลเป็นการหด-ขยายสลับกันไปของห้องหัวใจทำให้เกิดการสูบฉีดเลือดได้ก็กลายเป็นอยู่เฉยๆมีแต่การเต้นริกๆๆๆของกล้ามเนื้อหัวใจ การแก้ไขการเกิด fibrillation ท่านว่าต้องกระทำให้มันหยุดเต้นให้หมดก่อน แล้วจึงกระตุ้นให้มันเริ่มเต้นใหม่ให้มันเข้าจังหวะกัน การทำให้มันหยุดเต้นก็ต้องยิงกระแสไฟฟ้าเข้าไปช้อตมันเสีย การทำให้มันหยุด fibrillate ก็เรียกว่า defibrillation และเครื่องมือสำหรับ defibrillation ก็คือ defibrillator ลักษณะของเครื่องก็เป็นกล่องขนาดเขื่องพอควรสำหรับบรรจุวงจรไฟฟ้าที่ใช้สร้างศักย์ไฟฟ้า มีสายต่อสองสายออกมาต่อกับขั้วไฟฟ้าหรือ electrode ที่จะไปแตะกับตัวคนไข้เป็นสื่อนำไฟฟ้า ลักษณะของขั้วไฟฟ้าก็เป็นแผ่นโลหะแบนๆเรียกว่า pad สำหรับให้ทาบกับหน้าอกคนไข้ได้และมีมือถือเป็นฉนวนสำหรับป้องกันคนยิง เวลาจะยิงก็ต้องระวังอย่าให้กระแสไฟลามปามไปถึงคนและอุปกรณ์อื่นๆด้วย จึงต้องนัดหมายกันด้วยสัญญาณ stand clear ให้ทุกคนเข้าที่กำบัง เอ๊ย ไม่ใช่ หลบให้พ้นจากเขตอันตราย ศัพท์ภาษาอังกฤษทั้งหลายทั้งปวงที่ถามมานี้ ในวงการก็ทับศัพท์เอาทั้งนั้นแหละครับ defibrillator อาจถูกตอนลงมาเหลือแค่ ดีฟิบ เป็นต้น ถ้าจะแปลโดยยึดหลักความง่ายและกระทัดรัด defibrillator ก็อาจเป็น เครื่องกระตุ้นหัวใจ pad ก็อาจเป็น แผ่นขั้ว stand clear ก็อาจเป็น ถอยให้พ้น อะไรทำนองนี้ สรุปแล้วคือ ตามใจท่านครับ เอาให้มันเข้าแก๊ปหน่อยก็แล้วกัน จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 พ.ค. 47 15:46:30 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณมากค่ะ คุณพ่อฯ รายละเอียดชัดเจนแจ๋มแจ๋วค่ะ ขอเซฟไว้ด้วยคน ต้องขออภัยคุณรักเฌอ...ประเทศไทยด้วยนะคะที่เลือกชื่อซ้ำกัน มิน่า.. Goddess ถึงนึกว่าเราเป็น'ขาเก่า' ตอนนี้ยืนยันจริงๆว่าเป็นหน้าใหม่ค่ะ ฝากตัวนะนะคะ จากคุณ : ยายเชย - [ 21 พ.ค. 47 20:02:30 A:203.156.65.219 X: ]

ความคิดเห็นที่ 37 ยินดีต้อนรับครับ ขออนุญาตทำหน้าที่เจ้าของบ้าน แนะนำคนแถวๆนี้เพื่อให้คุณยายเชยได้รู้จักมักจี่ไว้ คนที่อาวุโสมากที่สุดแถวๆนี้ชื่อพี่นวลนะครับ อายุอานามคงประมาณสามสิบปลายๆ นานๆทีแกจะโผล่มาทีเมื่อมีใครเอาปัญหาการแปลศัพท์กฎหมายมาล่อ นอกจากนั้นก็มีน้องยุ้ยนะครับเป็นน้องนุชสุดท้อง อายุสิบแปดครับ คุณพ่อโปรเจ็กต์นั้นอายุยี่สิบเอ็ด คุณบูมเมอร์อายุยี่สิบสอง คุณพีเคอายุยีสิบห้า ส่วนผมสามสิบต้นๆครับ จริงๆนะครับ ไม่ได้อำด้วยเกียรติของลูกเสือลูกตะเข้ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 พ.ค. 47 21:54:03 ]

ความคิดเห็นที่ 38 มายืนยันว่าน้าแอ๊ดพูดฟามจิง สามสิบปีกับเศษอีกสี่ร้อยเดือนจิงๆ ค่ะ จากคุณ : ยัยริน - [ 22 พ.ค. 47 12:11:05 A:203.113.45.164 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 นั่นอายุจริงเหรอค่ะ อายุ 25 มีลูกตั้ง 7 ขวบเนี้ยนะ ขีฺ้ฮกก๋่่าเจ้า จากคุณ : **CaNndY cAne** - [ 22 พ.ค. 47 12:24:53 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เรื่องราคางานนะเมื่อก่อนเคยรับงานเอง (ผ่านสื่อต่างๆ) ไม่ผ่านบริษัทแปล เคยได้ราคาดี แต่เราไม่เคยมีวาสนาได้แปลงานหน้าละ 3,000 บาท กับเขาหรอก .....แต่ปัญหามันก็คือ เก็บเงินจากลูกค้าได้ยากมากๆ....มัวแต่โทรไปทวงเงินบางทีลูกค้าเข้าประชุม, ไปหากิ๊ก, ตีกอล์ฟ, เล่นเรือใบ....ไม่สงสารนักแปลตาดำๆ ....มัวแต่โทรตามเรียกเก็บเงินทั้งวัน เลยบางทีไม่ได้แปลงานเลยซักหน้าเดียว........เลยตัดสินใจรับงานจากบริษัทแปล....เมื่อก่อนก็เคยเจอบริษัทแปลที่จ่ายค่าแปลต่ำมาก และบางทีก็จ่ายเงินไม่ตรงเวลา....หรือเจอบริษัทที่จ่ายค่าแปลตรงเวลา แต่เจอเขาส่งแต่งานยากๆ....กว่าจะเคี้ยวลง (และย่อยได้) แต่ละหน้าก็แทบแย่....เพราะเขาส่งแต่งานแปลไทยเป็นอังกฤษ....ต้นฉบับภาษาไทยเขียนแบบ คนที่ "ระบบตรรกะชำรุด" ....เราต้องแก้ภาษาไทย (แก้ในใจ = แปลไทยเป็นไทย) อยู่นาน กว่าจะแปลไทยเป็นอังกฤษได้......เราเลยลงเอยเครียด วันๆกินแต่เหล้าแล้วไม่ยอมเคล้านารี....อิๆๆๆ........อ้าจะทำไงได้ล่ะ ก้อเราเป็นนักแปลที่ไม่มีความสามารถเฉพาะทางมากนัก แถมยังไม่รู้จักผู้คนมากนัก และวุฒิกาาศึกษาก็ไม่สูงนัก ....จะไปเรียกร้องอะไรมากได้เล่า..........เราติดต่อสำนักพิมพ์จะแปลเพื่อตีพิมพ์ก็ไม่เคยสำเร็จ ทั้งๆที่นักแปลหน้าใหม่ๆกว่าเราและแปลแย่กว่าเราก็ได้แจ้งเกิดกันไปหมดแล้ว........เลยบางทีความเครียดนะ ทำให้เข้ามาทะเลาะกับคนบนกระดานข่าว.....บางทีก็ทะเลาะกับคนรอบๆตัวเอง....eq หายหมดเพราะเจอแต่งานยากๆราคาถูกๆ...เนี่ย.....แล้วก็แจ้งเกิดแปลหนังสือไม่ได้เลยสักกะเล่มหนึ่ง........เลยเราว่า ถ้าใครเคยทะเลาะกับเรา เราก้อขออโหสิกรรมด้วยนะ แต่เมื่อ 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านไป ......มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากสำหรับชีวิตเรา.....เราได้งานใหม่จากที่ใหม่ ค่าแปลเราได้แค่หน้าละ 200-300 บาทเอง......แต่งานมันหมูในอวย เสียจนกระทั่ง ถ้าเราไม่กินเหล้า และเราตั้งสมาธิให้ดีๆนะ ....เราสามารถแปลงานได้เงินประมาณ 3,000 -4,000 บาท โดยใช้เวลาเพียงแค่ 8 ชั่วโมงเอง.....(แต่ส่วนใหญ่เราจะไม่โลภมาก แค่แปลวันละ 4-5 ชั่วโมงเราก็หยุดแปล แล้วกินเหล้าเคล้านารี...(เอ้ยไม่ใช่) แทน.....เพื่อไม่ให้เครียดเกินไป ยกเว้นช่วงที่เราต้องใช้เงินเยอะ (เช่นจะเอาไปซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือหนังสือแพงๆ... เราก็จะเพิ่มชั่วโมงการทำงาน) .......เราจะแปลได้เร็วแค่ไหนก็คำนวณดูเอาเองก็แล้วกัน .......จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม....ไม่ว่ากัน......เราวุฒิการศึกษาต่ำ เป็นนักแปลด้อยโอกาส......หาเงินได้ขนาดนี้ เราก้อเจียม body แล้ว ......ไม่อยากเรียกร้องอะไรมากมาย.....เอาแค่พอมีข้าวกล้องปลอดสารพิษ (organic brown rice) กรอกหม้อไปวันๆก้อ ok แล้วนะ .............และพอเราแปลงานเสร็จเขาก็ส่งงานชิ้นใหม่มาทันที...(งานมีให้แปลทุกวัน (ถ้าอยากได้ ถ้าไม่อยากได้ก็ไม่ต้องแปล แต่หาความสำราญอย่างอื่นแทน.....เช่นเล่นจ้ำจี้มาะเขือเปาะ.....มันอะไรกันหว่า???) ไม่ต้องไปดิ้นรนหางาน ไม่ต้องไปดิ้นรนตามเก็บเงิน....เพราะพอเราแปลเสร็จ เขาก็โอนเงินให้ทันที) .....แบบว่า "แปลกันมันมือสุดๆเลย"........ใครจะว่าเราแปลลวกๆ เราไม่สน ...เพราะว่าลูกค้าเร่งให้แปลเร็วขนาดนี้จริงๆ เพียงแต่เราอยากจะบอกว่า ......ถ้าใครรู้ว่าที่ไหน มีงานไห้เราทำหน้าละ 3,000 บาท ก้อบอกกันหน่อยนะ .........อยากรวยเร็วๆง่ะ.....อิๆๆๆๆๆ.......ทำไมคนอื่นหาได้ แต่เราหาไม่ได้ แล้วทำไมคนอื่นแปลหนังสือแล้วได้รับการตีพิมพ์แล้วได้เงินเล่มละหลายล้านบาท แต่ทำไมแค่แปลหนังสือแล้วได้รับการตีพิมพ์แล้วได้เงินเล่มละ 5-6 หมื่นบาท .....แต่ทำไม่เราติดต่อเป็นแรมปี แล้วทำไมไม่ได้เลย......!!??.............เมื่อก่อนเราเคยไปเขียนกระทู้เป็นนัยว่า พวกที่ได้แปลแล้วได้ตีพิมพ์น่ะ เขามีเส้น แต่พวกเขาก็บอกว่า "ใม่มีเส้นค่ะ ขนาดอยู่ต่างประเทศยังติดต่อได้เลยค่ะ" ถ้าเราไปพูดว่าคนอื่นแจ้งเกิดได้เพราะมีเส้น เราก้อโดนรุมด่า ตกลงเลยเราพิสูจน์ไม่ได้ว่าต้องใช้เส้นหรือไม่ ในการหางานราคาดีๆเนี่ย....มันยังไงกันหว่าสังคมไทยเนี้ย.......??????.......... ไปก่อนแล้ว และพวกท่านจะไม่ต้องอ่านกระทู้เราอีกนานแสนนาน เพราะตอนนี้เราไม่เครียด เลยไม่มีอะไรจะบ่นมากนัก.....ขอให้พวกท่านทุกคนจงมีความผาสุขถ้วนๆหน้ากัน....... จากคุณ : tansy - [ 22 พ.ค. 47 15:55:09 A:203.172.52.206 X: ]

ความคิดเห็นที่ 41 โอ้โฮ ... ปรมาจารย์แต่ละท่านอยู่ในวัย Teeen ทั้งนั้นเลย เกือบจะเชื่อแน่ะ พอดีไหวตัวทันกลับไปบ้านตาพ่อมด แอบดู'สแน็บชอท'ของแต่ละท่านซะหน่อย อืมม... คอนเฟิร์มอายุค่ะ ครานี้เชื่อละ เค้าไม่ได้อำจริงๆแหละ ขอบคุณคุณแอ๊ด ปากเกร็ด เจ้าบ้านที่น่ารักน่านับถือ และจิตใจงาม (จริงๆค่ะ .. หนูติดตามผลงานมานานแล้วค่ะ .. เขิลล์ล์จัง ... ไม่อยากจะบอกเลยว่าเป็นมิตรรักแฟนเพลงมานานแล้ว) ไหนๆก็ชมแล้ว ขอบอกคุณพ่อฯด้วยว่าบางทีเราก็แอบไปเคาะประตูบ้านเจ็ดแปลฯด้วยเหมือนกัน แบบว่าเป็นคนชอบเที่ยวค่ะ แต่ไม่ค่อยไปค้างคืนนะคะ ส่วนมากจะเช้าไปบ่ายกลับ ลูกกวนน่ะค่ะ จากคุณ : ยายเชย - [ 23 พ.ค. 47 13:02:26 A:203.156.79.1 X: ]

ความคิดเห็นที่ 42 ฮัีลโหลๆ ไม่สบายแหละ นอนซมตั้งแต่วันพฤหัสฯ เกือบตายแ่น่ะ (อีกแล้ว) รู้สึกร่างกายมันคงมี toxin เยอะ เมื่อวานก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับ Detox แล้วคิดว่าน่าจะลองทำดู ลุงแอ๊ดเคยทำเปล่าคะ ความตายนี่อยู่แค่เอื้อมจริงๆ ไม่ว่าจะมีสุขภาพดีแค่ไหน แต่ถ้าพลาดท่านิดเดียวก็เสร็จเจ้าเชื้อโรควายร้ายได้ง่ายๆ อ้อ ยินดีต้อนรับเพื่อนใหม่ทุกท่านค่ะ จากคุณ : Goddess - [ 24 พ.ค. 47 08:06:06 ]

ความคิดเห็นที่ 43 555b3 จากคุณ : ลุดวิก - [ 24 พ.ค. 47 10:51:00 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ไม่สบาย เป็นไรล่ะ? เรื่องหวัดเรื่องไอนี่เป็นของธรรมดาสำหรับคนเรานะ ผมกลับมาจากการชิมไวน์โต้ลมหนาวที่ม่อนชมดาวแล้วก็มีอาการเจ็บคอ ระคายคอ ไอ คอแหบ เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องกินยาปฏิชีวนะแก้เพราะว่าเสียงที่เคยนุ่ม ทุ้ม และพริ้วเหมือนขยี้แพรในฟองเบียร์ กลายเป็นหยาบกร้านกระด้าง ระคายหูเหมือนเสียงเป็ด ตอนนี้กลับมาพริ้วได้อย่างเก่าแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 24 พ.ค. 47 13:01:51 ]

ความคิดเห็นที่ 45 Severe food poisoning เป็น 2 ครั้งติดๆกันแล้ว ครั้งล่าสุดก็เป็นก่อนไป DPS party เมื่อเดือนก่อน ช่วงที่นอนซม (เกือบตายจริงๆนะ มันช็อคไปเลย) ก็คิดได้ว่า คนเราตัวโตๆเนี่ย ที่แท้ก็แพ้ไอ้เชื้อโรคตัวเล็กนิดเดียว จากคุณ : Goddess - [ 24 พ.ค. 47 17:22:14 ]

ความคิดเห็นที่ 46 Severe food poisoning..once....OK....it is one of those things that can happen to anybody, anytime, anywhere. Severe food poisoning..twice..not far apart from each other in point of time...not OK. It signifies some environmental cause. I suggest you check your eating places, your food supply, your water supply. Any other victims especially in the same household or in the same vicinity? Maybe you're facing another Typhoid Mary. Have you ever heard of Typhoid Mary? This was a celebrated woman who went about spreading food poisoning around like crazy because she was a carrier of typhoid and she worked as a cook for several households. แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 47 19:28:40 จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 24 พ.ค. 47 19:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 47 อืม เห็นด้วยกะลุง เป็นสองครั้งติดๆ กันนี้ ไม่ใช่ sign ดีเลย น่าจะสำรวจอย่างที่ลุงว่า และถ้าจะให้ดี น่าจะไปเพาะเชื้อด้วย เผื่อเจอจะได้รีบรักษาไวๆ จากคุณ : o;] - [ 24 พ.ค. 47 21:06:36 A:203.156.65.52 X: ]

ความคิดเห็นที่ 48 โรคทรมาน อยากนอนซมก็ทำไม่ได้ หายเร็วๆ เด้อ งานนี้ไม่ต้อง detox จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 24 พ.ค. 47 21:20:49 ]

ความคิดเห็นที่ 49 สงสัยนะยุ้ย ว่าเป็นสองครั้งติดๆกันนี่ติดกันแค่ไหน ถ้าติดแบบกินยาปฏิชีวนะหมดชุด แล้วก็เป็นอีกอาจจะเป็นไปได้มั้ยว่าเชื้อแรงดื้อยา หรือกินไม่ถูกตัว เพราะนึกถึงตอนไปเม๊กซิโก เป็นติดต่อกันนานเกือบเดือนไม่หายสักที แต่อย่างงัยก็สมควรเช็คที่มาที่ไป เพราะมันไม่ธรรมดาแล้วอย่างคุณแอ๊ดว่า ร่างกายอ่อนแอแล้วไม่น่าคิดถึงดีทอกซ์นะ จากคุณ : lilymay - [ 25 พ.ค. 47 04:57:10 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบพระคุณค่าสำหรับ medical advice คือวันพุธกลางวันไปกินส้มตำปูที่ร้านใกล้ที่ทำงาน (ปกติกินไม่เคยเป็นอะไร) แล้วก็โดน attacked ตอนตี 4 วันพฤหัส ก็ท้องเสียทั้งวัน พอทานยาแก้ท้องเสียเข้าไปมากหน่อย คืนวันนั้นก็เลยแ่น่นท้อง (เพราะลำไส้ไม่ทำงาน) + ปวดท้องเหมือนกับโรคกระเพาะ ก็นอนร้องครางหงิงๆ (เหมือนลูกหมาเลย) ทนไม่ไหว จะให้ที่บ้านไปส่งร.พ.ก็เกรงใจ ก็เลยเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งแทนตอนตี 2 ก็ดีขึ้น ก็เลยนั่งหลับไปจนตี 5 ของวันศุกร์ ก็ recover มาเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ยังรู้สึกระบบย่อยอาหารมันอ่อนแออยู่ ต้องคอยดูแล พอเมื่อวานกลับมาทำงานก็คุยกับน้องที่ทำงาน เค้าก็บอกว่าตอนเย็นวันพุธ (วันเดียวกัน) ก็ไปกินร้านนั้นกันมา 6 คน วันรุ่งขึ้นก็มาท้องเสียที่ทำงานกัน 4 คน วันนั้นฝนตกก็เลยสรุปกันว่ามันคงมี contamination ในอาหารล่ะ แต่ก็ไ่ม่มีใครเป็นอะไรหนักแบบต้องหยุดงานเลย คือ ยุ้ยเป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง เป็นมา 10 กว่าปีแล้ว ไม่รู้เกี่ยวหรือเปล่าที่ทำให้เป็นง่ายและหนักกว่าคนอื่น แบบระบบทางเดินอาหารอาจผิดปกติ? เป็นอาการเริ่มแรกของมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร? (เคยเข้าร.พ.เมื่อ 4 ปีก่อน หมอส่องกล้องและตัดตัวอย่างเนื้อเยื่อกระเพาะมาตรวจ แต่ในตอนนั้นผลก็ออกมาว่าปกติ) จากคุณ : Goddess - [ 25 พ.ค. 47 09:03:07 ]

ความคิดเห็นที่ 51 อะฮ้า จับตัวได้แล้ว ร้านส้มตำปูชัวร์ แต่ว่าจะเป็นอาหารจานโปรดชนิดไหนที่ทำพิษต้องดูรายละเอียดก่อน ขอเสนอแนะให้หลีกเลี่ยงร้านนั้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเพราะเราคงไม่สามารถไปควบคุมคุณภาพของเขาได้ ต้นเหตุอาจจะอยู่ที่ food handlers เอง ( พ่อครัว คนเดินโต๊ะ ) หรืออยู่ที่วัตถุดิบที่ใช้ไม่มีคุณภาพซึ่งของบางอย่างเป็นของหมักดองเช่น ปูเค็ม ปลาร้า ของพวกนี้มักมาจากแหล่งเดิมๆ ซึ่งถ้ามัน contaminate มันก็มีแนวโน้มจะ contaminate อยู่นั่นแหละ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 25 พ.ค. 47 16:21:28 ]

ความคิดเห็นที่ 52 โห เหมือนกันเลย ป้าทานส้มตำปูเค็มทีไร เป็นเรื่องทุกที ครั้งสุดท้ายนั้น ประมาณยี่สิบกว่าปีได้ล่ะมั้ง นอกจากจะไม่มีปัญญาครางหงิงๆ แล้ว ลุงแก่ข้างตัวยังสมน้ำหน้าความตะกละของเราอีกด้วย !!! จากบัดโน้น จนถึงบัดนี้ เลิกเด็ดขาด จะทานแต่หลนปูเค็มที่เอามาอุ่นใหม่ให้เดือดพลั่กๆ เท่านั้น ลุงแอ๊ด ลุงไม่น่าไปเฉลยปริศนาให้หนุ่มวัยรุ่นเลยนะ อิ อิ อิ ถ้าแทงหวยถูกอย่างนี้ ก็ดีสินะ จากคุณ : o;] - [ 25 พ.ค. 47 22:23:44 A:203.156.75.100 X: ]

ความคิดเห็นที่ 53 ทานครั้งสุดท้ายยี่สิบกว่าปีก่อน? You don't know what you've been missing! 555 ยุ้ยคงเข็ดกับส้มตำปูร้านนั้นค่ะ แต่ร้านอื่นยังไม่เข็ดค่ะ (แปลว่าก็จะยังกินต่อไป...ที่ร้านอื่น:) จากคุณ : Goddess - [ 26 พ.ค. 47 12:59:55 ]

ความคิดเห็นที่ 54 อย่าว่างั้นว่างี้เลยนะ แต่ด้วยความหวังดี สำหรับคนชอบกินปูเค็มที่ไม่สุก http://www.rb.ac.th/org/research/rajabhat/risurin/15103.htm จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 26 พ.ค. 47 13:40:22 ]

ความคิดเห็นที่ 55 และนี่เป็นผลการสำรวจหาเชื้ออาหารเป็นพิษในตัวอย่างอหาร กุ้งจ่อม ปลาจ่อม ปลาร้า และปูเค็ม ที่เก็บในเขต กทม. http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_2_001c.asp?info_id=262 เห็นได้ชัดว่าหนูยุ้ยได้ทำการสุ่มตัวอย่างเจอแหล่งที่ปนเปื้อนเข้าแหล่งหนึ่งแล้วด้วยตัวเอง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 26 พ.ค. 47 13:47:12 ]

ความคิดเห็นที่ 56 และนี่เลย พระเอกของเรื่อง โรคพยาธิใบไม้ในปอด ติดต่อด้วยการกินปูที่มีตัวอ่อนระยะติดต่อเข้าไป เชิญติดตามรายละเอียดได้ http://mylesson.swu.ac.th/mb322/fg.htm จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 26 พ.ค. 47 13:51:47 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ก็ไอ้ที่ miss ก็พยาิธินี่ไงคะ :P ลุงแอ๊ดยังไม่ตอบเลยว่าน่าจะเกี่ยวกับมะเร็งหรือเปล่า จากคุณ : Goddess - [ 26 พ.ค. 47 17:07:51 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ไม่ใช่อาการของมะเร็งหรอก แผลในกระเพาะอาหารหรือ peptic ulcer มีสองชนิด ชนิดแรกเป็นแผลที่อยู่ในกระเพาะอาหารโดยตรงหรือ gastric ulcer ชนิดที่สองเป็นแผลที่ลำใส้เล็กส่วนต้นหรือ duodenal ulcer ชนิดแรกนั้นมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งสูงพอสมควร ส่วนชนิดที่สองนั้นไม่กลายเป็นมะเร็ง ที่ว่ายุ้ยเป็นนั้นเป็นชนิดไหนล่ะ คงเคยส่องกล้องกระมัง เขาถึงตัดชิ้นเนื้อไปตรวจได้ ถ้ายังไงไปหาหมอโรคทางเดินอาหารให้เขาเช็คให้ใหม่ก็ดี มีหมอประจำอยู่ไหมล่ะ ถ้าไม่มีมาหาที่พระมงกุฎก็ได้ จะแนะนำให้ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 26 พ.ค. 47 17:36:52 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ถามหน่อยเถิดคะ ว่าในปัจจุบันในบ้านเรา ถ้าเป็นโรค ulcerเนี่ยเขาจะทำการตรวจค้นว่าอาจจะเป็นสาเหตุมาจากHeliobacter pylori กันมั่งหรือเปล่า จากคุณ : lilymay - [ 26 พ.ค. 47 23:17:03 ]

ความคิดเห็นที่ 60 มีสิครับ ที่ไหนๆที่มีอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคทางเดินอาหารหรือที่เรียกว่า gastroenterologist อยู่เขาก็ทำได้ทั้งนั้น จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 26 พ.ค. 47 23:38:32 ]

ความคิดเห็นที่ 61 จะเล่าเรื่องเศร้าเกี่ยวกับ gastric ulcer เมื่อประมาณ 15 ปีมาแล้ว...ขณะที่เรานั่งทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาติดต่อเรื่องอะไรบางอย่าง เราได้ยินบทสนทนาแล้วต้องหันมามองเธอ คำพูดของเธอเต็มไปด้วย arrogance มันเป็นลักษณะของคนที่ป่วยในระดับวิญญาณ (spiritual sickness) ......เราไปให้ comments อะไรบางอย่างตลกๆ........เธอโมโหมาก แล้วเดินมาที่โต๊ะเรา.......พูดอะไรคุยโวมากๆ .....แล้วเธอก็เดินออกไปจากบริษัท.......อีก 2-3 สัปดาห์เธอโผล่มาอีก...กะว่าจะมากวน teen เราเล่นๆ........แล้วอะไรเกิดขึ้น..... ???? จากคุณ : tansy - [ 27 พ.ค. 47 07:49:05 A:169.210.100.190 X: ]

ความคิดเห็นที่ 62 อะไรเกิดขึ้น????? รีบเล่ามาเร็วๆ พับเผื่อย มีการขยักด้วย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 27 พ.ค. 47 08:26:28 ]

ความคิดเห็นที่ 63 แล้วอะไรเกิดขึ้น..... ???? เมียมาพอดี ต้องปิดเน็ตก่อน ฮ่า ฮ่า ฮ่า ;-) จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 27 พ.ค. 47 12:48:05 ]

ความคิดเห็นที่ 64 หนอยแน่ะดันรู้ซะอีก อีตาเอกเนี่ย.......!!!! ยังงี้ต้องโดน.....5555 กลับมาฝอยต่อ.... จากบทสนทนา เรารู้ว่าเธอเครียดมาก เรียนเก่ง จบจากมหาลัยดัง แต่หางานไม่ได้ เพราะเลือกงานมาก มีเพื่อนฝูงในสังคมไฮโซหลายคน แต่ตัวเธอประกาศกร้าวว่า "จะขอต่อสู้ด้วยตัวเองโดยไม่ใช้เส้นสายแต่อย่างใด".....เธอบอกเราว่าเธอเป็นแผลในกระเพาะมากว่า 10 ปี คงเป็นตั้งแต่เรียน ม.ต้น ไปจนถึงเรียนจบปริญญาตรี เธอบอกว่าแพทย์ระดับบิ๊กๆของโรงพยาบาลต่างๆพยายามรักษาเธอ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ......เราจึงพูดทีจริงทีเล่นกับเธอว่าเราสามารถรักษาเธอได้ภายในเวลา 1 เดือน.....(นี่คือ arrogance ในส่วนของตัวเราเองที่นำเราไปสู่ความพินาศในชีวิต) ....เธอหัวเราะเยาะเราต่างๆนาๆ.........ต่อมา ...เธอไม่มีเงินเลย และไม่มีเพื่อนมากนัก (เพราะคุยโวแต่เรื่องโครงการเป็นพันๆล้านจนเพื่อนฝูงรำคาญหนีหายหมด)เธอจึงไปกวนประสาทเราที่บ้านเรา อ้างว่าจะมารับจ้างทำความสะอาดให้....เรารำคาญมากแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง.....เลยให้กุญแจเธอเข้าๆออกๆบ้านเรา....เราเห็นเธอซื้อนมวัว, ขนมที่มีน้ำตาล,อาหารไทยที่มีรสจัดเช่นส้มตำกับเนื้อย่าง, แกงเผ็ดแบบไทยๆ รวมทั้งยารักษาโรคกะเพาะมามาก (มีหลายขวดสีสรรน่ากลัวมากๆ) เราเอาอาหารกับยาพวกนั้นของเธอทิ้งไปหมด เธอมองดูเราด้วยสายตาที่ตกใจและโมโหเกรี้ยวกราดมาก....เธอพูดว่ายาพวกนี้มันแพงมาก ต้องซื้อวันละประมาณ 100-200 บาทห จนเธอไม่มีเงินเหลือ....แล้วทิ้งไปได้อย่างไรกัน......เราตอบว่าเรารับประกันว่าถ้าเรารักษาเธอไม่หายจากโรคกะเพาะเรายอมชดใช้ค่าเสียหายทุกอย่างตามแต่เธอจะเรียกร้อง....... จากคุณ : tansy - [ 27 พ.ค. 47 13:20:43 A:169.210.100.81 X: ]

ความคิดเห็นที่ 65 ถัดจากนั้น ทุกวันก่อนที่เราออกจากบ้านไปทำงาน เราจะทิ้งแต่อาหารญี่ปุ่นจืดๆที่เป็นอาหารเจเอาไว้ในบ้าน (macrobiotic food) ส่วนใหญ่เป็นอาหารปลอดสารพิษเช่นข้าวกล้องหรือธัญพืชอย่างอื่นและถั่วกับผักปลอดสารพิษ (เรียกว่า standard macrobiotic meal)....(เราอธิบายว่านมวัวกับน้ำตาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารไทยที่เปรี้ยวจัดเผ็ดจัด เมื่อกินเข้าไป จะทำให้สภาวะในร่างกายเป็นกรดที่แรงมากๆ ต้องหยุดกินมัน) ......เธอไม่มีเงินซื้ออาหารแซ่บๆแบบไทยๆกินได้ เธอเอากุญแจไขเข้ามาในบ้านเรา แล้วจำใจต้องกินอาหารญี่ปุ่นที่จืดชืด......ภายใน 1 สัปดาห์ อาการปวดท้องของเธอหายเป็นปลิดทิ้ง และอีก 2-3 เดือนต่อมา เธอไปเอ็กซ์เรย์ที่โรงพยาบาลจุฬา ปรากฏว่าแพทย์ที่นั่น (เป็นศิษย์รุ่นพี่มหาลัยเดียวกับเธอ ที่เรียนแพทย์ แต่ตัวเธอเรียนเอกการสอนดนตรี) ประหลาดใจว่า เธอไม่ได้มารับการรักษาเป็นเวลานานแต่แผลในกะเพาะของเธอหายไปหมดได้อย่างไรกัน!!!??? เธอก็ไม่เชื่อว่าหายจากโรคกะเพาะได้จริง จึงไปตรวจอีกหลายแห่งและผลก็ออกมาเหมือนกันคือ ไม่มีแผลในกะเพาะอาหารอีกต่อไป หลังจากนั้น มันไม่ใช่ happy ending หรอกนะ .........เราค้นพบว่าเธอป่วยในระดับ 7 (ซึ่งเป็นอาการป่วยในระดับสูงสุด .....ตามหลักวิชา Macrobiotics เขาเรียกว่า spiritual sickness) ....นั่นก็คือเธอมีโรคประจำตัวอีกอย่าง ที่เรียกว่า manic depression ถึงจะใช้ Macrobiotics รักษา manic depression ได้ แต่เธอก็ต้องฝึก Macrobiotics อย่างเคร่งมากๆเป็นเวลาหลายปี ......ใครอยากรู้ว่า manic depression คืออะไร ลองหาใน search engine ดู ถ้ารู้ว่าเป็นอะไรแล้วจะหนาว...!!!...... จากคุณ : tansy - [ 27 พ.ค. 47 13:21:17 A:169.210.100.81 X: ]

ความคิดเห็นที่ 66 ในที่สุด เรื่องนี้มันก็เป็น tragic ending ......คือพอเธอหายจากโรคกะเพาะ เธอก็แข็งแรงพอที่จะไปสมัครงานได้เมื่อเธอทำงาน มีเงิน เธอจึงหยุดกินอาหารจืดๆแบบญี่ปุ่นของเราอีก เนื่องจาก taste buds (ต่อมรับรสชาดิของอาหาร) ของคนไทยส่วนใหญ่จะตายด้านหมด เนื่องจากกินอาหารเผ็ดๆมาตั้งแต่เด็กๆ.....กว่าจะเปลี่ยนไปกินอาหารญี่ปุ่นจืดๆให้รับรสอร่อยตามธรรมชาติได้ ต้องใช้เวลาปรับ taste buds นาน 3-6 เดือน ดังนั้นการใช้ nutritional approach เพื่อรักษามะเร็งและเบาหวาน (รักษาให้หายขาด ทำได้โดยใช้ Macrobitics ....โดยมีเงื่อนไขว่า ป่วยระดับไหนก็รักษาได้ ยกเว้นต้องยังไม่หนักถึงเข้าขั้นโคม่า) หรือเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ติดเชื้อ HIV เพื่อยืดอายุของพวกเขา เมื่อใช้กับคนไทยมักจะไม่ได้ผลเนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่หากเจออาหารรสจืดๆแบบอาหารญี่ปุ่นจะไม่ยอมขย้อนเข้าไป คือกินแล้วต้องหยุดกินในที่สุด........และต้องหันกลับไปกินอาหารรสจัดแบบไทยๆต่อ.....จึงทำให้ต้องกลับไปมีปัญหาทางด้านสุขภาพต่อไป จากคุณ : tansy - [ 27 พ.ค. 47 13:22:22 A:169.210.100.81 X: ]

ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อผู้หญิงคนนี้เลิกกินอาหาร macrobiotic และหันกลับไปกินอาหารไทยรสจัดๆเหมือนเดิม....โรคกระเพาะเธอก็ไม่กลับมาอีกเลย แต่ manic depression เริ่มแสดงอาการรุนแรงมากขึ้น ทุกงานที่เธอไปทำเธอจะต้องถูกไล่ออกหรือโดนเพื่อนรุมแกล้ง เนื่องจากเธอไปใช้ arrogance สร้างความไม่พอใจให้เพื่อนร่วมงานจนต้องทะเลาะวิวาทถึงขั้นชกต่อยกัน ซึ่งบางครั่งลงเองถึงขั้นใช้อาวุธร้ายแรงทำร้ายร่างกายกัน...... พอเธอเปลี่ยนจากโมโหเป็นซึมเศร้า เราขอร้องให้เธอกลับไปฝึก Macrobiotics ต่อ เธอ (กลัวไม่มีเพื่อน) ก็ยอม แล้วอาการโมโหร้ายของเธอก็หายไป......ถัดจากนั้น เธอก็กลับไปกินอาหารไทยเผ็ดๆที่มีน้ำตาล, ผงชุรสอีก เธอก็ป่วยอาละวาดอีก.......เราก็พยายามย้ายบ้านหนีไป เพื่อไม่ให้เธอตามเราเจอ....เธอก็ตามเราจนเจอและสัญญาอีกว่าจะกลับไปฝึก Macrobiotics อีกเพราะไม่อยาก โดนการรักษาด้วย psychiatry โดยใช้ lithium carbonate (มันมีผลข้างเคียงต่อคนไข้มากๆ).....เราตกลงยอมรักษาเธออีกด้วย Macrobiotics อีก พอเธอดีขึ้นเธอก็ไปกินอาหารไทยรสจัดๆอีก...แล้วก็ป่วยอาละวาดอีก ....เราก็พยายามย้ายบ้านหนีเธออีก โดยการถอนเงินมาหมดธนาคารเอาไปให้เธอ เพื่อให้เธอเอาไปใช้จ่ายก่อนหางานใหม่ได้........เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำๆเวียนๆกัน ในรอบหลายปี ปรากฎว่าเงินจำนวนที่เราจ้างให้เธอไปห่างๆเรา รวมกับเวลาที่เราต้องเสียไปเพราะทำงานไม่ได้.....ทำให้เราตกอยู่ในสภาพที่ "ล้มละลาย" ...... จากคุณ : tansy - [ 27 พ.ค. 47 13:23:20 A:169.210.100.81 X: ]

ความคิดเห็นที่ 68 ถ้าเราไม่ arrogant คือไม่คุยโวว่ารักษาโรคกระเพาะเธอได้ เราก็คงไม่ต้องประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้ ......ถ้าเราไม่เจอผู้หญิงคนนี้ ป่านนี้เงินที่เราหาได้จากการแปลงานด่วนๆไวๆ คงมากพอ จนเรา retired มีเงินหลายล้านบาท วันๆหนึ่งนั่งอ่านแต่หนังสือหาความรู้ ไม่ต้องมานั่งแปลงานอีก ......เมื่อในอดีตถึงเรารับงานแปลราคาถูกแต่เนื่องจากว่า เราไม่รู้ว่า "โดนภาษาไทยหลอก" เราโง่แปลไปตรงๆตัว (แล้วโดนภาษาไทยหลอก) เราจึงแปลผิดและแปลเร็วมาก (บางทีวันหนึ่งแปลได้ถึง 40 กว่าหน้า) ได้เงินไวมากๆ .....ช่วงหลังๆเนี่ยเมื่อเราสร่างเมา เรารู้ว่า "โดนภาษาไทยหลอก" เราเลยแปลได้ช้า จนลงเอยเครียด ......โชคดีที่เพิ่งมาได้งานใหม่ง่ายทำ....หวังว่าคราวนี้เราคงตั้งตัวได้ซักที.....เฮ้อ!!!!.......แล้วถ้าสำเร็จ เราจะเอาเงินที่หาได้ไปเขียนหนังสือเองพิมพ์ขายเอง เรื่องศาสตร์เร้นลับต่างๆ .....เนื่องจากติดต่อสำนักพิมพ์เพื่อแปล ไม่เคยได้ ....อ่านจับใจความแล้วเขียนเองลงทุนพิมพ์เองจะง่ายกว่า........ จากคุณ : tansy - [ 27 พ.ค. 47 13:24:47 A:169.210.100.81 X: ]

ความคิดเห็นที่ 69 ผลพวงของเรื่องผู้หญิงคนที่เราช่วยรักษาโรคกระเพาะได้ แต่เรารักษา manic depression ไม่ได้ (เพราะเธอไม่ยอมให้ความร่วมมือ) ......มีผลร้ายมาจนถึงวันนี้ นั่นก็คือทุกครั้งที่เราพูดถึงเรื่องอะไร ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด ที่เราเคยไป ....จริงๆแล้วเราลืมผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว แต่เราพูดถึงสถานที่ว่าเป็นที่ท่องเที่ยวหรือเรื่องผู้คน หรืออาหาร โดยทั่วไป.... คนที่อยู่ใกล้เราในปัจจุบัน นี้จะโกรธมาก โดยการโยงไยไป โดยการกล่าวหาเรา ว่าเรายังอาลัยอาวรณ์ผู้หญิงคนเก่า....(ทั้งๆที่เราไม่ได้คิดถึงคนเก่าๆด้วยความรัก แต่คิดเจ็บใจที่ตัวเองดันทุรังอวดเก่ง ไปรักษาเธอ)....มันร้ายแรงถึงกับยืดเยื้อทำให้เราแปลงานได้น้อยเกินเป้าที่ตั้งไว้ .......จนในรอบ 3 ปีครึ่งที่ผ่านมาที่อยู่กับผู้หญิงคนปัจจุบัน เราทำเป้าในการแปลได้ต่ำเกินไป คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 5-6 แสนบาท .......คือควรจะได้ค่าแปลไปหลายล้านบาท แล้วกินไปดื่มไปแล้วถ่ายลงส้วมแล้วชักโครกไป แล้วยังเหลือเงินประมาณ 5-6 แสนบาท ...แต่กลายเป็นไม่ได้) เพราะการที่คนที่อยู้ใกล้ตัวเรา ดึงเรื่องในอดีตมาพูดให้เป็นการทะเลาะวิวาทกัน ......จนบ้านแตก.... จากคุณ : tansy - [ 27 พ.ค. 47 13:25:35 A:169.210.100.81 X: ]

ความคิดเห็นที่ 70 แต่ตอนนี้หลังจากต่อสู้กับเรื่องวุ่นๆมา เราได้งานใหม่หมูๆได้เงินมากๆ ดังนั้น เราจึงต้องปลีกตัวไปอยู่คนเดียว (หาความวิเวก) เพื่อหาเงินก้อนใหญ่ (จากการแปลงานใหม่หมูๆของเรา) เพื่อเอากลับไปเปิดโรงเรียนติวภาษาอังกฤษใหม่....ซวยพับผ่าเลยตู......ไม่น่าดันทุรังมาเป็นนักแปลเล้ย (ตอนแรกติวข้อสอบภาษาอังกฤษ ทำงาน 3-4 ชั่วโมงได้เงินมากเท่ากับทำงานแปล 20 ชั่วโมง (ขนาดแปลเร็วแบบสายฟ้าแลบนะ)....บ้าจริงๆนะไอ้ความอยากเป็นนักแปลของเราน่ะ.....!!!!) และซวยพับผ่าเลย ไม่น่าไปเชื่อนักแปลบางคนเล้ย ที่มาเขียนกระทู้ไว้บนกระดานข่าวว่า "ติดต่อสำนักพิมพ์ได้เองไม่ต้องมีเส้นค่ะ....ขนาดอยู่ต่างประเทศ ส่ง mail มาติดต่อยังได้แปลเลยค่ะ"........ไอ้เราดันทุรังติดต่อสำนักพิมพ์ไปเสียเวลาเสียประสาทไปมากอีกตั้งเกือบหนึ่งปี แต่ก็ยังไม่ได้แปล ....สักที ....บ้าที่สุดเลย........เร็วๆนี้เราต้องกลับไปติวข้อสอบภาษาอังกฤษได้สำเร็จ จนมีเงินพอที่จะเขียนหนังสือเองพิมพ์เองขายเองได้เสียที........ไปก่อนหละ นี่มาเขียนทิ้งทวนไว้ ก่อนเดินทางกลับ กทม ...เมื่อวานดื่มหนัก เช้านี้เพิ่งหายเมาค้าง...แล้วสบายดีแล้ว..สบายมากหายห่วงเลย....ฮ่าๆๆๆๆๆๆ.....!!!!!!!! จากคุณ : tansy - [ 27 พ.ค. 47 13:26:19 A:169.210.100.81 X: ]

ความคิดเห็นที่ 71 โหต้องตีมือตัวเอง "เพี๊ยะ" .....!!!! ..."กระเพาะ" นะ ไม่ใช่ "กะเพาะ" ........สะกดผิดทุกทีเล้ย.....ไม่ว่ากันนะ ..... ส่วนเรื่องยายยุ๊ยกินส้มตำกับปูดองแล้วปวดท้องน่ะ ....จะบอกให้ว่า ต่อให้ไม่มีเชื้อโรค ก็ปวดท้องได้ เนื่องจากตามตำราโบราณ เขามีสูตรว่า อาหารบางชนิด ถ้ากินพร้อมกับอาหารบางชนิด เมื่อครบสูตร (ครบส่วนผสม) ของมัน มันจะรวมตัวกันออกฤทธิ์กลายเป็นเหมือนกับ "ยาสั่ง" มันจะทำให้ปวดท้องได้มากๆ...แล้วถ้าอยากรักษาโรคกะเพาะจริงๆก็ต้องหยุดกินนมวัว หยุดกินน้ำตาล หยุดกินผงชูรส แล้วลองกินอาหารจืดๆดู ลองฝึก Macrobiotics ดูสิ.....ไปซื้อตำราอ่าน ฝึกเอาเองนะ......ไม่รับรักษา....เข็ดแล้วง่ะ.......5555........ ไปพักเที่ยงจะดีกว่า........อิๆๆๆ.... จากคุณ : tansy - [ 27 พ.ค. 47 13:42:53 A:203.172.51.87 X: ]

ความคิดเห็นที่ 72 โอ้ ยุ้ยเอ๋ย ชีวิตที่กินเต้าหู้ ไม่กินนม ไม่กินน้ำตาล ไม่กินผงชูรส ไม่ได้กินส้มตำปู โห.................... จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 27 พ.ค. 47 14:30:19 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ง่ะ ทำไมชีวิตท่านพี่มันเว่อร์ยิ่งกว่านิยายอีกล่ะคะ Do I have do discount what you say? จริงๆทำได้แน่นอนถ้ามีคน support นะ แบบเตรียมอาหารให้ เพราะใจรักอยู่แล้ว ที่บ้านมีหนังสือดร.สาทิสแทบทุกเล่ม เป็นสมาชิกนิตยสารชีวจิต ฯลฯ เมื่อวันก่อนช่วงที่ไม่สบายก็นอนอ่านหนังสือ Detox ไปอีก 2 เล่ม อ่านเรื่องพวกนี้เยอะมากจนคิดว่ามีความรู้ด้านนี้ไม่แพ้พี่ tansy เท่าไหร่ (ที่บ้านจะเปิดห้องสมุด Alternative Medicine ขนาดย่อมก็คงจะพอได้) แต่ก็คงเป็นแค่นักอ่าน/นักวิชาการเท่านั้น เพราะชีวิตจริงทำไม่ได้ ไม่มีใครเตรียมอาหารให้ และคนรอบข้างไม่ให้ความร่วมมือ ยุ้ยก็ไม่ใช่คนแบบที่จะเอาอาหารชีวจิตมานั่งทานตอนกลางวันคนเดียว ไม่ไปทานข้าวกับเพื่อน คือ เราก็มี social life ง่ะ (ที่สำคัญก็คือไม่มีคนทำอาหารชีวจิตให้ล่ะ หาซื้อก็คงยาก และก็ไม่รู้ซื้อที่ไหนด้วย ทุกวันนี้ไม่เคยมีเวลาซื้อของกินของใช้เลย) หรือจะให้ใช้วิธีไปกินข้าวกับเพื่อนแต่นั่งมองเค้าทาน อันนี้ก็โหดร้ายต่อจิตใจเกินไป ก็ึคงต้องรอให้คนมีเพื่อน/ครอบครัวที่เค้าสนใจจะปฏิบัติเหมือนกันล่ะ ไม่งั้นมันก็ลำบากใจ ทำไมพี่ tansy แปลได้ปีละหลายๆล้านเลยเหรอคะ ไหนว่าอาชีพนักแปลไส้แห้งไง โห รายได้สูงลิบ... (ส่วนจะมีเงินเก็บหรือเปล่านั่นมันขึ้นอยู่กับการบริหารรายจ่าย) แปลกดี รู้สึกว่าเรา 2 คนนิสัยต่างกันมากๆ เหมือนไม่น่าจะ get along แต่กลับมีความสนใจ (แปลกๆ) เหมือนกันหลายเรื่องแล้วนะ จากคุณ : Goddess - [ 27 พ.ค. 47 15:05:02 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ยุ๊ย..เรื่องชีวจิตหรือ ด.ร.สาทิตน่ะ ยังไม่คุยหรอก....เอาไว้กลับถึง กทม แล้วจะทำเว็บใหม่ ไม่ใช่เรื่องแปล แต่จะเป็นเรือง esoteric arts.....แต่เรื่องแปลน่ะ.....จะบอกรายละเอียดให้.... ส่วนเรื่องแปลนะ ถ้าพี่ไปติดต่อขอสำนักพิมพ์แปลเรื่องแฮรี่พ๊อตเตอร์หรือลอร์ดออฟเดอะริงน่ะ ....(นักแปลได้เป็นล้านๆบาท)ไม่มีสำนักพิมพ์ที่ไหนจ้างพี่หรอก...แค่ติดต่อแปลหนังสือเรื่องเต๋า(ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ...กะตีตลาด) ก็ยังไม่ได้แจ้งเกิดเลย .....แล้วไอ้ที่มีนักแปลมาคุยว่าขาใหญ่ แปลที่หนึ่งหน้าละ 3,000 - หรือแปล ไม่กี่หน้า (คงหน้าละเป็นหมื่นๆบาท) ก็ซื้อบ้านได้ พี่ก็ว่ามีจริง ...แต่พี่เป็นพวก the underprivileged ........ในสถานการณ์ของพี่ พี่รับแปลหน้าหนึ่งแพงๆ มันทำให้ไม่มีงานทำ พี่จึงต้องแปลให้มันราคาถูกแต่แปลเร็วกว่าคนอื่นและคุณภาพพอเป็นที่ยอมรับของลูกค้าได้.....บางคนเห็นราคาต่อหน้าแล้วหัวเราะเยาะพี่ .....แต่พี่ ยึดหลักที่ว่า "ราคาพอสมควรแต่มีงานทำทุกวัน และลูกค้าจ่ายเงิน 100% sure" ....ภายใน 8-10 ชั่วโมง ถ้าพี่อยู่คนเดียว โดยไม่มีนกแก้วนกขุนทอง พูดมาก ชวนทะเลาะอยู่ข้างๆ ......งานราคาถูกๆแค่หน้าละ 200-300 บาท พี่น่าจะแปลได้เงินไปประมาณ 3,000 - 4,000 บาท ต่อวัน มีงานให้ทำทุกวัน ......เดือนหนึ่งน่าจะทำได้เลย 100,000.00 บาท ....แต่ส่วนใหญ่จะไม่ทำ ขอเอาแค่ 60% จำนวนที่ว่า ก็พอ (โดยทำงานแค่ 4-5 ชั่วโมง) ทั้งนี้ เพื่อเอาเวลาไปเรียนรู้เรื่องอื่น (แต่ยามที่ต้องซื้ออะไรเยอะๆ..เช่น computer software & hardware เดือนหนึ่งเลยแสนบาทก็ต้องแปล) .....ดังนั้น จึงต้องหาความวิเวก (ไม่ให้มีนกแก้วนกขุนทองคอยรบกวนพูดมากอยู่ข้างๆง่ะ.....!!!???......สรุปแล้ว ที่พี่เป็นนักแปลไส้แห้งก็เพราะ นกแก้ว นกขุนทอง (ที่น่ารัก) นี่แหละ .....555 ก๊ากๆๆๆๆ จากคุณ : tansy - [ 27 พ.ค. 47 15:51:22 A:169.210.100.140 X: ]

ความคิดเห็นที่ 75 ฮา.................สำนวนแห่งปี นกแก้ว นกขุนทอง ที่น่ารัก ........ ขออนุญาตอีกที ฮา.................... จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 27 พ.ค. 47 16:46:02 ]

ความคิดเห็นที่ 76 http://www.seventranslation.com/webboard/show.php?Category=seventranslation.com&No=293613 ถ้าคุณแอ๊ดว่าง ขอเรียนเชิญทางนี้หน่อยนะครับ ขอบคุณครับ วันนี้ง่วงจังเลย ฮ้าวววววววว จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 27 พ.ค. 47 22:10:06 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ไปตอบมาแล้วนะครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 27 พ.ค. 47 23:00:16 ]

ความคิดเห็นที่ 78 โห รวดเร็ว ขอบคุณครับ _/\_ จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 28 พ.ค. 47 09:12:37 ]

ความคิดเห็นที่ 79 วันนี้เอาอาหารญี่ปุ่นกล่องมานั่งกินที่โต๊ะล่ะ (เริ่มทำตัวเป็นพวก Anti-Social แล้ว 555) ได้ความรู้สึกดีมากๆ ที่ได้ทานอะไรที่มัน healthy หน่อย คือวันนี้โชคดีเพราะออกไปสัมมนาข้างนอกแล้วเจอเค้ามาวางขายพอดี แต่ปกติแล้วแถวที่ทำงานหรือแถวบ้านไม่มีอาหาร healthy พวกนี้ขายหรอกค่ะ พี่ tansy ทำมาวางขายมั่งดิ น่าจะขายดีนะคะ ถามต่ออีกนิดนะคะว่า รายได้ค่าแปลนี่เสียภาษีหรือเปล่า จากคุณ : Goddess - [ 28 พ.ค. 47 12:49:12 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ผมก็เพิ่งกินอาหาร health food มาเหมือนกัน คุยเสียหน่อย รายการแรกเป็นเครื่องดื่ม แม้จะหมักจากองุ่นเน่า แต่ว่าอุดมด้วย tannin และ antioxidant เขาว่ากินวันละสองแก้วแล้วป้องกันโรคหัวใจ วันนี้กินไปสี่แก้ว น่าจะป้องกันโรคหัวใจเป็นสองเท่า รายการที่สองเป็นอาหารสมุนไพร ประกอบด้วย ขิงหั่นเป็นลูกเต๋า ตะไคร้หั่นเป็นแว่น กุ้งแห้ง ถั่วลิสง เป็นหลัก รายการที่สาม ต้มยำปลาช่อนน้ำใส ปรุงรสแต่งกลิ่นด้วย ใบมะกรูด ตะไคร้ หัวหอมแดง พริกขี้หนูบุบๆสองสามเม็ด น้ำปลาดี ใส่มาในหม้อไฟ รายการที่สี่ ผัดผักรวมมิตร มีทั้งเห็ดหอม ผักกาดขาว ยอดคะน้า สาหร่ายทะเล หน่อไม้ฝรั่ง รายการที่ห้า แกงป่าไก่ มีผักหลากชนิด มะเขือ หน่อไม้ ฯลฯ ปรุงกลิ่นด้วย พริก ตะไคร้ ใบมะกรูด และที่ขาดมิได้คือเม็ดพริกไทยอ่อน แบบว่าลูกน้องเขาติดยศ เขาเลยพาไปเลี้ยงข้าวกลางวัน ว่าแต่เฮียแท่นสี ขวัญใจชาวแมโครไบโอติกเห็นเข้าคงตาเหลือก จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 28 พ.ค. 47 13:41:04 ]

ความคิดเห็นที่ 81 "ว่าแต่เฮียแท่นสี ขวัญใจชาวแมโครไบโอติกเห็นเข้าคงตาเหลือก" ไม่ใส่น้ำตาลก็เป็นใช้ได้ล่ะครับ ;-) จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 28 พ.ค. 47 14:16:59 ]

ความคิดเห็นที่ 82 อ่านเสร็จน้ำลายสอเลยง่ะ พักนี้เที่ยวไม่ได้เพราะลูกเข้าเรียนแล้ว เด๋วไม่มีคนไปส่งลูก ถามต่อเลยครับ จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Coeliac Coeliac disease (Redirected from Coeliac) Coeliac disease (also termed sprue, celiac disease and gluten intolerance) is an autoimmune disease characterised by chronic inflammation of the proximal portion of the small intestine caused by exposure to a dietary protein - gluten. Pathologic changes to the structure and function of the small bowel's mucosa impair the body's ability to digest or absorb nutrients from food. The principal cause of the disorder is an immunologic reaction to components of dietary gluten. This is a cell-mediated reaction, not a typical IgE type allergy. The targets of the immunologic response are gliadins, proteins contained in the gluten component of wheat, barley, rye, and oats. คำว่า Coeliac disease นี่โรคอะไรครับ ดูจะคล้ายๆ ภูมิแพ้ แล้ว gluten ที่เขาแพ้นี่ ใช่แป้งหรือเปล่า ตอบยุ้ยครับ ค่าแปลส่วนใหญ่ถ้าแปลให้บริษัทจะเสียภาษี ไม่ว่าจะบริษัทแปลหรือบริษัททั่วไป แถมแปลเสร็จต้องรอรอบชำระเงินเหมือนติดต่อค้าขายกับบริษัททั่วไปนี่แหละ เร็วหรือช้า เอกสารยุ่งหรือเปล่าขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายบัญชีเป็นเต่าหรือเป็นกระต่าย แต่ถ้าแปลให้ร้านที่เขาไม่จดทะเบียนเช่นตามหน้ามหาวิทยาลัย หรือแปลเอกสารราชการที่เป็นเอกสารส่วนบุคคลก็ไม่เสียครับ โดยขั้นตอนคือ แปลเสร็จเราก็ยื่น invoice ระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีไป พอถึงรอบชำระเงิน ถ้าฝ่ายบัญชีดี เขาก็แค่หัก ณ ที่จ่าย แล้วออกเอกสาร 50 ทวิมาให้เรา โดยระบุประเภทค่าใช้จ่ายเป็นข้อ 5 ค่าบริการ ถ้าจู้จี้หน่อย เขาจะขอสำเนาบัตรประชาชนพร้อมลายเซ็น อาจให้ส่งแฟกซ์ไป ถ้าจู้จี้ถึงที่สุด เขาจะขอสำเนาบัตรประชาชนพร้อมลายเซ็นที่เราต้องเอาไปให้เองหรือส่งไปรษณีย์ไป เผลอๆ ต้องไปเซ็นเอกสารรับเช็คอีกด้วย เรื่องของเรื่องคือฝ่ายบัญชีจะเก็บเอกสารไว้ป้องกันตัว นักแปลบางคนไม่เสียภาษีก็มี เพราะไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี สมัยก่อนยังใช้เลขบัตรประชาชนแทนไม่ได้ บางบริษัทเขาพอหยวนๆ แทงรายจ่ายเป็นเบ็ดเตล็ดได้ แต่บางบริษัทเขาไม่ยอม โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ ก่อนส่งงานเขาจะถามก่อนเลยว่าเป็นบริษัทหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่เขากลัวหักภาษีไม่ได้ เราต้องไปสอนเขาอีกว่า ถึงไม่ใช่บริษัท เขาก็หักภาษี ณ ที่จ่ายได้ จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 28 พ.ค. 47 16:08:47 ]

ความคิดเห็นที่ 83 แต่แปลกแฮะ คนสนใจเรื่องภาษีนักแปลเยอะนะ วันก่อนน้องแฟนมาที่บ้านก็ถามเรื่องนี้ แล้วเร็วๆ นี้แฟนไปเจอลูกพี่ลูกน้องกันอีกคนเขาก็ถามถึงเรื่องนี้เหมือนกันว่าเราเสียภาษีหรือเปล่า จำได้ว่าก่อนนั้นเคยถูกเพื่อนถามเหมือนกัน นอกจากนี้หลายคนยังบอกว่า เพิ่งรู้ว่าอาชีพนี้ทำเป็นอาชีพหลักได้ อืม หลายคนคิดว่าเป็นนักแปลต้องมีใบรับรองเหมือนเป็นไกด์ หรือต้องเป็นสมาชิกสมาคมฯ นักแปลบางคนกลัวไม่ได้งานเลยอำลูกค้าส่งว่าต้องมีนั่นมีนี่ เป็นอาชีพในแดนสนธยาจริงๆ จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 28 พ.ค. 47 16:19:16 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ยุ้ยสนใจศึกษาเรื่องนี้อยู่แล้วค่ะ ตอนเรียนป.ตรี หนึ่งใน major ที่เรียนก็เรื่องการจัดเก็บภาษีของรัฐนี่ล่ะค่ะ (แต่เรียนในแง่วิชาการเศรษฐศาสตร์ การกระจายรายได้ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเป็นธรรม ฯลฯ) แต่ตอนนี้สนใจในเชิงปฏิบัติมากกว่า ภาษีเป็นเรื่องสำคัญมาก คนส่วนใหญ่สนใจแต่รายได้ (Gross income) ไม่สนใจเรื่องภาษี ทั้งๆที่มันสูงถึง 10-42% ของรายได้ ถ้าเรา tax literate ก็จะเพิ่ม Net income ให้เราได้ I'm not talking about tax evasion, alright? That's illegal. "Nothing in life is certain but death and taxes. Only taxes get worse each year." จากคุณ : Goddess - [ 28 พ.ค. 47 17:08:17 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ยุ้ย ทำไมคิดว่าขาคุณบุศบรรณเล็กกว่าขาพี่? :-) จากคุณ : Pee Kay - [ 28 พ.ค. 47 19:16:49 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ...ถ้าเรา tax literate ก็จะเพิ่ม Net income ให้เราได้... ง่า..มองในแง่ผู้ประกอบการหรือภาครัฐล่ะนี่ คำว่าเราน่ะ เราไหน จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 28 พ.ค. 47 22:39:13 ]

ความคิดเห็นที่ 87 gluten ไม่ใช่แป้งแต่เป็นโปรตีนครับ มีในธัญพืชอย่างที่คุณพ่อมาแปะนั่นแหละ ปัญหาคือ โปรตีนที่ว่านี้เป็นโปรตีนที่ร่างกายบางคนไม่รับ เกิดอาการแพ้ ร่างกายมันเลยสร้างเซลล์ที่คอยตระเวนทำลายโปรตีนที่มันถือว่าแปลกปลอมและเซลล์ที่ว่านี่ก็ทำงานแบบโอเวอร์ไทม์คือขยันมาก ไปฟัดเอาเซลล์บุลำใส้ของตัวเองเข้าด้วย จึงเป็นโรคภูมิแพ้อย่างหนึ่งแต่เป็นการแพ้แบบที่ระบบภูมิคุ้มกันมันทำลายเนื้อเยื่อของตัวเอง โรค celiac disease นี้ทำให้ลำใส้เล็กส่วนต้นอักเสบ เมื่ออักเสบมันก็ทำให้ดูดซึมอาหารไม่ได้ คนเป็นก็แย่ ท้องอืด ท้องเสีย ไปตามเรื่อง ผอมลงๆเพราะอาหารไม่มี จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 29 พ.ค. 47 00:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ขออนุญาตอธิบาย"future market"คร่าวๆสักนิดนะคะ หมายถึงตลาดที่ซื้อขายสินค้าล่วงหน้า คล้ายๆกับประกันราคาสินค้าไว้ก่อนโดยมีการซื้อขายล่วงหน้าทั้งๆที่สินค้ายังไม่ออกมาสู่ท้องตลาด โดยมากเป็นพวกcommodiitiesทั้งหลาย อย่างเช่นสินค้าเกษตร ได้แก่ ข้าว ถั่วชนิดต่างๆ และสินค้าที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติค่ะ เช่นทองแดง เงิน เป็นต้นค่ะ จากคุณ : ** ผู้หญิงไทย ** - [ 31 พ.ค. 47 06:56:04 ]

ความคิดเห็นที่ 89 อา แสดงว่าคุณผู้หญิงไทยนี่ต้องอยู่ในวงการเดียวกับ fun manager คนเก่งของเราแหงเลย รู้จักกันอ๊ะเปล่า จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 31 พ.ค. 47 08:53:51 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ขออนุญาตแก้ #88 นิดนะคะ "futures market" ค่ะ (ถ้า future market นี่อาจเป็นตลาดในอนาคตนั่ง time machine อย่างที่ว่าจริงๆ) เมืองไทยเพิ่งเริ่มเปิดตัวเทรดเมื่อวันพฤหัสที่แล้ว (เห็นว่าตลาดไม่คึกคักเลย) ในขั้นต้นจึงมีแต่ commodities แต่ตลาด futures ทีใหญ่ๆ จะเทรดตราสารทางการเงินด้วย ทั้ง stock futures, currency futures, bond futures, etc. จากคุณ : Goddess - [ 31 พ.ค. 47 12:05:56 ]

ความคิดเห็นที่ 91 มีสินค้ากันจริงๆ หรือเปล่าครับเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ตามข่าวหลายปีดีดักแล้ว เมื่อสักสิบห้าสิบหกปีก่อน รู้สึกจะเป็นการเก็งตัวเลขเฉยๆ ต่อมารัฐให้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย สงสัยว่าถ้าตอนนี้มีตัวสินค้าจริง (คาดว่ามีจริงนะ) แล้วเขาทำไงกันหนอ จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 31 พ.ค. 47 12:37:41 ]

ความคิดเห็นที่ 92 อาราย จะสอบอยู่แล้วยังไม่ไปเก็บตัวดูหนังสืออีก ยังมาวิ่งเล่นอยู่ได้ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 31 พ.ค. 47 14:03:20 ]