ความคิดเห็นที่ 1 คิดว่าคน ควรจะได้รับการปฏิบัติเท่าเทียมกัน อะไรที่มันไม่เข้ากับยุคสมัยก็ต้องปรับและเปลี่ยนไปตามเวลา วัฒนธรรมลานนาคงไม่ถึงขนาดโดนย่ำยี เพราะผู้หญิงอยากเข้าไปทำความเคารพลำเวียงหรอกกระมังคะ จากคุณ : mrs.night owl - [ 4 ก.ค. 47 22:20:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เท่าเทียมก็ต้องดูกาละเทศะ วัฒนธรรมสังคมไทย บ้างก็ดีนะอีกหน่อยเวลาตักบาตรพระก็ยื่นไปให้พระท่านรับไม่ต้องรองผ้าแล้วให้วางไว้บนผ้าเหมือนแต่ก่อนสินะ ? หรือเวลาเดินในทางแคบที่ต้องสวนกับพระสงฆ์ก็ฝ่าไปไม่ต้องหลบท่านด้วยน่ะเหรอ? ที่เรียกว่าเท่าเทียมน่ะ อยากเท่าเทียมก็สมัครเป็นทหารลงมาดูแลเหตุการ์ณทางภาคใต้ด้วยสิจะได้เท่าเทียมเหมือนทหารหญิงเมกันที่ไปรบอีรัคไง จากคุณ : รู้สึกว่าเท่าเทียมเกินไปนะ - [ 4 ก.ค. 47 22:40:37 A:202.47.247.146 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 อีกหน่อยเห็นผู้ชายปีนองค์พระธาตุ ก็คงอยากจะตะกายขึ้นไปจนถึงยอดพระธาตุบ้างกระมัง สิทธิความเท่าเทียมอ่ะ อิอิอิ จากคุณ : บึ๊ยยย - [ 4 ก.ค. 47 22:47:18 A:210.86.146.165 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 "ชาวล้านนาถือนักหนาครับเกี่ยวกับสตรีที่จะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติทางศาสนาของชาวล้านนา ที่ในบางกรณีไม่สามารถปฏิบัติได้เยี่ยงผู้ชาย" ที่ถือๆกันน่ะ ไม่ทราบว่าเค้ากำหนดข้อห้ามนั้นมากี่ร้อยปีแร้วครับ นี่ พ.ศ. ไหนกันแล้วคุณ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว จากคุณ : เมธาวดี - [ 4 ก.ค. 47 23:03:44 ]

ความคิดเห็นที่ 5 วัฒนธรรมของใคร ใครก็หวงนะครับ แม้กระทั่งคนล้านนาเองที่เป็นผู้หญิงเขาก็ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน แล้วนี่ตัวเป็นใคร เป็นคนต่างถิ่น ต่างจารีต ริอาจทำการใหญ่ ไม่เกรงใจประเพณีนิยมของคนอื่น แล้วมาอ้างสิทธิความเท่าเทียม นี่มันวัฒนธรรมไม่ใช่กฎหมายหรือระเบียบต่าง ๆ ที่ตราขึ้นมาบังคับใช้หรือให้ประโยชน์ในสังคม อุตส่าห์ไต่เต้ามาถึงวุฒิสมาชิกเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ คิดได้เท่านี้ ก็พอรู้จัก "กึ๋น"ของสตรีไทยชั้นสูงนางนี้แล้วละครับ ส่วนคุณความคิดเห็นที่ 1 อย่าหาว่าตำหนิเลยนะครับ ถ้าสมมติว่าบ้านของคุณมีกฎห้ามมิให้ใส่รองเท้าเข้าบ้านหรือขึ้นถึงเตียงนอน แล้วคนต่างถิ่นไม่ยอม อ้างว่าที่บ้านของเขายังทำได้ ผมใคร่รู้ว่าคุณจะตอบคนต่างถิ่นนั้นว่ากระไร จะยอมหรือไม่ ช่วยตอบหน่อย จักเป็นพระคุณ "วัฒนธรรมของคุณ คุณยังรักษา วัฒนธรรมของล้านนา จะมิให้เรารักษาเยี่ยงนั้นฤา" ให้เกียรติซึ่งกันและกัน แผ่นดินย่อมเป็นสุขครับ จากคุณ : เจ้าเจ็ดตน - [ 4 ก.ค. 47 23:04:58 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เท่าเทียมก็ต้องดูกาละเทศะ วัฒนธรรมสังคมไทย บ้างก็ดีนะอีกหน่อยเวลาตักบาตรพระก็ยื่นไปให้พระท่านรับไม่ต้องรองผ้าแล้วให้วางไว้บนผ้าเหมือนแต่ก่อนสินะ ? ที่คุณเอาเรื่องกาละเทศะ วัฒนธรรม สังคม ขึ้นมาอ้าง มันไม่เห็นจะเข้าเรื่องเลย ผู้หญิงต้องการเคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มันแย่มากไหม เรื่องพระนี่ อันนี้ขึ้นอยู่กับพระ ดิฉันมีหน้าที่ถวายอาหาร พระจะรับยังไงเรื่องของพระ หรือเวลาเดินในทางแคบที่ต้องสวนกับพระสงฆ์ก็ฝ่าไปไม่ต้องหลบท่านด้วยน่ะเหรอ  อันนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการประกอบกิจ ถ้ารีบก็ต้องไปก่อนล่ะนะ ต้องทำมาหากิน ที่เรียกว่าเท่าเทียมน่ะ อยากเท่าเทียมก็สมัครเป็นทหารลงมาดูแลเหตุการ์ณทางภาคใต้ด้วยสิจะได้เท่าเทียมเหมือนทหารหญิงเมกันที่ไปรบอีรัคไง ดิฉันคิดว่าความเท่าเทียมไม่ได้วัดที่ว่า ต้องเป็นทหารแล้วแสดงถึงความเท่าเทียม ทุกคนทำหน้าที่ และบทบาทต่างกันไป และยืนยันว่าทุกอย่างมันต้องปรับตามวันเวลา แต่ก่อนคนยังโง่ ก็บูชาไฟ เอาคนทิ้งลงไปในปล่องภูเขา นั่นคืความไม่รู้ ผู้หญิงบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของอะไรก็ตาม ดังที่เชื่อกันมาสมัยหลายร้อยปีก่อน โลกแบนดังที่เคยเชื่อ ความไม่รู้เหล่านั้น ควรถูกทำให้หมดไป ตอบความคิดเห็นที่ห้า บ้านเป็นที่ส่วนบุคคลค่ะ อยากให้ใครเข้าก็ได้ ตามอัทยาศัยของเจ้าของบ้าน ถ้าสถานที่นั้นเป็นที่ส่วนบุคคล คุณจะตั้งกฎอย่างไรก็ได้ค่ะ แต่ถ้าเป็นของสังคมส่วนรวม นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คนในสังคมมีสิทธิ์ที่จะทวงถามสิทธิ์ที่เขาคิดว่าตนพึงมี และดิฉันคิดว่าเป็นสิ่งดี แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 47 23:18:34 จากคุณ : mrs.night owl - [ 4 ก.ค. 47 23:13:56 ]

ความคิดเห็นที่ 7 นี่ถ้าผู้ชายทุกยุคทุกสมัยคิดอย่างเจ้าของกระทู้ สังคมมนุษย์ในปัจจุบันคงจะพิลึก ลองคิดกันดูเล่นๆครับ ว่า ถ้าผู้ชายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันคิดอย่างเจ้าของกระทู้ สังคมเราในยุคนี้จะเป็นยังไง ๑. เราคงไม่มีโอกาสได้เห็นผู้หญิงออกมาทำงานนอกบ้านเพราะ... "ชาวไทยถือนักหนาครับเกี่ยวกับสตรีที่จะเกี่ยวข้องกับการออกมาทำงานนอกบ้าน ที่ไม่สามารถปฏิบัติได้เยี่ยงผู้ชาย" ๒. เราคงเห็นแต่ผู้ชายนั่งดูทีวีอย่างเดียว งานบ้านไม่แตะ ลูกร้องก็ตะโกนเรียกเมียเพราะ... "ชาวไทยถือนักหนาครับเกี่ยวกับเกี่ยวกับที่ผู้ชายจะต้องทำงานบ้าน ที่ไม่สามารถปฏิบัติได้เยี่ยงผู้หญิง" ๓. เราคงไม่มีโอกาสได้เห็นผู้หญิงใส่กางเกงยีนส์เพราะ.... "ชาวไทยถือนักหนาครับเกี่ยวกับสตรีที่จะเกี่ยวข้องกับการแต่งกาย ที่ไม่สามารถปฏิบัติได้เยี่ยงผู้ชาย" อ่ะ...ลองไปคิดกันดูเล่นๆ เรื่องหลายๆเรื่องที่ผู้หญิงเค้าทำไม่ได้กันในอดีตน่ะ กว่าเค้าจะทำได้อย่างทุกวันนี้ เค้าก็ต้องเจอกับแรงต้านจากผู้ชายอย่างเจ้าของกระทู้ในอดีตกันมาเยอะ เพราะเจ้าสองสามเรื่องที่ว่ามา ผู้ชายสมัยก่อนเค้าก็อ้างขนบประเพณีเหมือนเจ้าของกระทู้นั่นแหละว่า "ถือนักถือหนา" กันทั้งนั้น ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ขนบและวัฒนธรรมมันก็เปลี่ยนไปด้วย ผู้หญิงจะร่วมประเพณีทางศาสนาที่อดีตเค้าห้ามผู้หญิงจะเป็นไร ศาสนาคงไม่เสื่อมหรอก เขาไม่ได้ไปแก้ผ้าให้พระดูซะหน่อยหนิ เฮ่อออ สังคมไทย ผู้หญิงยังด้อยกว่าชายเหมือนเดิม จากคุณ : เมธาวดี - [ 4 ก.ค. 47 23:14:19 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรียนคุณเจ้าเจ็ดตน "ให้เกียรติซึ่งกันและกัน แผ่นดินย่อมเป็นสุขครับ " คุณแน่ใจแล้วหรือว่า วัฒนธรรมทางศาสนาที่ห้ามมิให้ผู้หญิงเข้าร่วมเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ข้อห้ามเหล่านั้นมันเกิดจากการหมิ่นสตรีมิใช่หรือครับ ไม่ว่าจะหาว่าเป็นเพศที่ทำให้เกิดกิเลส (แต่เคยเห็นแต่ผู้ชายข่มขืนผู้หญิงแฮะ ไม่เคยเห็นผู้หญิงข่มขืนผู้ชาย ไม่รู้ว่าเพศไหนกิเลสหนากว่ากัน) ไม่ว่าจะหาว่าร่างกายสตรีมีของสกปรกเช่นประจำเดือน (ทีน้ำอสุจิล่ะไม่คิดว่ามันโสโครก) สารพัดเรื่องครับ มันเกิดจากแนวคิดแบบนี้ทั้งนั้น แล้วคุณยังจะคิดว่าเจ้าการรักษาขนบแบบนั้นจะเรียกว่า ให้เกียรติซึ่งกันและกันได้ยังไง จากคุณ : เมธาวดี - [ 4 ก.ค. 47 23:19:16 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ศรัทธาใน หญิง-ชาย ก็มีค่าเท่ากัน การที่ผู้หญิง : อุบาสิกา จะเข้าไปสักการะพระธาตุ ไม่เห็นจะเกี่ยวกับการลบหลู่ หรือละเมิดสิ่งอันไม่ดีงามตรงไหน ถ้าหากบุคคลใดเห็นว่าเป็นของไม่สมควร จะไม่เข้าไปก็ถือเป็นสิทธิ์ของคนๆนั้น แต่โอกาสสำหรับผู้ที่ประสงค์จะเข้าไปกราบกรานสักการะ ควรจะพึงมี หรือถ้าหากจะมีการกล่าวอ้างถึงเพศสตรีว่าไม่บริสุทธิ์ เพราะมีประจำเดือน หรืออะไรต่างๆนานา ที่เกี่ยวกับเพศนั้น เรามันก็อ้ายคนเกิดมาจากช่องคลอดนั้นเหมือนกันทั้งสิ้น เรื่องนี้ผมเชียร์เจ๊เบียบ บางสถานที่ ยกตัวอย่างวัดหนึ่งในจังหวัดหนึ่งที่มีเงาพระธาตุสะท้อนผ่านรอยแตกหน้าต่างลงพื้น ก็ห้ามผู้หญิงขึ้นไปดู หลานสาวผมเด็ก ป.5 ก็ถามตามประสาเด็กว่า ทำไมเหรอ? นั่นสิ ทำไม??!!! จากคุณ : Ped-Degree - [ 4 ก.ค. 47 23:32:45 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เข้าใจแล้วครับว่า เหตุใดสุภาพบุรุษในสังคมไทย ถึงน้อยลง อาจเป็นเพราะว่าบุรุษเพศคงคิดว่าสตรีเพศที่กำลังร่ำร้องถึงสิทธิความเท่าเทียมกันนั้น มีความเสมอภาค ดังนั้น ขึ้นรถเมล์ก็ไม่จำเป็นต้องลุกให้ผู้หญิงนั่ง เป็นต้น อะไรที่เป็นจารีต เป็นวัฒนธรรมประเพณีที่งดงาม ก็สมควรที่จะดูแลรักษาไว้ คงไม่ปฏิเสธว่าปัจจุบันนี้ ต่างพากันเอาของเก่าที่เรียกกันว่าวัฒนธรรมมาขายกิน พยุงชาติมานักต่อนักแล้วมิใช่หรือ โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วย กับสว.ท่านนี้ แต่เห็นด้วยในเรื่องของสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ก็ควรพิจารณาดูตามสมควร นี่ดีที่ขึ้นเหนือ หากได้ล่องใต้แล้วเข้ามัสยิดกรือเซะ แล้วจะดันทุลังไปนั่งอยู่เคียงข้างผู้ชายที่มีการแบ่งโซนกันระหว่างหญิง กับชาย ผมว่าป่านนี้ สว. ก็สว. เหอะ อูยยยย กลัว ไม่กล้าคิดต่อ จากคุณ : ภูผาม่าน - [ 4 ก.ค. 47 23:33:39 A:210.86.146.182 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 เรียนคุณภูผาม่าน "...กำลังร่ำร้องถึงสิทธิความเท่าเทียมกันนั้น มีความเสมอภาค ดังนั้น ขึ้นรถเมล์ก็ไม่จำเป็นต้องลุกให้ผู้หญิงนั่ง เป็นต้น" คำตอบคือ ช่ายครับ ในสังคมที่เขาถือความเท่าเทียมกันทางเพศ เรื่องหลายๆเรื่องที่ผู้ชายไทยยังคิดว่าเป็นเรื่องของสุภาพบุรุษ และผู้หญิงไทยยังหวังให้ผู้ชายปฏิบัตินั้น.....สังคมที่ตะหนักเรื่องความเท่าเทียมทางเพศเขาไม่ทำกันครับ...ไม่ว่าจะหญิงรึจะชาย อย่างในสังคมฝรั่ง ผู้ชายไม่จำเป็นต้องสละที่นั่งให้ผู้หญิงครับ เขาไม่ถือ และผู้หญิงฝรั่งเค้าไม่เคยคิดเรียกร้องจากผู้ชายด้วย เพราะเขาถือว่าเขาไม่ใช่คนพิการ ขนาดมีที่นั่งว่าง ผู้หญิงฝรั่งเค้าไม่ถืออภิสิทธิ์เหนือชายนั่งก่อน เค้าจะให้คนที่เข้าคิวก่อนได้โอกาสนั่งก่อนครับผม แหม่....เรื่องประเพณีดีงามน่ะ ผมถามหน่อยเถอะครับว่าแยกสิทธิชายหญิงน่ะ มันดีงามตรงไหน หรือมัวคิดกันแต่อย่างงี้ เมืองไทยถึงได้มีปัญญาเอาแต่ของเก่ามาหากิน??? จากคุณ : เมธาวดี - [ 4 ก.ค. 47 23:52:47 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ผมเพิ่งออกจากป่าครับ ไม่รู้ว่าใครทำอะไรกันบ้าง มาเห็นความเห็นที่ไม่ตรงกันของหลายท่าน อยากแจมบ้าง แต่เนื่องด้วยไม่ทราบข้อเท็จจริงของเรื่องราวก็เลยไม่กล้า ใครจะกรุณาเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับว่า 1.เหตุเกิดเมื่อไร? 2.เกิดอะไรขึ้นจริงๆบ้างบนวัดพระธาตุในวันนั้น? 3.ที่ว่าท่าน สว.หญิงท่านแสดงความไม่พอใจนั้น ท่านแสดงออกอย่างไร? ไม่ทราบจริงๆครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 5 ก.ค. 47 00:03:11 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คุณเมธาวดี สมควรแล้วครับ ที่วัฒนธรรมไทยถูกกลืน......ทีเด็กวัยรุ่นใส่สายเดี่ยวเอวต่ำ ตามอย่างฝรั่ง ญี่ปุ่น เจ๊เบียบก็ออกมาว่าไม่เหมาะ ไม่ควร ไม่ใช่วัฒนธรรมไทย ดูอย่างโฆษณาบัตร KTC นั่นก็ประไร.....ไม่เห็นด้วย ไม่ถูกต้อง ร้องแรกแหกกระเฌอ หาความงดงามตามแบบอย่างวัฒนธรรมไทย ครั้นพอมาถึงคราตนเองแล้ว กลับไม่พอใจและไม่ยอมรับเอาวัฒนธรรมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ก็เพราะปล่อยให้วัฒนธรรมไทยโดนย่ำยีอย่างนี้นี่เองเล่า ประเทศไทย ถึงได้มีแต่ปัญญาหาเอาของเก่ามาขายกิน จัดแสดงวัฒนธรรมอย่างนี้ อย่างโน้น อย่างนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ควรจัดแสดง เพราะไม่ใช่เป็นการแสดง แต่เป็น "ไทย" ในสายเลือดครับ ยังงัย ผมก็ว่าเจ๊เบียบไม่ถูกครับ...เอะอะก็จะเอาอย่างชั้นว่า... จากคุณ : ภูผาม่าน - [ 5 ก.ค. 47 00:22:31 A:210.86.146.182 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 แหม่...คุณภูผาม่าน แบบนั้นมันก็เป็นกรณีๆไป ใครมาห้ามสาวไทยใส่สายเดี่ยวเอวต่ำ ผมคนนึงนี่แหละครับที่จะเป็นแนวร่วมกับน้องๆวัยทีนทั้งหลาย (อุ้ย..น้ำลายหก) ถ้าเจ้เบียบเค้ามาห้ามสาวไทยใส่สายเดี่ยว กระผมก็ขอเป็นแนวหน้าเผชิญหน้าเจ้เบียบเช่นกันครับ แต่ถ้ามาพูดกันในเรื่องสิทธิสตรีตรงนี้ กระผมก็จะขอยืนเคียงข้างเจ้เบียบ ให้สตรีมีสิทธิทางศาสนาได้เทียบเท่าผู้ชายทุกประการขอรับ (ยกเว้นเรื่องการจับตัวพระนะ) จากคุณ : เมธาวดี - [ 5 ก.ค. 47 00:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อืมม...คิดๆ ดู ก็ชักจะคล้อยตาม หากพิจารณาตามเหตุและผล แต่ผมก็ยังติดอยู่แต่ที่ว่า สิ่งต่างๆ ที่เป็นรีตปฎิบัติสืบทอดมา ผมเคารพในเจตคติของคนสมัยเก่าครับ...ประเด็นห้ามล่วงล้ำเข้าไปในเขต "ลำเวียง" นี่ จึงไม่เห็นด้วยกับที่เจ๊เบียบ "ชั้นจะเข้า" ทั้งๆ ที่ ผมก็มองไม่เห็นถึงสิ่งผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น หากผู้หญิงล่วงล้ำเข้าไป......เหมือนกับชาวมุสลิมที่จะต้องละหมาด แล้วต้องมานั่งแบ่งโซนชายกับหญิง น่ะครับ....พอจะมีใครตอบได้บ้างว่า ทำไม่ไม่นั่งรวมกันเสียเลย แล้วหากเจ๊เบียบ อยากจะเข้าไปนั่งปนชายที่จะเข้าพิธีละหมาดนี่ หลายๆ คนที่เห็นด้วยกับเจ๊เบียบในกระทู้นี้ คิดอย่างไรครับ จากคุณ : ภูผาม่าน - [ 5 ก.ค. 47 01:02:03 A:210.86.146.182 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 อ้อ ท่านผู้นี้เอง งั้นเข้าใจแล้วครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 5 ก.ค. 47 01:04:58 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อันนี้เป็นประเพณีที่ทางล้านนาเขาถือปฏิบัติน่ะครับ ในหลายๆแห่งเขาก็มีประเพณีเช่นนี้ครับ อย่างวิหารพระมหามัยมุนีที่เมืองมัณฑเลย์ ประเทศพม่า เขาก็มีธรรมเนียมโบราณที่ไม่อนุญาตให้สตรีเข้าไปในวิหารเลยครับ ตอนสมเด็จพระเทพรัตนฯเสด็จ ท่านก็ยังปฏิบัติตามประเพณีโดยการถวายสักการะอยู่ข้างนอกวิหารครับ กรณีพระธาตุดอยสุเทพ ผมว่าควรเคารพธรรมเนียมประเพณีของทางล้านนานะครับ ที่เขาไม่ให้สตรีย่างกรายเข้าเขตนั้นเพราะ "พระบรมธาตุ" ฝังอยู่ใต้เจดีย์ครับ แต่โบราณถือว่าผ้านุ่งสตรีเป็นของต่ำ หากกรายอยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่สมควรครับ ดังนั้นจึงมีการกำหนดเขตไว้เช่นนั้นตั้งแต่โบราณครับ... สิทธิเสมอภาคกันระหว่างชายหญิง เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนครับ แต่ประเพณีที่มีมายาวนานและยังเป็นที่เคารพในกลุ่มชนใดๆก็ตาม ควรจะได้รับความเคารพด้วยครับ อย่าให้สิทธิต้องไปล่วงล้ำเอาประเพณีท้องถิ่นเลยครับ จากคุณ : ออกญาศรีราชเดโชชัย - [ 5 ก.ค. 47 01:08:30 A:202.57.157.161 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 ต่อไปให้ผู้หญิงมาเกณฑ์ทหารมั่งดีฝ่า จากคุณ : หยิกเล็บ ก็เจ็บเนื้อ - [ 5 ก.ค. 47 01:19:33 A:220.240.168.169 X: ]

ความคิดเห็นที่ 19 ..สิทธิการิยะ.. ..ถ้าหากสิทธิของมนุษย์เสมอภาคกันจริง.. ..แล้วจะมานั่งเปิดสมาคมคุ้มครองเด็กและสตรีอยู่ทำไม.. ..สำหรับประเทศไทย.. ..ถ้าคุณมองอย่างที่เป็นจริง  ( ไม่ใช่หลับหู - หลับตานึกภาพเอา ).. ..คุณก็จะพบว่า.. ..สิทธิในสังคมไทย.. ไม่มีการเท่าเทียมกันอยู่เลย.. ..ไม่ใช่เฉพาะแค่ระหว่างเพศต่อเพศเท่านั้น.. ..แม้แต่ต่อเพศเดียวกัน.. ความเท่าเทียมกันก็ไม่มี.. ..ความเท่าเทียมกันในโลกที่เจริญแล้ว.. ..ผมเชื่อว่าเขาวัดกันที่ระดับของจิตใจ.. ..ของปัญญา.. และความสามารถ .. ..มากกว่าแค่ ความอยากจะกระทำสิ่งใด ใดตามที่ใจตัวเองชอบ.. ..อย่างที่คนไทยเชื่อว่า นั่นคือสิทธิ แต่เพียงอย่างเดียวนะครับ.. ..กฏเกณท์ของขนบธรรมเนียม.. ..หรือประเพณีบางอย่างที่เก่าแก่.. ..ผมเชื่อว่ามันต้องมีเหตุ.. ..ถึงทำให้ผลของมันออกมาเป็นข้อห้ามอย่างนี้.. ..ถ้ายังไม่รู้สาเหตุของที่มา.. ..ก็อย่างเพิ่งด่วนสรุปเอาเองว่ามันโบราณ.. ไม่เข้ากับยุคสมัย.. ..และที่สำคัญ.. ผู้สร้างเมื่อครั้งสมัยก่อน.. ..หรือแม้กระทั่งผู้ที่รักษาสืบทอดต่อมา.. ..ย่อมมี " ศักดิ์ " และมี " สิทธิ์ " ที่จะระบุกฏเกณท์ใด ใด.. ..ที่ตนเห็นว่า.. นั่นเป็นข้อแม้ที่สมควรต่อสถานที่.. ..ได้มากกว่าผู้ที่สัญจร ไป - มา เป็นครั้งคราว.. ..ส่วนการกราบไหว้.. ..ผมว่าต่อให้มุดลงไปกราบจนถึงในห้องเก็บองค์พระธาตุ.. ..อานิสงส์ก็คงไม่ต่างไปจากการไหว้ที่ตีนดอยหรอกมังครับ.. ..ถ้าหากผู้ไหว้.. มีความตั้งใจจริงที่เหมือนกัน.. ..อย่าอ้างสิทธิเพื่อสนองความอยาก.. แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 47 03:36:44 จากคุณ : ญาติระอา - [ 5 ก.ค. 47 03:33:22 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คนเราทุกคนต้องมี ราก มีที่มา หากคนเราไร้ซึ่งราก ซึ่งเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวแล้ว เราก็จะถูกกระแส วัฒนธรรมที่ผิดเพี้ยน และ เชี่ยวกราดพัดพาไปโดยง่ายครับ หากสิ่งไหนที่ดีและไม่ได้กระทบในทางที่เลวร้ายมากมายต่อสังคมก็น่าจะอนุรักษ์ ไว้นะครับ การที่ผู้หญิง ไม่ได้เข้าไปถึงในชั้นในของพระธาตุ คงไม่ได้จะทำให้ได้บุญน้อยลง หรอก มั้งครับ บุญอยู่ที่ใจ อยู่ที่ความศรัทธา ทุกอย่างมีที่มาและที่ไปมีเหตุของมัน ไม่ใช่อยู่ๆ นึกสนุกอยากไปตั้ง กฏ ห้ามผู้หญิงเข้าก็ไม่ใช่ วัฒนธรรมของเรา เราก็หวงแหน การรู้จักให้เกียรติ และ เคารพ สิ่งซึ่งผู้อื่นนั้น ศรัทธา เป็นสิ่งดีงามนะครับ โลกหมุนไปเรารู้ทันโลกได้ครับ แต่ไม่จำเป็นต้องหมุนตามโลกทุกอย่าง ยกตัวอย่างที่เศร้าใจ อย่างทุกวันนี้ ก็คือ ประเพณีสงกรานต์ หากลองไปถามวัยรุ่นดูว่าประเพณีสงกรานต์คืออะไร ส่วนใหญ่ก็จะรู้แค่ว่า สาดน้ำ ส่วนวันไหนคือวันเนา วันพญาวัน วันปากปีวันปากเดือน วันที่ต้องทำความสะอาดบ้าน ขนทรายเข้าวัดปักตุง แทบไม่รู้จัก วัยรุ่นในเมืองนั้นแทบจะไม่มีกิจกรรมดังกล่าวด้วยซ้ำไป ส่วนใหญ่พบเห็นได้ตามอำเภอรอบนอกเท่านั้น นั่นแสดงให้เห็นถึงความเสื่อมของวัฒนธรรม ทุกวันนี้หากเราลืมที่จะคิดถึงสิ่งดีงามและคิดจะเปลี่ยนแปลงที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้(ในทางที่ดี)แล้ว เราก็คือ คนไร้ราก นั่นเอง อันไหนที่มันไม่ดีก็เปลี่ยนซะ อันไหนที่ดีก็รักษาไว้ การที่ห้ามผู้หญิงเข้าไป ผมไม่เห็นว่ามันจะไม่ดีตรงไหนเลย กับ แสดงให้เห็นถึงความเคารพนบน้อมในพุทธศาสนาของผู้หญิงด้วยซ้ำไป ดังเช่นที่คุณ ออกญาศรีราชเดโชชัย - ได้เขียนไว้ว่า กรณีพระธาตุดอยสุเทพ ผมว่าควรเคารพธรรมเนียมประเพณีของทางล้านนานะครับ ที่เขาไม่ให้สตรีย่างกรายเข้าเขตนั้นเพราะ "พระบรมธาตุ" ฝังอยู่ใต้เจดีย์ครับ แต่โบราณถือว่าผ้านุ่งสตรีเป็นของต่ำ หากกรายอยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่สมควรครับ ดังนั้นจึงมีการกำหนดเขตไว้เช่นนั้นตั้งแต่โบราณครับ. ขออนุญาติยืมของคุณ ออกญาศรีราชเดโชชัย มานะครับ จากคุณ : คนเชียงใหม่ ใน กทม (DerFerre) - [ 5 ก.ค. 47 06:40:07 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เกิดมาก็มีร่างกายไม่เหมือนกันแล้ว จะบอกว่าเหมือนคงไม่ได้ จากคุณ : หนุ่มเจียงใหม่ - [ 5 ก.ค. 47 06:41:37 A:210.86.142.24 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 อยากเสมอภาค ก็ไปทางอื่นอย่ามาเอาวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาติไทยมาทำให้หม่นหมองเลยนะ ขอเถอะ ญี่ปุ่นถึงจะมากด้วยเทคโนโลยีและทันสมัยแต่เขาก็ไม่เคยที่จะลบหลู่วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามที่มาแต่ก่อนเก่าเลยมิใช่หรือ ? จากคุณ : อย่าให้วัฒนธรรมไทยแย่ไปกว่านี้ - [ 5 ก.ค. 47 06:51:32 A:202.47.247.146 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 mrs.http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A2899159/A2899159.html night owl ไปอ่านกระทู้นี้นะจะได้รู้ว่าเขาต้องการอะไร ? จากคุณ : อย่าให้วัฒนธรรมไทยแย่ไปกว่านี้ - [ 5 ก.ค. 47 07:06:49 A:202.47.247.146 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A2898246/A2898246.html จากเมื่อวานนี้ จากคุณ : Hernf@ - [ 5 ก.ค. 47 07:20:19 ]

ความคิดเห็นที่ 25 มีสิทธิ ญ มากมายที่ควรจะมาเรียกร้อง มีเรื่องวัฒนธรรมมากมายที่ค้องรีบรักษา แต่กลับไม่ทำ มาทำเรื่องไร้สาระ ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย กับสังคม แม้กระทั่งกับตัว ญ เอง จะเอามั้ย เท่าเทียมกันเลย ห้าม ช เข้าไปเหมือน ญ ผมยอมนะ ดีกว่ายอมให้ ญ ล่วงเกินเข้าไปเพื่อกิเลสความอยากเห็นส่วนตัวแล้วทำลายจารีตที่สร้างกันมาหลายร้อยปี ผมยอมเท่าทเยมกันโดยให้ ช อยู่ในขอบเขตเดียวกับ ญ ยังดีกว่า จบๆได้แล้วเจ๊ เรื่องไร้สาระแบบนี้ แล้วเอาเวลาไปพัฒนาสมองตัวเองดีกว่า จะได้พัฒนาประเทศได้คุ้มกับภาษีที่จ่ายไปซะที จากคุณ : Redrum - [ 5 ก.ค. 47 08:10:33 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อ่านๆมายังไม่เข้าใจว่า....การที่ต้องแยกสิทธิหญิงชายนี่ มันเป็นประเพณีอันดีงามและก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยรวมตรงไหน ยิ่งข้อถือปฏิบัติที่ว่า ห้ามผู้หญิงเข้าเขตศักดิ์สิทธิ์เพราะถือว่าผ้านุ่งผู้หญิงเป็นของต่ำนั้น ยิ่งเป็นแนวคิดที่หมิ่นเพศแม่แท้ๆ ในเมื่อทุกๆท่านก็หลุดออกมาจากช่องคลอดมารดากันทั้งนั้นมิใช่หรือ หลุดออกมาจากส่วนอวัยวะที่ท่านทั้งหลายเห็นว่าต่ำนักต่ำหนามิใช่หรือครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็คงมิอาจเปลี่ยนแปลงความคิดคนส่วนใหญ่ได้ หากชายไทยในสังคมยังยินดีที่จะให้ยึดถือประเพณีเห็นผู้หญิงเป็นของต่ำ และสตรีไทยในสังคมยังเรียกร้องอภิสิทธิ์ด้วยว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ สิทธิหญิงชายในสังคมไทยเห็นจะเป็นเช่นนี้ร่ำไป แต่ในความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมก็ขอยืนยันและสนับสนุนสิทธิหญิงชายในสังคมไทยให้เท่าเทียมกันทุกประการขอรับ ผมขอเห็นด้วยกับคุณระเบียบรัตน์ทุกประการในประเด็นนี้ และผมขอแสดงความเห็นคัดค้านต่อประเพณีของชาวเหนือในข้อนี้ และขอประนามว่า ข้อปฏิบัติที่เห็นว่า เครื่องแต่งกาย ตลอดจนอวัยวะ และความเป็นสตรีนั้นเป็นของต่ำถึงขนาดไม่เข้าศาสนสถานนั้น เป็นแนวคิดที่ล้าหลังและฉุดรั้งสังคมไทยมิให้วิวัฒน์ไปข้างหน้าครับผม จากคุณ : เมธาวดี - [ 5 ก.ค. 47 08:51:03 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ใครไปเข้าฝันคุณป้าแกว่าผู้หญิงล้านนาถูกกดขี่ข่มเหง บ้าหรือโง่กันแน่ คุณไม่รู้หรอกว่าในสังคมล้านนานั้น เรื่องทางโลก ผู้หญิงเป็นใหญ่ สมัยก่อนจะแต่งงานก็ต้องแต่งเขยเข้าบ้าน ผู้ชายต้องมาทำงานบ้านให้บ้านพ่อแม่ผู้หญิง 3 ปี จึงจะออกไปแยกเรือนเป็นครอบครัวของตัวเองได้ ส่วนบ้านของพ่อแม่ ซึ่งเรียกว่า "เฮือนเก๊า" นั้นจะตกเป็นสมบัติของลูกสาวคนสุดท้อง และการสืบสายสกุลของคนล้านนาเขาสืบกันผ่านผู้หญิง ทุกวันนี้การนับถือผีบรรพบุรุษ หรือผีปู่ย่าก็ยังคงมีอยู่ คนที่เป็นกลจักรสำคัญของการธำรงรักษาวัฒนธรรมนี้ไว้คือ ผู้หญิง บ้านเก๊าผีจะเป็นบ้านของหญิงในตระกูล ดังนั้นเรื่องในบ้าน การจัดการในบ้านทั้งรูปธรรมและนามธรรม ผู้หญิงจะเป็นใหญ่ในบ้าน แต่ในทางธรรมนั้น ผู้ชายจะเป็นใหญ่และผู้หญิงจะไม่ก้าวก่าย แม้แต่อุโบสถ ผู้หญิงก็ห้ามเข้า เพราะถือเป็นเขตแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่ประกอบพิธีบวช เปลี่ยนคนให้เป็นพระ ขอบอกว่าผู้หญิงล้านนาไม่ใช่คนโง่ที่ก้มหน้ารับสถานภาพเหล่านี้ เพราะผู้หญิงล้านนาไม่ใช่คนมีปมด้อยเรื่องถูกกดขี่ทางเพศเหมือนผู้หญิงภาคอื่นๆ บางคน วันนี้ดูรายการเรื่องเล่าเช้านี้ที่มีการสัมภาษณ์ สว.หญิงท่านนี้แล้ว รู้สึกกับอะไรหลายๆ อย่าง เช่น 1. นี่หรือประเทศไทย มีสติปัญญาเลือกคนบ้องตื้นอย่างนี้มาเป็นผู้แทนประชาชน 2. ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันปี สุภาษิตไทย สุภาษิตล้านนาก็ยังคงมีความหมายตอบรับกับคนเช่นนี้ได้ทุกยุค "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน" คงเป็นคำสรุปสุดท้ายสำหรับคนๆ นี้ จากคุณ : [NostalgiA] - [ 5 ก.ค. 47 09:02:43 ]

ความคิดเห็นที่ 28 หลายเรื่องที่คุณระเบียบรัตน์ทำ แต่ดิฉันไม่เห็นด้วย แต่เรื่องนี้ดิฉันเห็นด้วยค่ะ การเอาจารีตต่างๆ วัฒนธรรมมาอ้าง ทั้งๆ ที่จารีตนั้นเป็นความเชื่อเดิม เมื่อครั้งคนเรายังบูชาผี การมีรอบเดือนเรื่องสกปรก ถ้าเรายังคงให้ความเชื่อนี้ในการปฏิบัติต่อคนในสังคม ก็อย่าหวังจะเจริญเหมือนคนอื่นเขา เห็นด้วยว่ามีเรื่องอีกมายมาย ที่ควรเรียกร้อง บอีแค่ไหว้อะไรสักสิ่ง เคารพอะไรสักอย่างยังเป็นเรื่องใหญ่ ว่าลบหลู่วัฒนธรรม ทำลายชาติ เรื่องใหญ่กว่านี้อย่าได้คิดเรียกร้องเลย หากคนยังไม่พัฒนนาทางความคิด ง จากคุณ : mrs.night owl - [ 5 ก.ค. 47 09:04:34 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ถ้ามีเหตุผลเพียงว่าพระธาตุถูกฝังอยู่บริเวณนั้น เหตุผลเพียงว่าสรีระสตรีสกปรกมิสมควรเข้าไปในบริเวณ แล้วสรีระบุรุษ สะอาดกว่าตรงไหน ในเมื่อก็ห่อหุ้มด้วยสิ่งสกปรกมีอาการ 32 ไม่ต่างกัน อุบาสก-อุบาสิกา ก็เป็นหินเพศ : เท่าเทียมกัน ถ้าเหตุผลมีเพียงนั้น ก็สมควรห้ามทั้งสองฝ่าย ให้เข้าได้แต่ผู้เป็นอุดมเพศ เช่น ภิกษุเป็นต้น เท่านั้น แต่ในเมื่อกรณีผู้ชายเข้าได้ แล้วผู้หญิงห้ามเข้า เพราะติดกะเครื่องเพศ-รอบเดือน-ผ้าถุง มันไม่มีนัยยะอะไรมากไปกว่าการกดขี่เครื่องเพศที่เป็นมาแต่โบราณ การที่ผู้หญิงมีเจตนาเข้าไปไหว้สักการะกราบกรานบูชาด้วยใจบริสุทธิ์ มันไม่เห็นจะเป็นการลบหลู่ หรือจะทำให้ศรัทธาและประเพณีที่ดีงามเสื่อมเสียไปทางไหน จากคุณ : Ped-Degree - [ 5 ก.ค. 47 10:35:54 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ในความคิดของผมนั้น วัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นนั้น จะเอาข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียวมาตัดสินความถูกผิด ความเหมาะควร คงไม่ได้ เพราะวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นมีผลอย่างมากต่อความรู้สึกของคนในท้องถิ่นนั้นๆ เช่น คุณจะรู้สึกอย่างไรหากมีคนต่างชาติ เดินผ่านแผงเช่าพระ แล้วเอาเท้าชี้พระเครื่องแล้วถามว่าขายเท่าไร หรือผู้หญิงต่างชาติมาเที่ยววัดในไทย แล้วเข้ามาให้ขนม มาอุ้ม มากอดเณร อย่างเช่นผู้ใหญ่เอ็นดูเด็ก ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้มีความคิดในทางร้าย หรือดูหมิ่นเลย เท้าในความรู้สึกของเขาและความเป็นจริงก็เป็นแค่อวัยวะส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ในความรู้สึกของคนไทยเล่า รู้สึกอย่างไร เรื่องนี้ก็คงไม่ต่างกัน จากคุณ : DogRobo - [ 5 ก.ค. 47 10:44:52 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ตั้งชื่อกระทุ้ได้ห่วยมาก เชียร์ไม่ถูกฝั่งเลย จากคุณ : Dr.slump - [ 5 ก.ค. 47 10:56:19 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ข้อเท็จจริงคือ ที่พระธาตุดอยสุเทพ พระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่ใต้ฐานพระธาตุ ต่างกับที่อื่นครับ จากคุณ : false - [ 5 ก.ค. 47 10:58:40 ]

ความคิดเห็นที่ 33 พระสงค์ถูกตัวผู้ชายได้ หลังจากนี้จะมีผู้หญิงมาเรียกร้องกันมั๊ย? มันเป็นเรื่องของศาสนาครับ ไม่เหมาะก็คือไม่เหมาะ.. คุณอยากทำบาปกันหรือ? จากคุณ : หน้าเหลือง (ไม่เชื่อดูข้างขวาดิ) - [ 5 ก.ค. 47 11:02:19 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ผมเห็นว่าการแยก ระเบียบ กันให้สตรีอยู่ด้านนึง บุรุษอยู่ด้านนึง เป็นสิ่งที่สดสวยงดงาม ในสังคม การแยก โรงเรียน รับเฉพาะ หญิงล้วน เช่น คอนแวนต์ เป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ ผมมีลูกสาว ก็อยากให้ลูกสาว พักหอพัก เฉพาะนักศึกษาหญิง การแยกโรงเรียนนายร้อย ทหาร ให้ฝึกแต่บุรุษ เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ การที่สังคมฝ่ายบุรุษ ให้การยอมรับ ให้สตรี จะอยู่บ้านเลี้ยงดูบุตร บริหารงานบ้าน โดยมิได้ยอมรับให้บุรุษทำเยี่ยงนี้ ก้อเป็นความน่ารักของฝ่ายบุรุษ การที่สังคมฝ่ายสตรี มอบให้บุรุษเป็นผู้รับผิดชอบในความปลอดภัย และความมั่นคง การอยู่รอด ของบ้าน เป็นการให้เกียรติ ให้ความภาคภูมิใจ และน่าชื่นชมก้อเป็นความน่ารักของฝายสตรี มองในด้านดี ฝรั่งควรอิฉาสังคมตะวันออก อันมีรากฐานทางความคิดและปรัชญา ที่สมดุลย์กลมกลืน ทางด้านจิตใจ และเก่าแก่นานมา ใครจะมาดูถูกเราไม่ได้ ตราบใดที่ คนไทยเราไม่ดูถูกกันเอง ตราบใดที่ พวกเรากันเอง ทั้งหญิง ชาย มีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรม ของเรา ใครจะมากล่าวหา ว่าวัฒนธรรมเรา ล้าสมัย ย่อมมิได้ มองในแง่ผู้เคารพ การนมัสการพระธาตุ ได้บุณหรือ บาป อยู่ที่จิตใจ การนั่งการบอยู่ภายนอก หรือการน้อมจิต เคารพอยู่ที่บ้าน ล้วนได้กุศลไม่ย่อ หย่อน กว่าการเข้าไปกราบใกล้ๆ การเคารพที่ได้ผลแท้จริง คือ การ ที่ผู้แสดงความเคารพ เคารพในคำสอน การเคารพในประเพณี ของผู้ที่ถูกเคารพ จากคุณ : คนโบราณ - [ 5 ก.ค. 47 11:16:50 A:203.113.34.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 35 ความจริงสิ่งที่คุณระเบียบรัตน์เรียกร้องนั้นมีเหตุผลในเรื่องสิทธิและความเสมอภาคที่ไม่ควรขีดคั่นแยกปฏิบัติระหว่างหญิงชาย  คนยุคใหม่ส่วนหนึ่งที่อาจจะไม่ได้อยู่ในสังคมลักษณะนั้นรับได้ แต่พิจารณาในด้านขนบประเพณีของคนท้องถิ่นทางนั้นตั้งแต่โบราณมา เขามองและวางตำแหน่งผู้หญิงไว้อย่างไรและอาจจมีเหตุผลของเขาที่คนทั่วไปไม่ทราบก็ได้ค่ะ   ยกตัวอย่างเช่น รอบเดือนสตรีนี่คนสมัยก่อนก็ถือกันว่าไม่สะอาด  ใครอยู่ในช่วงนี้ก็ไม่ควรเข้าไปใกล้กับสิ่งที่เขาเคารพบูชาสูงสุด   ในทางปฏิบัติ..ใครจะทราบบ้างว่าผู้หญิงคนไหนกำลังมีหรือไม่มีรอบเดือนอยู่เมือ่เดินเข้าไปสักการะพระธาตุที่เขานับถืออย่างสูง ใครจะเป็นคนไปขอตรวจในผ้าถุงของสตรีเหล่านั้นบ้างล่ะ มีผู้หญิงที่ไหนจะยอมให้ตรวจ คำตอบก็คงไม่มีใครยอมแน่ๆ  ดังนั้นเพื่อทำแนวคดและความเชื่อของเขาให้เป็นรูปธรรมเขาก็สร้างกฏเหล็กห้ามกราดไว้ก่อนมั้งคะ  ไม่ยุ่งยากด้วยในทางปฏิบัติ   ดูตามรูปการณ์แล้วมีทางเป็นไปได้สูงที่คนทางนั้นจะคิดอย่างที่ว่ามานี้ ซึ่งอันที่จริงแล้ว เขาก็มีเหตุผลของเขาในสังคมที่มีความเชื่อลักษณะนี้ ทีนี้ในเมื่อคนส่วนใหญ่ของเขายินดีและเต็มใจยอมรับสิ่ง ปฏิบัติสืบต่อกันมานาน จนถึงยุคแห่งสิทธิและเสรีภาพความเสมอภาคนี้..แต่คนทางนั้นก็ยังปราถนาจะรักษาแนวคิดเดมๆไว้อยู่ไว้อยู่  ก็คิดว่าทั้งสองฝ่ายควรจะรับฟังความคิดเห็นและเหตุผลของกันและกันแล้วพิจารณาไตร่ตรองดูว่าอะไรควรคงไว้ อะไรสมควรปรับเปลี่ยนหรือไม่  อย่างใด แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 47 11:18:52 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 47 11:18:15 จากคุณ : ** ผู้หญิงไทย ** - [ 5 ก.ค. 47 11:17:14 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คุณเข้าใจความหมายของคำโบราณที่บอกว่า "เข้าเมืองตาหลิ่ว ให้หลิ่วตาตาม" ไหมครับ ล้านนา เป็นบ้านของเรา คุณเป็นแขกผู้มาเยือน ควรจะรู้นะครับ ว่าต้องทำตัวอย่างไร อย่าเอาบรรทัดฐานในสังคมของคุณ มาเป็น เกณฑ์ตัดสินเรื่องต่างๆในสังคมของเราเลยครับ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 47 11:54:36 จากคุณ : คนเวียงเก่า (Are-R) - [ 5 ก.ค. 47 11:48:21 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ผมคิดว่าคุณระเบียบรัตน์ไม่น่าทำอย่างนั้นนะ มันเกินไป ผมไม่ได้เห็นด้วยกับความเชื่อแบบนี้ แต่หากใครเขาจะเชื่ออย่างนั้นและไม่ได้ทำให้ผมเดือดร้อนอะไร ผมก็ไม่มีปัญหา เพราะเป็นสิทธิของเขา ทำไมคุณระเบียบรัตน์ไม่ยอมดื้อดึงไปเมกกะให้ได้ล่ะ ถ้าแน่จริง เขาห้ามคนไม่ใช่มุสลิมเข้าไปไม่ใช่หรือ พระธาตุนั้นสร้างโดยบรรพบุรุษของชาวล้านนา ไม่ใช่บรรพบุรุษของคุณระเบียบรัตน์ ชาวล้านนาก็ย่อมจะรู้สึกหวงแหนมากกว่าเป็นธรรมดา จากคุณ : บันลือ - [ 5 ก.ค. 47 11:59:51 ]

ความคิดเห็นที่ 38 สิทธิเท่าเทียมกันของบุรุษและสตรี มันคนละเรื่อง กับความเชื่อค่ะ โดยเฉพาะเรื่องของความเชื่อในศาสนาด้วยแล้ว ยิ่งเอามาพูดเป็นเรื่องเดียวกันไม่ได้ เคยผ่านไปมัสยิสของศาสนาอิสลาม เห็น หญิงและ ชาย ก็แยกกันทำละหมาด ประเด็นนี้เป็นเรื่องของสิทธิหญิงชายหรือเป็นความเชื่อในศาสนา??? ในสังคมของคนล้านนา ก็มีความเชื่อในเรื่องนี้มาแต่โบราณ และคนรุ่นปัจจุบันโดยมาก ก็ยึดถือและปฏิบัติต่อๆกันมา จนอาจถือเป็นจารีตประเพณีของท้องถิ่น ผู้หญิงเข้าไปในเขตด้านในพระธาตุไม่ได้ ดิฉันมองว่าเป็นความเชื่อคล้ายๆกับเรื่องที่ ผู้หญิงสัมผัสพระสงฆ์โดยตรงไม่ได้ นั้นแหละค่ะ แต่ผู้ญิงทำบุญได้มั๊ยละคะ เราก็ยังสวดมนต์ได้ ขอพรได้ สังฆทานได้ ตักบาตรได้ ถวายของพระได้ (โดยใช้ผ้ารอง) เช่นเดียวกัน เราสักการะพระธาตุได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปกราบถึงด้านในพระธาตุ อยู่ด้านนอกก็สักการะได้ค่ะ กราบไหว้ ขอพรได้ ฉะนั้นประเด็นนี้ดิฉันเห็นว่าไม่เดือดร้อน จนต้องไปทำลายจารีต ประเพณีและความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ จากคุณ : ดีดีที - [ 5 ก.ค. 47 12:30:41 ]

ความคิดเห็นที่ 39 พูดถึงความเชื่อของคนท้องถิ่น  หลายคนอาจไม่เห็นภาพ ง่ายๆ ลองมองย้อนไปที่วัดพระแก้วก็ได้ค่ะ ทำไมเราต้องบังคับให้คนต่างถิ่น ต่างชาติสวมผ้าถุง กางเกงขายาวก่อนเข้าชม เพราะเราเชื่อว่า นุ่งกางเกงขาสั้น เป็นการไม่แต่งกายที่ไม่เรียบร้อย เป็นการไม่เคารพต่อสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของเราใช่หรือเปล่า นักท่องเที่ยวหลายๆคนอาจ งง เล็กน้อย แต่ทุกคนก็พร้อมทำตามกฏแห่งความเชื่อของเรา เช่นเดียวกันค่ะ  ถ้าท่านเป็นคนต่างถิ่นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพ   แล้วเจอป้ายห้ามผู้หญิงเข้าในเขตพระธาตุด้านใน ท่านอาจ งง เล็กน้อยเหมือนกัน ว่าทำไม (ที่ท่าน งง ก็เพราะบรรพบุรุษท่านไม่ใช่คนที่นี่ เลยไม่ได้สอนท่านให้เข้าใจถึงเรื่องความเชื่อของคนที่นี่มาแต่ต้น) แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไป  จะยืนไหว้อยู่ด้านนอก หรือยังยืนยันจะเข้าไปไหว้ด้านในต่อไป ??? ขอแย้งคุณ mrs.night owl นะคะ กับประโยคที่ว่า บ้านเป็นที่ส่วนบุคคลค่ะ อยากให้ใครเข้าก็ได้ ตามอัทยาศัยของเจ้าของบ้าน ถ้าสถานที่นั้นเป็นที่ส่วนบุคคล คุณจะตั้งกฎอย่างไรก็ได้ค่ะ แต่ถ้าเป็นของสังคมส่วนรวม นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คนในสังคมมีสิทธิ์ที่จะทวงถามสิทธิ์ที่เขาคิดว่าตนพึงมี และดิฉันคิดว่าเป็นสิ่งดี บ้านก็เป็นสังคมๆหนึ่งค่ะ แม้จะเป็นสังคมเล็กๆ มีสมาชิกไม่กี่คน แต่เจ้าบ้านจะออกกฏ กติกาอะไรไป ก็ควรจะได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกส่วนใหญ่ในบ้าน และไม่เป็นการทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานของลูกบ้าน  สังคมบ้านจึงจะอยู่กันอย่างสงบสุข   ซึ่งไม่ต่างจากสังคมใหญ่ ที่มีสมาชิกมากๆ  เช่นเดียวกันค่ะ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 47 13:18:54 จากคุณ : ดีดีที - [ 5 ก.ค. 47 12:55:47 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ขอให้ผู้ที่ตั้งกระทู้ เปลี่ยนจากหญิงชาวไทยเป็นหญิงชาติอื่นเถอะครับ เพราะคุณระเบียบรัตน์ แกเป็น ส.ว. จังหวัดขอนแก่น จากคุณ : ชาวไท - [ 5 ก.ค. 47 13:11:59 A:203.144.252.236 X: ]

ความคิดเห็นที่ 42 ..ถ้าหากสิทธิของมนุษย์เสมอภาคกันจริง.. ..แล้วจะมานั่งเปิดสมาคมคุ้มครองเด็กและสตรีอยู่ทำไม ..สำหรับประเทศไทย.. ..ถ้าคุณมองอย่างที่เป็นจริง ( ไม่ใช่หลับหู - หลับตานึกภาพเอา ).. ..คุณก็จะพบว่า.. ..สิทธิในสังคมไทย.. ไม่มีการเท่าเทียมกันอยู่เลย.. ผมว่าคุณเข้าใจถูกแล้ว ก็เพราะเราอยากให้สังคมเราเท่าเทียมกันสักทีแต่ปัจจุบันมันยังทำได้ไม่สมบูรณ์ จึงยังมีสมาคมนี้อยู่ เมื่อไหร่ที่ความเท่าเทียมกันเกิดขึ้นอย่างเต็มร้อยได้จริงๆ สมาคมนี้ก็จะหมดบทบาทไปเอง ..กฏเกณท์ของขนบธรรมเนียม.. ..หรือประเพณีบางอย่างที่เก่าแก่.. ..ผมเชื่อว่ามันต้องมีเหตุ.. ..ถึงทำให้ผลของมันออกมาเป็นข้อห้ามอย่างนี้.. ..ถ้ายังไม่รู้สาเหตุของที่มา.. ..ก็อย่างเพิ่งด่วนสรุปเอาเองว่ามันโบราณ.. ไม่เข้ากับยุคสมัย.. เหตุผลก็อย่างที่หลายๆคนบอกที่ว่าผู้หญิงมีรอบเดือนบ้างละ ชายผ้านุ่งผ้าถุงเป็นของต่ำบ้างละ ความเชื่อเหล่านี้มันต้องหมดไปซะที ผ้าถุงผู้หญิงถือว่าต่ำ แต่ผ้าของผู้ชายไม่ถือไม่เป็นอะไรสักอย่างหรือ??? ความเชื่อแบบนี้แฝงการดูถูกทางเพศไว้ชัดเจน หากเราอยากให้สังคมเราทัดเทียมกันขึ้นอีกสักหนึ่งระดับ ความเชื่อข้างต้นควรถูกขจัดไป ..และที่สำคัญ.. ผู้สร้างเมื่อครั้งสมัยก่อน.. ..หรือแม้กระทั่งผู้ที่รักษาสืบทอดต่อมา.. ..ย่อมมี " ศักดิ์ " และมี " สิทธิ์ " ที่จะระบุกฏเกณท์ใด ใด.. ..ที่ตนเห็นว่า.. นั่นเป็นข้อแม้ที่สมควรต่อสถานที่.. ..ได้มากกว่าผู้ที่สัญจร ไป - มา เป็นครั้งคราว.. เป็นที่รู้กันดีว่าสถานที่นี้เป็นสมบัติของส่วนรวม อย่างที่คุณข้างบนบอกว่าหากมันเป็นสถานที่ที่ระบุมีชื่อเจ้าของชัดเจนมีใบแสดงกรรมสิทธิ์ว่าเป็นของ นาย ก นาง ข หากเป็นยังงั้นแน่นอนว่า นาย ก นาง ข จะมีสิทธิ์โดยสมบูรณ์ในการออกกฏเกณฑ์ขึ้นบังคับ อีกเรื่องที่ว่าผู้สัญจรไปมานั้น ขอบอกว่าบุคคลที่ไปยังพระธาตุนั้นหากไม่ใช่บุคคลท้องถิ่นก็คือนักท่องเที่ยวซึ่งเขาเหล่านั้นคงไม่ใช่แค่เผลอเดินผ่านทางแล้วเข้ามาหรอกครับ เค้าต้องตั้งเจตนาแล้วว่าจะไปเช่นนี้ใช้คำว่า ผู้สัญจรไปมาไม่ได้กระมัง ..ส่วนการกราบไหว้.. ..ผมว่าต่อให้มุดลงไปกราบจนถึงในห้องเก็บองค์พระธาตุ.. ..อานิสงส์ก็คงไม่ต่างไปจากการไหว้ที่ตีนดอยหรอกมังครับ.. ..ถ้าหากผู้ไหว้.. มีความตั้งใจจริงที่เหมือนกัน.. อันนี้เห็นด้วยแต่ประเด็นคือทำไมผู้หญิงเข้าไม่ได้ ทำไมเราต้องจำกัดสิทธิ์ด้วย ผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชายตรงไหน เอาอะไรมาตัดสิน??? ตัดสินสิทธิของคนกันด้วยประจำเดือน กับผ้าถุงหรือ??? งานนี้อยู่ข้างคุณ ระเบียบรัตน์เป็นครั้งแรก จากคุณ : vicky_aha - [ 5 ก.ค. 47 13:15:18 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ตูจะบ้า เอาเข้าไป จากคุณ : เมธาวดี - [ 5 ก.ค. 47 13:46:59 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อันเรื่องความเชื่อ ความศรัทธาในศาสนาแต่ละศาสนาย่อมแตกต่าง อันวิถีปฏิบัติด้านวัฒนธรรมและจริยธรรมก็ต่างกันไปตามถิ่นที่ ชาติก็ต้องมีวัฒนธรรมประจำชาติ ท้องถิ่นก็ย่อมมีวัฒนธรรมและธรรมเนียมปฏิบัติประจำถิ่น ....หาไม่เช่นนั้นแล้วเราจะเหลือความเป็นชาติอยู่ได้อย่างไร... คุณระเบียบรัตน์เรียกร้องให้ผู้ชายมีภรรยาคนเดียว ล้วนถูกต้องตามเหตุ ตามควร แต่ย่อมมิอาจตัดสินทุกคนได้ มิเช่นนั้นแล้วย่อมละเมิดศาสนาอื่น เมื่อคุณระเบียบรัตน์ไม่อาจละเมิดประเพณีปฏิบัติในศรัทธาของศาสนาอื่นได้ ฉันใดก็ฉันนั้น .....คุณระเบียบรัตน์ก็ไม่อาจละเมิดวิถีปฏิบัติของชาวล้านนา ในเรื่องการเข้าถวายสักการะองค์พระสารีริกธาตุได้ วัฒนธรรมและประเพณีปฏิบัติ ของชาวล้านนา ล้วนนุ่มนวล อ่อนโยน ทั้งในสายตาของชาวไทยและต่างชาติ สิ่งใดมิเสียหายก็อย่าได้คิดละเมิดเลย เราชาวพุทธ ควรจะสามัคคีปฏิบัติ ร่วมเคารพนบไหว้ในพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ อย่าได้เก็บเรื่องเล็กเรื่องที่ไม่เป็นสาระมาถกเถียงให้เสื่อมในภาพพจน์ของพุทธศาสนิกชน ต่อสายตาชาวโลกและต่อผู้นับถือศาสนาอื่นเลย ....ปัจจุบัน ศาสนาพุทธ มิใช่ศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก..... ....แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม คำสั่งสอนนั้นมีแก่นที่เป็นสัจธรรม อย่าให้มันบิดเบือนด้วยเห็นแก่การต้องการความเด่นดังทางสังคมเลย.... ขอให้กราบไหว้พระพุทธองค์ด้วยศรัทธาในพระธรรมเถิด ขอให้กราบไหว้พระพุทธองค์ด้วยจิต ด้วยสมาธิอย่างแท้จริง การเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ ความทัดเทียมกัน ของชายหญิงนั้น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง และศรัทธาต่อผู้เห็นพ้องต้องกันที่จะผลักดันให้ปรากฎเป็นจริง แต่ขอวิงวอนว่าอย่านำศาสนามาเป็นกรณีพิพาทเลย ไม่เช่นนั้นมันจะนำมาซึ่งหายนะแก่ศาสนาทุกศาสนา ขอบิณฑบาตรเถิดนะครับ ด้วยรักเคารพเพื่อนมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม จากคุณ : คนไทยหัวใจพุทธ (สายใยหัวใจกอล์ฟ) - [ 5 ก.ค. 47 13:50:54 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ก็เหมือนกับแต่ก่อนที่ห้ามผู้ชายเข้าไปในพระราชฐานชั้นในล่ะครับ ทำไมไม่เห็นเคยมีผู้ชายที่ไหนโวยวายบ้าง นี่ก็กรณีคล้ายๆ กัน คือเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ จากคุณ : บันลือ - [ 5 ก.ค. 47 14:00:35 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ในแง่สิทธิสตรีที่เท่าเทียมกัน เห็นด้วยกับคุณระเบียบฯ PS จะมีกระเทยที่ไหนมาว่า ตูเป็นกระเทยหรือเปล่าวะเนี่ย จากคุณ : ตู้ต้า - [ 5 ก.ค. 47 14:21:51 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ในฐานะผู้หญิงน่ะคะ การไม่ได้เข้าไปภายในนั้นไม่คิดว่าถูกจำกัดสิทธิหรอกค่ะ การที่เราจะเคารพบูชานั้นอยู่ที่ใจน่ะคะ เมื่อคุณจะแสดงความเคารพสักการะ คุณอยู่ที่ไหนคุณก็ทำได้ มันอยู่ที่ใจนะคะ ไม่ใช่เพียงการแสดงออกชัดเจนทางกายหรือใดๆ เมื่อจารีตประเพณีหรือวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา ลูกหลานไม่สืบทอดต่อ แล้วจะเหลือความภาคภูมิใจหรือวัฒนธรรมดีๆ ให้สืบต่อหรือค่ะ สิทธิน่ะทุกคนควรรักษาก็จริง แต่ก็ต้องมีข้อยกเว้น ไม่ใช่อ้างตะบี้ตะบัน อย่ายึดมั่นถือมั่นในรูปแบบซิคะ ถึงตัวคุณเข้าไปใจคุณสักการะจริงหรือเปล่าล่ะคะ หรือเพียงแค่ต้องการแสดงให้ทุกคนรู้ว่าฉันก็มีสิทธิเท่าเทียมนะ... นั่นคือความต้องการในใจจริงๆ ของคุณอย่างนั้นเหรอ...........ควรทบทวนบทบาทและการกระทำของตัวเองได้แล้ว ของบางอย่างทำมาแต่เดิมดีแล้วอย่าพยายามแก้ไขเลย ขอให้มันอยู่อย่างที่มันควรจะเป็นเถิดคะ ......ด้วยคำขอร้องจากผู้หญิงล้านนาคนหนึ่ง........ จากคุณ : ืnoosopida@yahoo.com - [ 5 ก.ค. 47 16:18:31 A:203.172.105.46 X: ]

ความคิดเห็นที่ 48 บอก "สตรีไทย" มันจะล้ำไพหน้อยเน่อ เอาแท้ๆ ย่าระเบียบรัตน์เนี่ย ค็ค่า "ลาวลืมฅิง" เท่าอั้น ส่วนคำคึดเราเกี่ยวกับเรื่องหนี้ บ่อยากอู้ซ้ำเลาะ เปนดีค่ายยยยขนาด จากคุณ : นู๋เองง่ะ - [ 5 ก.ค. 47 16:32:36 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เอากันเข้าไป ไม่น่าเชื่อว่าห้องสมุดจะมีปัญญาชนสมองกลับเยอะถึงเพียงนี้ หลายคนมาก ย้ำนะคะ "การไม่ได้เข้าไปในบริเวณพระธาตุ ไม่ได้ทำให้สิทธิสตรีสูญเสียไปค่ะ" คุณๆที่คิดเหมือน/คล้ายคลึง/ใกล้เคียง กับผู้หญิงคนนั้นกรุณาขบคิดให้มากๆนะคะ แม้สมัยนี้จะเป็นพุทธศักราช 2547 แล้วแต่มีความจำเป็นอะไรกับการเรียกร้องสิทธิปัญญาอ่อนเรื่องการเข้าไปสักการะองค์พระธาตุ พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เจ้านายฝ่ายเหนือรวมไปถึงสตรีคนอื่นๆในดินแดนนี้และใกล้เคียงต่างเข้าใจดีถึงการที่เขาห้าม "เขาห้าม" ค่ะ กรุณาอ่านอีกรอบ "เขาห้าม" ค่ะ เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาร้องแรกแหกกระเชอด้วยเหตุผลกึ่งดิบกึ่งดีแบบตะวันตกก็ได้นะคะ ที่นี่ประเทศไทยค่ะ จุดนั้นคือพระธาตุดอยสุเทพไม่ใช่บ้านภรรยาน้อยของใครบางคน เขาไม่ให้เข้าก็โวยวายทำตัวใหญ่โต ไม่คำนึงถึงความรู้สึกคนภาคเหนือและคนที่เคารพองค์พระธาตุ....นี่หรือคะ สิทธิสตรี ดิฉันว่าผู้หญิงคนนี้ทำร้ายจิตใจคนที่เคารพองค์พระธาตุพอๆกับที่สถานีโทรทัศน์อวดเก่งช่องนึงขายข่าวเรื่องบั้งไฟพญานาค เข้าใจไหมคะ เสน่ห์ตะวันออก บางเรื่องบางอย่างทำให้มันเป็นสีเทาๆทะมึนก็ได้ค่ะ ไม่ต้องให้มันใสแจ๋วนัก แต่เรื่องบางเรื่องควรให้มันใสก็ใสไป คุณจะประกาศปาวๆว่าต้องให้มีสิทธิสตรีให้หมดทุกแง่ทุกมุม คุณทำได้ค่ะ แต่อย่าลืมว่ากำพืด ญาติ พ่อแม่พี่น้องเป็นคนเชื้อชาติอะไร สัญชาติอะไร ถ้าผู้หญิงคนนี้มีกำพืดมาจาดประเทศเกาะเล็กๆทางใต้ของมาเลเซีย.....ดิฉันคงไม่สมเพชรเธอขนาดนี้ อย่าบ้ากันให้มากนักเลย จากคุณ : รมณีย์ - [ 5 ก.ค. 47 16:58:32 ]

ความคิดเห็นที่ 50 อูย คุณคนไทขา กรุณาอย่างเหมารวมเรื่องที่เจ๊แกเป็น สว. ขอนแก่นเลยนะคะ ชาวขอนแก่นอีกเยอะเลยล่ะไม่ได้เห็นด้วยกับแก นี่ถ้าแกไปแถวประเทศมุสลิมเจ๊แกคงโวยวายไม่ยอมโพกผ้าคลุมศรีษะอ้างสิทธิสตรีอีกมั๊ง จากคุณ : โอเลี้ยง (โอเลี้ยงลาเต้จูดี้บัฟฟี่ลักกี้) - [ 5 ก.ค. 47 17:09:38 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ผมมีข้อเสนอสำหรับเจ๊เบียบนะครับ ถ้าเจ๊แกอยากมีโอกาสขึ้นไปบนพระธาตุเท่าเทียมกับผู้ชาย ก็ให้แกสร้างพระธาตุส่วนตัวของแกขึ้นมาสักองค์หรือหลายๆองค์ก็ได้ แล้วแกก็สามารถทำอะไรก็ได้เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพของแก จะได้ไม่ต้องไปทำลายประเพณีที่บรรพชนช่วยกันรักษามาเป็นร้อยๆปี และไม่ต้องให้วิญญาณปู่มาด่าว่าไอ้ลูกหลาน[^_^]ได้ จากคุณ : วันเฉลิม - [ 5 ก.ค. 47 17:16:04 A:203.209.116.102 X: ]

ความคิดเห็นที่ 52 ^ ^ 5555 จากคุณ : สมีโกล....คนดี - [ 5 ก.ค. 47 17:21:13 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ด้วยความเคารพทุกท่าน ขอขอบคุณทุกสาระ และความเห็น ทั้งเห็นพ้องและเห็นต่าง หากผมเป็นฝรั่งจะทู่ซี้ เรียกร้องมั่งว่า.... ฝรั่งนุ่งสั้นเข้าไป "ดู" พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ในวัดพระแก้วแล้วทำไมต้องมาจำกัดสิทธิของผม.... ผมจะนุ่งอะไร สั้นแค่ไหนก็เป็นเรื่องของผม สิทธิของผม ผมจะไปยืนจูบแฟนในโบสถ์วัดพระแก้ว แล้วใครจะทำไม ปากของผม.... เหตุใดเราถึงมีกำหนดกฎเกณฑ์นี้ครับ.... ในฐานะที่เป็นคนไทย ขอถามพวกที่เห็นพ้องกับนางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช เมียนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ด้วยว่า เราควรจะมาช่วยกันเรียกร้องให้สำนักพระราชวังออกประกาศยกเลิก กฎระเบียบนุ่งสั้น หรือแต่งกายไม่เรียบร้อยกันดีไหม เพราะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างแรง..... ตามความเห็นที่ 31.....นับว่าเป็นความโชคดีของประเทศไทย.... ที่พบเจอคนอย่างคุณน้อยมาก...แค่หนึ่งในเกือบห้าสิบ... ซึ่งเป็นคนที่อ่านโจทย์ ไม่เข้าใจ.... ตามความเห็นที่ 41......ขอให้เปลี่ยนคำ ยินดีน้อมรับและแก้ไข เพราะบัดนี้กลายเป็นประเด็นข่าวไปแล้ว ตามความเห็นที่ 42......ดังนั้นแล้ว หากต่อไปในวันข้างหน้า นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช เมียนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช นุ่งขาวเสร็จก็สามารถปีนขึ้นไปบนองค์พระธาตุได้ เหมือนน้อย-หนาน (= ผู้ผ่านการบวชเป็นพระแล้ว) ก็คงพิลึก..... ขนาดผู้ชายที่ไม่ผ่านการบวชเรียน เขายังไม่ให้ปีนขึ้น ทั้งๆ ที่ผู้ชายที่ได้ปีนขึ้นทั้งหลายเหล่านั้น ในยามปกติก็อาจจะกินเหล้า เมายา รักษาศีลห้าไม่ครบก็ตามที ความรู้สึกของผม พบว่าหลายท่านในที่นี้ ต่างก็ได้พูดดังที่ใจผมคิดไปมากแล้ว หากนางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช เมียนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อยากจะแสดงการเรียกร้องสิทธิแห่งความเสมอภาค โดยมายึดเอาในกรณีนี้ มาเป็นองค์ประกอบฉากแล้ว.... ผมว่าควรรีบกลับไปจัดการเรื่องราวต่างๆ ในขอนแก่น บ้านเมืองของนางเถิด อย่าหมายคิดว่า ด้วยความอ่อนโยน ละมุนละม่อมของชาวล้านนา จะก้มหัวยอมให้นางได้ใช้โอกาสนี้ ทำให้นางได้ดังประสงค์ กลับไปจัดการเรื่องผัวๆ เมียๆ ตามสมควรแก่ฐานานุรูป และรอยหยักในสมองของตนเถิด นางเป็นใคร ยิ่งใหญ่มาจากไหน เทือกเถาเหล่ากอเป็นใคร... ผมว่าสมควรกลับไปค้นหา และพิจารณาดูเรื่องราวต่างๆ อันเป็นรีตปฏิบัติ ที่นางเคยได้รับการอบรมสั่งสอนจากเทือกเถาของนาง อันว่าด้วยประเพณีในท้องถิ่นนางก่อนเถิด ว่ามีสิ่งใดที่นางควรเรียกร้องให้สตรีในท้องถิ่นนางได้ บัดนี้...นางเองก็ได้ในสิ่งที่นางพึงปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจแล้ว....นั่นคือ...."คนจำฉันได้...คนไม่ลืมชื่อฉัน" นางได้ใช้ความเป็นล้านนา สร้างกระแสให้นางได้เป็นที่รู้จักอีกมากขึ้น...หลังจากเริ่มซาๆ ไป จาก "ชู้" คาดหวังว่า นางและผู้เห็นพ้องกับนาง... จะยังคงหลงเหลือ "จิตสำนึก ของความเป็นคนไทย" อยู่บ้าง ในเรื่องของการเคารพและเชื่อฟังคำสั่งสอนของคนเก่าๆ.... เรื่องการเรียกร้องสิทธิให้หญิงชายเท่าเทียมกันนั้น ผมเห็นด้วยมาตั้งแต่ต้น... แต่ใช่ว่าจะตะบี้ตะบันเรียกร้องไปตามต่อมความกระสันอยากของตนเป็นที่ตั้ง จากคุณ : คนล้านนา - [ 5 ก.ค. 47 18:03:39 ]

ความคิดเห็นที่ 54 อีนี่ชอบแส่เรื่องชาวบ้านอยู่แล้ว อยู่เฉยๆไม่ได้ อยากจะดัง ขอให้ตกนรกเถิดเพี้ยง จากคุณ : ชาวพุทธ - [ 5 ก.ค. 47 18:32:29 A:210.86.146.74 X: ]

ความคิดเห็นที่ 55 โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจครับ จากคุณ : oxygen (ฮ พอตเตอร์+กริฟฟินดอร์) - [ 5 ก.ค. 47 18:47:20 ]

ความคิดเห็นที่ 56 มันเป็นความเชื่อที่มีมานาน ฝังรากลึกมาจนถึงทุกวันนี้..... ถือเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของชาวเหนือ...... ผมเป็นชาวเหนือ.....ฟังคุณระเบียบรัตน์พูดออกรายการเรื่องเล่าเช้านี้ เมื่อเช้า....รู้สึกอยากเข้าไปเถียงด้วยจริงๆ...... ขึ้นชื่อว่า "ความเชื่อ" อะไรก็เอามาเปลี่ยนยากครับ..... ยิ่งความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ละเอียดอ่อนอย่าง ศาสนา.... ยิ่งเป็นเรื่องที่จะเอามาถกมาเถียงด้วยทัศนะคติส่วนบุคคลไม่ได้..... ผมเข้าใจในความต้องการให้สตรี มีบทบาทเท่าเทียมกับผู้ชายของคุณ ระเบียบรัตน์.... และบางเรื่องผมก็เห็นด้วยกับท่าน..... แต่จะให้มันเหมารวมไปทั้งหมด พูดไม่ลืมหูลืมตา ไม่ฟังความคิดเห็นของใครแบบนี้.....ออกจะเกินไปนะครับ.... ฉะนั้น อย่าได้แปลกใจ ถ้าหลายๆคนจะมองคุณระเบียบรัตน์ว่าเป็นคนบ้า ชอบเรียกร้องความสนใจ โรคจิต ...... อย่าไปโทษคนอื่นครับ....โทษความคิดที่ไม่รู้จักกาละเทศะของตนเองเถิด..... ------------------------------------------------------------------- เรื่องแบบนี้คนเหนือเขาถือกันมานานแสนนานแล้ว..... ยกตัวอย่าง เช่น.....เรื่องราวของ เจ้าแม่จามเทวี และขุนหลวงวิลังก๊ะ..... เจ้าแม่จามเทวี เป็นเจ้าเมืองหริภุณชัย...หรือเมืองลำพูนในปัจจุบัน..... ส่วนขุนหลวงวิลังก๊ะ เป็นหัวหน้าเผ่า ลั๊วะ เป็นเผ่าป่าเถื่อน แบบ พวกบาวาเรี่ยน มองโกล อาศัยอยู่แถมดอยปุย..... เจ้าแม่จามเทวี เป็นหญิงที่งามมากกกกกกกกกกกกกกก..... เมื่อขุนหลวงท่านเห็นโฉมของเจ้าแม่ จึงเกิดจิตพิศวาสใคร่อยากได้มาร่วมหอ...... แต่เจ้าแม่มิยินยอมด้วย....เนื่องจากเผ่าลัวะ เป็นเผ่าป่าเถือ่น....และพระองค์ต้องดูและเมืองหริภูญชัยเป็นหน้าที่อยู่แล้ว..... ดังนั้นเมื่อขุนหลวงยกทัพมา จะมาชิงตัวเจ้าแม่.....ซึ่งเมืองหริภุณชัยในขณะนั้นยังไม่พร้อมที่จะรบด้วย..... เจ้าแม่จึงออกอุบายว่า.....หากอยากได้ตนเป็นคู่ครอง.....ต้องแสดงถึงพละกำลังเสียก่อน.... ด้วยการ ซัดหอกจากยอดดอยปุยให้ข้ามไปถึงเมืองหริภุญชัยให้ได้...... ขุนหลวงรับคำท้าและลองไปฝึกซ้อมดู..... ปรากฏว่า เพียงแค่ใช้พละกำลังแค่ครึ่งเดียว...... ก็สามารถซัดไปได้เกือบถึงปากประตูเมืองแล้ว..... สร้างความหวั่นใจให้เจ้าแม่ยิ่ง.....(พระเจ้า.....อะไรจะแรงมหาศาลแบบนั้น.....โอวววว) แต่เจ้าแม่เป็นสตรีที่มีสติปัญญาเป็นเลิศ....ยากจะหาหญิงใดเหมือน..... จึงได้ออกอุบายที่จะทำให้ขุนหลวงไม่สามารถซัดหอกมาถึงในวังหริภุณชัยได้...... ด้วยการนำของ 3 สิ่ง ไปมอบให้ขุนหลวงดังต่อไปนี้..... 1. หมวก ผ้าฝ้าย.....(ที่ผ้าชั้นในของหมวกทำมาจากตีนซิ่นที่เปื้อนเลือดประจำเดือนของตน) 2. ผ้าซับเหงื่อ.....(ที่แอบเย็บ ขนล่านสีดำของพระองค์ตรงนั้นนั่นแหละ ไว้ที่ขอบผ้า) 3. หมากเมี่ยง.....(ที่มีส่วนผสมของข้าวแช่เปรี้ยวๆ ที่พระองค์ แอบหมักไว้ในตรงช่องนั้นของพระองค์ 1 คืน) เมื่อขุนหลวงเห็นของกำนัลจากเมืองหริภุณชัย ก็คิดว่า เจ้าแม่เริ่มมีใจให้ตน..... ดังนั้น เมื่อถึงวันจริง ขุนหลวงจึงสวมหมวกใบนั้น ใช้ผ้าซับเหงื่อผืนนั้น และเคี้ยวหมากเมี่ยงไปด้วย...... ประกฏว่า เมื่อถึงเวลาซัดหอก...... ขุนหลวงวัดไปได้ไกลสุดแค่ เชิงดอยปุยเท่านั้นเอง..... ไม่ว่าซัดอีกกี่ครั้ง ก็มิได้ไกลไปกว่าเดิมมากนัก..... สร้างความเสียใจ เสียหน้า แก่ขุนหลวงยิ่งนัก..... และเมื่อทราบจากปากของนางกำนัลหริภุณชัยที่เอาของไปถวายให้บอกว่า ของทั้ง 3 สิ่งทำมาจากอะไร..... ขุนหลวงจึงเสียใจ ยิ่งกว่าเดิม ไม่นึกว่า เจ้าแม่จะรังเกียจตนถึงเพียงนี้.... ถึงขั้นเอาของเหล่านั้น มาทำให้ขุนหลวงต้องเสียกำลังวังชา อิทธิฤทธิ์ไปหมด..... ขุนหลวงจึงซัดหอกสุดท้ายขึ้นไปบนฟ้า กางแขนแอ่นอกรับหอก จนขาดใจตาย...... ....จบ..... ------------------------------------------------------------------ จะเห็นได้ว่าเรื่องแบบนี้มีอีกมาก ตามความเชื่อของชาวเหนือ..... นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างหนึ่งที่จะอธิบาย หลายๆการกระทำของชาวเหนือ ที่มีกฏบังคับที่ใช้สำหรับสตรีล้านนา เกี่ยวกับศาสนา..... แต่เมื่อมองด้านอื่นๆ....ชายล้านนา ไม่เคยดูถุก เหยียดหยาม สตรีเลย..... กลับให้การยกย่องเชิดชูมากกว่า ท้องถิ่นไหนๆด้วยซ้ำ...... คุณระเบียบรัตน์ครับ....ดังนั้น ก่อนจะทำอะไร...ก่อนจะพุดอะไร...ควรไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน..... ศึกษาหาความรู้ หาเหตุผล ความเป็นใปในเรื่องที่ตนของใจ.... อย่าใช้ทัศนคติ แค่บรรทัดฐานของตนเองเป็นตัวตัดสิน..... มิฉะนั้น ตัวคุณเองนั่นแหละ ที่จะเป็นสิ่งที่หมิ่นเกียรติของผู้หยิงที่คุณพยายามรักษาและเรียกร้องเสียเหลือเกิน..... จากใจจริง จากคุณ : คนเหนือ (PB ลูกพ่อ Kahn) - [ 5 ก.ค. 47 18:47:40 ]

ความคิดเห็นที่ 57 แบบสั้น ๆ นะ แบบยาว ๆ ไปหาอ่านที่โต๊ะราชดำเนินกับเฉลิมไทย คุณระเบียบรัตน์กำลังจะประพฤติเหมือนฝรั่ง ที่ขึ้นเหยียบตักพระพุทธรูป (ถ้าจำไม่ผิดนะ) เพื่อจะโพสต์ท่าถ่ายรูปนั่นแหละ แต่รายนั้นเขาพออภัยได้ เพราะทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ว่าคนไทยเขาถือเป็นของสูง ไม่ขึ้นไปเหยียบหรือยืนค้ำ แต่สิ่งที่คุณระเบียบรัตน์กำลังกระทำอยู่ตอนนี้คือ รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังดื้อด้านที่จะทำ ขอโทษคนขอนแก่น ที่ผมด่า ส.ว. ของท่าน จากคุณ : RealWorld - [ 5 ก.ค. 47 19:13:27 ]

ความคิดเห็นที่ 58 คนต่างภาค ต่างวัฒนธรรมประเพณี อย่าย่ำยีจิตใจชาวล้านนาอีกเลยนะครับ ขอร้องล่ะ คราวสงกรานต์ที่ผ่านมา ททท. ก็เอาตุงสามหาง ซึ่งเค้าใช้กับคนตาย มาประดับประดาสถานที่ ต้อนรับนักท่องเที่ยวทีนึงละ จากคุณ : RealWorld - [ 5 ก.ค. 47 19:23:06 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ขาดความเข้าใจในประวัติศาสตร์ก็แบบนี้ล่ะคะ อืม...เห็นถ้าจะต้องปฏิวัติระบบการศึกษาไทยกันใหม่ วิชาประวัติศาสตร์อันเป็นวิชาสำคัญต่อมวลมนุษยชาตินับตั้งแต่อารยธรรมของโลกเกิดขึ้น กำลังจะตายไปจากสังคมไทย...พออ่านข่าวนี้รู้สึกเศร้าจริงๆ เศร้ากับระบบการศึกษา..เศร้ากับการศึกษาประวัติสาสตร์ในสังคมไทย...ตัวอย่างนี้แสดงถึงความล้มเหลวของกระบวนการเรียนรู้ในระบบการศึกษานะคะเนี่ย จากคุณ : ลำพูริมน้ำ - [ 5 ก.ค. 47 19:25:46 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เข้ามาอ่านซะตาลายไปหมด เบี่ยงเบนประเด็นไปนู่นมานี่เยอะแยะ เวียนหัว มาบอกว่า ชื่นชมคุณระเบียบรัตน์มากๆ ที่กล้าพูด อันว่าความเชื่อที่ยึดมั่นมานานนมเป็นร้อยเป็นพันปีนั้นน่ะ คนบางคนในสังคมก็เห็นควรว่า ควรจะมาสังคายนากันว่าอย่างไหนควรจะรักษาธำรงไว้เพราะค่านิยม หรือประเพณีที่ดีงาม จะต้องมีคุณค่าทางปัญญาแฝงอยู่ในนั้นด้วย แต่คนหลายๆ ส่วนก็ยินยอมที่จะหลับหูหลับตาเชื่อ และเชื่อต่อไป อ้างว่า เพราะเจ็ดร้อยปีก่อน พันปีก่อน ห้าพันปีก่อนเราเชื่อกันมาอย่างนี้ วุ๊ย ตูจะบ้า ไม่อยากกลับไปไหว้ต้นกล้วยและวัวห้าขาอีกง่ะ ปล. คุณเมธาวดีไม่ต้องท้อค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ พวกพลังเงียบที่คิดในทางเป็นเหตุเป็นผล ยังมีอีกแยะค่ะ แต่เขาไม่อยากเปลืองแรง โดนด่าแบบเจ๊เบียบแก แต่เขาก็รู้ว่า ชีวิตแห่งปัญญาที่แท้น่ะ เป็นอย่างไร จากคุณ : สาวเจียงใหม่คนงาม - [ 5 ก.ค. 47 19:25:52 A:202.28.251.116 X: ]

ความคิดเห็นที่ 61 พวกเราที่มีความเห็นตรงข้ามกับคุณระเบียบรัตน์ (ที่ไม่ยอมคลายเสียที) เห็นด้วยกับผมไหม ถ้าพวกเราจะตั้งให้คุณบีบรัดเนี่ยเป็นศาสดาแห่งความดื้อรั้น ไร้เหตุผลและสิ้นคิดโดยจัดให้คุณ Mrs.night owl คุณเมธาวดี คุณ Ped-Degree ทั้งสามท่านเป็นไตรวัคคีย์(ชุดแรก) ตะลุยแดนล้านนา เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ผู้ใดใคร่คร่อมสิ่งใด อะไร ๆ ก็คร่อมไปให้สาแก่ใจกันไปเลย (แต่หลังจากคร่อมไป หากเทพยุดาตนใดไม่พอใจซัดให้กระอักเลือดตาย ก็ตัวใครตัวมันนะครับ) แต่เดี๋ยวก่อน! ผมขอแนะนำเจ๊บีบรัดว่าก่อนจะไปถึงฝั่งฝันนั้น ก่อนจะปีนพระบรมธาตุดอยสุเทพ ยังไง ๆ ก็ปีนพระธาตุขามแก่นให้ดูก่อน เผื่อผมจะเปลี่ยนใจหาสาวกให้ครบปัญจวัคคีย์เลย ดีไหมอ่ะ อย่าว่ากันนะครับ คิดเล่น ๆ จากคุณ : ไร้สาระ(ไม่ต้องด่า) - [ 5 ก.ค. 47 19:49:03 A:203.113.37.9 X: ]

ความคิดเห็นที่ 62 ดิฉันเห็นด้วยนะค่ะ กับการเรียกรือง สิทธิสตรีขอ งผู้หญิง ในปัจจุบัน แต่ การเรียกร้องแบบนี้ มันเกินความจำเป็นและสิ่งที่สมควรจะเป็น มากกว่า หากสิทธิสตรีได้มาโดยการเหยียบย่ำ วัฒนธรรมซึ่งเป็นพื้นฐานและรากเหง้าของตนเองแล้ว ดิฉันก็ไม่อยากได้หรอกค่ะ ดิฉัน อยากจะทราบว่า คุณระเบียบรัตน์นั้น นับถือศาสนาพุทธ ด้วยความศรัธทาของตนเองหรือว่า พ่อแม่นับถือ ก้อนับถือสืบ ๆ กันมา ดิฉันเห็นว่า น่าจะเป็นอย่างหลังซะมากว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร ก็ดูที่การกระทำดีกว่านะค่ะ ความเชื่อและวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมีคุณค่า สมควรที่จะได้รับการอนุรักษ์หาใช่การทำลายไม่ จากคุณ : malijauna (malijauna) - [ 5 ก.ค. 47 20:37:52 ]

ความคิดเห็นที่ 63 คุณระเบียบรัตน์ เรียนหนังสือมาใช่ไหมคะ ตั้งแต่เล็กจนโต เคยร่วมพิธีการต่างๆบ้างหรือเปล่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คุ้นกับ 3 ประโยคที่ทุกคนนับถือไหมคะ โดยเฉพาะคำว่า "ศาสนา" ....................................... พระราชวรมุนี (ประยุทธ ปยุตฺโต)  ทรงให้นิยามว่า “ศาสนา” คือ คำสอน คำสั่งสอน ปัจจุบันใช้หมายถึงลัทธิความเชื่อถืออย่างหนึ่งๆ พร้อมด้วยหลักคำสอน ลัทธิพิธี องค์การ และกิจการทั่วไปของหมู่ชนผู้นับถือลัทธิความเชื่อถืออย่างนั้น ๆ ทั้งหมด ............................................................ ศาสนาประเพณีและวัฒนธรรม มักจะเป็นของคู่กัน ขนาดประเทศชาติและอารยประเทศยังให้ความสำคัญกับศาสนา ถ้าจะเอาศาสนา มาเทียบกับคำว่า สิทธิและความเสมอภาคนั้น ย่อมเทียบกันไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วยกับสิทธิและความเสมอภาคนะ เพียงแต่ ไม่อาจเอื้อมนำมาเปรียบเทียบกันได้ เพราะความไม่เหมาะสมทั้งปวง ประเพณีและวัฒนธรรมก็อีก เป็นสิ่งที่ตกทอดมา เป็นสิ่งที่รุ่นหลังภาคภูมิใจ เรายินดีที่ลูกหลานชาวล้านนาและคนภาคอื่นๆเห็นคุณค่าและให้ความสำคัญ   คุณไปกราบไหว้องค์พระธาตุเพื่ออะไร ก่อนไปคุณไม่รู้เช่นนั้นหรือว่าประเพณีประพฤติปฏิบัติเขามีมาอย่างไร โดยสำนึกแล้ว ผู้หญิงล้านนามักจะถูกอบรมบ่มสอนมาว่า สิ่งไหนควร และสิ่งไหนไม่ควร โดยเฉพาะในเขตข่วงแก้วอาราม คงไม่เฉพาะล้านนาเท่านั้นที่จะซึมซับคำสอนและหลักปฏิบัติที่ดีงามนี้มา ที่อื่นๆดิฉันเชื่อว่า สิ่งที่ควรเคารพกราบไหว้ ทุกคนย่อมรู้ดีว่าอะไรควร อะไรไม่ควร   การศึกษาช่วยให้คุณธรรมและจริยธรรมในจิตใจของคนสูงส่งเสมอไปหรือไม่  น่าขันที่ผู้หญิงหลายๆคนเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในกระทู้นี้ การที่ล้านนามีวัตรปฏิบัติที่ดีงามเช่นนี้ไปทำให้สิทธิเสรีภาพของคุณหายไปเช่นนั้นหรือ คุณถูกกดขี่เช่นนั้นหรือ จากอะไรหละ..... องค์พระธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์คงตั้งตระหง่านอยู่เช่นนั้นมานาน ประเพณีวัฒนธรรมสืบทอดกันมาเนิ่นนาน ไม่เคยรังแกใคร คุณเองมีจิตใจเป็นพุทธ เพราะคุณต้องการกราบไหว้ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันคุณก็กำลังเหยียบย่ำสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน น่าอนาถแท้  แบบนี้บุญหรือบาปกันแน่หนอ หากมีคุณธรรมพอ ย่อมจะมองเห็นคุณค่าและความสำคัญแห่งค่าควรเมืองที่ไม่เฉพาะเป็นที่เคารพสักการะต่อชาวล้านนาและทุกๆคนเท่านั้น หากแต่ เกี่ยวพันถึง พุทธประวัติ ที่เป็นรากเหง้าของศาสนาโดยแท้   อย่าให้วิญญาณเหล็กกล้าแห่งวีรสตรีสิงในหัวใจและความคิดจนลืมนึกถึงความถูกต้องและศีลธรรมอันดีเลย ไม่งั้น เหล็กกล้านั้นจะทิ่มแทงคุณเอง แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 47 20:51:09 จากคุณ : เจ๋วะรัฐถะ - [ 5 ก.ค. 47 20:46:31 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ลองแยกแยะประเด็นดูครับ ................... - เขาเป็นผู้หญิง - เขามีตำแหน่งสูงทางการเมือง เมื่อใดที่หมดสภาพทางการเมือง เขาจะอยู่ในสถานภาพใด => เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ที่จริงมันคนละส่วนกันครับ ถึงจะตำแหน่งสูงส่งยังไงก็ตาม ท่านก็คงไม่ใช้ห้องน้ำผู้ชาย พร้อมๆ กับคนอื่นมั้งครับ ไม่ว่ากันครับ แล้วแต่ศรัทธาของผู้พบเห็น การวางตัวของผู้นำเป็นเรื่องยาก เมื่อละเมิดกติกาสังคม ทำลายศรัทธามวลชนแล้ว ชีวิตวันข้างหน้าย่อมไม่เจริญ ที่นี่ประเทศไทย .......... ทำอะไรนึกถึงคนไทย จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ - [ 5 ก.ค. 47 21:04:43 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เพิ่งกลับไปอ่าน #56 .... สุดยอด Unseen จริงๆ ..... สยองเกล้า จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ - [ 5 ก.ค. 47 21:09:19 ]

ความคิดเห็นที่ 66 The reason why ancients didn't allow Ladies go into "LAM WIANG" (or other holy areas) is because when Ladies got period (Pra Jam Duan), the period could drop on the floor and they didn't wear higene napkins (Pha Ana Mai) like recent ladies (just a piece of blanket in stead). To protect preriod ladies making mess in holy areas, ancient Lanna made the rule for all ladies not to go into Lam Waiang. I knew this from my grandma. Maybe this is the real reason since many years ago and Lanna people keep doing this as their custom until now. Nothing concern about the equity of right between Men and Women, I think. Mrs. Senator just made it to be the case of right because she's popular in this issue. จากคุณ : Lanna generation (Ranma girl) - [ 5 ก.ค. 47 22:03:03 ]

ความคิดเห็นที่ 67 สาวเจียงใหม่คนงาม ผมอยากรู้เหมือนกันว่าคุณเข้าวัดมากี่ครั้งในชีวิต คิดอยากเอาความเท่าเทียมจริงหรือ อย่ากลับมาเป็นเสนียดเชียงใหม่หรือล้านนาอีกเลย อี่นางเฮ๋ยยย จากคุณ : Nagano - [ 5 ก.ค. 47 22:07:43 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ผมอ่านข่าวนั้นอย่างละเอียดเมื่อครู่นี้(สามทุ่ม) แค่นางระเบียบรัตน์ไม่เข้าใจแล้วใส่อารมณ์ ก็แค่อธิบายความเป็นมาตั้งแต่ 600 ปีที่ปฏิบัติกันมา ก็ไม่มีหญิงคนไหนโวยวาย นางระเบียบฯก็น่าจะคิดว่าคุณไปบ้านเขา คุณเห็นอะไรๆที่คุณไม่ชอบ คุณก็วุ่นวายนั้นไม่ถูกแน่ ภายในสถานที่นั้นเขาบรรจุพระสารีริกธาติไว้ ซึ่งอยู่ต่ำกว่าพื้น ที่ทำใหม่ทีหลัง ก็แค่นั้น คุณก็ไปว่าเรื่องสิทธิสตรีไปโน่น อย่าไปมากเรื่องเลยนะคุณนาย บาปน่ะ มันอยู่ที่คุณคิดเองทั้งนั้น จากคุณ : คน๕๐.. (ตาสาน) - [ 5 ก.ค. 47 22:29:27 ]

ความคิดเห็นที่ 69 อืมมมม ไม่ได้ท้อนะครับ แต่ไม่อยากทำอะไรที่ไร้ประโยชน์ เพราะเห็นว่าเรื่องแบบนี้เปลี่ยนแปลงกันได้ไม่ได้เกิดจากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกมาเรียกร้อง แต่มันต้องเป็นไปตามพลวัฒน์ของสังคมเอง อีกอย่าง คุณระเบียบรัตน์เองมีเหตุผลดีในเรื่องนี้ แต่เจ้ท่านผิดที่วิธีการนำเสนอครับ เรื่องความเชื่อเอาเหตุผลไปหักล้างไม่ได้หรอกครับ ดูๆเอาสิ คุยๆกันไปก็ตกอีหรอบเดิม เหตุผลเดิมคือ มันเป็นความเชื่อโบราณ แบบนี้พูดไปก็ไร้ประโยชน์ครับ ยิ่งพูดเหมือนยิ่งยุ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องนี้ผมเองก็ไม่เห็นด้วยมานาน และก็ขอขอบคุณคุณระเบียบรัตน์ด้วยที่มาจุดประกายในเรื่องนี้ จะได้ให้สังคมไทยเอาไปคิดๆกันดูก็ยังดี เพราะยังไงเสีย ผมก็เชื่อว่าแนวคิดแบบนี้ ซักวันมันต้องสูญหายไปจากโลกครับ เพราะเป็นแนวคิดที่รับใช้สังคมไม่ได้เอาเสียเลย ลาแล้วครับ ไม่ได้เถียงกับใคร แค่มาบ่นให้ฟังเจ๋ยๆ จากคุณ : เมธาวดี - [ 5 ก.ค. 47 23:19:38 ]

ความคิดเห็นที่ 70 คนเหนือถือว่า ถ้าสตรีทำแบบนั้น ถือเป็นอัปมงคลกับชีวิต เจ็บไข้ได้ป่วย มีอันเป็นไป ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ยักษาผู้พิทักษ์ มีแรงพลังไม่พอ ******** ผมขอสาปแช่งด้วยอีกคนครับ ********* จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ - [ 5 ก.ค. 47 23:43:41 ]

ความคิดเห็นที่ 71 เข้ามาเห็นด้วยกับคุณเมธาวดีและสนับสนุนคุณระเบียบรัตน์ค่ะ เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าประเพณีแบบนี้เป็นการเหยียดหยามผู้หญิง อีกข้อหนึ่งหลังจากอ่านกระทู้นี่แล้วรู้สึกว่าบางท่านพยายามให้เหตุผลว่าจารีตเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของศาสนา ที่จริงเราว่าไม่ใช่นะ และที่ว่าประจำเดือนของผู้หญิงมีอำนาจทำลายล้างมหาศาลนั้น ก็เฉพาะกับผู้ฝึก"วิชา" บางอย่าง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธแต่อย่างใด จากคุณ : มาลับ (มาลัย100) - [ 5 ก.ค. 47 23:51:30 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ..การเรียกร้องให้สุภาพสตรีมีสิทธิเข้าไปถึงชั้นในของพระธาตุดอยสุเทพ.. ..โดยอ้างถึงความเท่าเทียมกันนั้น.. ..ผมได้ยินแล้วอยากจะหัวเราะออกมาเป็นภาษามลายู.. ..เพราะนี่คือการอวดเบ่งชนิดหนึ่ง.. ..เป็นการเรียกร้องความสนใจเพียงเพื่อสนองความอยาก.. ..ไม่ได้เน้นการสร้างสรรค์อะไร.. ..อย่าละเมิดสิทธิในความเชื่อทางศาสนาของผู้อื่น.. ..โดยอ้างว่านั่นเป็นสิทธิของตน.. ..ประชาชนบ้านเราใช้สิทธิและเสรีภาพไม่เป็นกันมากพอแล้ว.. ..อย่าให้เลยเถิดไปจนถึงวัฒธรรมทางศาสนาเลย.. จากคุณ : ญาติระอา - [ 5 ก.ค. 47 23:51:51 ]

ความคิดเห็นที่ 73 หากเรื่องที่เป็นประโยชน์จริง ก้อย่อมเป็นประโยชน์อยู่วันยังค่ำ เหมือนเพชร ยังไง ๆ ก้อยังเป็นเพชรแม้อยู่ในหมู่ของกรวด ....................... ทุกคนมีความคิดและมีเหตุผลเป็นของตัวเองในการตัดสินใจทำอะไรลงไป แต่หากเหตุผลนั้น มันขัดแย้งกับเหตุผลของคนอื่น มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่จะมีการมองต่างมุม ...................... ความเชื่อกับศรัทธา มันคนละความหมายกันนะค่ะ กรุณาแยกแยะค่ะ ......................... จากคุณ : malijauna - [ 5 ก.ค. 47 23:58:27 ]

ความคิดเห็นที่ 74 เมื่อพุทธานุภาพเสื่อมไป ส่งผลให้จิตใจมนุษย์ตกต่ำ อำนาจมืดต่ำเข้ามาครอบงำ ภัยพิบัติเกิดกับบ้านเมือง ยุคนี้วิทยาศาสตร์แล้ว ฉันไม่ต้องเคารพยำเกรงอะไร ทุกๆ อย่างถือเป็นสิทธิเสรีภาพ เมื่อนั้นภัยของสตรีจะเพิ่มทวีคูณ จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ - [ 6 ก.ค. 47 00:00:50 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ทำไมไม่คิดง่ายๆกันมั่ง พระธาตุเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นพระ พระห้ามแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิง ผู้หญิงไม่ควรเข้าเขตพระธาตุ (อันเนื่องจากเหตุผลข้างต้น) จบ.... จากคุณ : ดุก - [ 6 ก.ค. 47 00:42:27 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เมื่อวัฒนธรรมล้านนา โดนย่ำยีโดยสตรีไทย เมื่อ สตรีล้านนาน ถูกย่ำยีโดยวัฒนธรรมไทย ข้อไหนหนอ จารีต นั้นเข้าใจดี ยิ่งประเพณีนั้น ยิ่งซึมลึก แต่เหตุผลนั้น เล่า อยู่ที่ใด ด้วยเคย รดน้ำดำหัววันปี๋ใหม่ แต่ไม่เคย "สาดน้ำ" วันสงกรานต์ ด้วยเคยทำบุญตักบาตรวันขึ้นปี๋ใหม่ ด้วยเคยขนทรายเข้าวัดวันเนา ด้วยเคยเสนอให้มีวันครอยครัว และวันผู้สูงอายุในวัน 13 เมษายน ครั้ง เมื่อกว่า สามสิบปีก่อน ด้วยแม่เคยจูงมือไปลอยกระทง ด้วยเคยทำบุญไหว้พระวันศีลวันธรรม ด้วยเคยถูกอบรมสั่งสอนเสมอมาว่า ให้มีเหตุแลผล ด้วยเคยสงสัยเสมอมาว่า ทำไม แม่จึงไม่เข้าไปในเขตที่เขาห้าม ด้วยเกรงเพียงสิ่งเดียวคือ คำว่า "ขึด" แล้วกะไรคือ เหตุแลผล มาวันนี้คงต้องเฝ้าตอบคำถามหลานแล้วหละว่าทำไม ส่วนสิทธิสตรี นั้น ไม่ขอออกความเห็น เพราะเท่าที่เห็นและเป็นอยู่นี้ ก็เห็นชัดว่า เป็นเช่นไร จากคุณ : น้าพร - [ 6 ก.ค. 47 00:56:00 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ตอนนี้คนขอนแก่น อึ้งกิมกี่กันหมดแล้ว จากคุณ : โอเลี้ยงลาเต้จูดี้บัฟฟี่ลักกี้ - [ 6 ก.ค. 47 01:17:02 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ก็ไม่เข้าใจว่าจะมาเรียกร้องอะไรนะครับ แต่เมื่อกี้ได้ดูรายการถึงลูกถึงคนแล้ว ก็เลยถึงบางอ้อ ผมไม่ได้ติดตามข่าวสักเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าเริ่มเข้าใจอะไรต่อมิอะไรบ้างแล้ว เท่าที่ฟังคุณระเบียบรัตน์พูด ผมเองก็เห็นด้วยกับความคิดในเรื่องของสิทธิสตรีที่คุณเธอกล่าวอ้าง แต่ไม่นับรวมถึงเรื่องนี้นะครับ ผมเป็นคนเหนือเหมือนกัน ถูกปลูกฝังมาเยี่ยงคนเหนือหลายๆ คนที่มีชีวิตไปตามความเชื่อ และความศรัทธา ได้มาฟังคุณเธอพูดแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ นี่คนเหนือกลายเป็นคนล้าหลัง ฉลาดน้อย (โง่ นั่นแหละครับ) ไปเสียแล้วหรือ ผมไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงอีกคนที่นั่งข้างๆ เธอคืนนี้เป็นใคร แต่พูดได้น่า.. เอ่อ.. ไม่น่าให้ความนับถือเอาเลย เหมือนกับว่าจะมาเถียงข้างๆ คูๆ เอาความคิดของตนเป็นใหญ่ ท่าทางมีความรู้สูงทั้งในเรื่องของวัฒนธรรม และศาสนา แต่ทำไมไม่เข้าใจในความคิดความเชื่อของคนล้านนาก็ไม่รู้ คำพูดของคุณระเบียบรัตน์ที่ว่า นี่มันสมัยไหนแล้ว บ้านเมืองเราเป็นเมืองประชาธิปไตย... ผมเห็นด้วยนะครับ แต่ไม่เข้าใจว่า แล้วคุณเข้าใจคำว่าประชาธิปไตยดีแค่ไหนกัน สิ่งที่อ้างมา กล่าวมาทั้งหมดนั่น เป็นการคิดเอง และ ใช้อำนาจของตนเองในทางที่... ผมไม่อยากใช้คำว่าผิด เพราะมันก็ไม่ได้ผิด แต่ไม่ถูกกาละเทศะเท่าไหร่ เรื่องความอายที่คุณเธออ้าง ผมอยากถามจริงๆ ว่าอายทำไม อายที่เป็นคนไทยงั้นเหรอ อายว่าคนต่างชาติมาเห็นแล้วจะว่าเราเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างนั้นหรือ ผมว่ามันเป็นจารีตประเพณีที่สวยงาม เราจะต้องเปลี่ยนทำไม เรื่องป้าย คุณระเบียบรัตน์พูดในตอนท้ายๆ ว่า ไม่ได้ต้องการให้เอาป้ายออก แต่ขอให้เอาคำว่า "ผู้หญิง" ออก เพราะอย่างไรก็รู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงไม่ควรเข้า ไม่ต้องทำป้ายย้ำไว้ ผมขอถามว่า แล้วผู้หญิงทุกคนจะทราบหรือครับถ้าไม่เขียนป้ายบอกไว้ เรื่องจะให้เอาภาษาอังกฤษมาใส่ด้วย แล้วทำท่าทำทางเหมือนกับเยาะเย้ยตอนที่พูดนั่น ผมไม่เข้าใจว่าคุณจะดันทุรังอะไร คนต่างชาติที่ไปสักการะนั้นผมว่าไม่น่าห่วงสักเท่าไหร่ เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็คงไปกับคนนำทางคนพื้นเมืองซึ่งต้องได้บอกกล่าวอธิบายข้อห้าม และข้อควรปฏิบัติต่อพวกเขาแล้ว แต่ที่ผมห่วง คือคนไทยที่มีความคิดอย่างคนสมัยใหม่ โดยไม่สนใจความรู้สึก ความนึกคิด ความเชื่อ และธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยเก่านั่นแหละครับ (เอามาแปะที่นี่ด้วย ข้อความนี้มีแปะไว้แล้วที่ http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A2898246/A2898246.html อย่าว่ากันเลยนะครับ ผมไม่อยากคิดใหม่ พิมพ์ใหม่ เพราะอย่างไรมันก็เหมือนเดิม หึๆ) จากคุณ : -adis- - [ 6 ก.ค. 47 01:27:42 ]

ความคิดเห็นที่ 80 อ๊ะ ยัยเจ๊นี่บ้าไม่เลิก จะเอาแต่ตัวเองคิด แต่อย่างเดียว มันจำเป็นต้องเท่าเทียมกันทุกอย่างเลยเหรอครับ วันๆ คิดแต่เรื่องเท่า หรือไม่เท่ากันแค่นั้นเหรอ เท่าแล้วเป็นยังไงครับ ไม่เท่าแล้วยังไงเหรอครับ ธรรมเนียมปฏิบัติ ขนาดเจ้านาย เชื้อพระวงศ์ ยังยอมทำ อ๊ะ ยัยนี่เป็นใคร ไม่งั้น ก็ลองเรียกร้องให้ตัวเองเท่าเทียมกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินไปเลยสิครับ เดินขึ้นไปนั่งคู่กันกับเจ้ากับนายท่านไปเลย เจ้านายท่านเสด็จ ก็เดินไปคู่กับท่านเลย ถ้าจะเอาแต่เท่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆอย่างเดียว หนอย เกินไปครับ ทุกวันนี้ แค่คุณเป็นคนดีของสังคมก็เพียงพอแล้ว ทำหน้าที่ของตัวเองที่มีต่อสังคมดีแล้วหรือยัง แทนที่จะมาเรียกร้องเรื่องงี่เง่าแบบนี้ เอะอะ ก็ไม่เท่าๆ เรียกร้องไปให้เท่าเทียมกันเพื่ออะไรเหรอครับ ทุกอย่างทุกบทบาทในสังคม ถูกกำหนดไว้แล้ว งั้นผมเจอยัยเจ๊นี่ ผมไม่ต้องไหว้เลยนะ พูดจาธรรมดากับเจ๊ได้เลย ไม่ต้องมีมันละ การให้เกียรติกันทางสังคม การให้เกียรติกันในเรื่องอาวุโส ในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่สามารถเท่าเทียมกันได้หรอกครับ เท่าเทียมกันได้ทุกเรื่องเป็นเรื่องของอุดมคติ ขนาดคอมมิวนิสต์ ยังทำให้เท่าเทียมกันไม่ได้เลย สุดท้ายก็ยังแบ่งชั้นกันอยู่ดี อย่าบ้าให้มากเลยครับ พวกที่เรียกร้องให้เท่ากันทั้งหลาย วกเข้าหาเจ๊ระเบียบหน่อยเหอะ ยัยบ้าเอ๊ย แก่เพราะกินข้าวแท้ๆ งี่เง่า จากคุณ : ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง - [ 6 ก.ค. 47 01:34:06 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ที่มาของจารีตประเพณี ไม่ใช่แค่เอาแต่สิ่งที่ตาเห็นหรือแค่ใจคิดเอา มันมีที่มาที่ไปซึ่งคนอาจจะลืมไปแล้วปกติทางโคจรของพระภิกษุสามเณรที่เดินทอดสายตาลงต่ำหากมีสตีขวางอาจจะเดินชนเอาได้เพราะพระเณรที่ไม่ระมัดระวังรอบคอบก็มีอยู่เยอะสตรีที่เซอะซะก็มีมากน้อยพอๆกัน ทางที่ดีก็แบ่งโซนเสียเลยเขตใครเขตมันพระสงฆ์องค์เจ้าอาจจะได้เครดิตในฐานะสถาบันหลักในการปฏิบัติกิจพระศาสนาก็นั่งวงในอันนี้ไม่แปลกอะไรอุบาสกซึ่งเป็นเพศชายเช่นเดียวกันสามารถเข้าไปช่วยเหลือกิจการงานในเขตสงฆ์ไม่มีปัญหาเพราะถูกต้องสัมผัสกันได้แต่หากไม่จำเป็นก็ไม่เข้าไปก้าวก่ายเขตสงวนอันนี้ก็ดูงามแต่หากมีสตรีเข้าไปเบียดอยู่หรือแม้ไม่เบียดในตอนแรกหากมีผู้นำทำให้เห็นคนอื่นนึกว่าไม่เป็นไรเข้าไปแออัดกันในที่คับแคบก็จะยุ่งกันใหญ่เพราะหากพระเณรเผลอกำหนัดลูบคลำจับต้องกายหญิงอาบัติหรือมีความผิดหากว่าในทางโลกก็คือถูกกักบริเวณและต้องประจานตนต่อภิกษุอาคันตุกะที่ผ่านมาทุกรูปให้อับอาย อันนี้เป็นโทษใหญ่ที่จะดัดนิสัยให้หลาบจำ บรรพบุรุษเราเห็นควรในการส่งเสริมให้ภิกษุสามเณรอยู่ในเพศของตนอย่างสบายใจไม่ถูกกระตุ้นยั่วเย้าจากมาตุคามเพศแม่ก็สามารถสงบใจอยู่ได้ คนที่ไม่เคยถูกอำนาจกามราคะชักจูงจิตใจอย่างรุนแรงจะไม่เข้าใจความsensitive ของนักบวชที่มีต่ออารมณ์ทางโลกได้เลยเพราะปุถุชนทั่วไปกำหนัดก็ระบายได้ไม่อัดอั้นกดดันเท่าไรนัก แต่นักบวชที่ฝึกฝนตนเองนั้นแรงเสียดทานพวกนี้จะมากเป็นพิเศษจึงควรต้องเอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัยให้พระเณรได้อยู่พอสบายตามอัตภาพเถอะครับ บรรพบุรุษท่านวางระเบียบไว้ดีแล้ว สมัยก่อนคงไม่ต้องเขียนป้ายบอกพ่อแม่ก็อบรมให้ระวังกันให้แต่เล็กแต่น้อย แต่สมัยปัจจุบันนี้ต้องเขียนบอก(การเขียนป้ายนี้แล้วแต่สำนวนจะออดอ้อนขอร้องกันอย่างไร หรือเด็ดขาดกระชับก็แล้วแต่ฝีมือ) ถึงเพียงนี้ก็ยังจะปรามไม่อยู่เยาวชนยิ่งห่างไกลวัดวาศาสนาและห่างการอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็จะไม่เข้าใจไปกันใหญ่อย่างเช่นท่านสว.คนนี้ วันข้างหน้าที่คนโบราณว่าจะมีแค่ผ้าเหลืองห้อยหูก็คงเป็นไปตามวิธีอย่างนี้เอง อีกอย่างหนึ่งนั้นเท่าที่สังเกตดู การอธิบายเหตุผลของคนสมัยก่อนๆนั้นท่านอธิบายเอาง่ายเข้าว่าไม่ค่อยต่อความให้ยืดยาวเอาละเอียดละออเหมือนนักการเมืองพูดกัน เพราะคนสมัยก่อนจะว่าไปการศึกษาก็ยังน้อย พูดให้สั้นพอรู้เรื่องแต่อาจจะไม่ได้อธิบายอะไรมากนักแค่บอกให้ทำก็ทำตามกันไปก็พอแล้ว จากคุณ : นันทวาสี - [ 6 ก.ค. 47 01:37:24 A:172.17.20.251 X:61.19.199.142 ]

ความคิดเห็นที่ 83 "when in rome, do as the romans" จากคุณ : หยิกเล็บ ก็เจ็บเนื้อ - [ 6 ก.ค. 47 02:46:39 A:220.240.168.169 X: ]

ความคิดเห็นที่ 84 จะว่าความเห็นของผู้หญิงบางคน คุณ..คุณ..ผู้ชายก็กรุณาอย่าพาลผู้หญิงคนอื่นๆ ด้วยซิค่ะ ..เฮ้อ จากคุณ : ห่วงใย - [ 6 ก.ค. 47 05:27:00 ]

ความคิดเห็นที่ 85 คุณเบียบรัตน์ไม่รู้จักคำว่า "กาลเทศะ" ซะแล้ว... ผมว่าผู้หญิงทุกคนย่อมเข้าใจดีครับ เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นเพศแม่รึไม่ แต่เพราะเป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครับ และสตรีทุกคนตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ ล้วนปฏิบัติตามด้วยความเคารพในพระบรมธาตุ มีแต่เจ๊นี่หล่ะไม่รู้เรื่องแต่ดันทุรัง เชียร์และเป็นกำลังใจให้ "ชาวล้านนา" ทุกท่าน ปกป้องวัฒนธรรมอันดีงามของตนต่อไป อย่าไปยอมให้คนบ้าๆบอๆมาทำลายโดยอ้างเรื่อง "สิทธิ" อย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ จากคุณ : หงเฉียว - [ 6 ก.ค. 47 06:46:31 ]

ความคิดเห็นที่ 86 มาช่วย confirm ครับ "เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม" หรืออยากให้เป็นสากลอย่างที่ Mrs.Senator ว่า ก็ "When you are in rome,Do as romans do." จริงๆก็เป็นเรื่องง๊ายง่ายสำหรับคนที่มีพ่อแม่แลครอบครัวคอยอบรมสั่งสอนถึงเหตุผลว่า สิ่งใดควร?,ไม่ควร? ซึ่งในตอนเด็ก ก็ยังอาจไม่ต้องมีเหตุผลแต่ก็เชื่อ แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาผู้นั้นคิดไม่เป็น เมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งเข้ามากระทบความเชื่อนั้นๆจึงจับเอาเหตุผล เข้ามาประกอบการพิจารณา จึงแลเห็นได้ว่า อ๋อ!นี่เองว่าทำไมผู้ใหญ่จึงสั่งสอนแบบนี้ (ไม่ขอยกตัวอย่างแต่เชื่อว่าหลายคนคงมีประสบการณ์บ้างแล้ว) อย่างไรก็ดียังมีบุคคลอีกหลายจำพวก ก็ไม่ต้องการใช้เหตุผล เพียงใช้ความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ เชื่อในสิ่งที่ท่านเหล่านั้นสั่งสอนกันมา เนื่องจากเพราะคำสอนเหล่านั้นไม่ได้นำความเสื่อมหรือทำให้เกิดทุกข์และสามารถดำรงสังคมได้สืบมาอย่างเป็นสุข นับร้อยๆปี(เรียกว่ากุศโลบาย) อีกพวกหนึ่งคือพวกที่ไม่ต้องการใช้เหตุผล แต่มุ่งใช้ความเชื่อนั้น เพื่อสนองความขาดของตนจนนำไปสู่ความเสื่อมหรืออบาย เช่นพวกทรงเจ้า เข้าผี ขูดเลขหาหวย ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น(อกุศโลบาย) และนี่คือ 2ปัจจัยหลักๆ ที่สืบทอดกันมาซึ่งมีทั้งด้านมืดด้านสว่างผสมปนเปกันมานาน คงจะได้ยินกันบ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าด้วย พุทธ-พราหมณ์-ผี ซึ่งดูจะแยกไม่ออกสำหรับคนหลายๆกลุ่มในสังคมไทย กรณีในเรื่องการห้ามเข้าในเขตประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุนี้ ผมเชื่อว่าเป็นกุศโลบายของผู้ใหญ่ในสมัยโบราณกาลนานมา จนปลูกฝังเป็นความเชื่อของชาวล้านนา จะด้วยเหตุอันเกิดจากสิ่งใด หลายๆท่านก็คงมีความคิดหลากหลายออกไปต่างๆนาๆ ไม่ขออธิบาย แต่! ความเชื่อที่ทำให้เกิดข้อห้ามนี้จนกลายเป็นจารีตประเพณีนั้นกอรปด้วยกุศโลบายอันซับซ้อนละเอียดอ่อน ไปด้วยเรื่องราวของศาสนา ซึ่งในสมัยโบราณ ต้องเข้าใจว่ายังไม่มีสถานที่ศึกษามากมายเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นระดับสติปัญญาจึงแตกต่างกันมากๆ ผู้ที่มีปัญญาสูงกว่า คาดคะเนว่าเรื่องศาสนานี้ละเอียดอ่อน หากขาดการเข้าใจที่ถูกต้องจะต้องมีความขัดแย้งวุ่นวาย เป็นภัยแก่ศาสนาโดยรวม จึงได้ตราหรือออกกฎหลายๆข้อ เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ใดๆอันจะก่อให้เกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์ในภายภาคหน้าต่อไป จากที่ได้ค้นคว้าหาข้อมูลมาบ้าง จึงเห็นได้ว่า จารีตประเพณีที่สืบทอดกันมาโดยท้องถิ่นนั้น หาได้มาจากความเชื่อที่งมงายพ้นสมัยดังที่ทาน ส.ว.และคณะฯ ได้กล่าวมาแล้วไม่หากแต่ถูกผูกเข้ากับวิถีการดำรงชีวิตอย่างแนบแน่นและมีเหตุผลในตัวอย่างคมคาย ผมเองไม่ใช่คนเหนือหรือคนล้านนา แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ของผมก็ไม่ได้มีวิถีการสอนที่ต่างไปจากคนล้านนาเท่าไรนัก หรือจะเข้าใจได้ว่า ภูมิปัญญาไทยโบราณก็มีความเชี่ยวชาญการสั่งสอนกุลบุตรกุลธิดา ไม่ต่างกันมากนัก สุดแต่ว่าผู้ใดจะมีปัญญา ใช้เหตุผลเข้ามาจับ เป็นเรื่องๆ เพื่อหาประโยชน์แก่คำสอนนั้นเป็นคนๆไป ส่วนการใช้รัฐธรรมนูญเข้ามาจับประเด็นเรื่องสิทธิสตรี ต้องเท่าเทียมกันนั้น มีหลายประเด็น แต่ก็อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญเองก็ยังมีข้อที่ว่า ห้ามขัดขวางมิให้ผู้ใดนับถือ บูชา ศาสนา หรือ ความเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่ขัด ต่อกฎหมาย สถาบันพระมหากษัตริย์ และศีลธรรมอันดี ฯลฯ. ดังนั้นประเด็นที่ ส.ว.ยกรัฐธรรมนูญมาอ้างจึงเจ๊ากันไป เพราะถ้ากฏหมายรัฐธรรมนูญยังขัดกันเองอยู่ คนส่วนใหญ่ซึ่งมีจารีตประเพณี ที่ไม่ได้ขัดต่อศีลธรรมอันดี และกฎหมายมาตราใดๆ จึงถือเป็นความชอบธรรมของคนกลุ่มนั้นที่จะยึดถือปฏิบัติต่อไปโดยชอบ อย่างไรก็อยากให้ท่าน ส.ว. ถ้ารู้ว่าผิดต่อเจ้าของบ้านเขาแค่ขอโทษคงไม่ทำให้เกียรติของท่านผู้ที่บอกตัวเองว่าทรงเกียรติคงจะลดน้อยลงหรอกนะครับ อย่างที่ขึ้นต้นนั่นแหละครับ "When you are in rome,Do as romans do." จากคุณ : คนชอบศึกษา (F@X) - [ 6 ก.ค. 47 06:51:34 ]

ความคิดเห็นที่ 87 วันนี้ หากใครสนใจจะอ่านเรื่องราวของเจ้านายฝ่ายเหนือกับบทสัมภาษณ์พิเศษ เจ้าชนาเมธ   ณ ลำปาง เชิญหาอ่านได้ใน "สกุลไทย" ฉบับที่ ๒๕๙๕ ตามแผงหนังสือวันนี้ ครับ (ขอออกตัวไว้ก่อนนะครับ ไม่ได้โฆษณาหนังสือสกุลไทยนะครับ แต่อยากให้ท่านที่สนใจเรื่องของเจ้าชนาเมธ   ณ ลำปาง ได้อ่านกันครับ) ในหนังสือมีพระรูปเจ้านายฝ่ายเหนือหลายองค์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ครับ แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 47 07:32:35 จากคุณ : เจ้าคุณวิสุทธิฯ - [ 6 ก.ค. 47 07:30:40 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ตามความคิดของผมนะไมใชประเด็มผู้หญิงห้ามเข้า ผมมองว่าท่านคิดว่าท่านเป็น ส.ว.แห่งสภาประเทศไทย ทำไมเข้าไม่ได้ ( ลุแกอำนาจ ) อนินจัง..ทุกขัง..อนันตา จากคุณ : อมิตพุทธ - [ 6 ก.ค. 47 08:45:38 A:168.120.27.202 X: ]

ความคิดเห็นที่ 89 เห็นตอนท้ายๆ สองคนนั่น พูดทำนองว่า ถ้า จะเข้าแล้วมีอะไรเกิดขึ้น ของถามหน่อย ของแบบนี้ ไม่เชื่อ แล้ว ยังหลบหลู อีก น่ากัวจริงๆ ถ้า งั้น จุดประสงค์ คุณ คือไม่ใช่ทำบุญ แล้ว เค้าเรียก อยากลองของมากกว่า จริงๆ ก็น่าจะปล่อย ให้เค้าเข้าไปนะ บาปน่าดู จากคุณ : turbonut - [ 6 ก.ค. 47 09:16:29 ]

ความคิดเห็นที่ 90 คุณระเบียบ เข้าใจไหมครับ ว่า นี่คือ วิถีคิดของคนล้านนา เป็นการแสดงความหมายพุทธศาสนาในเชิงสัญลักษณ์ ว่า ชาย + หญิง เกิดสัมผัส เกิดการกระตุ้นกามตัณหา เกิดกิเลส เขาเลยแบ่งแยกพื้นที่ ให้เป็นเครื่องเตือนสติ ถ้าอยากเปลี่ยนวิธีคิดของคนล้านนา ขอแนะนำให้ คุณระเบียบ นำเรื่องเข้ากระทรวงวัฒนธรรม ผลักดันให้เกิดเป็นวัฒนธรรมแห่งชาติ นโยบายแห่งรัฐ ประกาศยกเลิก ความเชื่อ วัฒนธรรมท้องถิ่น จารีตประเพณีท้องถิ่น ทั้งหมด ประกาศบังคับใช้วัฒนธรรมประเพณีจากส่วนกลาง อันอารยะ เอาสิทธิต่าง ๆ + กฏหมายทุกฉบับ นำความเชื่อและแรงศรัทธา ความสวยงามในความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมท้องถิ่น จะสูญสิ้น ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มด้วยความคิดแบบเจ๊ระเบียบ นี้แหละ ที่ชอบเข้าไปจัดการยกเลิกวัฒนธรรมท้องถิ่น ให้ยึดถือวัฒนธรรมส่วนกลาง (ที่อ้างว่าอารยะ)ท้องถิ่นใดไม่ปฏิบัติตาม ท้องถิ่นนั้นผิดกฏหมาย ละเมิดสิทธิ . จากคุณ : เด็กยังรู้ - [ 6 ก.ค. 47 09:25:44 A:202.5.88.132 X: ]

ความคิดเห็นที่ 91 นักเรียกร้องสิทธิก็ต้องหัดเคารพสิทธิการดำเนินชีวิตของคนอื่นด้วย ต้องแยกอคติส่วนตัวออกจากเรื่องของบ้านเมือง ไม่เช่นนั้นก็จะใช้อวิชชาโดยไม่รู้ตัว (เช่นเคยให้สัมภาษณ์โดยใช้สรรพนามเรียกผู้ชายว่า มัน แต่บอกว่าไม่ได้เกลียดผู้ชาย พูดอย่างใจอย่างหรือเปล่า) หยุดสำรวจใจตัวเองให้ถูกต้องก่อนเถอะ ก่อนที่จะหลงทางมากกว่านี้ และทำให้งานบ้านงานเมืองที่ทำมาดีๆจะเสียหาย จากคุณ : ชายรักหญิง - [ 6 ก.ค. 47 09:57:11 A:221.128.102.172 X: ]

ความคิดเห็นที่ 92 เค้าไม่ได้ห้ามให้กราบไหว้ บูชา นี่นาครับ เค้าแค่ห้ามเค้าไปตรงนั้น ปกติ ใครที่ไป ก็ไม่เห็นได้เข้าเลยนี่นาครับ ตรงส่วนนั้น จากคุณ : lime lite - [ 6 ก.ค. 47 10:26:19 ]

ความคิดเห็นที่ 93 กรรม เรื่องไม่ให้ผู้หญิงขึ้นไปบนพระธาตุเป็นการเหยียด หยามศักดิ์ศรีผู้หญิงนี่ไม่ทราบเอาอะไรคิด สมองมีปัญญา คิดเรื่องแค่นี้เหรอ อยากรู้ว่าเรื่องผู้หญิงถูกทารุณกรรม หลอกขายตัว การไร้การศึกษาของหญิงในจังหวัดห่างไกล ทำไมไม่เห็นมีหน้าไหนจะมาแก้มาเรียกร้องให้มันจริงๆจังๆ อย่างเรื่องนี้บ้าง เรื่องไหนสำคัญกว่ากัน เก่งแต่เรื่องไม่เป็น เรื่อง เรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ จากคุณ : DEDETE - [ 6 ก.ค. 47 10:35:10 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ๏ แต่ย่าปู่ชูค่าคือจารีต เป็นขอบขีดควรเหมาะจำเพาะผล จึงกำหนดกฎไว้ในบ้านตน ทั้งชุมชนชอบนับน้อมรับมา ธาตุเจดีย์มีเขตสังเกตห้าม มิควรข้ามคร่อมครือท่านถือสา ส่อเสนียดเดียดฉันท์กัลยา ถือเป็นกาลกิณีไม่มีชม ผุดจากขุมมุมไหนอ้างในสิทธิ เอาลิขิตเข้าจับเพื่อทับถม ทำฮีตคองของบ้านแหลกลาญจม เพียงนิยมสิทธิสตรีตะบี้ตะบัน คงย่าปู่ดูต่ำคนคร่ำคร่า ไม่ชูหน้าแหนงชังเลิกสังสรรค์ จึงขุดรากถากเถาแปลงเผ่าพันธุ์ ฤๅคนทันสมัยให้ลืมตีน ๚ะ ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ====================================== ผมคนขอนแก่นครับ และไม่เห็นด้วยกับ นางระเบียบรัด จากคุณ : วฤก - [ 6 ก.ค. 47 11:09:58 ]

ความคิดเห็นที่ 95 จารีตประเพณีที่เกี่ยวกับพุทธศาสนานั้น ต้องเข้าใจว่าของสูง ของศักดิ์สิทธิ์ ผู้หญิงมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ไม่อาจเข้าใกล้หรือได้สัมผัส ก็เป็นเพราะว่าพระเป็นเพศชายตั้งแต่พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ ของที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า ผู้หญิงก็ไม่ควรแตะต้องเพราะว่ามันดูไม่งาม โลกติเตียนได้ อาจทำให้บางคนดูเป็นความกำหนัดได้ พระจึงมีข้อห้ามไม่ให้แตะเนื้อต้องตัวผู้หญิง ไม่อย่างนั้นก็อาบัติ ในกรณีพระธาตุก็คือ เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นของพระพุทธเจ้าผู้หญิงก็ไม่ควรไปใกล้มากเกินไป วัดเขาจึงล้อมรั้วไว้เป็นบริเวณเล็กๆ คนที่มีความเคารพต่อพระพุทธเจ้าจริงๆก็ไม่ควรเข้าไปใกล้ๆหรอกครับเพราะว่าพระบรมธาตุถูกฝังอยู่ต่ำอาจไปยืนค้ำได้ กฏหมายก็ไม่ควรขัดต่อจารีตประเพณีอันดีงาม สิทธิสตรีก็เป็นเรื่องต่างหากกับเรื่องทางศาสนา ถ้าไม่งั้นอีกหน่อยก็ออกกฏหมายให้ผู้หญิงบวชพระได้ ประเคนของก็ให้กันโดยตรงได้ เดินเข้าไปในเขตสงฆ์ได้ ปีนป่ายซ่อมแซมพระพุทธรูปได้ อีกไม่รู้จบ จากคุณ : Peet - [ 6 ก.ค. 47 11:14:56 ]

ความคิดเห็นที่ 96 บูชาด้วยใจผมว่าแค่นี้ก็ถือเป็นการสักการะแล้วครับ และเห็นด้วยกับคำพังเพยที่ว่า "เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม" ยัยนี่เป็นใคร ทำไมมาทำอย่างนี้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพรักของชาวล้านนาคนนึงอย่างผม จารีตประเพณี และ วิถีประชาที่สืบทอดกันมาช้านาน สร้างความศรัทธาแก่ชาวล้านนามานานกลับมาถูก ผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองสูงแล้ว(เหมือน...วอ)มาว่ากล่าว เจ้าขุนมูลนายไม่ว่าสูงศักดิ์แค่ไหนที่เคยมาสักการะที่นี่เขาก็ปฏิบัติตามกันทั้งนั้น ไม่มีใครมาทำแบบนี้ เหมือนเจ๊มีนิสัยที่ไม่ยอมใครโดยแท้ ทำไมเจ๊ไม่เอาเวลาไปคิดพัฒนาประเทศล่ะครับ กลับเอาเวลามาทำลายจารีตประเพณีที่ดีงามแทน ถามจริงๆเถอะเจ๊เป็นพุทธจริงหรือเปล่า... ทำไมต้องทำแบบนี้กันด้วย จากคุณ : ประจุบวก - [ 6 ก.ค. 47 11:35:52 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ถ้ารู้จักสิทธิของตัวเองแล้ว ก็ต้องรู้จักหน้าที่ด้วย ความคิดความเชื่อเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ คุณก็มีความเชื่อของคุณ เค้าก็มีความเชื่อของเค้า คุณคิดว่าเค้าจะมาบอกให้คุณเชื่ออย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ ก็ควรจะคิดด้วยว่าคุณก็จะไปบอกให้เค้าเชื่ออย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้เหมือนกัน จากคุณ : ลูกป้ามล - [ 6 ก.ค. 47 11:54:41 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ในความคิดผม เชื่อว่า ผู้หญิงทุกคนถ้าได้รู้ว่าการเข้าใกล้องค์พระธาตุ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรตามจารีตประเพณีของคนทางเหนือ (บ้านผม) คงไม่มีผู้หญิงคนไหนเข้าไป ถึงแม้จะมีการเรียกร้องสิทธิ์ แล้วประกาศให้เข้าได้ก็ตาม ผมเชื่อในสามัญสำนึกของผู้หญิงทุก ๆ คน จากคุณ : คนบนภู - [ 6 ก.ค. 47 12:06:11 A:210.86.142.29 X: ]

ความคิดเห็นที่ 99 เอออออออ...ขี้เกียจอ่าน...เดี๋ยวจะต่อให้ถึงร้อยความเห็นก็แล้วกัน ยัยสองตัวเมื่อคืนนั่นมันไม่ได้ดูเงาหัวของตัวเองเล้ย ยิ่งอีอ้วนหมูสับยิ่งแล้วใหญ่ดูถูกคนอื่นเอาสีข้างเข้าถูจนไขมันหลุดออกมาเป็นกิโล ตัวเองกำลังละเมิดสิทธิ์และจารีตประเพณีของคนอื่น ยังมีหน้ามาบอกว่าเรียกร้องสิทธิ งานนี้วัยรุ่นเซ็ง.... เอ้อพวกที่ชอบอ้างเหตุผลทางวิทยาศาสตร์แบบตะวันตกน่ะ ไม่ทราบว่าเรียนรู้กันมาลึกล้ำแค่ไหนถึงเอามาตัดสินว่าคนอื่นผิดคนอื่นโง่ (โดยเฉพาะคุณอ้วนแว่น) ส่วนใหญ่ก็เห็นมีแต่พวกที่รู้พองูๆปลาๆนะแหล่ะที่ชอบอ้างวิทยาศาสตร์์ พวกที่เขาเรียนและค้นคว้าจนถึงขีดสุดของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่มาอวดเอาสิ่งเหล่านี้มาข่มคนอื่นหรอก ้ จากคุณ : xxx.com - [ 6 ก.ค. 47 12:29:05 A:10.92.0.98 X:202.12.97.118 ]

ความคิดเห็นที่ 100 เท่าเทียมกัน ผู้หญิงขมขื่นผู้ชาย เคยอ่านข่าวกันไหม เจ๊อ้วน อันนี้น่าไปแก้ปัญหามากกว่า พวกค่านิยมผิดๆแบบนี้ เสียดายเงินเดือนนะเฟ้ย ภาษีตู แก้ปัญหาใหญ่ๆไม่เป็นเหรอ จากคุณ : Dr.slump - [ 6 ก.ค. 47 12:58:34 ]

ความคิดเห็นที่ 101 เรียนคุณรมณีย์ที่เคารพ "อย่าบ้ากันให้มากนักเลย" นี่คุณรมณีย์หมายถึงใครครับ และหมายความว่ากระไร และ "ปัญญาชนสมองกลับ" หมายถึงใครผู้ใดบ้างครับ กรุณาให้ข้อกระจ่างด้วย จากคุณ : เมธาวดี - [ 6 ก.ค. 47 13:12:26 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เราไม่เห็นด้วยกับวิธีการของระเบียบรัตน์ แต่เห็นด้วยกับแนวความคิดที่ตั้งคำถามในสิ่งที่แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันก็ไม่กล้าถาม ...เราเคยภูมิใจกับประเทศและศาสนาของเรามาก และเคยกังขา"ตาลีบัน"และศาสนาอื่นๆอย่างมาก แต่เมื่อได้เห็นความเห็นประดามีในนี้ ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตาลีบัน ถึงครองอำนาจได้นานเป็นทศวรรษ จากคุณ : ณ อนันต์ - [ 6 ก.ค. 47 14:17:38 A:61.115.53.85 X: ]

ความคิดเห็นที่ 103 ความคิดเห็นที่ 6 ของ mrs.night owl --------------------------------------- หรือเวลาเดินในทางแคบที่ต้องสวนกับพระสงฆ์ก็ฝ่าไปไม่ต้องหลบท่านด้วยน่ะเหรอ อันนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นในการประกอบกิจ ถ้ารีบก็ต้องไปก่อนล่ะนะ ต้องทำมาหากิน --------------------------------------- เป็นคำตอบที่ไร้สติและแสดงความหยาบกระด้างของจิตใจมากค่ะ นับถือศาสนาพุทธรึเปล่าคะ หรือนับถือแต่ในนาม จากคุณ : จอย - [ 6 ก.ค. 47 14:22:16 A:203.146.50.38 X: ]

ความคิดเห็นที่ 105 และเคยกังขา"ตาลีบัน"และศาสนาอื่นๆอย่างมาก แต่เมื่อได้เห็นความเห็นประดามีในนี้ ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตาลีบัน ถึงครองอำนาจได้นานเป็นทศวรรษ คนละ เรื่อง กระมังครับ กลับมาก่อนอย่าไปไกลขนาดนั้น ถ้าคุณหญิงเค้าอยากได้ ก็ให้เค้าไปเถอะครับ จะได้จบ สตรีก็คือสตรี จากคุณ : ชานหมาก - [ 6 ก.ค. 47 14:40:38 ]

ความคิดเห็นที่ 106 คุณ TheKhan คุณพูดอะไรให้เกียรติเค้าบ้าง ไม่ต้องพูดทุกอย่างที่คิดก็ได้ จากคุณ : ลูกป้ามล - [ 6 ก.ค. 47 15:18:30 ]

ความคิดเห็นที่ 107 เรียนคุณ เมธาวดี ที่เคารพ ให้ข้อกระจ่างดังนี้ค่ะ "อย่าบ้ากันให้มากนักเลย" หมายถึง คนบ้าค่ะ บอกคนบ้าว่าอย่าบ้ากันให้มากกว่านี้เลย และ... "ปัญชาชนสมองกลับ" หมายถึง ปัญญาชนสมองวกวน สมองซุกซน สมองอยู่ไม่สุข สมองไม่ตรงทาง สมองไม่ประสบความสำเร็จ สมองไม่แข็ง ค่ะ รมณีย์.... จากคุณ : รมณีย์ - [ 6 ก.ค. 47 15:56:02 ]

ความคิดเห็นที่ 108 สรุปก็คือ ..ไม่ให้เข้าค่ะ คุณจะไปเที่ยวหรือไม่นั่นเรื่องของคุณ คุณมีสิทธิ์เลือกที่จะไปหรือไม่ไป แต่คุณไม่มีสิทธิ์บังคับให้คนอื่นรับความคิดคุณ โอเคไหม จากคุณ : คนไทย - [ 6 ก.ค. 47 21:15:20 A:10.4.10.126 X:202.28.77.30 ]

ความคิดเห็นที่ 109 อ่ะนะ สงสัยต้องซะหน่อยแล้ว อันที่จริง สถานที่นอกจากพระธาตุในทางภาคเหลือแล้ว ในเขตกรุงเทพฯเอง ก็ยังมีสถานที่ที่ไม่ให้สตรีเข้า ที่รู้จักกันดี ก็คือ พระปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งห้ามตามพระบัญชาของพระเจ้าฟ้ามงกุฎ ซึ่งต่อมาคือรัชกาลทที่ 4 เจ็ฯจะไปเรียกร้องด้วยไหมล่ะ เห็นมานั่งเถียงกันเมื่อวาน ในรายการถึงลูกถึงคนอ่ะ 555 อายเพราะเราหวงห้ามไม่ให้สตรีเข้าใกล้พระธาตุอ่ะนะ เวง ในพระศาสนจักรคาทอลิกเอง พระวิหารบางแห่งก็มีการห้ามครับ แล้วห้ามทั้งหมดเลยก็มี ห้ามเฉสพสตรีก็มี เช่น สถานที่บางแห่งในต่างประเทศ จะมีคำว่า ซังตุมซังโตรลุม แปลว่า ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ซึ่งห้ามทุกคน เว้นเฉพาะนักบวช หรือในพระวิหารนักบุญเปโตร พระแท่นใหญ่ก็สงวนไว้แต่สมเด็จพระสันตะปาปาเท่านั้น ที่ทรงประกอบพิธีได้ เป็นต้น ที่กล่าวมาก็ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ประเพณีว่าด้วยการสงวนไว้ซึ่งสิทธิบางประการนั้น มีอยู่ในโลกมานานแล้ว และไม่มีใครนึกสนุกมานั่งเปลี่ยนโดยอ้างความเจริญททางวิทยาศาสตร์หรอกคับ จากคุณ : พ่อปลัด - [ 6 ก.ค. 47 21:27:08 ]

ความคิดเห็นที่ 110 เป็นผู้หญิงค่ะ...ไม่ใช่สาวเหนือ....หากเขาไม่ให้เข้าก็จะไม่เข้า .....เพราะไม่คิดหาใช่ความจำเป็นที่จะดื้อรั้นกระทำ เพราะจะทำให้คนอื่นๆไม่สบายใจ....จะเป็นบาปแก่ตัว... แต่ไม่ได้คิดว่าไม่เข้าเพราะตัวเองเป็นของต่ำที่ไ่ม่ควรจะย่างกรายผ่านในที่แห่งไหนๆ..เพราะไม่เคยคิดดูถูกตัวเอง ไม่คิดจะเรียกร้อง....เพราะการทำบุญอยู่ที่จิตใจ ...แต่ขอถามเจ้าของถิ่น.....เมื่อปัจจุบันความเชื่อได้ทำให้คนกลุ่มหนึ่งมีความทุกข์ สมควรจะแก้ไขมั้ย หากแก้ไขแล้วศาสนาพุทธกระทบกระเทือนหรือไม่...ถ้าไม่..แล้วเหตุใดจึงจะไม่ถือว่านี่คือการทำบุญ?? จากคุณ : คุณแม่ลูกสอง (tulu) - [ 6 ก.ค. 47 21:29:26 ]

ความคิดเห็นที่ 111 บริเวณตรงนั้น ปกติผู้ชายก็เข้าไม่ได้เหมือนกันนิ จากคุณ : ถังขยะหน้าบ้าน - [ 6 ก.ค. 47 21:34:33 A:unknown X:202.12.73.9 ]

ความคิดเห็นที่ 112 ขอบคุณ คุณระเบียบรัตน์มากครับ ผมเข้าใจแล้ว คุณกำลังปลูกฝังจารีตประเพณีอันดีงามทางอ้อม ขออภัยด้วย ที่ได้ล่วงเกินทางวาจาใจ จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ - [ 6 ก.ค. 47 21:51:05 ]

ความคิดเห็นที่ 113 สำหรับตัวเองมีความคิดเห็นว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความเชื่อและวัฒนธรรมของชาวล้านนา ตัวเองก็ไม่ได้เป็นคนเหนือหรอกค่ะ แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกับสิทธิสตรี อย่าหลงประเด็นเลยค่ะ ไม่เกี่ยวกันเลย คนโบราณเค้าก็คงจะมีเหตุผลที่ห้ามไว้ อีกอย่างการเคารพพระธาตุก็อยู่ที่ใจค่ะ อยู่ที่ไหนถ้าใจเราศรัทธาก็ได้บุญค่ะ จากคุณ : หมูหวาน - [ 6 ก.ค. 47 21:55:48 ]

ความคิดเห็นที่ 114 แล้วคนบ้าและคนสมองกลับคนนั้นคือคนไหนครับผม บอกชื่อให้ชัดเจนด้วย หรือว่าไม่กล้ารับผิดชอบคำพูดตัวเอง?? จากคุณ : เมธาวดี - [ 6 ก.ค. 47 22:19:56 ]

ความคิดเห็นที่ 116 หลาย ๆ ท่านครับ ผมเองเสนอตัวเลยว่ามีความเห็นคัดค้านกับคุณระเบียบรัตน์ครับ ผมไม่เห็นด้วยที่ท่านอ้างว่าประเทศชาติจะพัฒนาได้อย่างไรในเมื่อ คนไทยเรายังยึดกับสิ่งเดิม ๆ จารีตเก่า ๆ แก่ ๆ เป็นร้อยเป็นพันปี ผมว่าท่านลืมไปอย่างหนึ่งว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวคือพระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งก็มี พระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ในนั้นครับ การปฏิบัติต่อองค์พระธาตุมีจารีตครับ แล้วมันก็ไม่เกี่ยวข้องกับความเจริญหรือเสื่อมของบ้านเมืองแต่อย่างใดครับต่อให้คนเชื่อตามจารีตที่ปฏิบัติมาเช่นนั้น หมู่คนเขาเชื่อกันว่าพระบรมสารีริกธาตุเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่ควรให้การยกย่องสักการะบูชาตามวิธีอันสมควร ความศักดิ์สิทธิ์ของพระบรมสารีริกธาตุเป็นสิ่งเหนือวิสัยครับ เป็นเรื่องที่ว่าเราไม่สามารถอธิบายเป็นฉาก ๆ ต่อกันเป็นสายด้วยเหตุและผลอันมีอยู่ในขณะนี้ของมนุษย์เพื่อบรรยายว่ากระดูกหนึ่งชิ้นซึ่งเป็นสารประกอบทางกายภาพชิ้นนี้ทำไมต้องถูกยกย่องบูชา แล้วก็ส่วนนึงของการยกย่องนี่แหละครับคือ การบอกว่าผู้หญิง ไม่สามารถเข้าไปในเขตหวงห้ามนั้นได้ เนื่องจาก พระบรมสารีริกธาตุถูกประดิษฐานในลักษณะถูกฝังไว้ใต้ดิน เสมือนว่า ผู้หญิงไปยืนเหยียบคร่อมองค์พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งหมู่ชนที่สืบทอดระเบียบจารีตต่างลงความเห็นเป็นส่วนรวมว่าเป็นสิ่งไม่สมควรแล้วเราก็ยอมรับปฏิบัติสืบต่อกันมา จำไว้นะครับ เรื่องนี้ไม่สามารถให้เหตุผลในแง่ของความรู้ที่วิสัยคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ จะให้ได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ จะมาอ้างเอาสิทธิเพื่อหักดิบล้างเอาวัฒนธรรม ล้างเอาจารีต ล้างเอาวิถีปฏิบัติอันหมู่ชนได้รักษามาในแง่ของสัญลักษณ์ต่อการแสดงความเคารพต่อสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของหมู่ชนนั้น เพราะจารีตเป็นสิทธิในการกำหนดวิถีปฏิบัติของหมู่ชนใด ๆ ด้วยเช่นกัน เหมือนคุนขึ้นรถเมล์ คุณซื้อตั๋ว เท่าคนอื่น บางทีคุณต้องยืน แต่ตามสิทธิอันชอบธรรมแล้วคุณสามารถจะนั่งได้ถ้ามีที่นั่งว่าง เว้นเสียแต่ว่าไม่มีที่นั่งใดว่างคุณไม่มีสิทธิ์ไปไล่ผู้ที่มานั่งก่อนคุณให้ลุกออกไปแล้วอ้างสิทธิ์ในการนั่งของคุณนั้นเอง คุณไม่มีสิทธิ์ทำครับ สิทธิ์คุณมีมากเกินพอหากไม่ล่วงละเมิดในสิทธิ์ของผู้อื่น อันนี้ผมแก้ต่างในแง่สิทธินะครับ ส่วนในแง่ของเรื่อง ความพิเศษอันเหนือเหตุผลที่ว่านั้นก็เปรียบเทียบง่าย ๆ ครับ สมมุตินะครับสมมุติ มีป้ายอันนึงติดอยู่ริมรั้ว ที่ล้อมรอบอาคาร ปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของสถาบันทางวิทยาศาสตร์แห่งหนึ่ง เขียนไว้ว่า "ห้ามสุภาพสตรีเดินผ่านเข้ามาในบริเวณนี้เนื่องจากบริเวณดังกล่าวอยู่เหนือชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นห้องที่มีเครื่อง super computer ที่ใช้ในการคำนวณทางวิทยาศาสตร์กำลังทำงานอยู่ หากสุภาพสตรีเดินผ่านเข้ามาในบริเวณที่หวงห้าม เครื่อง super computer จะเกิดruntime error อย่างไม่ทราบสาเหตุ" สมมุติคุณระเบียบรัตน์ไปเยี่ยมดูงานที่ สถานที่แห่งนี้แล้วท่านร้องโวยวายขึ้นมา "ได้ยังไง ผู้หญิงมันไปเกี่ยวอะไรกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ มันจะทำได้ทำไม่ได้ก็ ส่วนคอมพิวเตอร์สิ ไร้เหตุผล ฉันจะเอาเข้าเป็นวาระในการประชุม แน่ ๆ มาติดป้ายแบบนี้ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงนี่ ได้ไงฉันจะเอาป้ายออกให้ได้คอยดู" ผมว่าถ้ามันเป็น เหตุการณ์แบบนี้ ผมเองก็คงสนับสนุนคุณระเบียบรัตน์แน่น่ะครับ เพราะตามหลัก touring machine ของ Alan Touring จะหญิงหรือชายไม่เกี่ยวกับการทำงานกลไกแบบ Alan touring แน่ ๆ แล้วก็คอมพิวเตอร์ปัจจุบันไม่มีเครื่องไหนพ้นหลักการนี้ไปเลยนะครับ ผมคงช่วยคุณระเบียบรัตน์ค้านเต็มที่เว้นแต่ผมอาจจะหน้าแตกเพราะตามเทคโนโลยีไม่ทันที่ว่า "อ้อเครื่องนี้ของอั๊ว น่ะ เป็น modern AI นะเฟ้ย คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ มาอายตนะ มีวิญญาณ มีเวทนา มีตัณหา เหมือนมนุษย์นาเฟ้ย (เครื่องนี้เป็นเพศชายนาา อั๊วไม่มีลูก แต่อยากได้ลูกชายน่ะ :D)แล้วอั๊วก็จับเครื่องมันนอนหงายซะด้วยมันเลยมองเห็น ข้างบน อยากให้มันทำงานดี ๆ เพดานห้องเลยเป็นวัสดุโปร่งแสงด้านเดียวจะได้เกิด artificialจักขุวิญญาณ แล้วเกิด artificial กสิณ มันจะได้เกิด artificial สติ จะได้ทำงานดีๆ แล้วดันให้ผู้หญิงมาเดินผ่าน อายตนะจักขุ ของคอมพิวเตอร์ของอั๊วได้ยังงายย มันก็ว่อกแว่กหมดซีว้าา Program counter จำผิดจำถูก artificial สติ กลับมาอีกที program counter ไปโหลด memory address ที่ไหนใส่มาก็ไม่รู้ เครื่องอั๊วก็เจ๊งน่ะสิ !!!!" เอ่อ ชักนอกเรื่องไปไกลครับ ขอโทษแต่โดยเนื้อหาคงพอรุ้ใช่มั้ยครับว่าผม นำเสนออะไร ถ้าไม่รู้ผมขอโทษครับผมผิดเองยกตัวอย่างไม่ดี แต่ถ้าเข้าใจข้อเสนอของผม ก็นั่นแหละครับเข้าใจว่าไร ก็แบบนั้นแหละครับ สิ่งที่ฝังอยู่ใต้นั้นคือพระบรมสารีริกธาตุครับ ตามสภาพธรรมแล้วก็คือ เศษชิ้นสารประกอบทางเคมีครับ แต่โดยทางจิตใจมันมีอะไรมากกว่านั้นอีก นี่แหละครับที่เราต้องแคร์ มันไม่ใช่ ตัวอย่างที่สองที่ผมยกน่ะครับ แบบนั้นคุณจะทวงสิทธิ์มันเรื่องของคุณเลย เผลอ ๆ ได้ไปเถียงกันในชั้นศาลครับ แต่แบบที่เป็นอยู่นี้มันไม่เหมือนกันครับ แค่นี้แหละครับขอบคุณครับ จากคุณ : crown99 (crown99) - [ 6 ก.ค. 47 23:57:20 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ตราบใดที่เรายังเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีจริง แล้วผมถามว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าคืออะไรอยากให้อธิบายเป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ด้วยครับ ก็เช่นกันความเชื่อบ้างอย่างก็ไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาติดสินว่าผิดหรือถูกมีแต่เหตุผลทางจิตใจต่างๆหากครับ ผมไม่ปฎิเสธหรอกว่าการให้ผู้หญิงเข้าไปในที่ต้องห้ามแล้วผู้หญิงเกิดเข้าไปจะเกิดเหตุเพทภัยต่างๆกับที่แห่งนั้น จริงๆแล้วก็น่าจะเข้าไปได้แต่ก็ต้องคิดถึงว่ามันเป็นคำสั่งสอนของบรรพบุรุษของเขา เขาเชื่อกันทั้งเมืองแล้วจะมาให้เขาเลิกเชื่อทันทีก็ได้น่าเป็นไปได้เช่นกัน ถ้าคิดว่าเจริญแล้วก็ทำได้ทุกอย่างที่มีเหตุผลอย่างนั้นเราก็เลิกนับถือศาสนากันดีไหม เพราะศาสนาเกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจความกลัวในปรากฎการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ เช่น พระพุทธเจ้าท่านประสูติแล้วเดิน 7 ก้าว (ผมไม่ได้ลบหลู่นะครับ) ถ้าทางวิทยาศาสตร์ก็จะบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ทารกเมื่อคลอดจากท้องแม่แล้วจะเดินได้แม้แต่คลานยังทำไม่ได้ แล้วเราก็จะสรุปว่าเรื่องที่ยกตัวอย่างนั้นเป็นเรื่องไม่จริงเลิกนับถือเลยใช่ไหม เป็นต้น บางอย่างคนโบราณเขาก็มีอะไรบ้างอย่างจึงสร้างหรือเล่าหรือส่งหรือบังคับ ก็ต้องมีเหตุผลที่ทำเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะ ณ เหตุการณ์นั้นๆควรจะสั่งสอนอย่างไร (เฉพาะที่คนโบราณสัมผัสและนึกคิด) ฉะนั้นเราควรจะดำรงไว้ซึ่งคำสั่งสอนของคนโบราณบ้างๆส่วนที่คิดว่าถ้าทำหรือเชื่อแล้วไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน หรือเราเชื่อแล้วสบายใจก็ดำรงไว้เถอะครับ จากคุณ : หน้าบานเท่าด้ง - [ 7 ก.ค. 47 00:06:43 A:210.86.146.42 X: ]

ความคิดเห็นที่ 118 คุณเมธาวดี เป็นคนจังหวัดอะไรครับ หากคุณไม่ได้เติบโตมาภายใต้ประเพณีและความเชื่อของล้านนาผมคงไม่อาจว่ากล่าวคุณได้ เพราะคุณอาจไม่เข้าใจถึงจิตวิญญาณของคนล้านนา สิทธิและความเชื่อเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน คนเราทุกคนย่อมปรารถนาอิสระในการกระทำสิ่งต่างๆแต่ในกรณีนี้ เราควรยอมรับความ"แตกต่าง"ของวิถีชีวิตของผู้คนที่ดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ประเพณีที่ปลูกฝังมายาวนานที่แตกต่างกับที่เราเจอ วิถีชีวิตและความเชื่อที่แตกต่างกันนี้ไม่ใช่หรือครับที่ทำให้เราแตกต่างจากชาติอื่นๆและดำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของเราเอง แต่หากคุณเป็นลูกหลานชาวล้านนา ผมก็เสียใจมากกับความคิดเห็นของคุณตั้งแต่กระทู้แรกของคุณที่ปรากฎขึ้นมา และหากการเรียกร้องครั้งนี้เป็นผลสำเร็จขึ้นมา คุณจะรู้สึกดีไหมครับ หากความเชื่อของคนล้านนาต้องถูกลบล้างเพราะถูกเอาไปเกี่ยวกับการเรียกร้องสิทธิ และคุณระเบียบรัตน์ คุณมีอำนาจในมือ ขอให้ใช้อย่างถูกวิธี ปรึกษาคนอื่นมากๆ ก่อนที่จะทำอะไรลงไป บางทีสมองของคนคนเดียวมันผ่านประสบการณ์ไม่เหมือนกันคนอื่นๆทุกอย่าง ก็อาจเห็นก็ผิดเป็นชอบได้ เตือนครับเพราะคุณคงไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหนา แต่อาจเพียงคิดไม่ทั่ว จากคุณ : napat (napatP) - [ 7 ก.ค. 47 00:40:33 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ถ้ายกเลิกจารีตประเพณีนั้นเสีย แล้วอีกหน่อยเราจะมีอะไรที่ภูมิใจไว้บอกเล่าลูกหลาน จากคุณ : น้ำพริกหมูแดง - [ 7 ก.ค. 47 00:54:02 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ขอบคุณท่าน ส.ว. ท่านกำลังสอนและปลูกฝังจารีตประเพณี ค่านิยมอันดีงาม ให้กับวัยรุ่น เด็กยุคใหม่อย่างผมอยู่ เพียงแต่เป็นวิธีการสอนด้วยวิธี Inverse นั่นเอง ถ้าไม่ลบหลู่ ก็ไม่รู้จักหวงแหน อึ้งในปริศนาธรรม !!! วาจาที่ผมตอบโต้ไป ทำให้ผมตระหนักในคุณสมบัติของผมในเรื่องจารีตประเพณี ผมจะเป็นเด็กดีครับ จารีตประเพณีจะทำให้ผมเป็นสุภาพบุรุษ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือภรรยาในอนาคตของผมเอง และครอบครัวที่อบอุ่น ขออภัยด้วย ที่ได้ล่วงเกินทางวาจาใจ จากคุณ : อั๋น ทรงวุฒิ - [ 7 ก.ค. 47 00:54:37 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ภายในกะโหลกหนาๆของคุณระเบียบรัตน์ เธอคิดปริศนาธรรมได้ถึงขนาดนั้นเลยหรือครับ โอ เมื่อไหร่เธอจะเฉลยปริศนาล่ะ จะรอฟัง เพราะคิดไปแล้วว่าเธอโง่ ขออภัยจริงๆ จากคุณ : napat (napatP) - [ 7 ก.ค. 47 01:01:29 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ในฐานะที่เป็นผู้หญิงชาวเหนือ ... รู้สึกแย่มากที่ได้ยินคุณระเบียบรัตน์ มาวิจารณ์ จารีตประเพณีของท้องถิ่นดิฉันแบบนี้ ผู้หญิงชาวเหนือก็มีสมองพอที่จะเข้าใจนะคะว่ายุคสมัยนี้ หญิงและชาย เท่าเทียมกัน ดิฉันเรียกร้องสิทธิฯ ตามสมควร แต่เรื่องบางอย่างก็ควรพิจารณาถึงความเหมาะสม วัฒนะธรรม บางอย่าง คนที่อยู่ต่างสังคมอาจจะไม่เข้าใจ แต่ไม่ควรมาดูหมิ่น เหมือนที่หลายคนเคยเปรียบเทียบ กับเรื่องที่ต่างชาตินำสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาไปใช้ในทางที่ไม่สมควรนั่นแหละค่ะ ชาวพุทธมีจารีตที่กำหนดธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับสัญลักษณ์ทางศาสนาของตน ชาวเหนือเองก็มีธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับสิ่งก่อสร้างอันเป็นที่เคารพของตนเช่นกัน หากคุณเคารพในสิทธิมุนษยชน คุณก็ควรเคารพในสิทธิของชนท้องถิ่นทางเหนือบ้าง กรุณาอย่าลบหลู่ดูหมิ่นว่ามันคือธรรมเนียมหรือจารีตที่แสดงถึงการกดขี่ข่มเหงทางเพศเพราะคุณไม่ใช่ชาวท้องถิ่นทางเหนือคุณจึงอาจไม่ซึมซาบถึงธรรมเนียมปฏิบัติอย่างลึกซึ้งพอ มันไม่ใช่ประเด็นทางศาสนา แต่เป็นประเด็นทางจารีตประเพณีเสียมากกว่า จากคุณ : Jekyll - [ 7 ก.ค. 47 01:48:55 ]

ความคิดเห็นที่ 123 พระพุทธเจ้าท่านประสูติแล้วเดิน 7 ก้าว (ผมไม่ได้ลบหลู่นะครับ) ถ้าทางวิทยาศาสตร์ก็จะบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ทารกเมื่อคลอดจากท้องแม่แล้วจะเดินได้แม้แต่คลานยังทำไม่ได้ ถ้าจำไม่ผิด เรื่องนี้เป็นเรื่องแนวเปรียบเทียบครับ หมายถึงว่าพระพุทธองค์ทรงประสูติมาแล้วโปรดแคว้น 7 แคว้น ไม่ได้หมายความว่าเดินได้จริงๆแต่อย่างใด ส่วนเรื่องเจ๊เบียบผมเห็นด้วยกับท่านครับ ว่าควรทบทวนกฏระเบียบ เพราะสิทธิในการสักการะไม่ควรจะแยกหญิงชาย คนโบราณอาจตั้งกฏนี้ขึ้นมาโดยมีเหตุผลเฉพาะกาล (เช่น ไม่สะดวกกับพระสงฆ์ หรือเรื่องประจำเดือนเลอะเทอะ เพราะสมัยก่อนไม่มีลอริเอะ) เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปก็น่าจะทบทวนกฏระเบียบได้ตามความเหมาะสม หากเป็นเรื่องการลบหลู่ความเชื่อของชาวล้านนา และชาวล้านนาหวงแหนความเชื่อนี้นัก ก็สมควรห้ามผู้ที่ไม่ใช่ชาวล้านนาเข้าสักการะนะครับ ถึงจะควบคุมได้ทั้งหมด หากยังเปิดให้บุคคลภายนอกเข้า ก็ควรเคารพสิทธิของบุคคลทั่วไปโดยเสมอกันด้วยครับ เรื่องความศักดิ์สิทธิ์นี้คนเรามาอุปโลกกันเองทั้งนั้น สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ท่านก็ไม่เคยสนับสนุนให้มีการเคารพรูปเคารพ ไม่เคยสนับสนุนให้มีการสร้างอะไรใหญ่โต ให้มีชีวิตสมถะ มุ่งพัฒนาจิต มากกว่ายึดติดกับวัตถุ อย่าเอาพระรัตนตรัยมาอ้างโดยมิได้ไตร่ตรองดีกว่าครับ จะทำให้แปดเปื้อนไปเปล่าๆ การเชื่อโดยศรัทธาก็ดี การเชื่อโดยปัญญาก็ดี ล้วนมีจุดดีและจุดด้อยทั้งนั้น หากเชื่อสิ่งใดตามหลักกาลามสูตร จึงจะเป็นผู้นับถือพระพุทธองค์ด้วยกาย, วาจา และใจอย่างแท้จริง จากคุณ : ดาวแดง (redstar) - [ 7 ก.ค. 47 02:01:44 ]

ความคิดเห็นที่ 124 โถ.. จับแพะมาชนแกะได้เป็นเรื่องเป็นราว แยกออกไหมครับ คำว่าจารีตประเพณีกับแก่นของพุทธศาสนาน่ะ มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เพียงแต่มันอยู่ใกล้กัน มีผลสัมพันธ์สืบเนื่องกันเท่านั้นเอง หากเอาตรรกะของคุณมาใช้ แล้วอย่างนี้เราจะมีวัดพระแก้วไปเพื่ออะไร จะมีรูปปั้นบูชาไปทำไม พระสงค์องค์เจ้าจะนุ่งหมจีวรไปเพื่ออะไร เพราะนั่นก็ล้วนแต่เป็นเพียงวัตถุ สิ่งของนอกกายทั้งสิ้น ที่เขากำลังพูดๆ กันอยู่เนี่ย เขาพูดกันเรื่องของจารีตประเพณี ดังนั้นไอ้จารีตอันนี้มันจะ "จริง" หรือ "ไม่จริง" ก็ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ คนท้องถิ่นเขาปฎิบัติของเขาอย่างนี้มานานหลายร้อยปีแล้ว เขาก็อยู่ของเขาอย่างนี้มานานแล้ว ไม่เคยมีปัญหาอะไร แต่อยู่ๆ เมื่อคนต่างถิ่นบางคนไปเยือนกลับเห็นว่าของเขาไม่ดีไม่งาม คร่ำครึล้าสมัย ลุกขึ้นมาป่าวประกาศจะไปเปลี่ยนแปลง ปลดป้าย แหกกฎจารีตของเขาซะอย่างนั้น จะไม่ให้คนท้องถิ่นเขาออกมาโวยได้อย่างไร ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง จริง ไม่จริง เป็นพุทธ ไม่เป็นพุทธ ทันสมัย ไม่ทันสมัย อะไรอย่างที่คุณพยายามจะโยงเข้าหานั่นเลยแม้แต่นิดเดียว จากคุณ : KamoOldman - [ 7 ก.ค. 47 03:15:38 ]

ความคิดเห็นที่ 125 คุณดาวแดง คิดดีๆ ก่อนนะครับ ห้ามคนที่ไม่ใช่คนล้านนาเข้างั้นเหรอครับ ถ้าทำอย่างนั้น พวกปากดีๆ อย่างพวกคุณก็คงจะลุกขึ้นมาประท้วงว่าลิดรอนสิทธิอีกนะสิครับ เค้าอนุญาตให้ทุกคนเข้าได้ แต่ขอนิดเดียวว่าอย่าให้ผู้หญิงเข้า ผิดหรือครับ ที่เค้าจะดำรงความเชื่อของตนไว้ เรื่องจารีตประเพณี กับสิทธิมนุษยชนมันคนละเรื่องกันนะครับ ลองนึกดูนะครับ ลองคิดว่า ถ้าบ้านคุณมีกฏว่าห้ามใส่รองเท้าเข้าบ้าน แต่คนที่มาเยี่ยม ไม่ใช่คนที่มักคุ้นกันจนจะรู้กฏของคุณ และเป็นพวกที่ซ้ายจัด อะไรๆ ก็จะเรียกร้องสิทธิ คุณจะทำอย่างไร เมื่อเค้ายืนยันจะใส่รองเท้าเข้าบ้าน ผมเข้าใจนะว่าคุณจะบอกว่างั้นก็ไม่ต้องเข้า แล้วผมถามหน่อย ถ้าคนๆ นั้นเป็นเจ้านายคุณล่ะ เป็นคนที่คุณจะต้องยินยอมล่ะ คุณจะทำอย่างไร พูดกันไป ว่ากันไป ก็รู้สึกว่าประเด็นมันจะเบี่ยงไปเรื่อยๆ แล้วนะครับ เมื่อคืนตอนที่ได้ดูรายการถึงลูกถึงคน ผมได้นอนคิดเสียหนึ่งคืน ก่อนที่จะมาเข้าใจว่า สิ่งที่คุณระเบียบรัตน์เธอต้องการ ไม่ใช่ว่าจะเข้า แต่เห็นป้ายแล้วอาย ก็อีกนั่นแหละครับ อายอะไร เค้าทำไว้เฉพาะภาษาไทย เพื่อให้คนไทยได้อ่านเท่านั้น ก็ดันทุรังเสนอว่างั้นใส่ภาษาอังกฤษด้วย ในท่าทีประชด อย่างนี้แล้วคุณไม่อายหรือ เขียนภาษาไทย รู้กันเฉพาะคนไทย คุณบอกอาย แล้วเขียนภาษาอังกฤษใส่เข้าไป คุณจะไม่อายยิ่งกว่าหรือไง คิดได้ไงเนี่ย สิ่งที่ผมไม่ชอบในการกระทำครั้งนี้ เน้นว่าครั้งนี้นะครับ เพราะโดยส่วนตัวก็นิยมชมชอบเธออยู่ไม่น้อยในการลุกขี้มาเรียกร้องสิทธิอะไรต่างๆ แต่ครั้งนี้ขอบอกว่าไม่พอใจเลยที่จะมาลบหลู่ดูหมิ่นความเชื่อของคนเหนือ คนล้านนา คำพูดหลายๆ อย่างของเธอและผู้ที่เข้าฝ่ายเธอเมื่อคืนในรายการที่คุณสรยุทธแทบจะควบคุมไม่ได้ ฝ่ายตรงข้ามที่มานั่งด้วย แทบจะอ้าปากไม่ทันคำพูดของคุณเธอทั้งสองคน มันทำให้ผมและเพื่อนๆ หลายคนที่ดูอยู่ เจ็บใจ กล้าดียังไงมาว่าความคิดของคนล้านนาล้าสมัย เข้าข่ายฉลาดน้อย ไร้เหตุผล ขอบอกตามตรงว่าคะแนนความนิยมที่เคยมีให้ หายไปกว่าครึ่งครับ ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา คนอะไรไม่รู้จักพอ ผมขอคัดค้านความคิดที่จะเอาคำว่าผู้หญิงออกจากป้ายห้ามเข้านี้เต็มที่ครับ จากคุณ : -adis- - [ 7 ก.ค. 47 03:40:52 ]

ความคิดเห็นที่ 126 ท่านเข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตามมันคงต้องยกเลิกแล้วมั้ง เราไปที่ไหนเราต้องให้ความเคารพจารีตประเพณีเขาเพราะเราเป็นคนต่างถิ่นเขาคิดว่าทำอย่างนี้แล้วดีกับสังคมเขาเราก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเราต้องเคารพสิทธิของเขาเช่นเดียวกัน มิใช่อ้างเฉพาะกลุ่มว่าเดือดร้อนเพราะคนที่นั่นเขาไม่เดือดร้อนเมื่อท่านไม่พอใจในวัฒนธรมมของเขาจะเปลี่ยนเขาได้อย่างไร จากคุณ : gogoh - [ 7 ก.ค. 47 03:51:11 ]

ความคิดเห็นที่ 127 ด้วยความเคารพทุกท่านครับ ขอขอบคุณทุกสาระความเห็น ทั้งเห็นพ้อง และเห็นต่างครับ ผมมั่นใจว่า บัดนี้กระแสสังคมต่างได้มีมติร่วมกันแล้วกระมังครับว่า การที่นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช เมียนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช หนีบเอานางอารมย์ มีชัย.... มาเถียงข้างๆคูๆ เป็นลูกคู่ออกรายการถึงลูกถึงคนแล้วเผยแพร่ไปทั่วประเทศนั้น สังคมส่วนใหญ่ต่างมีมติกันอย่างไร ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้กรุณาให้เกียรติเข้ามาแสดงความเห็นในกระทู้นี้ ทั้งชาวล้านนาหรือพี่น้องชาวไทยโดยรวม จริงๆ ก็ผ่านมาแล้วหลายวัน.... ผมชักอยากจะทราบความเห็นของนายกรัฐมนตรี ผู้เกิดและเรียนรู้มาแต่ล้านนาเสียจริงครับ ว่าท่านจะมีความเห็นอย่างไร.... มีใครพอจะพบเจอบทสัมภาษณ์นายกฯที่ไหนบ้างครับ ว่า นายกฯ มีความเห็นอย่างไรในกรณีนี้ ในฐานะเป็นชาวล้านนาโดยกำเนิด...รู้สึกหม่นหมองใจทุกครั้ง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้.... ผมไม่ได้แบ่งแยกนะครับว่า นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช เมียนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็นคนไทย... ส่วนผมเป็นคนเมือง แต่ด้วยความเคยชินมาแต่เด็ก ที่มักเรียกขานผู้พูดภาษากลางว่า "คนไทย" จึงเข้าใจไปเองตามความเคยชินว่า นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช เมียนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช เป็นคนไทย แล้วอาจหาญเอาความรู้สึกในความเป็นผู้หญิงของตนเอง มาคิดแทนผู้หญิงชาวล้านนา เจ้านายฝ่ายเหนือ... ซึ่งถือได้ว่าเป็นชนชั้นเจ้านายเชื้อพระวงศ์ที่ชาวล้านนาให้ความเคารพ ยกย่อง ผู้เป็นบุคคลในท้องถิ่น มีทั้งเจ้านายผู้หญิง และเจ้า่นายผู้ชาย ผมก็ยังไม่เคยเห็นว่าเจ้านายฝ่ายเหนือองค์ใด... จะออกมาเรียกร้องเหมือนอย่างที่นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช เมียนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิชกำลังกระทำอยู่ ตรงกันข้าม...กลับมีความเห็นขัดแย้งกับนางเสียด้วยซ้ำไป ทั้งๆ ที่วุฒิภาวะ ฐานะทางสังคม และการเมืองของเหล่าเจ้านายฝ่ายเหนือ....มีทั้งสิทธิและศักดิ์จะกระทำได้ สำหรับผู้ที่เห็นด้วยกับนางระเบียบรัตน์ ซึ่งพบว่ามีอยู่ไม่กี่คนนั้น..... ผมก็เคารพในเหตุผล และความคิดของท่าน.... แต่บางที...บางคน....แม้ผมจะให้เครดิตในเรื่องสิทธิแห่งความเสมอภาค และการแสดงออกทางความเห็น.... แต่ก็ยังตะขิดตะขวงใจกับคุณ...สาวเชียงใหม่.... ผมมีความเชื่อว่า คุณคงไม่ใช่สาวเชียงใหม่ ที่เิกิดและเติบโตมาท่ามกลางจารีตประเพณีที่งดงามของล้านนาแน่ๆ มิเช่นนั้น...คุณคงไม่มีความเห็นเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้....จึงจะพออนุมานได้ว่า....คุณคือคนปลอมตัวมาเป็นสาวเชียงใหม่เท่านั้น... แต่...หาคุณเป็นสาวเชียงใหม่ ตัวจริง เสียงจริง.... โปรดจงทราบด้วยเถอะครับว่า....จิตและวิญญาณของความเป็นชาวล้านนา ที่โอนอ่อนละมุนละมัย ในตัวคุณนั้น มันไม่หลงเหลืออะไรให้คุณได้ภาคภูมิใจในความเป็นชาวล้านนาเลย คุณ....คือจุดอ่อน.....ของล้านนา จากคุณ : คนล้านนา - [ 7 ก.ค. 47 05:06:22 ]

ความคิดเห็นที่ 128 เพื่อนๆสมาชิก โปรดทราบ พึงระวังคนต่างศาสนาแอบอ้างตัวเองเป็นคนพุทธ คนล้านนา เข้ามาโจมตีทำลายศาสนาพุทธ ประเพณี วัฒนธรรมไทย โดยเอาเรื่องสิทธิสตรีมาบังหน้า คนที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้นับถือศาสนาค...... จากคุณ : talok - [ 7 ก.ค. 47 07:02:44 ]

ความคิดเห็นที่ 129 อ่านซะตาลายเลยเรา (@_@)??? จากคุณ : timtam_yummy - [ 7 ก.ค. 47 07:10:15 ]

ความคิดเห็นที่ 130 อ๊วกออกมาเป็นคำว่า ระเบียบรัตน์ กับล้านนา... จากคุณ : ภูภู่ภู้ภู๊ภู๋ - [ 7 ก.ค. 47 07:53:38 ]

ความคิดเห็นที่ 131 เรียน คุณเมธาวดี ที่เคารพ ถ้าคุณไม่ทราบจริงๆ คุณไปเพิ่มทักษะด้านการอ่านระหว่างบรรทัดให้เพิ่มมากขึ้นนะคะ ดิฉันจำเป็นอะไรต้องเขียนตามที่คุณสั่ง ดิฉันก็มีสิทธิสตรีของดิฉันที่จะเขียนหรือไม่เขียนอะไรก็ได้ทั้งนั้น และการที่ดิฉันจะตอบอะไรอย่างไรในอินเตอร์เนตก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของดิฉันโดยที่ไม่ได้ทำความเดือดร้อนอะไรให้ใครด้วย เอ๊ะ หรือคุณเดือดร้อน.... คุณมีสิทธิ์อะไรจะมาบังคับดิฉัน? คุณเป็นใคร? จากคุณ : รมณีย์ - [ 7 ก.ค. 47 07:58:45 ]

ความคิดเห็นที่ 132 เอาอะไรมาอ้างสิทธิกันก็ไม่รู้นิ จะทำตามใจตัวเองยังไงก็คงจะทำได้(ถ้ามีคนตามใจ) แต่มันควรหรือไม่ควรต่างหาก จะถือสิทธิของตัว แต่ไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น มันจะไปดีได้ไงนิ วัฒนธรรมของตัวก็ใช้ในบ้านของตัวสิ อยู่นอกบ้านก็ต้องเคารพวัฒนธรรมของสังคมนั้น ๆ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เก็บไว้ในใจ ใช้สิทธิของความเป็นมนุษย์ทำความดีกันดีก่า อิ อิ จากคุณ : ตูละกลุ้ม - [ 7 ก.ค. 47 08:27:27 A:203.144.187.129 X: ]

ความคิดเห็นที่ 133 ขอแจมเหอะน่ะ ทนพวกที่มีหัวสมัยใหม่ แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย อย่างพวกที่เข้าข้าง "เจ๊ระเบียบรัตน์" เนี่ยไม่ได้จริง ๆ เราเป็นผู้หญิง เป็นคนรุ่นใหม่ แต่เราก็เข้าใจ และไม่คิดจะมาเรียกร้องสิทธิสตรี ในเรื่องนี้ มันไร้สาระมาก ๆ เข้าใจคำว่า "เข้าเมืองตาหลิว ต้องหลิวตาตาม" ไหม เข้าบ้านเขาคุณก็ต้องเคารพในสิ่งที่เขาถือปฏิบัติกันมา จะมาเรียกร้องอะไร เปรียบเหมือนคุณไปบ้านเพื่อนคุณ แต่คุณไม่ชอบระเบียบในบ้านเขา คุณก็ชี้นิ้วสั่งว่าไม่ควรทำไอ้โน้น ไม่ควรทำไอ้นี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของคุณเลย ส่วนเรื่องที่เขา "ห้ามผู้หญิงเข้าไป" ไหว้พระธาตุ มันมีเหตุมีผล ไม่ใช่อยากจะห้ามก็ห้าม เพราะเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องในทางพระพุทธศาสนา เหมือนกับที่ห้ามผู้หญิงแตะต้องตัวพระสงฆ์ เวลาถวายของให้พระ ก็ต้องวางบนผ้า "และสำหรับพระธาตุก็เปรียบเสมือนตัวแทนพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ก็เป็นผู้ชาย เป็นพระสงฆ์ เพราะฉะนั้นผู้หญิงก็ไม่ควรจะเข้าใกล้ ประกอบกับพระบรมสารีริกธาตุที่ "ดอยสุเทพ" ฝั่งอยู่ใต้ดิน รวมไปถึงเรื่องที่มีประจำเดือนด้วย แต่มันก็เป็นแค่เหตุผลเล็ก ๆ ที่ถือเป็นความเชื่อของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ ที่ถือปฏิบัติกันมาเป็น 100 เป็น 1000 ปี เพราะฉะนั้น การที่ผู้หญิงจะเข้าไปใกล้ถึงขนาดนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ซึ่งเราว่าถ้าใครทำความเข้าใจก็จะรู้ว่า มันมีเหตุมีผลทั้งนั้น เขาไม่ได้ห้ามแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าคุณอยากจะเรียกร้องความเท่าเทียมกันของชายกับหญิงในเรื่องอื่น ดิฉันจะเห็นด้วย และไม่ตำหนิเลย แต่เรื่องนี้มันคนละเรื่องกันเลย คำว่า "ขนบธรรมเนียมประเพณี" กับ "สิทธิเสรีภาพ" มันคนละเรื่องกันอย่าเอามาปะปนกัน จากคุณ : ลูกโป่งฟ้า - [ 7 ก.ค. 47 08:43:33 ]

ความคิดเห็นที่ 134 ..... เสมอภาค?..... ๏ ในโลกนี้มีไหนที่ไม่ต่าง ถ้วนทุกอย่างยังเห็นเป็นหลักฐาน ต่างกิจจาภาระต่างประการ แต่ประสานสอดคล้องประคองกัน เหมือนดวงตาหน้าที่มีไว้จ้อง หูก็ต้องไว้ฟังอย่างรังสรรค์ ปากไว้เอ่ยเผยคำพูดจำนรรจ์ หอมสุคันธ์นาสิกนั่นสิดม หญิงต่างชายหมายว่าต่างหน้าที่ ต่างผู้มีต่างงานประสานสม ชายเป็นหญิงหญิงกลายชายนิยม โลกคงล่มเลือนเลอะเปื้อนเปรอะปน ฮีตสิบสองคองสิบสี่ที่กำหนด นั่นคือบทบอกแจ้งแสดงหน เห็นภาระหน้าที่รู้ทีตน ประกอบผลเพื่อเมืองรุ่งเรืองธรรม ๚ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๗ ================================= ขอร่วมแสดงความเห็นอีกทีครับ....... เรื่องสิทธิเท่าเทียมกันนั้นไม่มีใครว่า แต่เรื่องวัฒนธรรมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สังคมล้านนา ไม่ต่างจากสังคมคนอิสาน ที่เราอยู่ร่วมกันด้วยจารีตประเพณี ทางอิสานเรียก ฮีตสิบสองคองสิบสี่ ซึ่งกำหนดหน้าที่บทบาทของแต่ละคนในสังคม ว่าเขาควร/ไม่ควรทำอะไรบ้าง ที่ต้องกำหนดไว้อย่างนั้น ก็เพื่อให้แต่ละคนรู้บทบาทหน้าที่ตนเอง ทำงานของตนให้ดีที่สุด แล้วสังคมก็จะสงบสุข นางระเบียบรัตน์ ไม่ได้ซึมซับวัฒนธรรมอิสาน จากจังหวัดที่เลือกเธอขึ้นมาเป็นตัวแทนเลย เธอเติบโตขึ้นมาโดยไม่ได้รับรู้เรื่องจารีตประเพณี ไม่ได้สำเหนียกมาว่าแต่ก่อนบ้านเมืองของปู่ย่าตายาย อยู่กันด้วยฮีตและคอง เพราะถ้าเธอได้ซึมซับวัฒนธรรมมาบ้างเธอจะไม่ทำอย่างนี้ คือการทำลายวิถีชีวิตอันดีงามของคนล้านนา แล้วเรายังจะไว้ใจให้ผู้หญิงที่โง่และบ้าอย่างนี้ มาแอบอ้างว่าจะรักษาวัฒนธรรมของชาติอยู่อีกหรือ? แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 47 09:09:50 จากคุณ : วฤก - [ 7 ก.ค. 47 08:45:21 ]

ความคิดเห็นที่ 135 เรียนคุณรมณีย์ ถ้าคำพูดแบบนี้เรียกว่าทักษะการเขียนระหว่างบรรทัดล่ะก็คงตลกสิ้นดีครับ เพราะมันเป็นคำพูดเรี่ยราดของคนที่ไม่คิดรับผิดชอบกับคำพูดตัวเองเท่านั้นเอง ผมไม่ได้บังคับกะเกณฑ์อะไรคุณนะ แค่ผมอยากจะดู"ความรับผิดชอบต่อคำพูดตัวเอง" ของคุณเท่านั้นเอง มาถึงตรงนี้ กระจ่างแล้วครับ ว่าคนประเภทคุณมีความรับผิดชอบและความกล้าหาญแค่ไหน ก็ขอจงซ่อนแอบต่อการเขียนระหว่างบรรทัดของคุณต่อไปเถิด ผมก็คงไม่เสียเวลาอะไรมาให้ความสนใจคนอย่างคุณอีกแล้ว ลาแล้วครับ จากคุณ : เมธาวดี - [ 7 ก.ค. 47 08:49:23 ]

ความคิดเห็นที่ 136 อันนี้ถึงทุกท่านที่ไม่เห็นด้วยกับคุณระเบียบรัตน์ ด้วยเห็นว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ใยเรื่องของสิทธิมนุษย์นั้น ไม่ว่าเรื่องใดๆนั้น มันเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อทั้งนั้น ซึ่งปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำของมนุษย์ มันก็เกิดจากขนบประเพณีของสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้นมาทั้งนั้นครับ ซึ่งการที่จะมาดูว่าประเพณีไหนๆ มันเป็นเรื่องของการเหยียดหยาม การดูหมิ่น ในมนุษย์ผู้อื่นที่แตกต่าง มันต้องดูเหตุผลนั้นๆครับ ซึ่งประเพณีการห้ามสตรีเข้าสถานที่ศาสนา เหตุผลก็ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าห้ามเข้าทำไม ในเมื่อท่านทั้งหลาย เห็นว่าสตรีไม่สมควรเข้า เพราะเห็นว่าสตรีจะทำให้สถานที่นั้นๆเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ลงไป ด้วยเห็นว่าส่วนประกอบต่างๆในสตรีเป็นของต่ำ โอเคครับ มันเป็นประเพณี แต่มันเป็นประเพณีที่เหยียดหยามมนุษย์ด้วยกันอย่างยิ่ง ผมไม่เถียงใครนะว่ามันไม่ใช่เรื่องประเพณีและวัฒนธรรม แต่มันเป็นประเพณีที่เหยียดหยามเพื่อนมนุษย์ครับผม ผมถึงไม่เห็นด้วยไง จากคุณ : เมธาวดี - [ 7 ก.ค. 47 09:08:48 ]

ความคิดเห็นที่ 139 "เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน" อยากใหญ่มั่งงะ.... จากคุณ : bangna99 - [ 7 ก.ค. 47 09:22:26 ]

ความคิดเห็นที่ 140 ล้านนาเคยเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่มาก่อนที่จะถูกรวมเป็นประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้ สมควรที่มีจารีตประเพณีของตนเอง ในปัจจุบันก็เห็นว่ามีแต่คนที่อื่นมาอยู่ใครหน้าไหนรับไม่ได้ก็ไม่ต้องมาอยู่ให้หนักแผ่นดินนี้ จากคุณ : xxx (เกี๋ยงคำ) - [ 7 ก.ค. 47 09:45:09 ]

ความคิดเห็นที่ 142 ถ้าทางคนที่ชื่อ เมธาวดี คงจะเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่ เนอะ ถึงไม่ค่อยยอมเข้าใจอะไรเลย บ้านมีกฎบ้าน มันเป็นกฎกติกา ของบ้านเมืองเขา คุณจะไปยุ่งอะไร ในเมื่อคนในบ้านเมืองเขายอมรับ และเคารพ ที่จะปฏิบัติ เราในฐานะแขก เราก็ต้องปฏิบัติตามเขา มันไม่ใช่ว่า "เป็นการเหยียดหยามเพื่อนมนุษย์" เลยสักนิด แต่มันก็คงจะเหยียดหยามคนประเภทอย่างคุณ และก็คุณระเบียบรัตน์ สงสัยจริง ๆ ขอถามหน่อยคุณเข้าใจเรื่องพวกนี้ 1. ทำไมเขาไม่ให้ผู้หญิง แตะต้องพระสงฆ์ 2. ทำไมผู้หญิงเวลาถวายของให้พระต้องวางบนผ้า ส่งถึงมือไม่ได้ 3. ทำไมพระพุทธเจ้าถึงปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อมีผู้หญิงมาขอบวชพระบ้าง (อันนี้คงรู้ว่าใคร) ถ้าคุณตอบได้ และเข้าใจมันก็กรณีเดียวกับ "เรื่องพระธาตุ" ที่ไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้ หรือแตะต้อง จากคุณ : ลูกโป่งฟ้า - [ 7 ก.ค. 47 10:17:26 ]

ความคิดเห็นที่ 143 ผมไม่ได้บอกนะครับว่า การให้ผู้หญิงเข้าไปสักการะองค์พระธาตุเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสม หรือไม่ บอกแต่เพียงว่า หากขนบประเพณีที่พวกเราเองในอดีตตั้งขึ้นมา ก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้งในปัจจุบัน ก็ควรนำมา "ทบทวน" เสียใหม่ ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ต่างจากเมื่ออดีตอย่างไร? ควรจะยอมรับให้มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นหรือไม่? คุณทราบไหมครับว่า จีวรในสมัยพุทธกาล คือผ้าที่ชาวบ้านทิ้งไว้ตามต้นไม้ ไม่ใช่ผ้าเหลืองใหม่เอี่ยมเช่นทุกวันนี้ แล้วทำไมสิ่งนี้ถึงเปลี่ยนกันได้ล่ะครับ ผมไม่ได้ขัดความเชื่อใครนะครับ สังคมเราอยู่ร่วมกันได้ด้วยเหตุและผล สิ่งใดมีเหตุให้เกิด มันก็เกิด, ไม่มีเหตุให้เกิด มันก็ไม่เกิด ดังนั้นความเชื่อเป็นเรื่องเฉพาะตนไม่มีคนผิดถูก ดังนั้นการทำอะไรที่ขัดความเชื่อของผู้อื่นย่อมนำมาซึ่งความขัดแย้งทั้งสิ้น การที่คุณเอาศรัทธาในความเชื่อของคุณมานำ ไม่ได้หมายความว่าคุณผิด หรือการที่ผมเชื่อในความมีสิทธิเท่าเทียมกันของมนุษย์ก็ไม่ใช่ผมผิดอีก ดังนั้นอย่ากล่าวหากันเลยครับ ผมยังยืนยันว่า ผมไม่รังเกียจถ้าจะไปสักการะพระธาตุแต่เพียงด้านนอก หากพวกคุณจะสงวนที่ทางไว้เพื่อรักษาความเชื่อของคุณ ผมว่ามันไม่ต่างกัน หากเราปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมได้รับผลบุญและวิบากตามสมควร สิ่งที่ผมคัดค้านคือการแบ่งแยกชายหญิง ในสิ่งที่ผู้ชายและผู้หญิงสามารถกระทำได้เสมอเหมือนกันครับ จากคุณ : redstar - [ 7 ก.ค. 47 10:27:41 ]

ความคิดเห็นที่ 144 อย่าไปเที่ยวที่ของเค้านะคัรบ คุณเมธาวดี จากคุณ : kobee - [ 7 ก.ค. 47 10:32:41 ]

ความคิดเห็นที่ 145 เรื่องนี้นับว่าเป็นการมองต่างมุมโดยแท้จริงค่ะ ฝ่ายที่เห็นด้วยกับคุณระเบียบรัตน์ก็มีเหตุผลของเค้า ฝ่ายที่ไม่ห็นด้วยก็มีเหตุผลของตนเองเช่นกัน จะถามว่าใครผิดใครถูก ก็ต้องแล้วแต่มุมมองของตัวเอง แต่ดิฉันไม่เข้าใจจริงๆว่า คุณระเบียบรัตน์ จะออกมาเรียกร้องให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ทำอะไรที่มีประโยชน์ที่จะช่วยสังคมได้มากกว่านี้ดีกว่านะคะ คุณเป็นคนที่ประชาชนเลือกให้มาทำงานก็ควรจะทำประโยชน์ให้สมกับที่เค้าเลือกคุณมานะคะ ปัญหาเกี่ยวเด็กและสตรีที่ถูกทารุณมีอีกมากมายช่วยทำตัวให้ เป็นประโยชน์มากกว่านี้ดีกว่านะคะ เงินเดือน สว. แพงนะคะทำงานให้คุ้มเงินเดือนหน่อยค่ะ จากคุณ : ตัดเงินเดือนซะดีมั้ยเนี่ย (ตัวสีฟ้า) - [ 7 ก.ค. 47 10:39:52 ]

ความคิดเห็นที่ 146 อะแอ้ม ใครไม่เห็นด้วยกับขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีของไทย ขอความกรุณาย้ายออกจากประเทศไทยไปอยู่ที่อื่นแล้วกัน ประเทศไทยต้องมีศักดิ์ศรีความเป็นไทยมีอารยธรรม วัฒนธรรมสืบทอดกันมานานมีชาวต่างชาติมาเที่ยวชมมากมาย ถ้าไม่อนุรักษ์ไว้คงไม่มีใครมาเที่ยวหรอกนะ สงสัยป้าอยากเปลี่ยนแปลงโลกมั้ง บารมียังไม่ถึงหรอกแค่เรื่องเมียน้อยเขาก็ด่ากันตรึมแล้วอิอิ กลับไปกวาดบ้านตัวเองก่อนเองก่อนเถอะ อย่าไปยุ่งเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องเลย เรื่องดีดีที่จะทำให้สังคมนี้อยู่ได้มีเยอะแยะไม่ใช่เรื่องพระธาตุหรอกเดี๋ยวจะโดนสาปแช่งเจ็ดชั่วโคตร กินไม่ได้นอนไม่หลับ ตั้งแต่มีตำแหน่งนี้ทำอะไรสมตำแหน่งมั่งเห็นแต่ละเรื่องไร้สาระ ออกไปอยู่บ้านตีรัมมี่เหอะ หุหุ จากคุณ : Gecko - [ 7 ก.ค. 47 10:53:20 A:203.113.80.17 X: ]

ความคิดเห็นที่ 147 เห็นด้วยกับคุณเมธาวดีค่ะ การห้ามเฉพาะผู้หญิงประเพณีที่เหยียดหยามเพื่อนมนุษย์ค่ะ เพราะมีผลทำให้ผู้หญิงถูกมองว่าไม่สะอาด ข้อนี้ต่างจากการห้ามผู้หญิงถูกตัวพระ เพราะพระเป็นผู้ศึกษาธรรม หลีกเลี่ยงเรื่องทางโลก เราห้ามการสัมผัสเพราะต้องการให้พระปลอดกิเลส แต่องพระธาตุเป็นวัตถุที่พึงสักการะควรเปิดโอกาสให้เท่าเทียมกัน จากคุณ : มาลัย (มาลัย100) - [ 7 ก.ค. 47 10:54:01 ]

ความคิดเห็นที่ 148 เห็นด้วยกับคุณ mrs.night owl ค่ะ กับอีแค่เข้าไปทำความเคารพพระบรมธาตุ คงไม่ถึงกับทำให้ประเพณีเสื่อมหรอก ส่วนคุณคุณ คห.2 นั่นก็เกินไป จากคุณ : หนูเป็นสาวแล้ว (~Girl from yesterday~) - [ 7 ก.ค. 47 11:01:18 ]

ความคิดเห็นที่ 150 เห็นด้วยกับคุณเมธาวดีครับ คนไทยส่วนมากยังโง่ยึดติดกับจารีตที่ไร้เหตุผล ไร้สาระ ถ้าอยากรักษาจารีตไว้ ทำไมไม่รักษาไว้ทุกเรื่อง ทีเรื่องที่มีเหตุผลก็โดนตกเขียวไปซะหมด อย่าอ้างเมืองตาหลิ่วอะไรเลยครับ ล้านนาล่มสลายไปแล้วเหมือนปัตตานี ที่ไม่มีอยู่ในแผนที่โลก ปัจจุบันมีเพียงราชอาณาจักรไทย คนไทยทุกคนในประเทศเป็นเจ้าของร่วมกัน จารีตที่ขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต้องเปลี่ยนแปลง แล้วอย่าอ้างศาสนาพุทธเลยครับ ศาสนาพุทธไม่เคยสอนให้คนโง่ไร้เหตุผลแบบนี้ จารีตแบ่งแยกชายหญิงที่ว่ามันมาจากอวิชชาความไม่รู้ หรือน่าจะมาจากพวกนับถือภูติผี ไสยศาสตร์ มนต์ดำมากกว่า หลุดพ้นจากโคลนตม และเลิกกินหญ้ากันได้แล้วครับ ประเพณี วัฒนธรรม จารีต วิถีประชา กฎหมาย ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย แต่ถ้าคนส่วนมากยังโง่งมมันก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ เวียนว่ายตายเกิดกันต่อไปเถอะครับ จากคุณ : สาวกระเบียบรัตน์ - [ 7 ก.ค. 47 11:19:31 A:203.209.50.25 X:203.148.138.66, 203.148.138.67 ]

ความคิดเห็นที่ 151 พวกที่บอกเปลี่ยนได้แล้วน่ะ เขายินดีเปลี่ยนกันมั้ย ผมว่าเรื่องนี้ต่อให้ผู้หญิงเข้าได้ก็คงไม่เข้ากันหรอก ถ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่ใช่ว่าจะไปทำลายอะไรหรอกนะ แต่ประเพณีนีนี้เขาเต็มใจสืบทอดเอง เหมือนกับลอยกระทง สงกรานต์ จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 11:29:29 ]

ความคิดเห็นที่ 152 ที่เขาไม่เปลี่ยนเพราะเขาต้องการให้ความเคารพพระธาตุ เหมือนกับห้ามผู้หญิงแตะพระ ห้ามอยู่2ต่อ2 แม้ใจบริสุทธ์ ยุคนี้ทุกคนรู้แล้วล่ะว่าเป็นแค่ความเชื่อ แต่พวกเขาเห็นเป็นสิ่งดี แล้วก็เต็มใจ จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 11:33:00 ]

ความคิดเห็นที่ 153 Gecko ฉลาดหน่อยสิครับ เรื่องนี้มันใช่ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีของไทยซะที่ไหน ของไทยเรามันไม่มีแบบนี้ครับ จารีตที่ว่ามันของอาณาจักรล้านนาในอดีต ซึ่งตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยไปแล้ว ต้องเรียกว่าเป็นจารีตท้องถิ่นครับ ไม่ใช่จารีตของไทย จริงๆนะผมว่าใครที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย น่าจะย้ายออกไปจากประเทศไทยซะมากกว่า แล้วดูซิยังมีความคิดเรื่องสาบแช่งอีก นี่มันพวกนับถือผีชัดๆ จากคุณ : สาวกระเบียบรัตน์ - [ 7 ก.ค. 47 11:36:58 A:203.209.50.25 X:203.148.138.66, 203.148.138.67 ]

ความคิดเห็นที่ 154 เรื่องนี้มันเป็นอีโก้ของระเบียบรัตน์เค้า เค้าโตมาจากครอบครัวศักดินา เรื่องนี้แม้แต่พระราชินีท่านยังทรงปฏิบัติเลย ท่านรู้อะไรควรไม่ควร จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 11:37:59 ]

ความคิดเห็นที่ 155 ใครเชื่อ ใครไม่อยากเข้า ก็ตามใจเขาสิครับ แต่ถ้ามีคนที่ไม่เชื่อ อยากจะเข้า ก็ควรจะให้เขาได้เข้าไป ไม่ควรจะไปห้ามเขา จากคุณ : สาวกระเบียบรัตน์ - [ 7 ก.ค. 47 11:42:49 A:203.209.50.25 X:203.148.138.66, 203.148.138.67 ]

ความคิดเห็นที่ 156 สาวกระเบียบรัตน์สงสัยจะเป็นเมธาวดีปลอมตัวมา ใช้บัตรผ่านนิ จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 11:44:23 ]

ความคิดเห็นที่ 157 Pianoboy ผมว่าอย่ายกเบื้องสูงมาอ้างเหตุผลเลยครับ มันไม่สมควร จากคุณ : สาวกระเบียบรัตน์ - [ 7 ก.ค. 47 11:46:54 A:203.209.50.25 X:203.148.138.66, 203.148.138.67 ]

ความคิดเห็นที่ 158 ถ้าไม่มีตำแหน่งจะกล้ามั้ยครับ แค่อยากปลดป้ายเหรอ เหมือนกับฮิตเลอร์เกลียดยิวน่ะ จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 11:47:36 ]

ความคิดเห็นที่ 159 ไม่สมควรยังไง ผมพูดความจริง จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 11:49:10 ]

ความคิดเห็นที่ 160 เรียน คุณเมธาวดี ที่เคารพ ดิฉันรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่คุณกรุณาสละเวลาอันมีค่ามาแยแสต่อข้อเขียนไม่กี่บรรทัดของดิฉันจนทำให้คุณต้องกลับไปขบคิดและตั้งคำถามกับดิฉันในซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในจำนวน 100 กว่าคำตอบในกระทู้นี้ กระนั้นก็ตามหากคุณยังคงใช้สติปัญญาอันเลอเลิศและการวิเคราะห์อันแยบยลของคุณประเมินข้อเขียนของคนอื่นว่าเป็นทักษะการเขียนระหว่างบรรทัดที่ตลกสิ้นดี/เล่นซ่อนแอบกับคำพูด/ไร้ซึ่งความรับผิดชอบต่อคำพูดของตัวเอง ดังที่คุณกล่าวแล้วไซร้... ดิฉันก็ขอให้คุณมีความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดสมมาตรปรารถนา ปราศจากความเคียดแค้นใจใดๆในหัวใจอันผุดผ่องของคุณและสามารถดำรงตนอยู่ในสังคมไทยได้อย่างเป็นปกติสุขเถิดค่ะ... คุณเก่งค่ะ คุณเป็นคนมีความคิดเยี่ยมยอดค่ะ คุณชนะซึ่งทุกอย่างค่ะ ทุกคนแพ้คุณค่ะ คนในประเทศนี้ต้องเปลี่ยนความคิดให้ทันสมัยศิวิไลซ์อารยะอย่างคุณค่ะ... จากคุณ : รมณีย์ - [ 7 ก.ค. 47 11:50:19 ]

ความคิดเห็นที่ 161 สาวกระเบียบรัตน์สงสัยจะเป็นเมธาวดีปลอมตัวมา ใช้บัตรผ่านนิ ผมใช้บัตรผ่านแล้วมีปัญหาอะไรครับ แล้วผมก็ไม่ใช่คุณเมธาวดีด้วย ถ้าคุณจะกล่าวหาผม ก็ควรมีหลักฐานด้วยนะครับ เออลืมไปพวกนับถือจารีต นับถือผี พูดถึงเหตุผล หลักฐานอะไรคงไม่รู้เรื่องหรอก จากคุณ : สาวกระเบียบรัตน์ - [ 7 ก.ค. 47 11:54:37 A:203.209.50.75 X:203.148.138.66, 203.148.138.67 ]

ความคิดเห็นที่ 162 จากโต๊ะหว้ากอ ไม่เกี่ยวกับสิทธิเลย แต่ เกี่ยวข้แงกับความ "ศักดิ์สิทธิ์" ขององค์พระธาตุ ถ้าไม่เลิก คงต้องมาถามอีกว่า ทำไมพระโพธิสัตย์ที่เป็นพระโพธิสัตย์เที่ยงแท้แล้วถึงไม่เกิดเป็นผู้หญิง และทำไมพระพุทธเจ้าหลายแสนล้านพระองค์ก่อน ท่านไม่เป็นเพศหญิง จากคุณ : wawawawa - [ 5 ก.ค. 47 10:59:11 ] จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 11:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 163 ผมไม่ใช่พวกนับถือผีซะหน่อย ผมบอกตั้งแต่เมื่อไร น่เหรอคนใช้เหตผล จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 11:56:45 ]

ความคิดเห็นที่ 164 ยังไงเสียงข้างมากก็ชนะ จริงมั้ย บ้านเมืองประชาธิปไตยน่ะ กร๊ากกกกกกกก555555555 อย่าคิดว่าตัวเองคิดต่างจากคนอื่นแล้วถูกเสมอไป เคยได้ยินนิทานเรื่องไก่งวงแสนฉลาดของรัสเซียมั้ย ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมถูกนะ แต่เผอิญมันดั๊นเป็นเสียงส่วนใหญ่ ช่วยไม่ได้จริงๆ เฮ้ออออออ......... จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 12:02:17 ]

ความคิดเห็นที่ 165 ดูรายการถึงลูกถึงคนวันนั้นแล้ว ได้แต่เหนื่อยใจกับความคิดของคนที่อยู่ในระดับบริหารประเทศ (ไทย) ปล.อยากให้คนที่มาแสดงความคิดเห็นโปรดเถอะครับ LOGIN เถอะ จะได้รู้ว่าคุณไม่มามั่วมาป่วนแถวนี้ จากคุณ : ภูเหนือ - [ 7 ก.ค. 47 12:03:25 ]

ความคิดเห็นที่ 166 เอาเป็นว่าผมต้องขอบคุณ คุณระเบียบรัตน์นะครับ ที่ช่วยให้เห็นความสำคัญของประเพณี ช่วยให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกหวงแหนและอยากรักษาประเพณีอันดีงาม จริงมั้ยคุณสาวกระเบียบรัตน์ จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 12:05:31 ]

ความคิดเห็นที่ 167 ถ้าคุณไม่นับถือผี งั้นผมขอเหตุผลและหลักฐาน ที่คุณกล่าวหาผมว่าผมเป็นคนคนเดียวกับคุณเมธาวดีหน่อย จากคุณ : สาวกระเบียบรัตน์ - [ 7 ก.ค. 47 12:06:10 A:203.209.50.75 X:203.148.138.66, 203.148.138.67 ]

ความคิดเห็นที่ 168 เฮ่ย !!!! หัวหดแล้วเหรอ ยังเถียงกันไม่หายมันเลย จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 12:06:44 ]

ความคิดเห็นที่ 169 ก็แค่สงสัย ดีใจนะที่เข้ามาอีก จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 12:07:44 ]

ความคิดเห็นที่ 170 เข้าใจมั้ยสงสัยน่ะสงสัย นายนี่มันน่าร้ากกกกก จริงๆ ให้ตายดิ จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 12:08:45 ]

ความคิดเห็นที่ 171 คุณ มาลัยเป็นคนเหนือหรือเปล่าครับ หรือไปเหนือบ่อยมั๊ย ขึ้นไปไหว้สักการะพระธาตุปีละกี่ครั้งครับ ผู้ชายเหนือเค้าไม่ได้ดูถูกผู้หญิงเหนือแต่อย่างใด แต่ผู้หญิงชาวเหนือเค้ามีความเชื่อและเค้ารู้ว่าเค้าควรปฎิบัติ อย่างไรต่อสิ่งที่เค้าเคารพบูชาและศรัทธา ไม่ใช่แค่คนต่างถิ่นไม่กี่คน ไปเที่ยวไปเยือนครั้งสองครั้ง ไปเจอเข้า ก็แหกปากร้องปาวๆเจ้าข้าเอ้ย หาว่าเป็นการหลบหลู่เพศแม่ ไปคนละเรื่องคนละทางกันเลย คือ เค้ามองพระธาตุเหมือนส่วนหนึ่งของพระพุทธเจ้า แตกต่างกับพระพุทธรูปนะครับ ที่คุณผู้หญิงสามารถปิดทองจับหรือต้องได้ ดังนั้น เมื่อผู้หญิงไม่สารถจับต้องพระสงฆ์ได้ฉันใด การเข้าใกล้หรือการไปยืนเหนือพระธาตุ ย่อมไม่เป๋นการอันควร ฉันนั้น จากคุณ : บ่ห่วย - [ 7 ก.ค. 47 12:09:01 ]

ความคิดเห็นที่ 172 เอาล่ะ เข้าเรื่องนะ สาวกฯ เรื่องนี้ไม่ใช่การดูถูกผู้หญิง จริงอยู่ไหว้ด้วยจิตศรัทธา แต่ก็ต้องดูความสมควรด้วยนะ ผู้หญิงจะแตะพระได้มั้ย จะอยู่2ต่อ2ได้มั้ย แม้จิตใจจะบริสุทธิ์ ต่อให้ผู้เป็นแม่ยังไม่ได้เลย ผู้หญิงคนอื่นก็ไม่มีใครคิดว่าดูถูกหรอกนะ มีแต่นายกับป้าเค้าน่ะแหละ ไม่ทราบว่ารู้จักเคารพธรรมเนียมเคารพผู้ใหญ่มั้ยครับ หรือว่า ใครอยากทำก็ทำ ไม่อยากก็ไม่ต้องทำ เหมือนที่นายบอก จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 12:14:11 ]

ความคิดเห็นที่ 173 อีกอย่างไหว้ข้างนอกกับข้างในได้ผลเท่ากัน ของอย่างงี้อยู่กับจิตใจครับเพ่ ผู้ชายที่เข้าไปไหว้ข้างในไม่ได้ได้บุญมากกว่าผู้หญิงหรอกนะ แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 47 12:17:41 จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 12:17:04 ]

ความคิดเห็นที่ 174 เรามีธุระ ไปก่อนนะ ถ้าไงก็โพสไว้ล่ะ เดี๋ยวเราจะมาเถียงต่อ ไปนะจ๊ะ ^_^ จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 12:18:41 ]

ความคิดเห็นที่ 175 ผมไม่มี LOGIN ครับ มีแต่บัตรผ่าน แต่ผมคิดว่าผมมาแสดงความเห็นผม ไม่ได้ป่วนใคร แล้วผมคิดว่าแค่บัตรผ่านเวปนี้ก็สามารถตามตัวผมมาเอาผิดได้ ถ้าสิ่งที่ผมแสดงความคิดเห็นมันผิดกฎหมาย ประเพณีอันดีงานผมสนับสนุนให้ทำตามครับ แต่ถ้าจารีตขัดรัฐธรรมนูญ ยังไงมันก็ต้องเปลี่ยน สำหรับเรื่องนี้ถ้าคนส่วนใหญ่เห็นว่า ไม่ควรเปลี่ยนผู้หญิงยังไงก็ห้ามเขา ผมขอเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญซะครับ ให้มันถูกต้องไป จะได้ไม่มีจารีตที่ขัดรัฐธรรมนูญอยู่แบบนี้ จากคุณ : สาวกระเบียบรัตน์ - [ 7 ก.ค. 47 12:20:41 A:203.209.50.75 X:203.148.138.66, 203.148.138.67 ]

ความคิดเห็นที่ 176 เอ้อเดี๋ยว คุณสาวกระเบียบรัตน์ ช่วนอ่าน คห.165 ด้วยนะ ลูกผู้ชายหน่อยครับ อย่าใช้บัตรผ่าน(ไม่เป็นสมาชิกก็ขอโทษแล้วกัน) จากคุณ : Pianoboy - [ 7 ก.ค. 47 12:20:42 ]

ความคิดเห็นที่ 177 ผมขอตัวก่อนแล้วกัน หิวข้าว เดี๋ยวหัวค่ำค่อยมาเถียงต่อ จากคุณ : สาวกระเบียบรัตน์ - [ 7 ก.ค. 47 12:25:39 A:203.209.50.75 X:203.148.138.66, 203.148.138.67 ]

ความคิดเห็นที่ 178 http://talk.sanook.com/hot/hot_00272.php ชาวเหนือเขามีความเห็น (ความเชื่อ) ว่า "พระธาตุเป็นเหมือนกับพระพุทธเจ้าองค์จริง ถ้าหากปล่อยให้ผู้หญิงเข้าไปใกล้ได้ บางคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาจไปแตะหรือสัมผัสพระธาตุได้ ดังนั้นเขาจึงห้ามเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมครับ ในสมัยพุทธกาล ในสมัยพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ขนาดพระอานนท์ซึ่งเป็นพระอรหันต์แล้วแท้ ๆ แต่ปล่อยให้สตรีเข้าไปไหว้แล้วพวกเธอร้องไห้จนน้ำตาเปื้อนสรีระของพระพุทธองค์ ยังถูกภิกษุสงฆ์ซึ่งล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ปรับอาบัติทุกกฏเลย พระไตรปิฎก เล่มที่ 07 ปรับอาบัติทุกกฏแก่พระอานนท์ [๖๒๒] ครั้งนั้น พระเถระทั้งหลายได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ท่าน อานนท์ ข้อที่ท่านไม่ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ก็สิกขาบท เหล่าไหน เป็นสิกขาบทเล็กน้อย นี่เป็นอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติ ทุกกฏนั้น ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า เพราะระลึกไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงมิได้ ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า สิกขาบทเหล่าไหน เป็นสิกขาบท เล็กน้อย ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุที่ไม่ได้ทูลถามนั้นว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อ ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้น พระเถระทั้งหลายกล่าวต่อไปว่า ท่านอานนท์ ข้อที่ท่านเหยียบผ้าวัสสิก- *สาฎกของพระผู้มีพระภาคเย็บ แม้นี้ก็เป็นอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติ ทุกกฏนั้น ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าเหยียบผ้าวัสสิกสาฎกของ พระผู้มีพระภาคเย็บโดยมิได้เคารพก็หามิได้ ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุที่เหยียบนั้น ว่า เป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้น พระเถระทั้งหลายกล่าวต่อไปว่า ท่านอานนท์ ข้อที่ท่านให้มาตุคามถวาย บังคมพระสรีระของพระผู้มีพระภาคก่อน พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเปื้อนน้ำตา ของพวกนางผู้ร้องไห้อยู่ แม้นี้ก็เป็นอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติ ทุกกฏนั้น ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าคิดว่ามาตุคามเหล่านี้อย่าได้ อยู่จนเวลาพลบค่ำ จึงให้พวกมาตุคามถวายบังคมพระสรีระของพระผู้มีพระภาคก่อน ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุที่ให้มาตุคามถวายบังคมพระสรีระของพระผู้มีพระภาคนั้น ว่าเป็น อาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัตินั้น พระเถระทั้งหลายกล่าวต่อไปว่า ท่านอานนท์ ข้อที่เมื่อพระผู้มีพระภาค ทรงทำนิมิตอันหยาบ กระทำโอภาสอันหยาบอยู่ ท่านไม่ทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาค ว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงดำรงอยู่ ตลอดกัป ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่ ตลอดกัป เพื่อประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์ สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ ทั้งหลาย แม้นี้ ก็เป็นอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติทุกกฏนั้น ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าถูกมารดลใจ จึงไม่ได้ทูล อ้อนวอนพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป ขอพระ- *สุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป เพื่อประโยชน์แก่ชนมาก เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุนั้นว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะเชื่อท่าน ทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้น พระเถระทั้งหลายกล่าวต่อไปว่า ท่านอานนท์ ข้อที่ท่านได้ทำการขวนขวาย ให้มาตุคามบวชในพระธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว แม้นี้ก็เป็น อาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัติทุกกฏนั้น ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำการขวนขวายให้มาตุ- *คามบวชในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วด้วยคิดว่าพระนางมหาปชา- *บดีโคตมีนี้ เป็นพระเจ้าแม่น้ำของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ประคับประคอง เลี้ยงดู ทรงประทานขีรธาราแก่พระผู้มีพระภาคเมื่อพระพุทธมารดาทิวงคต ได้ยังพระ- *ผู้มีพระภาคให้เสวยถัญญธารา ข้าพเจ้าไม่เห็นเหตุนั้นว่าเป็นอาบัติทุกกฏ แต่เพราะ เชื่อท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมแสดงอาบัติทุกกฏนั้น ฯ จากคุณ : ร่วมแจม - [ 7 ก.ค. 47 13:54:27 A:202.133.164.248 X: ]

ความคิดเห็นที่ 180 ผมไปอ่านความหมายของ สิทธิ ตามมาแล้วครับ ดังนี้ครับ สิทธิ หมายถึง อำนาจอันชอบธรรม นักสังคมศาสตร์อาจมองสิทธิออกได้เป็น 2 ประเภทคือ 1. สิทธิทางจริยธรรม (moral right) หมายถึง อำนาจอันชอบธรรมที่มนุษย์ทุกคนพึงมีโดยเท่าเทียมกัน โดยเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนพึงมีอย่างเท่าเทียมกัน ในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอื่นมากำหนดวัด มนุษย์จึงมีอำนาจอันชอบธรรม ด้านสิทธิทางจริยธรรมที่จะได้รับการปฏิบัติต่อกันอย่างมีศักดิ์ศรี เสมอภาค และเป็นอิสระ และทุกคนพึงมีหน้าที่จะปฏิบัติต่อกันในลักษณะดังกล่าว หลักความเสมอภาคเป็นรากฐานสำคัญของความยุติธรรม สิทธิทางจริยธรรมนี้เป็นอำนาจอันชอบธรรม เช่น สิทธิในชีวิต สิทธิในการพูด สิทธิในการเลือกนับถือศาสนา สิทธิทางจริยธรรม มีลักษณะแตกต่างกับสิทธิทางกฎหมาย 4 ประการคือ ก.เป็นสากล คือ มีให้กับทุกคนทั่วไปไม่จำกัดว่าจะอยู่ที่ใดในโลก ข.มีความเสมอภาค คือ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีใครมีสิทธิในชีวิตมากหรือน้อยกว่ากัน ค.เปลี่ยนมือไม่ได้ คือ ไม่สามารถให้ยืม หรือแลกเปลี่ยน ขายให้ผู้อื่นได้ ง. เป็นสิทธิทางธรรมชาติ คือ เป็นสิทธิที่มนุษย์มิได้เป็นผู้กำหนดขึ้นเหมือนกฎหมาย ไม่ต้องมีองค์กรใดกำหนด สิทธิทางจริยธรรมมิใช่กฎหมาย แต่การออกมาเป็นกฎหมายนั้นจะทำให้ง่ายและทำให้เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 2. สิทธิทางกฎหมาย (legal right) ได้แก่ ประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้ หมายถึงประโยชน์ที่กฎหมายรับรองว่ามีอยู่ และเป็นประโยชน์ที่กฎหมายคุ้มครองมิให้ละเมิดสิทธิรวมทั้งบังคับให้เป็นไปตามสิทธิในกรณีที่มีการละเมิด เช่น สิทธิในการเลือกตั้งเมื่ออายุครบ 18 ปี, สิทธิในการข้ามถนนในทางม้าลาย, สิทธิในการขับรถยนต์ เป็นต้น แต่ในความเป็นจริง ในขณะนี้แม้ว่าจะมีสิทธิทางจริยธรรมจริง แต่ก็จะคงแยกจากสิทธิทางกฎหมายได้ยาก โดยทั่วไปอาจแบ่งสิทธิออกได้เป็น 2 ประการ อย่างกว้างๆ คือ 1. สิทธิไม่ให้ถูกกระทำ (negative right) เป็นอำนาจอันชอบธรรมที่ทุกคนพึงมี เป็นอิสระโดยไม่สามารถไปแทรกแซงได้ สิทธิในประเภทดังกล่าว เช่น สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการพูด การนับถือศาสนา สิทธิส่วนตัว สิทธิไม่ให้ผู้อื่นมาทำร้ายร่างกาย เป็นต้น สิ่งที่มาควบคู่กับสิทธิ คือ หน้าที่ที่ทุกคนไม่เข้าไปแทรกแซงผู้อื่นในการทำสิ่งต่างๆ ตามตัวอย่างที่กล่าวมา 2. สิทธิในอันที่จะกระทำได้ (positive right) เป็นอำนาจอันชอบธรรมที่มนุษย์เป็นอิสระในการตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง เช่น สิทธิทางการศึกษา การเลือกรูปแบบการรักษาพยาบาล เป็นต้น ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในด้านหน้าที่ เช่น องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ด้านการศึกษา รัฐบาลจะต้องมีส่วนช่วยทำให้บุคคลแต่ละคนสามารถบรรลุถึงการตัดสินใจตามต้องการได้ ผมอ่านแล้วก็โอเคครับยอมรับว่า ถูกแล้วครับพวกคุณถูกต้องแล้วแหละ หากอ้างเอาตามสิทธิโดยชอบธรรมอันเป็นหลักสากลแล้ว แต่ถ้าหากผมถามต่อไปว่า สิทธิที่มีอยู่นั้นเราจำเป็นจะต้องได้มาทั้งหมดที่เราสมควรได้รับหรือไม่ ก. จำเป็นต้องได้มาทั้งหมด ข. ไม่จำเป็นต้องได้มาทั้งหมด เลือกมาเพียงบางส่วนก็ได้ ค. ไม่เอาซักอย่าง อยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว ถ้าคุณเลือกข้อ ก. คุณลองมองรอบตัวคุณในสังคมระดับประเทศนี้ดูว่า มีอะไรบ้างที่ตอนนี้ทำให้คนเหลื่อมล้ำกัน และจะทำอย่างไรบ้างให้ ความเหลื่อมล้ำกันทั้งหมด(อย่างน้อยที่คุณทราบ) นี้ ถูกกำจัดออกไป และโดยวิธีใดจึงไม่เกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นมาอีกในสังคม ถ้าคุณเลือกข้อ ข. แสดงว่าคุณทราบดีว่ามีบางเรื่องที่ คุณจะอ้างโดยชอบธรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตามหลักสากล และมีบางเรื่องที่คุณจะไม่ใช้สิทธิดังกล่าว ถ้าเช่นนั้นคุณควร ให้เหตุผลด้วยว่า เหตุใดคุณจึงอ้างเอาสิทธิ และเหตุใดคุณจึงละเลยสิทธิ ให้เหตุผลสำหรับแต่ละเรื่อง ในทุก ๆ เรื่อง ไม่เช่นนั้นการเลือกปฏิบัติในบางเรื่องอย่างไร้เหตุผลมาอธิบายเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เช่น เรื่องการสักการะพระธาตุ ควรอนุญาตให้สตรี สามารถเข้าไปทำการสักการะบริเวณใกล้องค์พระธาตุได้ นี่คือ สิทธิที่คุณเลือกมาว่าคุณอ้างจะใช้สิทธิ แต่แน่นอนยังมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวเราในสังคมอีกมาก ที่เกิดความเหลื่อมล้ำทางด้านสังคมเกิดขึ้น คุณก็ควรยกมาให้หมดอย่างน้อยที่คุณเห็น(ผมหวังว่าคุณคงไม่ได้เห็นแค่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว เพราะหากเป็นเช่นนั้นผมขอโทษผมผิดเองที่มาถกเหตุผลกับบุคคลที่มองโลกในแง่เดียวหรือส่วนเดียว) ถ้าคุณเลือกข้อ ค ผมก็ไม่ว่าอะไร และมันก็ไม่เกี่ยวกันตรงไหนกับประเด็นร้อนประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน ก็เป็นเรื่องของคุณครับ ถ้าเลือกข้อนี้ นี่คือความเห็นเพิ่มเติมครับ สิ่งที่เรากำลังจะตัดสินนี้ เป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ของการที่สังคมจะเลือกหยิบวิถีปฏิบัติดั้งเดิมเพื่อเอามาใช้ ในการสร้างวัฒนธรรมของสังคม ดังนั้นไม่ว่าเรื่องนี้ในที่สุดมีมติเห็นชอบอย่างไร นี่คือบรรทัดฐานที่จะตัดสินครับว่าจารีตอื่นต่าง ๆ ที่เราเคยมีมานั้น เราจะเลือกมันมาใช้อย่างใด ดังนั้น ผมจึงเกิดคำถาม พร้อมคำตอบอย่างข้อ ก ข และ ค ขึ้นครับ เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ใช่ ว่าได้ข้อสรุปอย่างไรแล้วมันก็จะหยุดอยู่แค่เรื่องนี้เรื่องเท่านั้นและก็จบกันไป อีกหน่อยมันจะมีเรื่องต่อๆ ไปอย่างแน่นอนครับ แล้วตามข้อ ข ที่ผมบอกว่าถ้าคุณเลือกปฏิบัติในบางเรื่องอย่างไร้เหตุผลป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำไมผมบอกว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง ก็เพราะว่า ในการเลือกข้อ ข คุณจะเลือกบางส่วนเพื่ออ้างสิทธิตามหลักสากล แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงจารีตดั้งเดิม ดังนั้นบางส่วนที่คุณเลือกก็ควรมีเหตุผลรองรับอย่างสมเหตุสมผล และบางส่วนที่ไม่ถูกเลือกก็ควรมีเหตุผลรองรับอย่างสมเหตุสมผลเช่นกัน แล้วก็เรื่องคำว่าสิทธิผมยอมรับแล้วไม่ต้องมาอ้างเหตุผลของสิทธินั้น ถ้าจะอ้างสิทธิ คุณได้ตามนั้นแน่ ๆ แต่ตอนนี้มาติดอยู่ตรงที่ว่า คุณจะเลือกอย่างไรตามคำถามแล้วก็คำตอบที่ให้เลือกเท่านั้นเองครับ เพราะถ้าคุณยันแต่คำว่าสิทธิอย่างเดียวไม่มีเหตุผลในการเลือกอื่นแสดงว่า คุณอยู่ในข่ายข้อเลือก ก แน่ ๆ แต่ถ้าคุณอ้างบอกว่า คุณยันเรื่องสิทธิแต่กับเฉพาะเรื่องที่เป็นประเด็นเรื่องนี้เพีงเรื่องเดีวเท่านั้น ผมจะเพิ่มข้อ ง งูให้ครับ ง. ต้องได้เฉพาะเรื่องนี้ที่สนใจเท่านั้น เรื่องอื่นไม่เกี่ยวคนละเรื่องกัน อย่ามาปนเปให้วุ่นวายเสียเวลาไร้สาระ คิดกันเป็นเรื่อง ๆ ไป ข้อนี้ถ้าคุณเลือก ผมจะเปรียบเทียบในทาง software development ให้ฟัง ว่าคุณ อาจจะ ทำงานเป็น Programmer ได้อย่างดี แต่คุณไม่สามารถมีโอกาสได้เป็น System Analys, Software Architecture หรือ Project Manager ได้ครับ เพราะคุณรู้จักแค่ module ที่คุณต้องทำงาน แต่คุณไม่มีความสามารถในแง่ของระบบงาน นั่นคือ ไม่มีทักษะในแง่ Systematic Approach ครับ การมองเห็นระบบ โดยรวมการเกี่ยวข้องกันถึงสิ่งต่าง ๆ ที่มีในระบบ ไม่ว่าในแง่ใด จากคุณ : crown99 - [ 7 ก.ค. 47 14:21:21 ]

ความคิดเห็นที่ 181 ผมมั่นใจว่า คนที่มาตอบกระทู้นี้หลายๆคนไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ จากคุณ : talok - [ 7 ก.ค. 47 15:08:25 ]

ความคิดเห็นที่ 182 ชาวพุทธพึงตระหนักไว้เถิดครับว่า ภัยภายนอกเข้ามาบ่อนทำลายศาสนาพุทธตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มาแล้ว ปัจจุบันหนักขึ้นเรื่อยๆ จากคุณ : talok - [ 7 ก.ค. 47 15:12:05 ]

ความคิดเห็นที่ 183 สำหรับผู้ที่โจมตีศาสนาพุทธว่ากีดกันเพื่อนมนุษย์ ละเมิดสิทธิมนุษย์ นับเป็นการกล่าวร้ายของพวกไม่รู้จักพุทธศาสนาหรือไม่ก็จงใจให้ร้าย ศาสนาพุทธได้รับการยกย่องจากนักวิชาการ ปรัชญา สังคม นักมนุษยนิยมมากมายในเรื่องส่งเสริม สนัยสนุน ความสามารถของมนุษย์ พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราทุกคนถ้ามีความเพียรก็สามารถพัฒนาตนเป็นพระพุทธเจ้าได้ คงจะหลายชาติมากๆ แต่ก็มีสิทธิ ผู้หญิงผู้ชายสัตว์เดรัจฉาน เทวดา คนเราล้วนเคยเป็นมาแทบหมดแล้ว ต่างจากศาสนาเทวนิยมจะสอนว่าพระเจ้าเป็นทางรอดเดียว ผู้ไม่เชื่อจะไม่รอด จะตกนรกถูกทำลาย คนเป็นเพียงสิ่งก่อสร้างขึ้นมาของพระเจ้า พระเจ้ากำหนดชะตาชีวิตไว้แล้ว สมัยยุโรปยุคมืดนักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบความจริงทางวิทยาศาสตร์มากมาย ที่ขัดกับคัมภีร์ไบเบิ้ลเช่น โลกกลมไม่ได้แบน ฯลฯ ถูกขัง ถูกเผาหลายคน เช่น กาลิเลโอ,บรูโน , เซอวิตัส พวกนี้ถูกจับขึ้นศาลไต่สวนศรัทธาหรือ Inquisition ระดับชาวบ้านก็ถูกข้อหาพ่อมดแม่มด หรือ witch Hunt ศาสนาพุทธกับหลักมนุษยนิยม ค้นได้จากคำ Buddhists and Humanity จากคุณ : talok - [ 7 ก.ค. 47 15:25:52 ]

ความคิดเห็นที่ 184 ยุโรปยุคมืดหรือ Dark Age `ศษสนาได้กดขี่ผู้คนอย่างสาหัส มีการทำลายศิลปความรู้ในยุคกรีกเพราะสอนต่างจากไบเบิ้ล ใครคิดต่างจากศาสนาจะถูกจับขึ้นศาลไต่สวนศรัทธา ถูกเผาด้วยข้อหาแม่มด ฯลฯ มีการเข่นฆ่ากันระหว่างนิกายนับร้อยๆปี จนมีการอพยพหนีไปอเมริกา ต่อมานักปรัชญาใหม่ๆเห็นความเลวร้ายของศาสนา เช่น วอลแตร์ Voltaire ( search Voltaire and God ) จึงเขียนหนังสือให้คนมีความคิด ไม่งมงายในศาสนา ยุโรปจึงเริ่มเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ(เรอเนสซอง)ของยุคกรีก เคยถูกทำลายไปอีกครั้ง จากนั้นค่อยๆพัฒนาเข้าสู่ยุคเหตุผลนิยม ธรรมชาตินิยม ยุคแห่งปรัชญา ยุคแห่งภูมิปัญญา-วิทยาศาสตร์ จนเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษและปฏิสวัติการเมืองในฝรั่งเศส จากคุณ : talok - [ 7 ก.ค. 47 15:33:59 ]

ความคิดเห็นที่ 185 สำหรับภัยแห่งพุทธศาสนาในประเทศไทย มีหนังสือน่าอ่านคือ 1.ภัยแห่งพุทธศาสนาในประเทศไทย ของพระธรรมปิฎก มูลนิธิพุทธธรรม จัดพิมพ์ 2.หนังสือ ตอบบาทหลวง ของ พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ 3.การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศไทย ดร.เดือน คำดี โอเดียนฯ 4. สงครามศาสนา ชำนิ มโนรมย์ รวมทั้งหนังสือ 4.มองภูมิหลังโลกผ่านอารยธรรมโลกาภิวัฒน์ ของพระธรรมปิฎก มูลนิธิพุทธธรรม จัดพิมพ์ 5.ประวัติศาสตร์อารยธรรมโลก ของ รศ. นันทนา กปิลกาญจน์ โอเดียนฯ หลายๆเล่มหาซื้อได้ที่มูลนินิ มหามกุฏ วัดบวร, มหาจุฬาบรรณาคาร วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ , ฯลฯ ตื่นได้แล้วครับชาวพุทธเรา เรากำลังโนทำลายอยู่ จากคุณ : talok - [ 7 ก.ค. 47 15:41:20 ]

ความคิดเห็นที่ 186 ความเห็นที่ 179 ครับ ผมขอเถอะครับ รุนแรงเกินไปแล้ว ถามจริงๆเถอะ ชาวเหนือเค้าไปทำอะไรให้คุณ เค้าขอคุณกินอยู่เหรอ คุณมันสุดขั้วเกินไป ไม่ลองพยายามเข้าใจจิตใจคนอื่นเค้าบ้าง นี่ไม่ใช่ประเทศของคุณคนเดียวนะครับ ช่างเป็นความคิดที่ต่ำช้า จริงๆ จากคุณ : ชานหมาก - [ 7 ก.ค. 47 15:42:34 ]

ความคิดเห็นที่ 187 ถึงความเห็นที่ 179... เราเองก็มีความเชื่อเหมือนกันค่ะ ว่า คุณเป็นผู้ชายที่โง่เขลาและมืดบอดที่สุดในโลก ใกล้เคียงกับตรรกะที่คุณใช้เปรียบเทียบดีมั้ยคะ ??? เข้าใจว่าคุณคงไม่เคยเรียนวิชา Logic หรือไม่คุณก็คงติด F วิชานี้ เพราะมันช่างไร้ซึ่งความสมเหตุสมผล อย่างไม่น่าให้อภัย....... จากคุณ : สาวเหนือคนนึง (The Secret Garden) - [ 7 ก.ค. 47 15:43:32 ]

ความคิดเห็นที่ 188 เอ้า ชักไปกันใหญ่แล้ว เอาเถิด ผมขอแถลงครั้งสุดท้ายเอาก็แล้วกันครับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่ผมยึดถือเหนือสิ่งอื่นใดคือการเคารพสิทธิของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้น หากใครผู้ใดไม่ว่าเพศชายหรือหญิงก็มีสิทธิที่จะคิดกำหนดให้เพศหญิงเป็นของต่ำต้อยไม่สมควรแก่ศาสนสถานได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาเหล่านั้นก็ไม่มีสิทธิที่จะไปกีดกันสิทธิผู้อื่นในการเข้าไปสักการะศาสนสถานด้วยเหตุผลว่าสตรีเป็นสิ่งต่ำต้อยได้ อันสตรีผู้ใด หากคิดว่าส่วนประกอบทางอวัยวะของตนเป็นสิ่งต่ำช้าโสมม ก็มีสิทธิที่จะคิดและกระทำตามความคิดของตนได้ครับ แต่สตรีเหล่านั้น ก็หามีสิทธิไปกำหนดสตรีผู้อื่นที่มิได้คิดว่าตนเองต่ำช้าอย่างคุณเธอทั้งหลายได้ ไม่มีสิทธิไปกำหนดสตรีผู้อื่นให้อยู่ในฐานะต่ำช้า สกปรกโสมมอย่างที่คิดว่าตนเองเป็นได้ครับผม เพราะอะไร..... รัฐธรรมนูญไทยกำหนดไว้ชัดเจนแล้ว ว่าคนไทยทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายมีสิทธิเท่าเทียมกัน และพื้นดินล้านนาก็เป็นหนึ่งในอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยครับ ซึ่งข้อบัญญัติทุกประการไม่ว่าจะเป็นด้วยขนบธรรมเนียมหรือประเพณีก็ตามแต่ ไม่สามารถฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญได้ครับ และทั้งนี้ทั้งนั้น ผมมิได้หมิ่นศาสนาพุทธแต่อย่างใด เพราะความเชื่อเรื่องที่ว่าร่างกายสตรีเป็นของสกปรกที่ทำให้เสื่อมในความศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่ได้ปรากฏอยู่ในบรรทัดใดๆของพระไตรปีฏกเลย แต่มันเป็นความเชื่อที่มาจากความเชื่อท้องถิ่น ความเชื่อในเรื่องคุณไสยของคนในท้องถิ่นล้านนาเท่านั้น เพราะฉะนั้น คนที่เห็นว่าสตรีเป็นของต่ำ ขอจงอย่าได้ดึงฟ้าให้ต่ำด้วยการอ้างเอาบวรพระพุทธศาสนามาเป็นของสมอ้างเลยครับ ประเดี๋ยวบาปจะกินหัวเอา! จากคุณ : เมธาวดี - [ 7 ก.ค. 47 15:49:22 ]

ความคิดเห็นที่ 189 บอกแล้วไงครับว่า ไม่ต้องตอบผมหรอกครับ ผมบอกแล้วว่ามันเป็นความเชื่อของผม จากคุณ : murasaki_tora@hotmail.com - [ 7 ก.ค. 47 16:22:39 A:172.28.1.69 X:203.155.8.227 ]

ความคิดเห็นที่ 190 ตอบคุณบ่ห่วยนะคะ ดิฉันไม่ได้เป็นคนเหนือค่ะ และเคยไหว้พระธาตุเพียง 3-4 ครั้ง แต่สงสัยค่ะว่าทำไมคุณต้องถามดิฉันด้วย สมมุติว่าถ้าดิฉันไม่ใช่คนเหนือและไม่เคยไปไหว้พระธาตุแล้ว ดิฉันไม่ควรมีสิทธิที่จะแสดงความเห็นในที่นีหรือคะ ไม่เคยคิดว่าผู้ชายเหนือดูถูกเพศแม่ค่ะ แต่ประเพณีที่ห้ามผู้หญิงสักการะพระธาตุสมควรที่นำมาทบทวนใหม่ จารีตเหล่านี้อาจมีความเหมาะสมในอดีต แต่เราควรจะมองดูความเป็นไปในโลกปัจจุบันด้วย และการปรับเปลี่ยนบ้างบางครั้งก็มิได้หมายความว่าเราทำลายประเพณีดั้งเดิมลง แต่เราปรับใช้กับสังคมปัจจุบันเพื่อที่จะทนุบำรุงคุณค่าของสังคมต่างหาก ตอนที่ดิฉันไหว้พระธาตุก็ไหว้ข้างนอก ก็ไม่ได้ผูกใจว่าจะต้องเข้าไปข้างในให้ได้นะคะ ก็แค่คิดว่าตนเองได้มีโอกาสไหว้พระธาตุแม้เพียงภายยอกก็เป็นมงคลแล้ว ไม่ได้มีความคิดที่จะร้องแหกปาก เจ้าข้าเอ้ย แต่อย่างไร เนื่องจากสำนึกตัวว่าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา แต่เมื่อเห็นคุณระเบียบรัตน์หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา ก็อยากจะแสดงความคิดสนับสนุนค่ะ (แม้โดยส่วนตัวคิดว่าเธอไม่มีบารมีพอที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดใด) ขอย้ำนะคะว่ากุสโลบายที่สังคมห้ามไม่ให้พระกับผู้หญิงสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวนั้นเป็นเพราะพระแม้เป็นผู้ศึกษาธรรม แต่ก็ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ พูดง่ายง่ายว่าผู้หญิงไม่ควรใกล้ชิดพระมาก เพราะอาจกวนกิเลสพระนั่นเอง แต่พระธาตุแม้จะต่างจากพระพุทธรูป ก็ไม่ใช่พระไม่มีกิเลส เป็นสิ่งสักการะบูชา (คงไม่มีใครบังอาจไปแปะทองหรือสัมผัสโดยตรงอยู่แล้ว) จึงควรให้สักการะโดยทั่วกันค่ะ แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 47 16:47:09 แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 47 16:45:25 จากคุณ : มาลัย (มาลัย100) - [ 7 ก.ค. 47 16:39:50 ]

ความคิดเห็นที่ 191 เห็นว่ามีผู้อ้างถึงรัฐธรรมนูญก็เลยนำมาให้อ่านกันครับ  ... ......................................................................... รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช  2540 หมวดที่  3  ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย   มาตรา 28 บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและ เสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็น ปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือ"+ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน+" ....     มาตรา ๓๐ บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน           ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน           การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรมหรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้  ... มาตรา ๓๘ บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน           ในการใช้เสรีภาพดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใด ๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนบัญญัติหรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือ แตกต่างจากบุคคลอื่น  มาตรา ๔๖ บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติ และมีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ... แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 47 16:56:52 จากคุณ : รอยใบลาน - [ 7 ก.ค. 47 16:54:51 ]

ความคิดเห็นที่ 192 ทำไมไม่ถามคนเหนือล่ะครับว่าเห็นดีที่ให้เข้าไหม เค้าดูแลรักษาเคารพนับถือกันมานานแล้วไม่ใช่เหรอ ในสมัยก่อนคนต่างชาติบอกว่าเราป่าเถื่อนเพราะเห็นการแต่งตัวเรา มันเป็นเพราะเค้าไม่เข้าใจวัฒนธรรมเราหรือเปล่า คือถ้าคนเหนือเค้าไม่สนใจเรื่องวัฒนธรรมของเขาแล้วค่อยมาว่าเข้าได้หรือเข้าไม่ได้ดีกว่าไหม จากคุณ : อยากคิดเห็นบ้าง (รักหวานในวันวาน) - [ 7 ก.ค. 47 17:06:29 ]

ความคิดเห็นที่ 193 ขออีกรอบ ทั้งคุณ มาลัย ทั้งคุณเมธาวดี ทั้งคุณหลาย ๆ ที่ยืนข้างคุณระเบียบรัตน์ ยอมรับว่าทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น แต่คุณต้องยอมรับด้วยว่าทุก ๆ ที่ ทุก ๆ ตารางนิ้ว บนพื้นแผ่นดินไทย ต่างมีการดำเนินชีวิต มีวิถีชีวิต ไม่เหมือนกัน คุณจะไปเรียกร้องอะไรคงไม่ได้ เพราะคุณไม่ใช่เจ้าของถิ่นนั้น การที่คุณตั้งข้อเรียกร้องขึ้นมา เท่ากับว่าไม่เป็นการให้เกียรติเจ้าบ้านเขาเลย แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนไร้ซึ่งมารยาท และต่ำอย่างแท้จริง มันไม่ต่างจากการห้ามสัมผัสพระสงฆ์หรอกค่ะ เพียงแต่ว่า "พระธาตุ" เป็นสิ่งสูงสุด ควรค่าแก่การเคารพบูชา เป็นสิ่งศักดิสิทธิ์ เป็นเสมือนตัวแทนขององค์ "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" มันจึงไม่สมควรที่คนทั่วไป โดยเฉพาะผู้หญิงจะเข้าไปสัมผัสได้ ซึ่งไม่ได้เป็นการเหยียดหยามเพศแม่แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของความสมควรมากกว่า ถ้าคุณคิดว่าเรื่อง "การห้ามผู้หญิง" เข้าไปสักการะองค์ พระธาตุได้ จะทำให้ผู้หญิงเสื่อมเสียเกียรติมาก ถูกเหยียดหยามมาก ก็จนปัญญาอธิบาย เพราะในเมื่อสมอง และจิตสำนึกของคุณคิดแค่ว่า เข้าห้ามเพราะเขาคิดว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ต่ำต้อย มีอวัยวะที่สกปรกโสมม ถ้าคุณคิดอยู่แค่นี้ โดยไม่ไปศึกษาหาข้อมูล เอาแต่ตะแบงเข้าใจเอาเอง คุณก็จะไม่ได้เปิดโลกทัศน์ของคุณ เราอยากให้คุณได้ศึกษา เรื่องนี้ให้ถ่องแท้เสียก่อน ที่จะมาร้องแร่ แห่กระเชออยากได้สิทธิอะไรนั้น เราเป็นผู้หญิง แต่เรารู้สึกว่า คนบางคนในนี้ ที่เป็นผู้หญิงกำลังทำตัวไร้สาระมาก ๆ จากคุณ : ลูกโป่งฟ้า - [ 7 ก.ค. 47 17:12:17 ]

ความคิดเห็นที่ 194 คคห.153 สาวกสาแวกไรมะรู้ รู้แต่ว่าผมคงไม่โง่กว่าคุณหรอกแล้วก็อย่าพยามอวดเก่งนึกว่าคนอื่นเขาโง่เหมือนคุณ ฉลาดนักหรือไง ตอนนี้ดินแดนทั้งหมดเป็นของประเทศไทยมิสามารถแบ่งแยกได้แม้แต่ตารางนิ้ว(คิดก็ไม่ได้รู้ไว้ซะด้วย) ไม่ทราบว่าจะให้เขาแบ่งดินแดนกันหรือไรเที่ยวมาบอกว่าเป็นล้านนาโอเค ล้านนา แต่ตอนนี้เป็นแผ่นดินไทยก็เปรียบเสมือนขนบธรรมเนียมจารีตของไทยอะ ทำไมชอบอวดเก่งกันนักว่างๆไปโดดหน้าผาตายไป จากคุณ : Gecko - [ 7 ก.ค. 47 17:14:29 A:203.152.2.107 X: ]

ความคิดเห็นที่ 195 www.happyfamily.in.th www.happyfamily.in.th จากคุณ : ระเบียบรัตน์ - [ 7 ก.ค. 47 17:35:49 A:202.133.163.246 X: ]