ความคิดเห็นที่ 1 แก้คำผิด: เอาแล้วซี เปิดฉากมาก้อพิมพ์ผิดบรรเลงเลย ต้องตีมือตัวเอง "เพี๊ยะ" ...!!! Longman Dictionary of Contmeporaty English แก้เป็น Longman Dictionary of Contemporary English บทความ2: Written Skills (ทักษะในการเขียน) นักศึกษาหลายๆคนคงโดนอาจารย์ให้เขียน thesis หรือ dissertation เป็นภาษาอังกฤษ แล้วเกิดอาการมืดแปดด้าน (อาจจะ 64 ด้านด้วยซ้ำไป) คือเขียนออกมาได้แต่มันไม่เป็นภาษาคน อาจารย์ก้อบอกว่าเอากลับไปแก้ไข บอกได้แต่ว่าต้องแก้ไขเนื้อหาอย่างไร แต่บอกไม่ได้ ว่าต้องแก้ไขข้อผิดพลาดทางด้านการใช้ภาษาอย่างไร .....!!!!??????...........เพราะถ้าบอกเรื่องหลังนี้นะ (ยิ่งบอกทุกจุดด้วย) กว่าจะบอกได้หมดทุกจุดที่เป็นข้อผิดพลาดนะ ก็สิ้นสุดปีสุดท้ายของหลักสูตรที่เรียนแล้ว ....555.....งานนี้คนเรียนก้อบ้าตายสิ..... ลองนั่งบริกรรมดูสิว่าจะแก้ไขอย่างไร.....??? ที่พูดเนี่ยหมายถึงลองวางแผนสิว่าจะเรียนอย่างไร เพราะที่เคยเรียนมา "มันไม่ได้ผล" แทนที่จะได้แต่ดั้นด้นเสาะหาสถานที่เรียนภาษาอังกฤษใหม่ไปเรื่อยโดยไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผล .......ลองคิดดูเป็นการบ้านนะ แล้วคราวหน้าจะมาบอกเคล็ดลับให้......... จากคุณ : tansy - [ 6 ก.ค. 47 12:58:32 A:203.156.26.209 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 ลงชื่อเข้าชั้นเรียนก่อนเลยครับ ขอบคุณที่เอาความรู้และประสบการณ์มาเผยแพร่ จากคุณ : Sv - [ 6 ก.ค. 47 13:02:22 ]

ความคิดเห็นที่ 3 บทความ3:ทักษะในการฟัง หลายคนเรียนภาษาอังกฤษจนอ่านหนังสือได้เข้าใจในระดับหนึ่ง แต่พอพูดกับฝรั่งเจ้าของภาษา ฟังเขาพูดไม่รู้เรื่องเพราะฝรั่งพูดเร็วเหลือเกิน ....เลยมีคนช่างคิดบอกว่า สงสัยเป็นเพราะเคยแต่เรียนกับครูไทย ก้อเลยไม่ชินสำเนียงที่ถูกต้อง ต้องจ้างฝรั่งมาสอนจึงจะได้ผล..... ถามว่าจ้างฝรั่งมาสอนแล้วจะฟังรู้เรื่องหมดหรือไม่....??? คำตอบก็คือ เราจะบอกไบ้ให้ว่ามีคำตอบทั้ง yes กับ no....... โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง ปัจจัยหลายๆอย่างเหล่านั้นคืออะไร ...??? .....ลองเอาไปบริกรรมดูเป็นการบ้าน...... อ้าวแล้วกัน เขียนบทความสั้นๆมา 3 เรื่องแล้ว มีแต่หยิบยกปัญหาขึ้นมา แต่ไม่เห็นเฉลยเลย.....เอมันยังไงกันนิหว่า....??? .....ใจเย็นๆเรื่องพวกนี้มันต้องค่อยๆเฉลยที่ละนิดทีละนิด....ไม่ใช่อมภูมิหรือทำให้คนอ่านกระวนกระวายใจเล่นนะ แต่เป็นเพราะปัญหาบางอย่างมันค่อนข้างซับซ้อน แต่ถ้าอยู่ดีๆเขียนอะไรออกมาเป็นตุเป็นตะเรื่องหลักการหรือวิธีปฏิบัติโดยไม่ให้คนอ่านนั่งคิดดูบ้างก่อนลงมืออ่านหรือปฏิบัติต่อไป.... คนอ่านก็อาจจะหลับคาเครื่องคอมพิวเตอร์ครอกๆไปซะก่อนก้อได้.......555.... ตกลงในบทความ 3 เรื่องนี้ ได้หยิบยกปัญหาขึ้นมาแล้ว 3 อย่างนะ และจะค่อยๆแวะมาเขียนบอกให้นะว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร ....เพราะบางปัญหามันไม่ใช่ที่จะแก้ได้ง่ายๆ .......ยกตัวอย่างเช่นเรื่องการเขียน พอพวกเราคนไทยหลังจากเรียนภาษาอังกฤษได้หลายปี ขนาดบางคนเรียนจบมหาลัยจากต่างประเทศด้วย พอเขียนภาษาอังกฤษไปฝรั่งอ่านดูแล้วจับผิดแก้มาได้ตั้งหลายแห่ง พอคนไทยถามกันเองว่า ทำไงจึงจะเขียนให้ดีขึ้น ก็มีคนอุตส่าห์คิดตอบมาได้แบบกำปั้นทุบดินว่า "ต้องอ่านเยอะๆสิ เพราะจะได้จำสิ่งที่อ่านเจอไปเขียน" ...... แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงมันก็มีคนที่อ่านหนังสือหลายประเภทมา 10 กว่าปี อ่านรู้เรื่องดีแต่พอจะเขียนเองกลับเขียนไม่ได้ แต่คนบางคนอ่านหนังสือหลายประเภทมาแค่ 4-5 ปีกลับเขียนได้ดีกว่า .....ตกลงแล้วเป็นเพราะอะไร.....???? เอาไว้จะแวะเข้ามาตอบเป็นเรื่องๆ (ถามเองตอบเองแปลกดีแฮะ...???) แล้วก็จะมาถามปัญหาเรื่องอื่นๆให้คิดกันเล่นๆ....เนื่องจากเวลาตัวเองเรียนภาษาอังกฤษเองก็เคยเจอปัญหาร้อยแปดพันประเภทที่นั่งกุมขมับอยู่นาน ก็เลยจะค่อยๆเล่าประสบการณ์ตนเองให้คนอื่นฟังบ้าง จากคุณ : tansy - [ 6 ก.ค. 47 15:31:01 A:203.113.33.11 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 อ่านแล้วขอบคุณครับ จากคุณ : ดาวธรรม - [ 6 ก.ค. 47 20:59:53 ]

ความคิดเห็นที่ 5 จะติดตามต่อไปครับ ของคุณครับ จากคุณ : LongTimeAgo. (LongTimeAgo.) - [ 6 ก.ค. 47 22:14:42 ]

ความคิดเห็นที่ 6 บทความ1(1): การท่องศัพท์ภาษาอังกฤษวันละหลายๆคำไม่ได้ช่วยให้ท่านใช้หรือเข้าใจภาษาอังกฤษได้ถูกต้องเสมอไป คือสาธิตไปแล้วว่าคำศัพท์ภาษาอังกฤษแต่ละคำนั้น มีรูปแบบการใช้งานเฉพาะตัวของมัน นั่นก็คือพอใช้รวมกับกลุ่มคำหนึ่งก็มีความหมายหนึ่ง พอใช้รวมกับกลุ่มคำอื่นก็เปลี่ยนความหมายไป การรวมกลุ่มกันแล้วแปลได้ใจความตามธรรมชาติของภาษาอังกฤษ เราเรียกว่า collocation ยกตัวอย่าง collocations ของคำว่า raise raise your hand ยกมือคุณขึ้น raise crops ปลูกพืช raise pigs เลี้ยงหมู raise an issue หยิบยกประเด็นขึ้นมา pay raise การเขึ้นเงินค่าจ้าง.... นี่เป็นภาษามะกัน ภาษาอังกฤษเขาใช้ pay rise ตกลงการที่คุณจะใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาตินั้น คุณจะต้องจำ collcations เหล่านี้ แต่ในขณะที่เขียนบทความนี้ (ปี 2004) เท่าที่รู้ ยังไม่มี dictionary อังกฤษเป็นไทยเล่มไหนที่ให้ตัวอย่างการใช้คำศัพท์ในประโยคได้ดีพอ และยังไม่มีตัวอย่าง collocations ให้ นั่นก็หมายความว่าผู้เรียนจะต้องหาตัวอย่างประโยคโดยการพึ่งพา dictionaries แปลอังกฤษเป็นอังกฤษ ที่มีตัวอย่างประโยคให้ดังเช่นที่ยกตัวอย่างให้ไปแล้ว ....แต่ที่นี้ปัญหาที่ตามมาก็คือ ผู้เรียนบางท่านยังไม่เก่งภาษาอังกฤษพอที่จะอ่านและทำความเข้าใจคำอธิบายใน dictionaries ฝรั่งได้....ดังนั้นทางแก้...the hard way หรือวิธีการที่ยากๆ ก็คือเปิดดิกอังกฤษเป็นไทยเพื่อทำความเข้าใจความหมายพื้นฐานของศัพท์ตัวนั้นก่อนแล้วจึงออกแรงหารูปแบบการใช้งานใน dictionaries แปลอังกฤษเป็นอังกฤษอีกรอบหนึ่ง....โหฟังแล้วใจแป้วเลยใช่มะล่ะ ...???.....แล้วอีกกี่ชาติล่ะจึงจะใช้ดิกแปลอังกฤษเป็นอังกฤษได้คล่องล่ะ .......เอื๊อกกลืนน้ำลายลุ้นหลายรอบแล้วนะ.......????!!!....เอาล่ะน่าใจเย็นๆถึงเปิดดิกทั้งอังกฤษเป็นไทย และเปิดดิกอังกฤษเป็นอังกฤษ ถ้าเล่นดิกที่เป็น software นะ คงออกแรงน้อยกว่าดิกที่เป็นหนังสือเล่มโตๆน่ะ .....เพราะแค่ key เข้าไป หรือ (ดิกบางเล่มที่เก่งๆนะ) แค่เอา mouse ชี้มันก้อบอกความหมายของคำแล้วน่ะ ....อย่าเพิ่งท้อใจนะ ..... จากคุณ : tansy - [ 6 ก.ค. 47 23:55:20 A:203.113.32.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 เอาหละถามเองตอบเอง ที่นี้เลยเข้าเรื่องประเด็นที่จะสรุปบทความ1แล้วนะ ..........คำตอบที่ตรงประเด็นที่สุด ที่จะช่วย "กำหนดเป้าหมาย" ในการเรียนรู้คำศัพท์ของคุณเพื่อนำไปสร้างประโยคในการพูดและการเขียนในระดับพื้นฐานได้นั้น ....แท้จริงแล้วไม่ต้องเหนื่อยแรงถึงขนาดต้องรออีก 10 ชาติเกิดข้างหน้ายามบ่ายๆหรือตะวันรอนๆหรอก.....แต่คำศัพท์เหล่านั้นมีแค่เฉียดๆ 2,000 คำเอง .......คำศัพท์เหล่านี้ lexicographer (คนเขียนดิกชันนารี) เรียกมันว่า defining vocabulary (คำศัพท์ที่ใช้ในการอธิบายความหมาย).....ตกลงถ้าคุณอยากเห็นโฉมหน้า defining vocabulary นะก็ให้ดูที่ท้ายเล่มของ Oxford Advanced Learner's Dictionary เอาไว้ว่างๆจะเอาไอ้คำศัพท์เฉียดๆ 2,000 คำที่ว่านี้มาแปะไว้บนเว็บเราให้พวกคุณได้ยลโฉมมัน แต่ตอนนี้ถ้าใครใจร้อนก้อไปซื้อ Oxford Advanced Learner's Dictionary มาเปิดดูไปพลางๆก่อน .....หรือถ้าอยากเสียเงินน้อยหน่อยก็ซื้อหนังสือพิมพ์ Student Weekly มาลองบริกรรมดูจะเห็นได้ว่าเขาใช้ศัพท์ไม่เกิน 2,000 คำที่ว่านี้ หรือไปซื้อข้อสอบภาษาอังกฤษเข้ามหาลัยมาดู เขาก้อใช้ศัพท์ไม่เกิน 2,000 คำที่ว่านี้ ........... เอาเป็นว่าถ้าใครได้จดจำ defining vocabulary 2,000 คำที่ว่านี้ได้ในสมองแล้วละก้อ ....(มันเป็นภาษาอังกฤษแค่ระดับ ม.6ของไทยเอง) คนผู้นั้นไม่จำเป็นต้องใช้ดิกแปลอังกฤษเป็นไทยอีกต่อไปในการทำความเข้าใจภาษาอังกฤษยากๆที่กำลังอ่านอยู่......เพียงแค่ติดตั้ง dictionary อังกฤษเป็นอังกฤษที่เป็น software ลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน เวลาอ่านหนังสืออะไรก้ออ่านหน้าคอมพิวเตอร์แล้วติดศัพท์ก้อ key เข้าไปหรือในกรณีที่อ่านข้อความที่เป็น text หรือบนเว็บ (software บางตัว) แค่เอา mouse ชี้นะคุณก็เห็นคำอธิบายศัพท์แล้วนะ ........ คำถามถัดไปก็คือว่า .....แล้วการเรียน defining vocabulary ทั้ง 2,000 คำเนี่ย ต้องใช้เวลาเรียนเท่าไหร่....??? คำตอบก็คือ ถ้าคุณมีพื้นฐานความรู้ภาษาอังกฤษในระดับ ม.6 นะ แล้วเป็น ม.6 โรงเรียนฝรั่งนะ ถ้าอาจารย์สอนเก่งๆนะ ติวเข้มดีๆ 3 เดือนก้อคงได้หมด (ติวไม่เป็นนักเรียนนั่งหาวหลับหมดนะ....555....แล้วถ้าติวไม่เป็นนะ 5 ปีก้อสอนได้ไม่หมด....!!!) แต่ถ้าเป็น ม.6 โรงเรียนไทยทั่วๆไปใน กทม นะ ถ้าอาจารย์เก่งๆคงสอนได้หมดไม่เกินหนึ่งปี ถ้าใครขยันจะเรียนเองโดยการซื้อ Student Weekly มาอ่านพร้อมกับเปิดดิกอังกฤษเป็นไทยกับดิกอังกฤษเป็นอังกฤษควบคู่กันไปแบบที่ว่านี้นะ ก็น่าจะเรียนได้ภายในเวลาหนึ่งปีนะ ....ถ้าไม่หลับคาหนังสือเสียก่อน .....??? .....แต่ถ้าเป็นความรู้ระดับ ม.6 จากโรงเรียนในต่างจังหวัดที่ห่างไกลความเจริญนะ ....อันนี้คำนวณเวลาได้ยากแฮะ....???? ไอ้ที่ว่าถ้าอาจารย์คนไหนสอนไม่เป็นนะ สอนเด็ก ม. 6 ห้าปีก้อสอนไม่หมด ไอ้ definging vocabulary 2,000 คำเนี่ย ....จาบอกให้...........เลยจะจบบทความ 1 เอาไว้แค่นี้ ........แต่จะกลับมาเขียนเรื่องวิธีการเรียนการสอนไอ้ defining vocabulary 2,000 คำเนี่ย จะทำไงโดยใช้เวลาน้อยที่สุด ......คือวิธีแรกที่ตัวเองใช้ก็คือ ทำหน้าให้มันตลกเอาไว้ก่อน พอนักเรียนเห็นหน้าเราเข้า พวกเขาก้อขำกลิ้งไปแล้ว (ช่วยให้ไม่หลับคาโต๊ะเรียน) หลังจากนั้นก็ถ่ายทอด "เคล็ดลับให้" ........เอาไว้สักพักหนึ่งจะกลับมาถ่ายทอดเคล็ดลับในการจดจำ defining vocabulary 2,000 คำเนี่ย ในเวลาอันสั้นที่สุด.......เอาเป็นว่าคราวหน้าจะกระโดดข้ามไปเขียนเรื่องวิธีการเรียนฟังฝรั่งพูดเร็วๆให้ทันหรือวิธีวางแผนการเรียนรู้ทักษะในการเขียน.......โหหัวข้อเรื่องหนักๆทั้งน้านเลย......แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวจะค่อยๆดั้นด้นหาทางร่ายออกมาทีละท่าเพลงให้เหมือนกระแสน้ำ.....แต่ต้องใช้สมาธิมากหน่อย..... จากคุณ : tansy - [ 6 ก.ค. 47 23:58:15 A:203.113.32.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ้าวฝอยมาซะยืดยาวลืมอธิบายให้ละเอียดว่า defining vocabulary (คำศัพท์ที่ใช้ในการอธิบายความหมาย) จริงๆแล้วคืออะไร.... จริงๆแล้วมันคือคำศัพท์ที่ดิกฝรั่งแปลอังกฤษเป็นอังกฤษส่วนใหญ่ใช้ในการเขียนคำอธิบายศัพท์ทุกตัวที่มีอยู่ในดิกแต่ละเล่ม....ซึ่งเขาจะใช้คำศัพท์ง่ายๆอธิบาย มิเช่นนั้นแล้วยิ่งอธิบายไปคนเปิดดิกก็ยิ่งมึนหัวตึ๊บเลย... คือสรุปแล้วหลักสูตรไทยน่ะ เขาก้อวางโครงสร้างไว้ดีแล้วนะ คือนักเรียน ม.6 น่ะควรเรียนรู้ defining vocabulary ไปให้ครบ 2,000 คำแล้วก่อนที่จะกระโดนข้ามรุ่นไปชกรุ่นใหญ่ๆ......... แต่ก่อนที่จะจากไปในวันนี้ ขอตั้งคำถามเล่นๆหนึ่งคำถามว่า.....ทำไม่มีคนจบปริญญาตรีเอกอังกฤษคนหนึ่ง หรืออีกหลายๆคน (เคยเจอในที่ทำงานเดิม) ที่เธอไม่รู้ว่าคำว่า delivery (เป็นหนึ่งใน defining vocabulary แน่ๆ) แปลว่าอะไร.......???..... ลองเอาไปบริกรรมดูเป็นการบ้าน....โหถ้าเขียนเรื่องนี้นะ ....คงยาวแน่ๆ....แต่ยังไม่อยากหาเรื่องเจ็บหัว....เอาแค่ให้ข้อคิดนะ ว่าเรื่องแปลกๆในโลกของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมีจริงยิ่งกว่าปาฏิหารย์พระเครื่องเสียอีก........!!!!??? จากคุณ : tansy - [ 7 ก.ค. 47 00:11:06 A:203.113.32.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณมากครับ จะเข้ามาติดตามบ่อยๆ จากคุณ : topgun9 - [ 7 ก.ค. 47 08:57:50 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คุณtansy ค่ะ ตอนนี้กำลังจะซื้อ Talking Dic อยู่ ค่ะ อยากทราบว่ามันจะดีกว่า Dic ที่เป็นหนังสือหรือเปล่าค่ะ ในแง่ของการแปล ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Bell (Bell_c) - [ 7 ก.ค. 47 14:42:45 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ประโยชน์ของ talking dictionary คือ เล็กกระทัดรัดเบาพกพาง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศที่อยากหาศัพท์แบบฉาบฉวยเช่นจะพูดคุยเรื่องดูหนังฟังเพลงกินเที่ยว......และเรื่องอะไรที่ไม่ serious มากนัก .....ในการแปลถ้าคุณยึด talking dictionary เป็นสรณะละก้อ คุณตายแบบเขียดแน่ๆ......เนื่องจากมันจุคำแปลไม่มากพอ.... พอพูดเรื่องนี้แล้วจะโยงใยถึงเรื่อง defining vocabulary 2000 คำที่กล่าวไว้ในบทความ1 นั่นก็คือทักษะต่ำสุดของนักแปล ก่อนที่จะแปลอังกฤษเป็นไทยได้ "ต้องรู้ 2,000 คำที่ว่านี้เป็นอย่างน้อยที่สุด" เพราะอะไร? ....เพราะว่าในการแปลอังกฤษ-ไทยนั้น การตีความต้นฉบับจะใช้ดิกอังกฤษ-ไทยไม่ได้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากว่าจุคำศัพท์ไม่เพียงพอ .....นักแปลที่แปลหนังสือออกตีพิมพ์เป็นจำนวนมากแปลผิดแบบหน้ามือเป็นหลังมือเพราะบางคนกระโดดเข้ามาสู่วงการแปลในขณะที่อินทรีย์ยังไม่แก่กล้าพอ ... คือพอติดศัพท์ก็เปิดดิก ด.ร. วิทย์ (เพราะเห็นเขาโฆษณาว่า จุคำศัพท์มากที่สุดในประเทศ) แต่จริงๆแล้วจุคำศัพท์ยังไม่พอ....... ดังนั้นในการแปลอังกฤษเป็นไทย นักแปลต้องตีความประโยคยากๆโดยใช้ดิกอังกฤษเป็นอังกฤษสถานเดียว แต่ใช้ดิกอังกฤษเป็นไทยเพื่ออ้างอิงกลับไปว่า ไอ้ที่แปลไปเป็นไทยนี้น่ะ คนไทยอ่านแล้วจะเข้าใจว่าอย่างไร...... ดิกอังกฤษเป็นอังกฤษแบ่งออกเป็นสองประเภท อันแรกคืออธิบายคำศัพท์และสอนวิธีการนำไปใช้สร้างประโยคเช่น Oxford Advanced Learner's Dictionary หรือ Longman Dictionary of Contemporary English (มีดีๆของค่ายอื่นออกมาอีกมาก ...เอาไว้จะค้นข้อมูลแล้วเอามาเล่าให้ฟังทีหลัง) ......ดิกพวกนี้ใช้แปลไทยเป็นอังกฤษได้ดีเพราะช่วยนักแปลคิดประโยคภาษาอังกฤษที่จะเขียน และช่วยแปลสำนวนหรือคำพังเพยแปลกๆได้.....แต่จะจุคำศัพท์แค่มากปานกลางไม่มากสุด เนื่องจากเขาต้องเก็บเนื้อที่ไว้ให้ตัวอย่างประโยค ...ดิกอังกฤษเป็นอังกฤษอีกประเภทหนึ่งคือพวกที่จุคำมากจริงๆเลยเช่น ดิกอังกฤษเป็นอังกฤษที่ติดมากับ Microsoft Encarta Reference Library 2004 เมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้วมีคนเอาหนังสือประเภท how to มาให้แปล หนังสือตัวจริงมันมี 500 กว่าหน้า ....เขาคัดมาให้แปลแค่ 100 หน้า .....พออ่านหัวข้อเรื่องไอ้เราก้อคิดว่า "หมู" เพราะเห็นนักแปลทั้งชำนาญและไม่ชำนาญแปลออกมาวางขายกันเกลื่อน แต่ที่ไหนได้ พอขยับจะแปลจริงๆไปเจอประโยคแปลกๆที่หาในดิกหลายเล่ม (ที่เป็น software บนเครื่องตัวเอง) ก้อหาไม่เจอ แต่ไปหาเจอเกือบหมดเลยใน ดิกอังกฤษเป็นอังกฤษที่ติดมากับ Microsoft Encarta Reference Library 2004 ที่อยู่บนเครื่องตัวเอง.....(ศัพท์ที่เหลือที่ยากๆต้องไปควานหาเอาใน search engine เช่นใน google) เลยคิดว่า เอถ้าเราไม่มีไอ้ software ตัวนี้นะ (และไม่มี google นะ) เจอประโยคที่ตัวเองไม่รู้หน้าละ 1 ประโยค 100 หน้านี้เราคงแปลผิด 100 ประโยค (ถ้าไม่มี software ตัวนี้กับ google นะ) แล้วถ้าเราแปล 500 หน้า (แปลทั้งเล่ม) (ถ้าไม่มี software ตัวนี้กับ google นะ) เราคงแปลผิด 500 ประโยค...(โหขนาดใช้ดิกฝรั่งค่ายดังๆช่วยหลายค่ายนะเช่น Webster's New World Dictionary หรือ New Shorter Oxford English Dictionary บางที่ยังหาคำศัพท์ ในหนังสือเล่มที่ว่านั้นไม่เจอเลย...!!!!) ...แล้วคนที่เขาแปลโดยเปิดดิก ด.ร. วิทย์ แปลเรียงตัวน่ะ เขาจะแปลผิดเกิน 1,000 -3,000 แห่งหรือไม่ กว่าจะแปลเสร็จ 500 หน้าน่ะ ....!!!??? ที่แรกจดรูปประโยคไว้ 100 กว่าประโยคจริงๆเพื่อเอาไว้ศึกษาเองแต่ตอนจบทำข้อมูลหายเกลี้ยงเหลือทรากมาแค่ไม่กี่ประโยคเอง ถ้าอยากอ่านให้ตาม link ข้างล่างนี้ไป http://www.thai.net/plaa/ar/remnant.htm ถ้าเข้าไปลำบากก็ขออภัยด้วย เนื่องจากว่าเมื่อ 2-3 วันที่แล้วมีปัญหาเรื่อง bandwidth เป็นอย่างมาก ....ปัญหาไม่ใช่เพราะคนเข้ามาเว็บฉันมากเกินไปนะ (จริงๆแล้วแทบไม่มีใครเข้ามาเลย...มีแต่เมื่อ 2-3 วันมีคนเข้ามาบนกระดานข่าวเพื่อขอยืมเงิน ...แปลกดีแฮะ.....???!!!) ......แต่ที่มีปัญหากับ bandwidth เนี่ย โหลดช้า คงเป็นเพราะว่าผู้ให้บริการเขามีสมาชิกฝากเว็บไว้ตั้ง 3 แสนกว่ารายแน่ะ ......สงสัยถ้าเขาไม่เพิ่มกำลัง server เราคงต้องย้ายบ้าน (ย้ายเว็บ) เป็นแน่แท้ จากคุณ : tansy - [ 7 ก.ค. 47 17:50:20 A:203.113.32.7 X: ]

ความคิดเห็นที่ 12 เหลือทรากมาแค่ไม่กี่ประโยคเอง แก้เป็น เหลือซากมาแค่ไม่กี่ประโยคเอง จากคุณ : tansy - [ 7 ก.ค. 47 18:07:33 A:203.113.33.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 เรื่อง dictionaries จะเล่าให้ฟังในคราวหน้า (ตอนนี้มีของใหม่ๆจากหลายๆค่ายออกมา ยังทดสอบไม่หมดเลย) แต่ตอนนี้ขอสรุปได้ว่าถ้าต้องการดิกที่มีขีดความสามารถสูงสุด ต้องใช้ดิกที่เป็น software ทั้งอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ และอังกฤษ-อังกฤษ เนื่องจากว่าเปิดง่าย (บางที่แค่เอา mouse ชี้คำที่เราไม่เข้าใจมันก็อธิบายศัพท์ให้แล้ว) แต่อาจไม่กระทัดรัดเนื่องจากว่าต้องใช้กับคอมพิวเตอร์ แต่ถ้าจะทำให้กระทัดรัดก้อต้องซื้อ notebook computer ซักเครื่องหนึ่งแล้วเอาดิกที่เป็น software หลายๆค่ายมาลงไว้บน notebook อย่างนี้นะไปไหนเดินตัวปลิวเลย มีดิกเพียบเลยจะหาอะไรก้อถนัด แล้วยิ่งใช้มือถือแบบ GPRS ต่อกับ notebook นะก้อหาข้อมูลบนเน็ตได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดในโลก ......ฟังๆดูน่าสนนะ แต่มันลงทุนเยอะหน่อย ..... ถ้า notebook ได้รับการพัฒนาเรื่อยๆจนมันเล็กกว่านี้นะ รับรองว่า talking dictionary ขายไม่ออกแน่ๆ....ที่ talking dictionaries ขายดีตอนนี้ก็เพราะว่า 1 พกพาง่าย 2 ราคถูก (แต่บางอันก้อไม่ถูกนะ) 3 คนบางคนต้องการใช้งานแค่เดินทางแล้วหาศัพท์ง่ายๆเท่านั้นไม่ได้คิดจะใช้งานในระดับสูงๆ .........แต่ถ้า notebook มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆในขณะมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆละก้อบริษัทtalking dictionaries หลายๆแห่งล้มละลายหมดแน่ๆ...... จากคุณ : tansy - [ 7 ก.ค. 47 18:37:21 A:203.113.33.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่จริงเสมอไปครับ เพราะผู้ใช้ที่พรรษายังไม่แก่กล้า เจอดิกที่มีคำแปลมากมาย หลากหลาย ก็งงไม่รู้จะเลือกตัวไหนใช้งานดี คนส่วนใหญ่กว่า 99% ที่ไม่ใช่นักแปลใช้ talking dic ก็เหลือเฟือแล้วเพราะสมัยนี้ talking dic ที่บรรจุดิกระดับ Advanced Learner's และอื่นๆ เข้าไปได้อีกมากมาย ในทำนองเดียวกัน ดิกกระดาษที่ขายดีที่สุดก็ไม่ใช่ดิกระดับ desk เพราะมันใหญ่เกินไป นักเรียน นักศึกษาไม่ค่อยได้ใช้ ที่ขายดีที่สุดก็ระดับ 100-200 บาทขนาดพกพาเล็กๆ เท่านั้นซึ่งก็บรรจุคำในระดับ Advanced ได้สบาย ถือว่ามาแลกเปลี่ยนประสพการณ์กัน จากคุณ : K.Senior - [ 7 ก.ค. 47 20:38:04 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อ้าสวัสดีคุณ K รู้สึกบ้านเราจะอยู่ใกล้กัน....เป็นยังไงขาหายดีแล้วหรือ....ขอบคุณสำหรับความคิดเห็น...ได้ข่าวว่าไม่ไปที่ห้อง yumpasa อีกแล้วหรือ โกรธใครหรือ....??? จริงๆแล้วที่ตัวเองไม่ค่อยเชียร์ talking dictionary เท่าไหร่เนื่องจากเขียนเป็นการตอบ คคห 10 ที่คนถาม ถามว่า "...ในแง่ของการแปล..." ที่ตอบไปว่าควรใช้ dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษหลายเล่มผสมกันเพื่อการตีความสถานเดียว ก็เพื่อ "ความไม่เสี่ยง" เพราะไม่รู้ว่าผู้ถามจะแปลงานยากขนาดไหน ..... ถึงจะเป็นเรื่องจริงที่ว่าในยุคนี้ talking dictionaries หลายๆค่ายได้พัฒนาไปถึงขั้นที่จุศัพท์ระดับยากๆ แต่เท่าที่เคยทดลองกดเล่นในร้านพบว่าคำแปลของเกือบทุกค่ายไม่สามารถสนองความต้องการได้เมื่อต้องการแปลงานที่ยากโหดสุดๆ.......เรียกว่า "ถึงกับหาศัพท์ไม่เจอเลยก็ว่าได้" ....แต่พบว่า dictionaries ที่เป็น software นั้นสนองความต้องการในเรื่องการแปลงานยากๆได้ดีทีสุด เนื่องจากนักแปลสามารถติดตั้ง dictionaries เหล่านั้นหลายๆชุดพร้อมๆกันบนคอมพิวเตอร์ และแปลงานบนคอมพิวเตอร์ ดังนั้นนอกจากจะสนองความต้องการได้ในเรื่องความจุของคำศัพท์และตัวอย่างประโยคแล้ว การค้นหาศัพท์ยังทำได้ง่าย เช่น software บางตัวเก่งมาก แค่เอา mouse ชี้ มันก็แสดงความหมายของคำขึ้นบนจอแล้ว ซึ่งถ้าเราเปิด dictionaries ที่เป็น software พร้อมๆกันหลายๆตัวบนคอมพิวเตอร์ (ต้องมี RAM เยอะๆ) ในขณะที่ทำงานแปลที่ serious มากๆ การค้นศัพท์จะกระทำได้รวดเร็วและสะดวกกว่า talking dictionary มากมายหลายเท่า ดังนั้น ในแง่ของการแปล "ขอเน้นว่าในแง่ของการแปล โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานแปลที่โหดสุดๆ" ต้องให้คะแนน dictionaries ที่เป็น software มากที่สุด ....แต่กระนั้นก็ดีบางทีติดตั้ง software พวกนี้เข้าไปบนเครื่องเป็นสิบๆชุดแต่พอไปเจอเอกสารที่มีคำศัพท์เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆล่าสุดหรือคำศัพท์เฉพาะด้านที่หน่วยงานระดับสากลใช้กัน (ซึ่งเขาให้นิยามไว้บนเว็บ) dictionaries รวมทั้ง encyclopedias ขนาดใหญ่แค่ไหน (มีตั้งหลายชุด ทั้งบนคอมพิวเตอร์และเป็นเล่ม (พวกศัพท์หมวด) วางอยู่ข้างๆกาย) ก้อยังรับมือไม่ไหว ต้องวิ่งแจ้นหา search engine เช่น google สถานเดียวม่ายงั้นจะแปลผิดเพียบเลย....หรือไม่ก็แปลไม่ออกเลยเพราะถึงกับมืดแปดด้าน....นี่คือเหตุผลที่ไม่แนะนำให้นักแปลยึด talking dictionary เป็นสรณะ..... จริงๆแล้วที่ว่ามีดิกที่เป็นศัพท์หมวดวางอยู่ข้างๆกายเดี๋ยวนี้มีน้อยลงแล้วเพราะฉีกมันเกือบหมดทุกเล่มแล้ว scan เก็บไว้บนคอมพิวเตอร์ (โดยมี backup บนแผ่น CD) เกือบหมดแล้ว ทั้งนี้ ก็เพื่อความรวดเร็วในการค้นหาศัพท์นั่นเอง....แนวคิดที่ว่านี้คือการใช้ dictionaries มากมายหลายประเภทพร้อมๆกันบนคอมพิวเตอร์นั่นเอง ......ซึ่งถ้าเป็น talking dictionary ถึงซื้อมาหลายเครื่องหรือมี cards เปลี่ยนหลายอันก็ไม่เร็วเท่าการใช้ software โดยการเปิด applications 10 กว่าชุดหรือมากกว่านั้น(multi-tasking) ภายในเวลาเดียวกัน....!!! จากคุณ : tansy - [ 7 ก.ค. 47 22:40:34 A:203.113.33.9 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 ...เปิด applications 10 กว่าชุดหรือมากกว่านั้น... อันนี้อาจเว่อร์เกินไปแฮ่ๆๆๆ.... จริงๆแล้วเปิดแค่ applications 3-4 ชุด (ดิก 3-4 ชุด) ก็กินทรัพยากรเครื่องคอมพิวเตอร์มากมายแล้ว ....เลยต้องเพิ่ม RAM เข้าไปเยอะๆ (ทางที่ดีสูงสุดเท่าที่ mainboard จะรับได้) ....จะได้เปิดได้มากกว่านั้น เปิดพร้อมๆกันมันๆสะใจดี..... จากคุณ : tansy - [ 7 ก.ค. 47 22:49:03 A:203.113.33.9 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบเรียนภาษาอังกฤษนะ แต่ที่ผ่านมาเราเรียนแบบมั่วซั่วมากกว่า จำได้ว่าชอบไปยืนอ่านหนังสือ "เรียนเพลงกับวารินทร์" ที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ (แต่ไม่ซื้ออ่ะ) แบบว่าไปทีไรต้องไปท่องเนื้อเพลงซักเพลงแล้วก็อ่านคำแปล เออ ก็เข้าท่าดีแฮะ ต้องขอบคุณเจ้าของกระทู้มากๆ เลยที่อุตส่าห์สละเวลามาแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ ที่นี่ พูดถึงเรื่องพจนานุกรม เรานึกถึงอาจารย์นพพร สุวรรณพานิช เค้าเคยอ้างถึงคำพูดของปราชญ์อังกฤษและผู้เรียบเรียงพจนานุกรมยุคแรกๆ ชื่อ ซัมมวล จอห์นสัน เอาไว้ว่า "พจนานุกรมเหมือนกับนาฬิกาที่เลวที่สุดยังดีกว่าไม่มี และที่ดีที่สุดก็ไม่ใช่ว่าจะตรงต่อความหมาย" อีกอันคือ "คนปรุงแต่งเรียบเรียงพจนานุกรม เป็นคนที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำที่ไม่มีพิษมีภัย" จากคุณ : Tin Tin (unbearable) - [ 8 ก.ค. 47 00:17:04 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ติดตามอยู่ครับผมอยากทราบมาก มีปัญหาคาใจครับ 1. ที่เน้นพูดส่วนใหญ่เป็นเรื่องคำศัพท์ซะมาก แล้วเกี่ยวกับทางด้าน grammarล่ะคับ จำเป็นขนาดไหนในการใช้ภาษาให้ได้อย่างคล่องแคล่ว 2. กำลังรอทักษะทางด้านการพูดและการฟังอยู่ครับผม จากคุณ : อัศวินสีเงิน - [ 8 ก.ค. 47 00:31:33 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เดินได้แล้วครับ แต่ต้องใช้ไม้เท้าเพราะถ้าไม่ใช่เดินแบบกระตุกๆ เสียบุคลิก คงต้องรอให้กระดูกเชื่อมสนิทอีกสองสามเดือนก่อนที่จะเดินได้ปกติ แต่ขี่จักรยานเบาๆ ได้แล้วครับ ใน yumpasa มีตัวป่วนอยู่เลยถอยออกมา เพื่อความสบายใจ อีกอย่างมีคนเก่งๆ อยู่มากแล้วไม่จำเป็นที่ผมจะกลับไปอีก ไม่อยากเจอเรื่องระคายตา ระคายใจครับ มีภาษิตโบราณว่าไว้ ทะเลหนึ่ง อาวุธหนึ่ง ผู้หญิงหนึ่ง อย่าไว้วางใจ อันตรายมาถึงตัวได้เสมอ ในกรณีที่ผู้หญิงปากกาแหลมคม ยิ่งห่างไปไกลจะดีต่อสุขภาพจิตครับ ผมแก่แล้ว ไม่อยากสู้ด้วย :-) จากคุณ : K.Senior - [ 8 ก.ค. 47 02:46:06 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ tansy แปลเอกสารที่ไหนครับ ค่าตอบแทนดีมั้ย อยากทำบ้างอ่ะครับ รบกวนช่วยตอบด้วย จากคุณ : new grad - [ 8 ก.ค. 47 04:07:15 A:202.133.166.236 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 สวัสดีคุณ Tin Tin ชื่อนี้คุ้นๆแฮะ....สวัสดีคุณอัศวินสีเงิน ใจเย็นๆเรื่องนี้ไม่ใช่อมภูมิแต่มันยุ่งง่ะ....ต้องค่อยๆบรรยายที่ละนิดม่ายงั้นประสาทกลับ.....ดีใจที่เดินได้แล้วคุณ K.Senior เรื่องยัยตัวป่วนน่ะไม่ต้องกลัวหรอกเธอไม่ชอบ log in แล้วหายสาปสูญไปเลย ......ถ้าคุณเข้าไปในยำภาษาอีกก็คงไม่มีหล่อนมากวนใจอีก ลุงแอ๊ดก็ว่าเงี้ย พวกเราคิดถึงคุณนะ .....คุณ new grad ไอ้เรานะเบื่อแปลจะตาย..ว่างๆจะเล่าให้ฟังว่าเพราะอะไร.......ตั้งแต่แปลไปนะเครียดจนเลิกกับแฟนไป 2 คนแน่ะ....แต่ถ้าสนใจเรื่องแปลจริงๆแล้ววันหลังจะค่อยๆบอกให้ว่าจะทำอย่างไรดี..... จากคุณ : tansy - [ 8 ก.ค. 47 07:11:41 A:203.113.32.7 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอโทษทีที่ไม่เชียร์ talking dictionary เพราะตัวเองไม่ใช้....... แต่จริงๆแล้วมันก็มีประโยชน์นะ .... คือถ้าพ่อแม่ซื้อให้ลูก ลูกก็จะบ้าเห่อจนกลายเป็นอยากเรียนภาษาอังกฤษไปเลยก้อได้.... คือแทนที่เด็กๆจะขยาดต่อการเปิดดิกเป็นเล่มๆก็กด talking dictionary แล้วรู้สึกว่ามันดีออก.....ก็เลยอาจเป็นผลดีแก่เด็กๆก็ได้นะ.... และประเด็นที่คุณ K. Senior หยิบยกขึ้นมาว่าดิกที่จุคำมากๆอาจทำให้ผู้เรียนมึนหัวก็ได้ ก็เป็นข้อคิดที่ดี....เอถ้าจะจริงแฮะ....??? ....แล้วยังไงจะเล่าให้ฟังที่หลังว่า ไอ้ดิกแต่ละชนิดน่ะ ใช้งานอะไรแตกต่างกันอย่างไร .....แต่วันนี้จะมาพูดเรื่อง hot issue หรือประเด็นร้อนแรง....ไม่ใช่เรื่องส่งรูปโป๊นะ....555....แต่จะเป็นเรื่องที่ว่าจะวางแผนการเรียนการสอนอย่างไรให้คนไทยฟังฝรั่งรู้เรื่องได้โดยไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนถึงต่างประเทศ......... ทำไมฉันถึงมาคิด hot issue นี้นะ ....??? จริงๆแล้วตัวเองกว่าจะฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่องนะ ออกแรงเยอะมากๆเลยอ่ะ...!!!.......คือตามประสาคนไม่รู้ แต่ตอนหลังกลายเป็นคนขี้สงสัย ก็เลยต้องหาความจริงเรื่อยไป..... ท้าวความในอดีตนะ แรกเริ่มเดิมทีที่เรียน ม.ต้นในเมืองไทย ก็มีอาจารย์ฝรั่งสอน ....ฉันก็พูดกับอาจารย์รู้เรื่องนิหว่า ..........แต่ทำไมเมื่อฉันไปเรียนต่อ ม.ปลายในต่างแดน ฉันฟังอาจารย์ฝรั่งไม่รู้เรื่องเลยสักนิดเดียวเจงๆ......งงแฮะ........???!!!......แล้วไอ้ใบอะไรที่โรงเรียนในเมืองไทยเขาออกให้ฉันน่ะ เรียกว่า transcript นะ โหออกให้เป็นภาษาฝรั่งเลยน่ะ ไม่ต้องไปแปลให้เสียเวลา .......ให้คะแนนภาษาปะกิตฉันดีเยี่ยมเล้ย...กึ๋ยๆๆๆ.....(อย่าซุบซิบบอกใคร ซุบซิบบอกใคร.....ฉันอายแค่ไหน....คนดี.....อิๆๆๆ....) transcript ฉันแจ๋วสุดๆเยย ก็เพราะฉันซื้อเหล้ากับบุหรี่ไปให้อาจารย์ใหญ่ก่อนออกจากโรงเรียนในไทย ...ให้ท่านเขียน transcript ให้ฉันดีๆยังไงล่ะ....ใครอย่าได้เอาเยี่ยงอย่างฉันเป็นเด็ดขาดนะ......!!!!......แล้วจะบอกให้ว่าเพราะอะไร.... พอไปถึงโรงเรียนฝาหรั่งในต่างแดน อาจารย์ใหญ่บอกว่า Your transcript looks very impressive! .....ว๊าว.....ไม่ใช่ว๊าวดีนะ .....แต่ว๊าวที่นี้ละยุ่งเซ่......(ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะยุ่ง) ......... วันแรกที่เข้าห้องเรียนนะ ......โหนึกว่าจะได้ยินเสียงเหมือน Mr. Bishop อาจารย์ฝาหรั่งใน Thailand ของฉันนะ .........แต่ที่ไหนได้ได้ยินสำเนียงอะไรก้อม่ายรู้.... ฟังไม่รู้เรื่องเลยสักคำ......!!!!!! บอกได้อย่างเดียวว่า มึนsssssssssๆๆๆๆๆ!!!! พอถึงวิชาคณิตศาตร์นะ พอทนไหวเพราะอ่านโจทย์บนกระดานพอเดาได้ว่าจะต้องทำไง แต่พอเจอวิชาภูมิศาสตร์นะ .....เดี้ยงเลย....ตายสนิทแบบเขียดง่ะ ....!!!....เพราะว่าอาจารย์มาหน้าชั้นพูด 2-3 คำแล้วให้ dictation .......จดลูกเดียว .....โห....พี่แกจำหนังสือได้ทั้งเล่มเลยหรือไงเนี่ย.......?????? .....I คือฉัน ........มันแปลว่า it..... ก็แย่สิเฟ้ย.....ฟังไม่รู้เรื่องเลยซักกะคำ .........555......สมน้ำหน้าตัวเอง....ดันไปขอให้อาจารย์ใหญ่ในไทยเขียน transcript ดีๆ.......โอ้ยจะบ้าตาย.......!!!!!!......เด๋วบ่ายๆจะมาเขียนต่อ...... จากคุณ : tansy - [ 8 ก.ค. 47 07:13:12 A:203.113.32.7 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 เมื่ออาจารย์ฝรั่งรับรู้ปัญหาของฉัน พวกเขาก็หาทางช่วยโดยการเลื่อนชั้นเรียนให้ฉัน ....โหเรียนยังไม่ถึงเดือนเลยได้พาสชั้นแล้วนะ....เก่งมะล่ะ...!!!????.....แต่เลื่อนลงนะไม่ใช่เลื่อนขึ้น....ฮาๆๆๆๆๆ....คืออาจารย์ไล่ฉันไปเรียนกับเด็กฝรั่งชั้นประถมเลย.....โหค่อยเบาตัวหน่อย....อิๆๆๆ.... แต่พอถึง summer holiday นะ ฉันออกไปสู่โลกกว้าง ไปเที่ยวเมืองชายทะเล....ไปพบเพื่อนใหม่ๆเลยเตลิดเปิดเปิงไปตามหัวใจเด็กวัยรุ่น....ไม่กลับไปเรียนแล้วไอ้โรงเรียนนั้นน่ะ (เป็นโรงเรียนประจำ) ...แต่ตอนหลังคิดๆแล้วน่าเสียดาย เพราะถ้าทนเรียนไปภาษาอังกฤษตัวเองอาจเก่งกว่านี้ก็ได้....ตกลงในช่วงต่อไปทักษะในการฟังของฉันได้มาจากการเดินทางและพบปะผู้คนและ ที่ได้มากๆก็คือจากการดูทีวีกับดูหนัง..คือทนฟังไป รู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง จนในที่สุดช่วงที่ฟังรู้เรื่องมากที่สุดเป็นช่วงที่ไปพำนักอาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็น cosmopolitan city คือเป็นนครแห่งหนึ่งที่มีชนหลายชาติหลายภาษามาอยู่กัน...คือร้อยพ่อพันแม่...ว่างั้นเหอะ...เลยทำให้ตัวเองสามารถฟังคนพูดเร็วๆที่ต่างสำเนียงกันและจับใจความได้แม่นยำ....แต่ไม่อยากบอกจำนวนปีว่าต้องใช้เวลากี่ปีกว่าจะได้ทักษะการฟังแบบนี้มา เพราะกลัวผู้เรียนจะท้อใจ...เผ่นหนีกันไปหมด ......เพียงแต่อยากจะบอกว่าแท้จริงแล้วมันมีวิธีลัด....ที่ตัวเองค้นพบได้มาโดยบังเอิญ....สงสัยต้องยืม gimmick ของเจ้าแอนดรูว์ บิ๊กส์ มาที่บอกว่า "ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียวครับ"...ลองมาพูดใกล้ๆสิโดนเขกหัว (ที่ล้านๆอยู่แล้ว) แน่ๆ....ใช่สิมันง่ายนิดเดียวแต่มันยากมากยังไงล่ะ ....แต่ไม่เป็นไร คราวนี้ต้อง "สู้ๆๆใหม่" สู้ใหม่นะพวกเรา.......ยากก้อยาก....ลองลุ้นดูซักตั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาเมืองไทย ก็พยายามหัดแปลหนังสือ ไปซื้อหนังสือภาษาอังกฤษมาแปล แปลไปแล้วก็อ่านภาษาไทยตัวเองไม่รู้เรื่อง....เลยไปทำงานขายโฆษณาหนังสือท่องเที่ยวที่แจกชาวต่างชาติ .....วันๆก็ย่ำตะรอนๆไปชวนให้บริษัทต่างๆลงโฆษณาในหนังสือท่องเที่ยว....และมีอยู่วันหนึ่งเดินเข้าไปโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งเพื่อขายโฆษณาให้ฝรั่งคนหนึ่ง รู้ทีหลังว่าเขาเป็น Academic Manager ของโรงเรียนแห่งนั้น ประวัติของคนๆนี้ไปอ่านได้ที่ คคห 7 กับ 8 ในกระทู้ตาม link ข้างล่างนี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K2880645/K2880645.html จากคุณ : tansy - [ 8 ก.ค. 47 16:16:09 A:203.113.33.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขายไปขายมาฝรั่งเขาไม่ซื้อแต่เขาชวนฉันไปช่วยเขาสอนภาษาอังกฤษ...เอแปลดีแฮะ....????.....พออีกหลายวันต่อมาเมื่อขายโฆษณาไม่ได้เลยค่าคอมมิสชั่นก้อไม่ได้ ก็เดินคอตกกลับไปหาฝรั่งคนนั้น แล้วบอกว่า "โอเคสอนก้อสอนจะให้ทำไงบ้าง...???" แล้วเขาก็บอกว่าให้ไปเข้า workshop พอไปนะ ที่ workshop มีทั้งครูฝรั่งครูไทยมากันแน่นเลย แต่ละคนผลัดกัน present หัวข้อเรื่องบางอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นงานค้นคว้าเรื่องวิธีการสอนภาษาอังกฤษที่แต่ละคนไปทำมา...และมีการถามปัญหาซึ่งกันและกัน....ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่เจอใน classroom จริงๆ เช่นสอนๆไปมีนักเรียนจอมเก่งอยู่คนเดียวพูดไม่หยุด จนนักเรียนคนอื่นอายไม่กล้าพูดค่อยๆหายหัวกันไปกันหมด..(อย่างนี้โรงเรียนเจ้งแน่ๆ....555...).....และปัญหาอื่นๆอีกสารพัดรูปแบบ....พวกครูเขาก็ช่วยกันตอบ ซึ่งถ้าตอบได้ก็ตอบตอนนั้นเลย แต่ถ้าตอบไม่ได้ก็ต้องไปค้นคว้ามาและเอาคำตอบมาให้ใน workshop คราวถัดไป ......ซึ่งนับว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรมากๆ ในวันนั้น Academic Manager เขาเอาวิทยุเทปอันหนึ่งมาวางที่ workshop และบอกว่า รู้ไหมว่าไอ้วิทยุเทปอันกระจอกๆเนี้ย ถ้าใครใช้มันเป็นนะ มันเก่งกว่า sound lab ซะอีก...เขาแนะนำว่า ให้บรรดาอาจารย์ฝรั่งอัดเทปเสียงของกันและกัน และแลกตลับเทปกันเพื่อเอาไปเปิดให้นักเรียนฟังใน classroom โดยเอาเสียงของอาจารย์ฝรั่งคนอื่นไปเปิดให้นักเรียนตัวเองฟัง ไม่ใช่เอาเสียงของตัวเองไปให้นักเรียนตัวเองฟัง .....อาจารย์ฝรั่งที่เพิ่งเข้ามาสอนใหม่ๆก็ถามว่า "อ้าวแล้วพวกเราเป็น native speakers ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วยล่ะ....????" Academic Manager เขาตอบว่า "ก็เพื่อไม่ให้นักเรียนชินแต่เสียง teacher ของพวกเขาเอง" .....อ๋อ (ฉันคิดได้ในใจ) มิน่าเล่าฉันถึงฟัง Mr.Bishop อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ม.ต้น ใน Thailand ของฉันรู้เรื่อง แต่ไปฟังฝรั่งคนอื่นพูดในต่างแดนไม่รู้เรื่องเลย...!!! แล้วต้องไปเสียเวลานั่งฟังทีวีกับหนังฝรั่งกรอกเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอีกตั้งหลายปีกว่าจะฟังรู้เรื่อง.....อืมม์วิธีสอนแบบนี้ เข้าท่า เข้าท่า...สอนที่นี่ดีแฮะไม่ได้เงินเดือนก้อเอา....เปล่าพูดเล่นไม่ได้เงินเดือนก้อตายสิ....!!! จากคุณ : tansy - [ 8 ก.ค. 47 16:17:34 A:203.113.33.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 แล้ววิธีการที่ฝรั่งใน workshop แนะนำให้ทำเพิ่มเติมนะ คือเขาอัดเทปแล้วเขียน (transcribed) คำที่เขาพูด (เหมือนในเทป) เทป) เป็นประโยคแล้วเอา liquid paper ลบคำบางคำออก แล้วถ่ายเอกสารหลายๆแผ่นแจกนักเรียน ให้นักเรียนฟังเทปแล้วเติมคำที่หายไป ....(แต่นั่นมันสมัยคอมพิวเตอร์ยังใช้ DOS อยู่นะ สมัยนี้คอมพิวเตอร์เป็น Windows เป็น multimedia แล้ว....เดี๋ยวจะบอกให้ทีหลังว่า ถ้าใครใช้คอมพิวเตอร์สมัยใหม่พลิกแพลงได้มากๆ มันมีวิธีการเด็ดๆมากกว่านี้อีกหลายอย่าง .......) ถัดจากนั้นตัวเองก้อไปซื้อตำราพวก TEFL, TESL, ESL มามากมายก่ายกอง อ่านๆไปแล้วบางทีก็วิชาการมากไปจนปวดเศียร..หลับคาหนังสือเลยอ่ะ...และต่อมาก้อซื้อตำราเรียนภาษาอังกฤษจากต่างประเทศที่มีเทปและมีคู่มือครูมาอีกหลายชุด .....และไปเจอเทคนิคการใช้เทปและเจาะลึกจุดที่นักเรียนฟังไม่รู้เรื่องแล้วจะแก้ปัญหาให้ถูกจุดอย่างไร....ซึ่งหลังจากค้นคว้าแทบตายหมดเงินไปบานเลย....ก็ได้ข้อสรุป ที่ไม่ใช่ในเชิงวิชาการ แต่เป็นในเชิงปฏิบัติ .....ดีๆ ที่พอจะสรุปได้เพียงแค่ไม่กี่หน้ากระดาษเอง ......ซึ่งถ้านักเรียนชาวไทยรู้เคล็ดลับพวกเนี้ยนะ พวกเขาจะขอร้องให้อาจารย์ฝรั่งสอนตามแนวนี้นะ (ทำได้หรือ ไปบอกให้อาจารย์สอนตามใจนักเรียนน่ะ....??? ... ทำได้สิ...จะบอกให้ว่าทำไง...) แล้วรับรองว่าไม่ต้องไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาหรือ แค่เรียนในเมืองไทยเนี้ยมีสื่อดีๆเพียบเลยเดี๋ยวนี้ เรียนไปด้วยวิธีการที่ว่าเนี้ย ไม่นานผู้เรียนก้อฟังข่าว BBC หรือ CNN และดูหนัง soundtrack รู้เรื่องสบายๆ...... จากคุณ : tansy - [ 8 ก.ค. 47 16:18:19 A:203.113.33.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตกลงคราวหน้าจะเอาเคล็บลับในการเรียนการสอนทักษะการฟังมาเปิดเผยให้ และจะกระโดดข้ามไปเขียนเรื่องการจัดการกับปัญหาในการเรียนทักษะการเขียน ซึ่งเป็นยาขมหม้อใหญ่สุดๆของ learners ทั้งหลาย .....ถัดจากนั้นก็จะมาทวนเรื่องหลักการใช้ภาษาให้อ่านกัน......เป็นหัวข้อเรื่องหลายๆหัวข้อไป .....โหฟังดูแล้วเป้าหมายที่ตั้งไว้ ช่างทะเยอทะยานเสียเหลือเกินนะ.......??? ใครไม่รู้คงคิดว่าฉันเป็น Professor of English คำตอบก็คือว่า No, no, noๆๆๆๆ.....ม่ายช่ายม่ายช่าย......เป็นแค่ learner ธรรมดาๆนี้แหละแต่ซอกแซกหน่อย ....ไอ้ที่จะเอาเรื่องหลักการใช้ภาษามาเขียนนะ ก้อไปขโมยเขามา....เอ้ยไม่ใช่....ก้อไป copy เขามา....เอ้ยก้อไม่ใช่อีกน่ะแหละ ......แต่ไปอ่านบทเรียนที่ฝรั่งเขาเขียนไว้ อ่านจับใจความให้ได้แล้วเอามาเขียนใหม่ เป็นภาษาอังกฤษปนภาษาไทย ....อ่านจากหนังสือของตัวเอง (ที่ไม่เคยเปิด หน้ามันจะเหลืองหมดแล้ว) และอ่านจากบนเว็บ......ทำไมต้องทำอย่างนี้ล่ะ ....โหเคยให้สำนักพิมพ์ยื่นขอลิขสิทธ์หนังสือภาษาอังกฤษจะมาแปลเป็นไทย ยื่นขอไปหลายสิบชาติแล้วยังไม่ได้ซักกะเล่มหนึ่ง ....ถ้าไม่ทำอย่างนี้นะก้อไม่ต้องแปลอะไรสักเรื่องหนึ่งกัน .....แล้วที่เลือกเรื่องกลยุทธ์การเรียนภาษาอังกฤษก็เพราะว่าตัวเองไปค้นพบวิธีการดีๆมาเพียบเลย แต่พอค้นได้แล้วก็วางไว้บนหิ้ง แล้วพอมีงานแปลด่วนๆก็เขียนภาษาอังกฤษด่วนๆไปแบบว่า "พลิกตำราไม่ทัน" ....เขียนๆไปพอฝรั่งอ่านดูเขาก็ว่าเป็นธรรมชาติพอสมควรแต่คงไม่ถึงระดับมือโปร (แล้วที่ใจกล้าหน้าด้านเขียนไปก็เพราะเห็นคนไทยที่อยู่ในวงการเดียวกันเขียนแย่ยิ่งกว่านี้ซะอีก ....ก็เลยใจชื้น) ...แต่ถ้าคนที่เป็นนักภาษาศาสตร์เขามาวิเคราะห์ประโยคที่เราเขียนเขาจะบอกได้เลยว่าเรายังมีข้อผิดพลาดหลายๆแห่ง ดังเช่นการไม่รู้ว่าส่วนไหนของประโยคเป็น clause แบบไหน คำๆไหนเป็น conjuction แบบไหน หรือเป็น preposition ละก้อ....ในการต่อเชื่อมประโยคเราคงจะใส่เครื่องหมายวรรคตอนผิดมากพอสมควรน่ะแหละ ....คือจริงๆแล้ว กะจะสังคายนาภาษาอังกฤษของตัวเอง แต่กลัวเรียนคนเดียวแล้วจะหลับคาเครื่องคอมพิวเตอร์ (ส่วนใหญ่จะอ่านหนังสืออะไรจะฉีกหนังสือแล้ว scan แล้วเข้าไปอ่านในคอมพิวเตอร์เลย ถ้าเจอศัพท์ยากๆจะได้กด software หาคำแปลได้เลย...คือขี้เกียวเปิดหนังสือง่ะ...)....ก็เพราะกลัวนั่งหลับคาเครื่องนี้แหละ จึงมาตีฆ้องป่าวร้องเชิญชวนชาวบ้านให้เขามาเรียนด้วย ......แต่สัญญาว่าจะเขียนเรื่องง่ายๆกับยากๆคละกันนะ ....ขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นไป copy เอ้ยไปอ่านจับใจความเรื่องอะไรของใครมา แล้วเอามาเรียบเรียงใหม่น่ะ คือถ้าไม่เรียบเรียงใหม่นะ รับรองโดนเจ้าของลิขสิทธิ์เขาตามมาหักคอเอาถึงในห้องนี้แน่ๆ ......อิๆๆๆๆ....... จากคุณ : tansy - [ 8 ก.ค. 47 16:20:40 A:203.113.33.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 conjuction แก้เป็น conjunction จากคุณ : tansy - [ 8 ก.ค. 47 16:29:59 A:203.113.33.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 บทความนี้จะเป็นเรื่องการเรียนการสอนทักษะการฟัง คนไทยพูดกันบ่อยว่า จะเรียนภาษาอังกฤษให้พูดฟังได้ดีต้องเรียนกับฝรั่งเจ้าของภาษา จริงหรือไม่...??? คำตอบก็คือมีทั้ง yes กับ no....อ้าวทำไมตอบแบบนั้นล่ะ....??? คำตอบนี้ได้จากการวิเคราะห์การเรียนการสอนในภาคปฏิบัติ .......สิ่งที่ผู้เรียนชาวไทยมักจะประสบก็คือตอนเรียนใน classroom น่ะพูดกับอาจารย์รู้เรื่อง แต่พอออกไปสู่โลกภายนอก มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือฟังฝรั่งคนอื่นพูดไม่รู้เรื่อง เหมือนๆกับที่เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ของตนเองที่ฟังอาจารย์ฝรั่งในไทยรู้เรื่องแต่ฟังฝรั่งในต่างแดนไม่รู้เรื่อง ตามข้อความที่เขียนไว้แล้วข้างบนนี้ .... ลองให้นักเรียนสมมุติว่าตัวเองเป็นอาจารย์ฝรั่งสิ.....เหมือนๆกับการพิสูจน์ทฤษฏีเรขาคณิตน่ะ นั่นก็คือจะพิสูจน์ว่าอะไรเป็นจริงก็ลองสมมุติว่ามันเป็นจริงก่อนแล้วจะมีข้อเท็จจริงอะไรตามมาบ้าง ......สมมุติว่าตอนนี้พวกเราเป็นอาจารย์ฝรั่งนะ เดินเข้ามาใน classroom แล้ว say hello กับนักเรียนแล้วพูดคุยเรื่องอื่นๆ สิ่งแรกที่เจอแน่ๆก็คือ นักเรียนฟังไม่ทันแล้วนักเรียนพูดว่า 'Pardon?' หรือ 'Can you speak slowly, please?' อาจารย์ก้อต้องเกาหัวแกร๊กๆทุกครั้งที่ได้ยินคำเหล่านี้จากศานุศิษย์...ก็ต้องพูดให้ช้าลง เพื่อให้อาจารย์ happy และนักเรียน happy ด้วย....แต่ในชีวิตจริงแล้วเวลาฝรั่งกับฝรั่งคุยกันใน pub หรือไปบรรยายเรื่องอะไรน่ะ ไม่มีฝรั่งที่ไหนพูดกันเองช้าๆหรอก......เลยตกลงก็เป็นอันว่าการเรียนการสอนแบบพูดช้าๆกันนี้นะ ทำให้ผู้เรียนมีทักษะการฟังที่ "ต่ำกว่ามาตรฐาน".......แล้วจะแก้ยังไงล่ะ......แล้วจะให้พูดเร็วแค่ไหนล่ะ.....??? การที่จะตอบคำถามนั้นได้ เราต้องวิเคราะห์ให้ลึกว่า เวลาพูดเร็วกับพูดช้าน่ะ มันต่างกันอย่างไร ......ลองยกตัวอย่างภาษาไทยซิ หากใครพูดว่า "เร็วซิ" แล้วอยู่ดีๆเกิดอาการ "ขี้เกียจ" คือไม่อยากออกเสียงชัดถ้อยชัดคำขึ้นมา เขาเลยพูดว่า "เร็ววิ่" ทีนี้ละได้เรื่องเลย .....พูดกับเพื่อนน่ะไม่เป็นไรนะ แต่ไปพูดออกทีวี เดี๋ยวมีแล้วพวกอ้างตัวเป็นนักอนุรักษ์ภาษาไทยมาถล่มเอา ...หาว่าออกเสียงไม่ชัดถ้อยชัดคำบ้าง ทำลายภาษาไทยบ้าง ......เรื่องนี้มันก็แปลก ....ทำลายหรือไม่ทำลายภาษาไทย ไม่ขอแสดงความคิดเห็น........ทีนี้ลองภาษาญี่ปุ่นบ้าง (เขียนมั่วๆเอานะ เพราะแค่จำขี้ปากคนญี่ปุ่นมาคำสองคำ) 'โค' + 'ไฮยาชิ' พูดเร็วๆกลายเป็น 'โคบายาชิ'.....อ้าเห็นหรือยัง พูดเร็วๆเมื่อ link เสียงพยางค์ท้ายของคำแรกกับเสียงพยางค์แรกของคำที่ตามมา มันเปลี่ยนเสียงไปแล้วนะ ....!!!???......แล้วถ้าประโยคหนึ่งมันมีเป็นสิบๆคำไม่ link กันนัวเนียหรือ....???? จากคุณ : tansy - [ 8 ก.ค. 47 21:35:11 A:203.113.33.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 ทีนี้เรามาดูภาษาอังกฤษบ้าง เอาคำง่ายๆ เช่น 'do it' พูดช้าๆ (ในวิชา Phonetics เขาเรียกว่า strong form) ก็เป็น 'ดู อิท' แต่พอพูดเร็วๆ (ในวิชา Phonetics เขาเรียกว่า weak form) ก็กลายเป็น 'ดูหวิท' 'see it' พูดช้าๆ (ในวิชา Phonetics เขาเรียกว่า strong form) ก็เป็น 'ซี อิท' แต่พอพูดเร็วๆ (ในวิชา Phonetics เขาเรียกว่า weak form) ก็กลายเป็น 'ซีหยิท' อ้าคุณพอจะมองเห็นได้ลางๆหรือยังว่าฉันเจาะลึกมาในแนวไหน......ลองคิดดูสิว่าถ้าฝรั่งพูดประโยคยาวๆมีคำสิบกว่าคำหรือมากกว่านั้นนะ ไม่ link กันนัวเนียหรือ....??? บางทีนะ link ของอังกฤษกับอเมริกันก็ไม่เหมือนกันด้วย อย่างเช่น paper bag คนอังกฤษไม่ออกเสียงตัว r ที่อยู่ท้ายคำ ไม่ให้มัน link กับคำว่า bag (เพราะ bag ขึ้นต้นด้วย b ที่เป็นพยัญชนะ) ก็จะออกเสียงเป็น 'เพเพอะแบก' ไปเลย ในขณะที่คนเอมริกันต้องใส่เสียตัว r ยาวแน่ๆเลย คงเป็น 'เพเพอรรรรรรรรแบก' เขียนเทียบเสียง (transliteration) แบบนี้น่ะ ฉันไม่เก่งหรอก ต้องไปอ่านที่คุณบ๊อบ บุญหด (เดลินิวส์) เขาเขียน รู้สึกเขาสรรหาวิธีเขียนจนเขียนเสียงสูงเสียงต่ำ (intonation) ของฝรั่งด้วยอักษรไทยได้เก่งนะ ฉันเขียนที่ไรหลุดทุกที (แต่พูดได้) ...... กรณีของ paper bag ให้สังเกตที่ตรงอักษรแรกของคำที่ตามมา (คำว่า bag) มันเป็นพยัญชนะ ....ดังนั้นคนอังกฤษจะไม่ออกเสียงตัว r ที่อยู่ท้ายคำแรก .....แต่สำหรับพวกมะกันแล้ว ไม่ต้องพูดถึงหรอก พวกเขาไปที่ไหนก็จะออกเสียงตัว r ทุกแห่งอย่างชัดถ้อยชัดคำ 'จนสั่นรัวไปหมด'....เลยบางทีนะ แค่คุณเรียนวิธีออกเสียงตัว r ให้ชัดๆนะ คุณก็พูดเป็นสำเนียงอเมริกันไปเกือบครึ่งหนึ่งซะแล้ว.....คล้ายๆกับที่คนอังกฤษล้อคนเอมริกันว่า ได้ยินเสียงตัว r ก้องกังวาลมาแต่ไกล...เลยรู้ว่าเป็นอเมริกันน่ะ ....!!! เ ทีนี้ลองมาดู paper industry กันบ้าง ให้สังเกตดูว่า อักษรแรกของตัวที่ตามมาเป็นสระ คนอังกฤษจะใส่ link ทันทีเวลาพูด .....มันก็จะกลายเป็น 'เพเพอะรินเดิสตริ' ....แล้วพี่มะกันหรือ....??? ไม่ต้องพูดถึงหรอกในเมื่อพี่แกออกเสียงตัว r อยู่แล้วเขาต้องใส่ link แน่ๆเลย link จนตัว r รัวกล้ำกับสระ i นัวเนียไปเลย ..... แล้วอันนี้นะ ...เหตุเกิดขึ้นจริงๆใน classroom ตอนเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนฝรั่งกับฝรั่งนะ....เราเรียนเรียงความกัน เด็กฝรั่งคนหนึ่งเขียนเรียงความมาว่า 'I could of done it.' ครูก็บอกว่า 'ไม่มีนะ ภาษาอังกฤษแบบเนี้ย....!!!' ........ไอ้เด็กมันก้อเถียงว่า 'ไม่มีได้ไงกัน ก้อพูดกันอยู่ทุกวันนี่'......เด็กอื่นเขาเลยฮากันครึนทั้งห้อง.... ในที่สุดพวกเรา (ทั้งชั้นเรียน) ก้อต้องช่วยกันชี้ทางสว่างให้หมอนั่น โดยบอกว่า ที่แท้จริงแล้วชาวบ้านเขาพูดกันว่า 'I could have done it.' แต่พูดเร็วๆ (weak form) เลย could + have = "คูเดิฟ"..หรือ "คูดัฟ"....อะไรทำนองเนี้ย ......แล้ว you จำมาผิดเอง .......หมอนั่นก้อเลยหัวเราะขำตัวเองซะ กลิ้งเลย....แล้วหมอก้อพูดติดตลกบอกว่า 'โหไม่บอกก็ไม่รู้นะเนี่ย....กว่าจะรู้นะอายุตั้ง 17-18 เข้าไปแล้ว...ฮาๆๆๆๆ.....!!!' ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างสุดท้ายนะ (จริงๆแล้ว...ตัวอย่างดีๆมีเพียบเลย...แต่จะรวบรัดให้บทความสั้นลง) ... there is not any แดร์ อีส นอท (ถ้าอเมริกันพูด 'นอท' ก็เป็น 'นาท') เอนิ (strong form) there isn't any แดริสซึ่นเทนิ (weak form) ........ถ้าใครพูดไม่ดีลิ้นพันกันนะ ....555...หรือถ้าอเมริกันพูดแบบขี้เกียจบางทีกลายเป็น 'แดเร้นเอนิ' ...ไปซะเลย ยิ่งมันกับมึนไปกันใหญ่....!!! จากคุณ : tansy - [ 8 ก.ค. 47 21:38:50 A:203.113.33.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 ในความเป็นจริงแล้วความน่าจะเป็นไปได้ (probability) ในเชิงคณิตศาสตร์ ของการผสมผสานเสียงของพยางค์ที่ link กันแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงอื่นน่ะ มีมากมายพอที่จะทำให้ learners มึนหัวได้ดีพอสมควรเลยหละ...!!! ตกลงไอ้จุดเล็กๆน้อยเหล่านี้น่ะแหละ มันทำให้เราฟังฝรั่งพูดเร็วๆไม่รู้เรื่อง และในเมื่ออาจารย์ฝรั่งก็ขี้เกียจปวดหัว มาพูดซ้ำๆกับนักเรียน เขาก็พูดช้าๆ (strong form) ไปซะเลย จะได้ไม่ต้องเสียประสาททั้งคนสอนและคนเรียน......ผลก็คือนักเรียนไม่สามารถฝึกทักษะการฟังในระดับมาตรฐานได้..... ตกลงเรามาครึ่งทางแล้วนะเรื่องทักษะการฟังน่ะ .... คือไม่ใช่เพราะอยากจะพล่ามมากแต่มันจำเป็นต้องพูดเรื่อง strong form กับ weak form ให้เข้าใจก่อน จึงจะคุยเรื่องวิธีการแก้ไขปัญหาการฟังไม่รู้เรื่องได้สำเร็จ...เอาเป็นอันว่าคราวหน้าจะบอกวิธีแก้ไขปัญหานี้ในเชิงการเรียนการสอนภาคปฏิบัติให้ ....ว่าจะต้องทำอย่างไร ......... สรุปแล้ว ... (ไม่รู้เท็จจริงอย่างไร ไม่กล้าวิจารณ์) ดูเหมือนว่า คนไทยน่ะเขาจะห้ามคนไทยด้วยกัน พูดภาษาไทยด้วย weak form แม้ว่าจะพูดเร็วๆก็ตาม ...??? เช่นคุยกันเล่นๆบนเว็บคุณบอก 'ชอบอ่ะ' (weak form) คงไม่มีใครว่าอะไร แต่ถ้าคุณไปพูดแบบนั้นออกทีวี เดี๋ยวโดนคนไทยด้วยกัน 'ถล่ม' แน่ๆ...แต่ในวิชาภาษาอังกฤษโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชา Phonetics เวลาพูดเร็วๆหลักภาษาอังกฤษเขา 'บังคับว่า คุณต้องใช้ weak form' มิฉนั้นแล้วคำพูดจะออกมา 'ผิดธรรมชาติของภาษา'......อ้าวไปกันคนละโลกเลย....!!!!??? จากคุณ : tansy - [ 8 ก.ค. 47 21:41:01 A:203.113.33.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 และในการเผยวิธีการแก้ไขปัญหาก็จะมีการบอกนักเรียนว่าจะเลือกสถานที่เรียนได้อย่างไร (เลือกเอาเองนะ ฉันไม่บอกว่าใครสอนดีสอนไม่ดี ไม่อยากหาเรื่องเจ็บตัว...แฮ่ๆๆๆ....) ......เพราะเห็นมีกระทู้ล่างๆบางคนบอกว่ารู้ศัพท์รู้ไวยากรณ์ดีแต่เรียนพูดมา 25 ปีก้อยังพูดไม่ได้เลย ....???? .........ถ้าอ่านต่อไปคุณจะกำหนดกลยุทธ์ในการเรียนรู้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเลือกที่เรียนภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง โดยการ "รู้ทันผู้สอน" นั่นเอง ......หรือบางทีอาจเรียนด้วยตัวเองได้ด้วยซ้ำไป .....ลองติดตามอ่านแล้วจะรู้ว่าวิธีการที่จะให้ไว้น่ะ เป็นของจริงหรือของเก๊.... ลืมตอบ คคห 18 ไปว่าที่ถามว่า 1. ที่เน้นพูดส่วนใหญ่เป็นเรื่องคำศัพท์ซะมาก แล้วเกี่ยวกับทางด้าน grammarล่ะคับ จำเป็นขนาดไหนในการใช้ภาษาให้ได้อย่างคล่องแคล่ว....... อ่านต่อไปแล้วเดี๋ยวจะรู้ด้วยว่าทักษะในการฟังนั้นช่วยเรื่อง grammar ได้อย่างไร......แล้วคุณจะแปลกใจ จากคุณ : tansy - [ 8 ก.ค. 47 21:42:54 A:203.113.33.13 X: ]

ความคิดเห็นที่ 32 มีประโยชน์จริง ๆ กระทู้นี้ ... อยากรู้เรื่องแกรมม่าด้วยเหมือนกันค่ะ ขอเรียนด้วยคนนะคะ จากคุณ : กุ้งใหญ่ - [ 8 ก.ค. 47 22:52:15 A:219.1.112.56 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 ...หรือไปซื้อข้อสอบภาษาอังกฤษเข้ามหาลัยมาดู เขาก้อใช้ศัพท์ไม่เกิน 2,000 คำที่ว่านี้ ........... คงต้องเถียงว่าไม่จริง ลำพังแต่เพียง defining vocabulary ไม่เพียงพอต่อการสอบ Entrance วิชาภาษาอังกฤษแน่ๆ โดยเฉพาะ part ของ Reading Comprehension ขอยกตัวอย่างง่ายๆจาก ข้อสอบปี 2546 ครั้งที่ 2 แล้วกัน คำศัพท์ต่อไปนี้มีอยู่ในข้อสอบซึ่งไม่ได้ list อยู่ใน 2000 defining vocabulary gaffe wimp relish assault bolster rigorous gravitate nuisance obsessed embrace retaliate inherent etc... คำศัพท์เหล่านี้อาจจะดูเหมือนไม่ยากสำหรับท่านผู้เขียนกระทู้ แต่สำหรับเด็กม.ปลายแล้ว อาจจะเป็นปัญหาได้ การรู้ศัพท์เพียงแค่ defining vocabulary นั้น ดูเหมือนจะไม่เพียงพอ จากคุณ : อยากออกความเห็น - [ 9 ก.ค. 47 10:01:07 A:66.25.125.64 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นของคุณ "อยากออกความเห็น"... ที่จริงคุณพูดก็ถูก ที่ว่าข้อสอบ Entrance ออกสอบศัพท์เกิน defining vocabulary....ขอบคุณที่ช่วยแก้ไขข้อมูล ...จริงๆแล้วหนังสือพิมพ์ Student Weekly ก็ใช้ศัพท์เกิน defining vocabulary ....ต้องขอโทษด้วยที่ให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนไปบ้าง ....แต่ไม่ต้องตกใจถึงมันเกินมาบ้างแต่ถ้านักเรียนไม่อ่อนมากเกิน การไปไล่เรียนศัพท์ที่มันเกินมาคงใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ ....เอาไว้ว่างๆจะบอกเคล็ดลับในการพิชิตข้อสอบ Entrance ให้ ตอนนี้แค่เขียนวิธีการตั้งเป้าหมายและการวางแผนการเรียนรู้ทักษะโดยทั่วไป .... จริงๆแล้วที่เขียนไปเรื่อง defining vocabulary ...คืออยากจะให้ learners กำหนดให้มันเป็นเป้าหมายต่ำสุดในการเรียนรู้ศัพท์ ก่อนที่จะเปิดโลกกว้างออกไปใช้ dictionary ที่แปลอังกฤษเป็นอังกฤษ ......เพื่อที่จะได้เรียนรู้การใช้ศัพท์ในการสร้างประโยคให้พลิกแพลง...(ซึ่งผู้สอบ Entrance จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจำรูปประโยคด้วย จะจำคำศัพท์เป็นตัวๆโดดๆไม่ประสบความสำเร็จแน่ๆ....ให้ดูตัวอย่างคำว่า account ที่สาธิตให้ดูข้างบน) เนื่องจากผู้ที่มีปัญหาในเรื่องไวยากรณ์ บางครั้งไม่ตระหนักว่าแท้จริงแล้วถึงเขาท่องกฏของไวยากรณ์ได้หลายพันกฎแต่เวลาเขียนประโยคภาษาอังกฤษเนื่องจากไม่รู้ว่าศัพท์แต่ละตัว มีรูปแบบการใช้งานที่เฉพาะตัวของมัน จึงทำให้ประโยคดูผิดธรรมชาติไป ...... แต่ในส่วนของการช่วยนักเรียนทำข้อสอบ Entrance นั้น ต้องให้สังเกตว่า บ่อยครั้งที่ข้อสอบออกมาในลักษณะที่ถ้าท่องศัพท์เป็นคำๆโดดๆจะตีความประโยคหลายๆประโยคในข้อสอบไม่ได้ แต่การที่ติวเตอร์จะไปบอกนักเรียนว่าไม่รู้ศัพท์ตัวไหนออกสอบบ้าง....นักเรียนก็จะท้อใจ.....ก็เลยถ้าบอกว่าให้จัดการเรียนรู้ defining vocabulary ก่อนเป็นลำดับแรก (เพื่อจำกัดเป้าหมายให้แคบลง) ถัดจากนั้นก็ใช้ Student Weekly สอน reading comprehension โดยอาศัยความรู้พื้นฐานจาก defining vocabulary ให้นักเรียนสามารถช่วยตัวเองได้โดยการเปิด dictionaries ประเภทที่ให้ตัวอย่างการใช้คำในการสร้างประโยค ดังเช่นที่ยกตัวอย่างความหมายของคำว่า account ที่เปลี่ยนไปเมื่อรูปประโยคเปลี่ยนไป .....Student Weekly (ที่จริงๆแล้วมีศัพท์เกิน defining vocabulary) น่าจะใช้เป็นตัวกำหนดคำศัพท์ "เกือบทั้งหมด" ที่ออกสอบข้อสอบ Entrance ได้ ....ที่ต้องเน้นว่า "เกือบทั้งหมด" ก็เพราะว่า สิ่งใดๆในโลกนี้ไม่ค่อยจะมีความแน่นอน ....โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องข้อสอบ ติวเตอร์จะไปกำหนดตายตัวว่า "ข้อสอบออกไม่เกิน Student Weekly" ก็ไม่ได้...เนื่องจาก ไม่รู้ว่าคนออกข้อสอบจะคิดอย่างไรในปีต่อไป ..... แต่ในยามฉุกเฉินแล้ว ถ้าอาจารย์หรือติวเตอร์รู้ว่านักเรียนของตัวเองอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถที่จะเรียนศัพท์ทั้งหมด (ต้องเรียนรูปแบบประโยคที่พลิกแพลงด้วย) ใน Student Weekly (ซึงระดับความยากง่ายใกล้เคียงข้อสอบ Entrance มากที่สุด) ได้ทันเพื่อไปสอบ ติวเตอร์ก็รีบบอกให้นักเรียนกำหนดเป้าหมายต่ำสุดโดยการเรียน defining vocabulary ให้ได้เสียก่อน แล้วใคร "มีเวลาว่างพอ" ที่ใช้คำว่า "มีเวลาว่างพอ" หมายถึงไม่ได้รับความกดดันมากนักจากการเรียนวิชาอื่นๆที่จะต้องสอบ เช่นคณิตศาสตร์, เคมี, ชีวะฯลฯ....นักเรียนก็ยังพยายามด้วยต้นเองได้ที่จะเรียนศัพท์เพิ่มขึ้นและเรียนตัวอย่างประโยคเพิ่มขึ้นจากดิก อังกฤษเป็นอังกฤษ ที่ให้ตัวอย่างประโยค.....แต่ถ้าไม่มีเวลาพอที่จะเรียนเพิ่มถ้าได้ defining vocabulary ไปหมด ก็น่าจะพอทำข้อสอบได้บ้าง บางส่วน ไม่ถึงกับส่งกระดาษเปล่า... คือในโลกของการทำข้อสอบ ใครรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เปรียบแต่ในการสอนก่อนลงสนามสอบจริงๆ บางทีถ้าสอนไม่ทันก็ต้องสอนเท่าที่จะช่วยได้มากที่สุด ....เอาไว้ถ้าเจ้าของ คคห33 สนใจเรื่องข้อสอบ Entrance พอเขียนเรื่องกลยุทธ์โดยทั่วไปเสร็จแล้ว เราอาจเอาข้อสอบเก่าๆมาชำแหละให้ดูก็ได้ว่ามีหลุมพรางอยู่ตรงไหนบ้าง .....ขอบคุณที่ช่วยมาแก้ไขข้อมูลให้ จากคุณ : tansy - [ 9 ก.ค. 47 11:48:34 A:203.113.33.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 35 "......นักเรียนก็ยังพยายามด้วยต้นเองได้......" แก้เป็น "......นักเรียนก็ยังพยายามด้วยตันเองได้......" เมื่อ 2-3 วันที่แล้วพล่าม (เขียน) ได้เยอะ เพราะไม่ค่อยมีงานแปล ....แต่วันนี้เพิ่งรับงานแปลมา 45 หน้า เป็นงานของสถานทูตแห่งหนึ่ง ....ก็เลยอาจทำให้ลดความเร็วในการเขียนกลยุทธ์ต่อไปบ้าง .....เพราะต้องลุยงานแปลไปพร้อมๆกันด้วย.... แต่คราวหน้าจะเข้ามาสรุปว่า จากความรู้พื้นฐานที่ว่า การออกเสียงภาษาอังกฤษแบบ strong form และ แบบ weak form นั้น มีความแตกต่างกัน ....เมื่อจับประเด็นสำคัญเหล่านี้ได้แล้ว เราจะ apply หลักการในวิชา Phonetics นี้ในการเรียนการสอนจริงๆได้อย่างไร ....และมันจะมีส่วนช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดทางด้านไวยากรณ์ได้อย่างไรบ้าง.... ขอบคุณท่านที่เข้ามาท้วงติงหรือแสดงความคิดเห็น... เผ่นไปทำงานก่อนแล้ว.... จากคุณ : tansy - [ 9 ก.ค. 47 11:58:47 A:203.113.33.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 36 แก้แล้วก็ยังผิดอีกต้องตีมือตัวเอง "เพี๊ยะ".. "......นักเรียนก็ยังพยายามด้วยต้นเองได้......" แก้เป็น "......นักเรียนก็ยังพยายามด้วยตัวเองได้......" จากคุณ : tansy - [ 9 ก.ค. 47 12:05:01 A:203.113.33.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 37 โห ไม่ได้เข้ามาดูวันเดียว ทำไมไล่อ่านไม่ทันเลย แล้วเมื่อไหร่จะพูดถึงเรื่องการแปลหนังสือละครับ เอาแบบสั้นๆมือสมัครเล่นนะ จากคุณ : new grad - [ 9 ก.ค. 47 14:03:20 A:202.133.166.38 X: ]

ความคิดเห็นที่ 38 ใจเย็นๆคุณ new grad ......ขอบคุณที่ยังติดตามอ่าน ....เดี๋ยวจะเอาทุกเรื่องที่เขียนไว้บนนี้ขึ้นไปไว้บนเว็บตัวเอง......ตอนนี้แค่เขียนชิมลางดูก่อนว่ามีคนสนใจมากแค่ไหน ......??? ส่วนเรื่องการแปลนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้าง serious คือสมัยก่อนคนเพิ่งจบ หรือกำลังหางานใหม่ คิดจะใช้เวลาว่างทำงานแปลไปพลางๆมันพอได้ ....แต่เดี๋ยวนี้ยุคข้อมูลมากมายระเบิด....ปีหนึ่งปีหนึ่ง มีศัพท์ใหม่ๆเกิดขึ้นสงสัยเป็นพันๆตัว สงสัยต่อไปนักแปลถ้าไม่มีอินเตอร์เน็ตและไม่มีดิกที่เป็น software รุ่นใหม่ๆ คงหาข้อมูลเพื่อการแปลแทบไม่ทันที่จะเอาชีวิตรอดได้....เนื่องจากจะจำข้อมูลเหล่านั้นให้ได้หมดในสมองคงทำได้ยากมากๆ... อยากเขียนอะไรเล่าประสบการณ์ และชีวิตนักแปลให้ฟังว่า เริ่มต้นอย่างไร และประสบปัญหาอย่างไร.....แต่...อย่างที่ว่าแหละ บางทีก้อต้องเผ่นไปแปลงานหาเงินก่อน เลยจะนั่งเขียนทั้งวัน คงยังทำไม่ได้ (แต่สัญญาว่า ถ้ารวยมากจนอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานแปล จะนั่งเขียนให้อ่านทั้งวันเลย ...555....) ..... เอาเป็นว่าตอนนี้ถ้าคุณสนใจเรื่องแปลลองไปที่เว็บพี่ก่อน แล้วไปดูตัวอย่างการแปล ที่ให้ไว้ บางทีคุณอาจได้แนวคิดอะไรบ้างว่า งานแปลบางอย่างต้องเจออะไรบ้าง .....ไปที่เว็บของฟรีที่ทำง่ายๆของพี่ตาม link ข้างล่างนี้ไป (เอาไว้รวยๆแล้วค่อยทำเว็บเสียเงินสีสรรอลังการ)...ลองไปอ่านดูที่ www.thai.net/plaa มีตัวอย่างการแปลให้ดู ถึงไม่มากนักแต่ก็คงพอเรียกน้ำย่อยได้... จากคุณ : tansy - [ 9 ก.ค. 47 14:45:20 A:203.113.33.8 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 ยังไม่มาต่อซะทีอ่ะคับ รอนานแล้วนะ จากคุณ : อัศวินสีเงิน - [ 11 ก.ค. 47 16:44:59 ]

ความคิดเห็นที่ 40 นั่นสิ จริงด้วย รออยู่เหมือนกัน จากคุณ : Tin Tin (unbearable) - [ 11 ก.ค. 47 23:31:00 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ตกลงคุณ tansy เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ครับเนี่ย ขอบคุณครับสำหรับประสบการณ์ที่มาแลกเปลี่ยนให้พวกเรา เป็นประสบการณ์ที่มีค่าจริงๆ เพราะจะช่วยร่นระยะเวลาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของพวกเราหลายๆ คนได้ ป.ล. น่าจะมีรวมเล่มนะครับ ประสบการณ์นักแปล อะไรแบบนี้ จากคุณ : nungning - [ 12 ก.ค. 47 13:13:11 ]

ความคิดเห็นที่ 42 สงสัยงานแปลจะยุ่งจริงๆนะครับเนี่ย จากคุณ : อัศวินสีเงิน - [ 13 ก.ค. 47 20:23:42 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ไม่ได้แวะเข้ามาเขียนซะหลายวัน เนื่องจากประสบปัญหาทางด้านเทคนิค (ด้านคอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ต)หลายอย่าง แก้ไปแก้มาตอนนี้ลบเว็บของตัวเองที่ www.thai.net/plaa ทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว ตกลงเป็นอันว่าเว็บนี้ไม่มีตัวตนแล้ว ........แล้วเข้าไปหัดทำ blog เล่นๆ...จนเปิด blog มาได้อันหนึ่ง....ใช้ง่ายดี จะเอาไว้เขียนอะไรเล่นๆ..... หลังจากนั้นเลยทำเว็บใหม่ หน้าตาเหมือนเดิม และมี link ไปที่ blog ที่เพิ่งเปิดใหม่ ... และเรื่อง "กลยุทธ์ในการเรียนภาษาอังกฤษ" นั้น เขียนเพิ่มต่อเรื่องทักษะการฟังเพิ่มขึ้นได้อีกหน่อยหนึ่ง...โดยบอกวิธีการลงมือปฏิบัติจริงในเรื่องการเรียนการสอนการฟัง...ถึงขั้นการลงมือใช้เทป, VCD และ DVD ในการเรียนการสอน... ข้อความที่เขียนต่อ อยู่บนเว็บใหม่ ที่เพิ่งทำเสร็จ ลองไปอ่านดูที่ www.thai.net/tansy แต่ถ้าอยากไปที่หน้านั้นโดยตรง ก็ให้ตาม link นี้ไป http://www.thai.net/tansy/esl/esl2.html แล้วอีก 2-3 วันจะค่อยๆมาแปะคำศัพท์ พร้อมกับตัวอย่างการนำไปสร้างประโยคให้ .....เพื่อช่วยผู้เรียนที่ยังเรียนคำศัพท์กับตัวอย่างประโยคจากดิกอังกฤษเป็นอังกฤษยังไม่คล่อง..... และจะค่อยๆเขียนเรื่องไวยากรณ์ และทักษะการเขียน....ต่อไป จากคุณ : tansy - [ 17 ก.ค. 47 03:55:10 A:203.151.225.34 X: ]

ความคิดเห็นที่ 44 คุณ tansy คะ อยากรู้เทคนิคการทำข้อสอบแบบจับผิดนะค่ะ ที่มีประโยคมา 1 ประโยค ขีดเส้นใต้มา 4 คำ แล้วถามว่าอันไหนผิดน่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : กำลังจะสอบ TOEFL - [ 17 ก.ค. 47 16:02:33 A:161.200.255.161 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอแทรกความคิดเห็นหน่อยครับ ตัวอย่างเกี่ยวกับการออกเสียงภาษาญี่ปุ่นที่คุณtansy ยกมานั้น ไม่ถูกต้องนักนะครับ หลักการอาจถูก แต่ตัวอย่างไม่ถูกครับ ผมสอนทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาไทย รวมทั้งภาษาญี่ปุ่น มาเป็นระยะเวลานานพอสมควรครับ รวมทั้งเคยอยู่ในวงประสานเสียง ซึ่งมีการฝึกหู(ให้ค่อนข้างอ่อนไหวกับเสียงและระดับเสียง) และดำรงชีวิตอยู่ในหลายประเทศเป็นเวลาไม่น้อย ขออนุญาตชี้แจงในส่วนที่เกี่ยวกับภาษาญี่ปุ่นนนะครับ การออกเสียงวลี ว่า "โค" กับ "ไฮ ยา ชิ" ออกเสียงเร็วอย่างไร ก็ฟังเป็น "โค บา ยา ชิ" ไปไม่ได้ครับ นอกจากฟังผิดครับ หรือไม่ก็เป็นสำเนียงญี่ปุ่นที่ไม่ภาษากลาง เพราะ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีภาษาถิ่นมาก แต่ละถิ่นมีสำเนียงที่ไม่เหมือนกัน แต่ผมอยู่ญี่ปุ่นมาก็หลายปี ไม่เคยได้ยินการกร่อนเสียง หรือ การเชื่อมเสียงดังกล่าวทำให้เสียงของคำเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้นครับ ดังนั้นตัวอย่างนี้อาจจะค่อยดีนักนะครับ ขอแสดงความคิดเห็นเท่านี้นะครับ ส่วนเรื่องความรู้ด้านอื่น ยกให้เป็นหน้าที่ของคุณ tansy ต่อไปครับ มีประโยชน์ต่อสาธารณชนมาก ๆ ครับ จากคุณ : หนุ่มเหน้า - [ 17 ก.ค. 47 22:47:56 A:219.17.232.180 X: ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณคุณหนุ่มเหน้าที่ชี้ข้อบกพร่องให้... จริงๆแล้วตัวเองก็ได้ออกตัวไปแล้วว่าไม่สันทัดกรณีในภาษาญี่ปุ่น แต่สิ่งที่เขียนได้มาจากการนั่งสนทนากับผู้หญิงญี่ปุ่นหนึ่งคนกับผู้ชายญี่ปุ่นหนึ่งคนในเวลาเดียวกั้น... พวกเขาพยายามบอกว่า เวลาพูดเร็วๆเสียงในภาษาญี่ปุ่นก็เปลี่ยนได้ คือความตั้งที่เขียนเรื่อง "โค" กับ "ไฮยาชิ" น่ะ เพื่อที่จะบอกว่า หลายภาษามี weak form แต่คนไทย "บังคับ" คนไทยด้วยกันไม่ให้ใช้ weak form เท่านั้นเอง.....ถ้าถอดเสียงผิดต้องขออภัยด้วย ....และขอบคุณอีกครั้งที่ท้วงติง.... คือญี่ปุ่น 2 คนที่ว่านั้น พูดให้ฟัง คำที่ว่าให้เราฟัง โดยใช้ weak form และมันเปลี่ยนได้จริง แต่การที่ตัวเองจะ transliterate from Japanese into Thai (ถอดเป็นเทียบเสียงอักขระญี่ปุ่นเป็นไทย) ให้ถูกต้องนั้น มันคงเป็นไปไม่ได้ .... แม้กระทั่งtransliteration from English into Thai (เทียบเสียงอักขระอังกฤษเป็นไทย) ซึ่งเป็นภาษาที่ต้วเองรู้ แต่เราก็ยังยอมรับว่า ทำไม่ได้แม่นยำนัก ... คือรู้ว่าภาษาอังกฤษควร stress (เน้นหนักเบา) ตรงไหน และ link (เชื่อม) เสียงพยางค์เป็น weak form อย่างไร....แต่ก็แค่พูดได้เท่านั้น ถ้าจะให้เขียนแม่นๆ ยอมรับว่าก็เขียนไม่ได้เช่นกัน ตกลงตัวอย่างที่ให้ไว้ เป็นเพียงแค่ให้แนวคิดเคร่าๆว่าทำไมคนไทยจึงมีปัญหาในการฟังภาษาอังกฤษเท่านั้น ....เอง ......แต่จะทำเขียนคำออกเสียงได้ 100% โดยไม่มีที่ตินั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำด้วย 1 ใน 2 วิธีคือ 1 ใช้ IPA (international phonetic alphabet) ...ซึ่งบนเว็บนี้มันพิมพ์ไม่ได้ ....และถึงพิมพ์ได้ ผู้อ่านที่ยังไม่มีพื้นฐานเรื่องนี้ ก็จะอ่านไม่รู้เรื่องอยู่ดี ดังนั้น ในช่วงที่พูดถึงอะไรที่พื้นฐานมากๆเช่นนี้ การเขียนให้ดูบน white board แล้วลากเส้นโยงเสียงพยางค์ให้ผู้เรียนดูเอา ...และออกเสียงให้ผู้เรียนฟัง ทั้งที่เป็น strong form และ weak form จะเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดสำหรับผู้เรียนและผู้สอนเองด้วย ....แต่ก็ยอมรับว่าทำให้ไม่ได้ในส่วนนั้นเนื่องจากต้องใช้สื่ออื่นที่ยากไปกว่าการพิมพ์ตัวหนังสือธรรมดา....บนเว็บนี้ ตอบคุณ กำลังจะสอบ TOEFL การจับผิด มันไม่ได้แนะแนวกันได้แค่ไม่กี่วัน ....รอประมาณวันจันทร์ จะแปะตอนต่อไป....โดยการเริ่มตั้งแต่อะไรที่พื้นฐานมากๆ เมื่อคุณลองติดตามอ่านดู....จนรู้หลักการขั้นพื้นฐานบางประการแล้ว ต่อไปคุณคงจะหาข้อผิดพลาดของตัวเองได้ .....แต่ต้องเกริ่นไว้นะ ว่ามันใช้เวลาค่อนข้างนาน กว่าคุณจะรู้วิธีหมด คุณอาจเตรียมตัวสอบไม่ทันงวดนี้ก็ได้ ...!!.... นั่นก็คือ วิธีการที่แนะนำให้ในที่นี้น่ะ ....พยายามคิดวิธีที่เสียเวลาและเสียเงินน้อยที่สุด โดยไม่ได้มุ่งหวังว่าจะสอนใครในเรื่องที่ยากโหดๆสุดๆ ...เพราะยอมรับว่าตัวเองก็คงไม่เก่งถึงขนาดสอนได้ทุกระดับ.....ไม่เหมือนกับที่เวลาคุณเห็นโฆษณาที่ผู้สอนพูดว่า "รับสอนภาษาอังกฤษทุกระดับ" ......เราไม่ได้ทะเยอทะยานอะไรปานนั้น ....สิ่งที่พยายามแนะนำ ก็เพียงแค่ทำอย่างไรจึงจะ unlearn (ลืมสิ่งที่เรียน(ผิดๆมาแล้ว)) และหันไป relearn (เรียนใหม่ (ให้ถูกต้อง)) ....ยกตัวอย่างเช่นการท่องศัพท์ว่ามันแปลว่าอะไรอย่างเดียวโดยไม่เรียนรูปแบบการใช้งานของศัพท์พื้นฐานแต่และตัวนั้น ถึงคุณรู้ศัพท์ทั้งดิกชันนารี (จำดิกอังกฤษเป็นไทยได้ทั้งเล่ม) หรือท่องไวยากรณ์ครบทุกข้อ คุณก็ยังไม่สามารถที่จะพูดหรือเขียนในระดับ elementary หรือ intermediate ได้อย่างถูกต้อง ......... เลยตกลงเป็นอันว่า สิ่งที่เราพูดถึงในขณะนี้นั้น ตั้งใจเพียงแค่รื้อฟื้นการเรียนในระดับ elementary - intermediate เท่านั้น ทั้งนี้ เพื้อให้ผู้สนใจติดตามอ่านพอมีทักษะในการที่จะเรียนได้ด้วยตนเองในระดับที่สูงกว่านั้นได้ภายในเวลาอ้นสมควร .....นี่คือความตั้งใจที่แท้จริง... จากคุณ : tansy - [ 18 ก.ค. 47 00:44:23 A:203.151.225.170 X: ]

ความคิดเห็นที่ 47 แก้คำผิด "......พวกเขาพยายามบอกว่า เวลาพูดเร็วๆเสียงในภาษาญี่ปุ่นก็เปลี่ยนได้ คือความตั้งที่เขียนเรื่อง "โค" กับ "ไฮยาชิ"...." แก้เป็น "......พวกเขาพยายามบอกว่า เวลาพูดเร็วๆเสียงในภาษาญี่ปุ่นก็เปลี่ยนได้ ....และนี่คือความตั้งใจที่เขียนเรื่อง "โค" กับ "ไฮยาชิ"...." จากคุณ : tansy - [ 18 ก.ค. 47 00:50:47 A:203.151.225.170 X: ]

ความคิดเห็นที่ 48 1 ใน 2 วิธีคือ ลืมบอกไปว่า วิธีที่ 2 ก็คือเขียนคำให้ดูบน white boardแล้วออกเสียงให้ฟังแล้วลากเส้นที่แสดงการ link พยางค์ ให้ดูนั่นเอง จากคุณ : tansy - [ 18 ก.ค. 47 01:14:02 A:203.151.225.14 X: ]

ความคิดเห็นที่ 49 นี่คือส่วนที่เหลือของบทความตอนที่ 1 เรื่อง กลยุทธ์ในการเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งคัดเอาไปไว้บนเว็บตัวเองที่ www.thai.net/tansy แล้ว แต่เอามาแปะไว้ข้างล่างต่อ เผื่อผู้อ่านบางท่านอยากที่จะอ่านในนี้มากกว่า เพราะข้อมูลที่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้เรียนก็คือ "วิธีการหา scripts ภาพยนตร์ เพื่อนำมาใช้เรียนภาษาอังกฤษกับหนัง soundtrack ที่ซื้อได้ง่ายๆในรูปแบบของ VCD และ DVD" ตกลงเป็นอันว่าเราจะมาดูกันว่าจริงๆแล้วการแก้ไขปัญหาผู้เรียนฟังไม่รู้เรื่องควรทำอย่างไร .........ในตอนที่แล้วเราพูดถึงการออกเสียงภาษาอังกฤษแบบ strong form และ แบบ weak form...นั่นก็เพราะว่ามันคือปัญหาหลัก แต่โดยความเป็นจริงแล้วก็ยังมีปัญหาอื่นๆปลีกย่อยเช่น stress (การเน้นเสียงหนักเบาในแต่ละพยางค์) เช่นเอาอย่างคำง่ายเช่น competition นะ stress ที่ถูกก็น่าจะเป็น "คอมเพอะทิเชิ่น" แต่ถ้าคนไม่รู้อ่านเสียงราบไปเลย อาจกลายเป็น "คอมเพ็ททิชั่น" หรือชื่อผู้หญิง Patricia "เพอะทริเช่อ" ถ้าใส่ stress ผิดจะกลายเป็น "แพ๊ททริเซีย" ไปเลย .... .แต่จริงๆแล้วประเด็นปลีกย่อยเรื่อง stress มีปัญหาน้อยกว่า linking ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในการสอน Listening Comprehension นั้น ผู้สอนควรหาเทปหรือสื่ออย่างอื่นที่มีสำเนียงที่หลากหลายมาให้ผู้เรียนฟัง แต่เคล็ดลับสุดยอดในการสอนก็คือว่า "ต้องไม่ให้นักเรียนฟังอย่างเดียวโดยไม่มองดูตัวหนังสือของคำที่เทปพูด" ผู้สอนควรหยุดเทปเป็นช่วงๆ และเว้นระยะให้ผู้เรียนพูดตาม (เท่าที่ผู้เรียนฟังทัน) ทำแบบนี้หลายๆรอบ วิธีการเช่นนี้ เราเรียกว่า 'drill' ไม่ได้แปลว่า 'เจาะ' นะแต่แปลว่า 'ฝึก' พอเปิดเทปแล้วหยุดให้นักเรียนพูดตามหลายๆครั้งโดยไม่เห็นตัวหนังสือที่เขียนในบทเรียนนะ ถ้านักเรียนฟังไม่ทันหรือพูดตามไม่ทันเอามากๆผู้สอนก็ควรเขียนบน white board ประโยคที่นักเรียนฟังไม่ทัน และลากเส้นโค้งเพื่อเชื่อมโยงพยางค์ท้ายของคำแต่ละคำที่ link (เชื่อม) กับพยางค์แรกของคำที่ตามมา โดยแสดงให้ดู links หลายๆชุดในแต่ละประโยค และถ้าทำได้ก็ต้องบอกว่า stress ของคำไหนอยู่ตรงไหนด้วย ...ในช่วงนี้ไม่ต้องไปสนใจว่านักเรียนจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจความหมายของคำหรือประโยคใดๆ....แต่เป้าหมายที่สำคัญคือให้นักเรียนฟังทันและพูดตามได้ ถัดจากนั้นผู้สอนก็พูดช้าๆแบบ strong form ให้นักเรียนพูดตาม ในการ drill นี้ ผู้สอนจะต้องค่อยๆเพิ่มความเร็วในการพูดและให้นักเรียนเพิ่มความเร็วในการพูดด้วยเช่นกัน จนในที่สุดผลของการ drill ออกมาเป็นอันว่านักเรียนทุกคนพูดทุกประโยคได้รวดเร็วแบบ weak form เร็วเหมือนกับฝรั่งพูดกับฝรั่งเองใน pub หรือใน presentation ทั้งหลาย... และเมื่อไปถึงจุดนี้แล้ว แน่นอน...ต้องเอา passage ที่เป็นตัวหนังสือให้นักเรียนอ่าน แล้วผู้สอนก็ต้องเริ่มสอนศัพท์และวิธีการนำคำศัพท์ต่างๆเหล่านั้นไปใช้ในการสร้างประโยคตามวิธีการที่ให้ไว้ใน Article 1 นั่นเอง .......เลยตกลงเป็นอันว่าวิธีการต่างๆเมื่อใช้ผสมผสานกัน มันก็จะกลายเป็นระบบที่ดีทั้งระบบได้ ........และคุณจะเชื่อหรือไม่ว่า ในขณะที่ drill นั้น จากการที่นักเรียนเงี่ยหูฟังประโยคภาษาอังกฤษและพยายามพูดตามให้ได้นั้น นักเรียนเหล่านั้นได้เรียน grammar ไปแล้วเป็นจำนวนมาก "ด้วยวิธีการธรรมชาติ" ........ เมื่อเขียนถึงจุดนี้อยากให้ผู้อ่านหลายๆท่านหยุดคิดและตระหนักว่า แท้จริงแล้ว grammar ในภาษาอังกฤษ บางทีเหมือนกับเป็น sense (สัมผัส) ที่ 6, 7, 8, etc. ..........มันไม่ใช่เรียนได้โดยการท่องเป็นกฎ แต่บ่อยครั้งกฎหลายๆกฎผู้เรียนรู้เองโดยการที่เคยได้ยินมาต่างหากล่ะ ......แต่ที่พูดมานี้ไม่ใช่ผู้เขียนไม่สนับสนุนให้เรียน grammmar ....เพียงแต่อยากจะบอกว่าส่วนใหญ่ของ grammar ได้จาก "การฟังรู้เรื่อง" เป็นลำดับแรก.....แน่นอนที่ผู้เรียนชาวไทยต้องอ่านหนังสือ grammar บ้างเพื่อรู้กฎเกณฑ์พื้นฐานบางประการ แต่ผู้ที่ฟังแล้วพูดตามได้มาก มักจะได้เปรียบคือลดความจำเป็นในการที่จะต้องอ่านหนังสือ grammar นั่นเอง ........แต่เมื่อเรียนไปในระดับสูงๆ หนังสือ grammar มีไว้ใช้อ้างอิงหรือค้นคว้าบางจุดที่ไม่แน่ใจ (สำหรับคนธรรมดาทั่วๆไป) .......เว้นเสียแต่ว่าใครอยากจะเรียนเพื่อเป็นนักภาษาศาสตร์ก็ค่อยมาเรียน grammar แบบโหดๆ......ซึ่งเราจะพูดถึงเรื่องนี้ในตอนต่อไป... ไอ้วิธีการสอน Listening Comprehension ที่ว่ามาเนี้ย คนไทยบางคนเรียนภาษาอังกฤษมา 20 กว่าปีแล้วยังไม่เคยเจอใครสอนเลย ก้อสงสัยว่ามาจากไหนกัน....คำตอบก็คือว่าผู้เขียนค้นคว้าทดลองมาเองจากคัมภีร์เอ้ยตำราหลายเล่ม ...แต่ถ้าอยู่ดีๆมีคนเอาวิธีนี้ไปสอนแล้วแล้วเขาอ้างว่าเขาใช้วิธีนี้มาก่อนแล้ว นั่นมันก็เรื่องของเขา แต่ถ้าคุณยังไปเดินเสาะหาทั่วประเทศไทยแล้วยังไม่เจอใครสอนวิธีนี้ ฉันก็ไม่อยากบอกว่าถ้างั้นฉันจะสอนคุณเอง เพราะว่าเดี๋ยวจะเป็นการโฆษณาขาย course ภาษาอังกฤษไป ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทีนี้ก่อนที่จะจบบทความนี้ เพื่อประโยชน์ของท่านที่ยังมีปัญหากับการฟังภาษาอังกฤษนะ จะแนะนำวิธีการศึกษาด้วยตนเองให้ แต่ถ้าไม่มีใครสอนคุณด้วยวิธีการที่ว่านี้หรือวิธีการที่ดีกว่าวิธีการที่ว่านี้นะ คุณก็ลองเรียนด้วยตัวเองดูสิ .....ลองวิธีนี้นะ ไปซื้อหนังที่เป็น soundtrack มา ถ้าเป็น DVD จะชัดกว่า VCD แต่ถ้าได้แค่ VCD ก็ยังพอไหวน่ะ ......เอาแผ่นมาเล่นกับ computer โดยเปิดแผ่นด้วย software ตัวเก่งๆ หรือเล่นกับ VCD player หรือ DVD player ในกรณีที่เราต้องการตัดต่อ file ภาพยนต์ให้สั้นลง computer จะเก่งกว่า ....แต่ขอแนะนำว่าควรใช้ระบบเสียงที่ดี แต่ถ้าไม่อยากลงทุนมากก็ให้ใช้ headphones ไปซะเลย.....ก่อนที่จะออกไปซื้อหนังมา เนื่องจากคุณไม่มีครูมาช่วยแกะข้อความที่คนพูด คุณก็ต้องหา scripts หนังมาก่อน ลองทำเงี้ยนะ ไปที่ search engine เช่น www.google.com แล้วทำการค้นหา โดยใช้ key words ดังเช่น movie script หรือ movie + script + ชื่อภาพยนต์ หรือ movie + script + ชื่อดารา หรืออย่างอื่น .......ลองหลายๆวิธี....ถ้าคุณโชคดี คุณอาจได้ scripts ของภาพยนตร์มาหลายเรื่องทีเดียวแหละ ยิ่งถ้าหนังดังๆนะ โอกาศที่คุณจะหาเจอจะมีมากยิ่งขึ้น ....ถ้าใครหาเจอเยอะๆแล้วเอามาแปะไว้ที่กระดานข่าวของฉันนะคนอื่นจะได้มีเครื่องมือในการเรียนรู้....มาช่วยๆกันลงแรงกันหลายๆคนนะ ...... อ้าทีนี้นะ เมื่อคุณได้ scripts หนังมาแล้ว คุณถึงจะไปซื้อหนังเฉพาะเรื่องที่หา scripts ได้มา drill .......เป็นไงเป็นไง เข้าท่าไหม.......????....วิธีการก็คล้ายๆกับวิธีการสอนแบบที่มีครูน่ะแหละ แต่คราวนี้คุณไม่มีครู คุณก็ต้องเปิดหนังเองหยุดเองเป็นจังหวะจังหวะ กรอกลับเอง กรอเดินหน้าเองเป็นจังหวะจังหวะ แล้วหัดใช้หูอันแหมคม (หวังว่างั้นนะ) ของคุณฟัง links ให้ดีๆ....ว่ามีตรงจุดไหน ....คุณต้องตระหนักว่า สิ่งที่คุณฟังนี้เป็น weak form ทั้งหมด เว้นเสียแต่ว่าตัวละครจะเน้นบางแห่งช้าๆ .......และในการเปรียบเทียบว่า weak form ต่างกับ stong form อย่างไรคุณก็ต้องใช้ talking dictionary หรือใช้ dictionary ที่เป็น software อยู่บนคอมพิวเตอร์เพื่อฟังการออกเสียงคำศัพท์เป็น strong form เป็นตัวๆโดดๆ ลองวิเคราะห์สถานการณ์ดูนะ .... ถ้าคุณใช้ computer พร้อม dictionary software พร้อมกัน คุณแย่แน่เพราะกินทรัพยากรมากเกิน เว้นเสียแต่ว่าคุณจะมีคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องนะ ....แต่ถ้าคุณมีเครื่องเดียวก็ควรดูหนังจาก VCD player หรือ DVD player แต่ถ้าคุณมีคอมพิวเตอร์แค่เครื่องเดียวนะ บางที talking dictionary ช่วยคุณได้ในงานนี้นะ ........นี่แค่แนะนำเคร่าๆ ......ลองไปนั่งบริกรรมดุ....คุณอาจหาทางออกอย่างอื่นได้ดีกว่านี้นะ ...... หลักการง่ายๆในการเรียนก็คือว่า คุณต้องจำลองสถานการณ์การเรียนการสอนที่มีครูเหมือนที่แนะนำไปแล้วข้างบน ....นั่นก็คือเมื่อคุณหา scripts หนังได้จาก search engine แล้ว คุณต้องไม่พยายามอ่านมัน แต่แค่ save ลงเป็น file ในคอมพิวเตอร์ของคุณ แล้ว print ออกมาโดยไม่อ่านมัน ....และเมื่อเล่นแผ่น VCD หรือ DVD คุณต้องพยายามฟังให้ได้โดยการกรอกลับไปกลับมาหลายๆครั้ง และพูดตามหลายๆครั้ง "โดยไม่ดู script"....แต่ถ้าจนปัญญาจริงก็ให้แอบเหลือบๆดูเฉพาะตรงส่วนที่ฟังไม่รู้เรื่องจริงๆ... ในแต่ละครั้งที่คุณต้อง cheat (โกง) ซึ่งบ่อยครั้งมันจำเป็น คุณก็ต้องถือว่าในการ cheat แต่ละครั้ง ผลที่ได้มันเป็น "ต้นทุน" คือคุณเรียนรู้ links ที่สำคัญๆซึ่งคุณลากเส้นโค้งไว้ในหน้ากระดาษที่ print เพื่อ link พยางค์หลังของคำหนึ่งกับพยางค์หน้าของคำที่ตามมา .....โดยทำเช่นนี้กับคำหลายๆคู่ในแต่ละประโยค ......ในการทำเช่นนี้หลายๆรอบคุณอาจเรียนความน่าจะเป็นไปได้ทั้งหมดในการ link พยางค์ต่างๆทั้งหมดในภาษาอังกฤษ ............แต่ถ้าคุณทำอย่างนี้นะ แล้วก็ยัง "มืดแปดด้าน" คือ "ถ้าไม่ cheat โดยการอ่าน script ทุกจุดนะ คุณก็ฟังอะไรไม่ทัน และก็พูดอะไรไม่ทันทั้งหมดเลย...!!" .....ฉันก็ยังมี solution หรือวิธีการแก้ปัญหาหรือทางออกเด็ดๆ ......ไม้ตายท่าเพลงสุดท้าย ให้คุณ.......แต่ตอนนี้ขอหยุดก่อน ......ไม่ใช่จะทำให้คนอ่านกระวนกระวายใจอยากรู้นะ แต่ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ .... 1 พล่ามมากแล้วขอพักก่อน .....แฮ่ก...ๆๆๆ 2 ตอนนี้จะรีบไปทำงานภาคปฏิบัติก่อน คือไปเขียนตัวอย่างการนำคำศัพท์ไปสร้างประโยค เพื่อให้ผู้เรียนได้ unlearn และ relearn ศัพท์พื้นฐานหลายๆตัว 3 เตรียมตัวเขียนคำนำเรื่อง Written Skills (ทักษะในการเขียน) ก่อน แล้วจึงจะกลับมาพูดเรื่องนี้ในรายละเอียดอีกทีหลัง.... ไปอ่านต่อตอน 2 ที่ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K2921978/K2921978.html#8 จากคุณ : tansy - [ 20 ก.ค. 47 10:39:42 A:203.151.225.99 X: ]

ความคิดเห็นที่ 50 มาติดตามครับผม จากคุณ : อัศวินสีเงิน - [ 22 ก.ค. 47 14:14:09 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ลองอ่านในแนวๆที่คุณtansyให้วิธีการไปแล้วก็รู้สึกว่าใช้ได้ดีเหมือนกันครับเกี่ยวกับเรื่องการจำสำนวนและรูปแบบคำและประโยคไปใช้ ก็พบว่ามันมีความคล้ายคลึงกันจริงๆด้วย สำหรับตัวผมเองแล้ว(ไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษ) พึ่งมารู้สึกว่าการอ่านโดยใช้ตัวเชื่อมและเครื่องหมายวรรคตอนที่มีอยู่ในประโยคช่วยในการอ่านด้วยจะทำให้อ่านได้เข้าใจมากขึ้นเยอะเลยครับ จึงแนะนำสำหรับคนที่ไม่คอ่ยเก่งเหมือนกัน จากคุณ : อัศวินสีเงิน - [ 24 ก.ค. 47 14:14:46 ]