ความคิดเห็นที่ 1 คนแปลก็มีหน้าที่แปลไปให้ตรงต้นฉบับที่สุดเท่าที่ทำได้ แปลแล้วก็ส่งคนตรวจ คนตรวจก็ต้องตรวจความถูกต้องทางการสะกด ทางไวยากรณ์ ความคงเส้นคงวาของการใช้ศัพท์แสงเพราะบางทีเรื่องยาวคนแปลแปลอยู่นานจนชักลืมๆ ตอนขึ้นต้นใช้คำพูดอย่างตอนปลายๆใช้คำพูดอีกอย่างพูดถึงเรื่องเดียวกัน แล้วก็ต้องตรวจสอบให้ตรงกับกฎหรือมาตรฐานของสำนักพิมพ์อีก คนตรวจคงไม่จำเป็นต้องแปลมาก่อน แต่ถ้าแปลเป็นด้วยก็ดีและยิ่งในกรณีที่ตรวจงานและรวมงานที่คนแปลหลายคนช่วยกันพร้อมๆกันแบบฉีกเล่มแบ่งกันแปล อย่างนี้คนตรวจต้องเก่งสุดๆครับ นึกงานที่ต้องทำแล้วยังเหนื่อยแทน จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 26 ก.ค. 47 00:57:53 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณมากเลยค่ะคุณแอ๊ด ถามต่ออีกหน่อยนะคะ แล้วเวลาคนตรวจเค้าตรวจเนี่ยเค้าต้องดูภาษาอังกฤษไปด้วยหรือเปล่าคะ หรือว่าตรวจอย่างเดียว ปกติคนตรวจกับคนแปลเนี่ยใครได้เงินเยอะกว่ากันเหรอคะ จากคุณ : shay - [ 26 ก.ค. 47 01:06:52 A:10.107.228.65 X:10.107.101.254, 202.47.247.146 ]

ความคิดเห็นที่ 3 งานแปลบางชิ้น พอตรวจแก้ไป จะพบว่า แปลใหม่จะง่ายกว่า.....!!! ตอนก่อนเราเคยนั่งทำงานในบริษัทแปลที่มีนักแปลหลายสิบคน พอนักแปลแปลไป แล้วเขาตรวจแก้กลับไปส่งพนักงานพิมพ์ดีดให้พิมพ์ใหม่ นักแปลทั้งบริษัททั้งเกลียดและขยะแขยงที่จะอ่านงานของพวกเขา ฉบับที่ถูก(คนอื่น)แก้ไขแล้ว .....มีเราคนเดียวที่ชอบอ่านผลงานตัวเองที่โดนแก้ไข เท่านั้นไม่พอยังไปเดินจีบพนักงานพิมพ์ดีดเพื่อขอฉบับที่แปลของคนอื่นที่โดน(คนอื่น)แก้ไข เพื่อเอากลับไปศึกษาที่บ้าน........ พออ่านๆไปมากๆเข้าเลยได้ concepts เรื่องการชำแหละประโยคขึ้นมา......... แต่สำนักพิมพ์จะตรวจสอบงานแปลอย่างไร เราไม่รู้.....ถ้าตรวจเรื่องตัวสะกดอย่างเดียวก็คงไม่ต้องเชี่ยวชาญทั้ง 2 ภาษาแต่ถ้าแก้ไขคำแปลด้วยก็ควรเชี่ยวชาญทั้ง 2 ภาษา.... จริงๆแล้วก็อยากดูว่าเขาจะแก้อย่างไรเหมือนกัน แต่ติดต่อสำนักพิมพ์ไปหลายรอบแล้วและไม่เคยมีใครเปิดโอกาสให้เราแปลทั้งๆที่เราเคยแปลให้บริษัทแปลมานานเป็นสิบปี....... เมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้ เพื่อนเราแปลให้สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง แปลคำว่า you เป็น หนู เพราะคิดว่าเป็นคำพูดที่จิตแพทย์พูดกับคนไข้เด็ก และแปล passive sentences ในภาษาอังกฤษให้เป็น active sentences ในภาษาไทย (ตามแบบที่เรียนการแปลในระดับปริญญาโทมา) แต่กลับโดนคนแก้ แก้คำว่า you เป็นคุณ และเปลี่ยน active sentences ในภาษาไทย ให้เป็น passive sentences แถมยังโดนบรรณาธิการเล่นงานเอาอีก........ เราเลยสงสัยว่า แท้จริงแล้ว เขาแก้กันอย่างไร อยากลองชำแหละประโยคดูเล่นๆ จากคุณ : tansy - [ 26 ก.ค. 47 09:34:29 A:210.203.187.105 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ถัดจากนั้นเพื่อนเราก้อปรึกษาเราเรื่องทำงานวิจัยการแปล ส่วนใหญ่เห็นผู้เรียนหลักสูตรนี้ จะจับผลงานเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาทำวิทยานิพนธ์ เราเลยเสนอว่าให้หา ต้นฉบับและคำแปลมาจากผลงานของนักแปลหลายๆคนมาชำแหละประโยคเพื่อวิเคราะห์ว่านักแปลคนไหนคิดอย่างไร จึงแปลออกมาอย่างที่แปล.......เพื่อนเราคุยว่ามหาลัยให้ทุนพอที่จะไปทำงานวิจัยในต่างประเทศได้ ....เราก้อหูผึ่งยุให้สร้างทฤษฏีการเรียนการสอนการแปลขึ้นมาใหม่ ......หาเรื่องหาทุนวิจัย .......เพื่อขอทุนซื้อหนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษกับคำแปลภาษาไทยมาชำแหละประโยค และวิเคราะห์กลไกในการแปล ........เพื่อนเราบอกว่ามหาลัยไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ........ ไม่เหมือนที่ Fowler ไปเก็บข้อความที่นักเขียนหรือนักหนังสือพิมพ์เขียนภาษาอังกฤษผิดๆมาแสดงตัวอย่างในหนังสือเรื่อง The King's English ฝรั่งที่โดนอ้างอิงว่าใช้ภาษาอังกฤษผิดๆแบบตลกขบขัน .....จะอ่านข้อความที่ Fowler เขียนไว้แล้วหัวเราะชอบใจ ว่าตลกที่ที่ตัวเองเขียนผิด....... แต่ถ้ามีใครสามารถได้ทุนเพื่อชำแหละประโยคที่นักแปลชาวไทยแปลได้ทุกคน แบบตรงไปตรงมาและเป็นธรรมที่สุด .......โดยเอาเวทีสาธารณะ เช่นกระดานข่าวบนเน็ตมาถกกัน ......เชื่อว่านอกจากจะยกระดับการแปลในประเทศไทยได้แล้ว และจะสามารถสร้างทฤษฏีใหม่ขึ้นมาได้เพื่อใช้ในการเรียนการสอนการแปล.....นอกจากนี้แล้วยังจะทำให้นักแปลเกิน 50% ที่มีอยู่ในท้องตลาดตกอยู่ในสภาพตกงานทันที! จากคุณ : tansy - [ 26 ก.ค. 47 09:44:20 A:210.203.187.105 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่เหมือนที่ Fowler ไปเก็บข้อความที่นักเขียนหรือนักหนังสือพิมพ์เขียนภาษาอังกฤษผิดๆมาแสดงตัวอย่างในหนังสือเรื่อง The King's English ฝรั่งที่โดนอ้างอิงว่าใช้ภาษาอังกฤษผิดๆแบบตลกขบขัน .....จะอ่านข้อความที่ Fowler เขียนไว้แล้วหัวเราะชอบใจ ว่าตลกที่ที่ตัวเองเขียนผิด....... เรื่องเนี้ย มันคล้ายๆกับพอเจอหนังสือพิมพ์ที่มี caricature ของพระราชินีอลิซาเบธ เช่นทำหน้าทำตาแบบปากเบี้ยวหรืออะไรยังงี้ เราก้อสงสัยว่า พระราชินีไม่โกรธหรือ....?? ฝรั่งเขาว่า มีข่าวลือว่า พระราชินีเห็นรูปตัวเองแล้วหัวเราะชอบใจ แต่ในเมืองไทยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐวาดภาพล้อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ จอมพลไปเจอเข้าเลยสั่งให้ทหารไปทุบแท่นพิมพ์ทิ้งซะเลย........!!!! นั่งคงเป็นเหตุผลที่มหาลัยไม่ยอมให้นักวิจัยชำแหละประโยคที่นักแปลแปลเพื่อการวิเคราะห์ว่า คิดอย่างไรจึงแปลออกมาแบบนั้น จากคุณ : tansy - [ 26 ก.ค. 47 09:51:03 A:210.203.187.105 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 #2 ที่ว่า แล้วเวลาคนตรวจเค้าตรวจเนี่ยเค้าต้องดูภาษาอังกฤษไปด้วยหรือเปล่าคะ ตอบ ที่ถูกแล้วต้องดูภาษาอังกฤษเทียบไปด้วย เนื่องจากการตรวจไม่ใช่แต่จะตรวจตัวสะกดอย่างเดียว ต้องตรวจ "ที่แปลผิด" ด้วย เพราะนักแปลเป็นจำนวนมากยังแปลผิดอยู่ เนื่องจากทุกปีภาษาอังกฤษมีศัพท์เกิดขึ้นใหม่นับพันๆคำ......ถ้าใครแปลด้วยดิกด๊อกเตอร์วิทย์ (ที่คุยว่าจุคำศัพท์มากที่สุด) ละก้อรับรองว่าแปลผิดเพียบเลย...... จากคุณ : tansy - [ 26 ก.ค. 47 09:57:59 A:210.203.186.208 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 จะเล่าเรื่องคนตรวจที่บริษัทที่เราเคยทำงานให้ฟัง เป็นเรื่องที่เธอโดนยำ...... จริงๆแล้วคนตรวจแปลอังกฤษเป็นไทยคนนี้เก่งมาก จับที่แปลผิดได้และแก้เป็นสำนวนไทยมาได้ดีเยี่ยม เธอทำงานได้ดีเมื่อทำงาน full time ในชั่วโมงทำงาน แต่เมื่อรับงานพิเศษไปทำนอกเวลา (รับค่าจ้างตรวจเป็นหน้า) ....มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอตรวจงานแปลเรื่อง Love is A Fallacy ในเนื้อเรื่องมีภาษา Latin มาก ...เขา quote มา แล้วนักแปลก็ซื่อบื้อ พอเห็นภาษา Latin ก็ไม่ดูให้ดีๆว่า พออ่านๆไปผู้ประพันธ์แปลไว้ให้ตรงหมายเหตุที่ไหนบางแห่ง .....มันเป็นเงี้ยทั้งเล่ม ...... นักแปลก็ไม่แปลตรงภาษา Latin แต่เว้นไว้แล้วเขียน note ไว้ว่า ให้พี่คนตรวจช่วยแปลตรงที่เว้นไว้ด้วยค่ะ หนูไม่รู้ภาษา Latin ...... ทีนี้คนตรวจนะ ตรวจแค่ 2-3 หน้าแรก ยังไม่เจอที่นักแปลเว้นว่างไว้.........แล้วคนตรวจก็กาแก้หมึกแดงแค่ 2-3 หน้าแรก และกระโดดไป 2-3 หน้าหลัง ไปกาแก้หมึกแดงไว้ แล้วกระโดดกลับไปที่หน้า 1 แล้วเขียนไว้ตัวโตๆว่า "ตรวจหมดแล้วส่งพิมพ์ได้เลยค่ะ" ........ พอพนักงานพิมพ์ดีดเอาไปพิมพ์ วันนั้นบริษัทอลเวงเลย เพราะพบว่าตรงกลางๆที่ยังไม่แปลมีอยู่เพียบเลย....เลยทั้งนักแปลกับคนตรวจโดนยำใหญ่.....คนที่ทำหน้าที่รับมือกับลูกค้า เมื่อถึงกำหนดส่งงาน ก็ส่งไม่ทัน เลยโมโหมาก ถึงกับโทรไปด่าคนตรวจตั้งแต่เช้ายันเย็นเลย....!!! สิ่งเหล่านี้ก็อาจเกิดขึ้นได้กับสำนักพิมพ์เช่นกัน อย่างที่เห็นๆกันอยู่ว่า เปิดอ่านหน้าแรกๆจะแปลดี แต่พอไปกลางๆจะแปลหลุดเพียบเลย....!!!.....เนื่องจากว่าความมักง่ายของคนน่ะ ที่หน่วยงานไหนๆมันก็มี เป็นของธรรมดา จากคุณ : tansy - [ 26 ก.ค. 47 10:08:31 A:210.203.186.208 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 หนทางที่ตรงไปตรงมาก็คือการเทียบ ต้นฉบับ A กับ ฉบับแปล กอไก่ อย่างที่เฮียแท่นว่า ผมว่าที่มหาวิทยาลัยไม่ยอมให้ทำคงกลัวโดนฟ้องแหงๆ ข้อหาหมิ่นประมาท คือกฎหมายหมิ่นประมาทนี่เขาดูมูลตรงที่กรรมคือการเผยแพร่สิ่งที่เกิดผลกระทบต่อชื่อเสียงผู้อื่นทำให้ได้รับความเกลียดชังหรือดูหมิ่นในที่สาธารณะ เขาไม่คำนึงว่าเรื่องจริงไม่จริง ถ้าจะให้รอดตัวต้องชี้แจงให้ศาลเข้าใจว่าทำไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณะชน ถ้าศาลไม่ฟังก็แอ่นแอ๊นนนนน ตางตะหริดติดตะราง นอกเหนือเสียสตังค์เป็นค่าทำขวัญอีกต่างหาก โอกาสที่จะได้ข้อผิดพลาดมีเห็นๆร่วมห้าสิบเปอร์เซนต์อย่างที่เคยมีคนมาชี้เอาไว้ในนี้จนมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางเนืองๆ ถ้าทำในห้องที่บ้านก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเอาขึ้นเน็ตนี่เข้าข่ายเผยแพร่ทำให้เสียชื่อเสียง ฮ่าๆๆๆ ดิ้นไม่หลุดด้วย ลืมไปได้เลยอ้ะ คือคนทำอาจจะโดนขังลืม ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เกือบลืมตอบเจ้าของกระทู้ ถ้าตรวจสอบความถูกต้องกับต้นฉบับก็ต้องอ่านภาษาต้นทางเทียบกันสิครับ นั่นคือต้องเป็นนักแปลอยู่ด้วยไม่งั้นจะจับผิดนักแปลด้วยกันได้อย่างไร และถ้าต้องมาไล่จับผิดการแปลนี่ งานหนักกว่าแปลอีกครับเพราะต้องคิดหนักสองชั้น ชั้นแรกคือดูว่าเขาผิดอย่างไร และชั้นที่สอง ควรแก้ของเขาหรือเปล่า และถ้าแก้ควรแก้อย่างไร เพราะว่าบางทีจุดที่เราว่าเขาผิดนั้นมันไม่มีหลักเกณฑ์แน่นอน มันเป็นเรื่องของความชอบ ความนิยม ความลำเอียงส่วนบุคคล ซึ่งคนแปลกับคนตรวจก็มีสิทธิ์ถูกหรือผิดได้พอกัน เหมือนกับจิ๊กโก๋ดูสาวน่ะครับ ไอ้คนแรกบอก "โห ไหกระเทียมต่อขา" ไอ้คนที่สองบอก "ใครบอกวะ หยั่งงี้ข้าชอบ เต็มไม้เต็มมือดี" เห็นไหมครับ นานาจิตตัง ตรงนี้แหละที่คนตรวจจะปวดหัว ต้องคอยระวังไม่ไปแก้เขาในจุดที่เป็นความลำเอียงหรือความโง่ของตัว กรณีศึกษาก็อย่างที่เฮียแท่นว่านั่นแหละ เห็นไหมครับ แค่การใช้สรรพนามก็เป็นเรื่องแล้ว ระหว่าง "หนู" กับ "คุณ" ผมก็บอกไม่ได้ว่าใครถูกใครผิดต้องเห็นทั้งฉบับหรั่งกับไทยมาเทียบกันจึงจะบอกได้ และไอ้เรื่อง active / passive voice ก็เหมือนกัน ในภาษาไทยเราถ้าใช้ passive มันมักจะสะดุดไม่เป็นธรรมชาติ แต่มันไม่ใช่กฎตายตัว ขึ้นกับกาละเทศะและการตัดสินใจของคนแปลเป็นอันมาก ว่าแต่ไอ้กรณีศึกษาที่ว่านี้ เฮียแท่นคุยกันหลังไมค์ได้ไหมว่ามันหนังสืออะไรกันแล้วทำไมมีเรื่องมีราวกัน ชักอยากรู้ คุยกันตรงนี้เราสองคนอาจจะต้องเปลี่ยนที่นอนไปอยู่มุ้งสายบัว จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 26 ก.ค. 47 10:14:06 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอโทษทีเขียนผิด ที่ว่า นั่งคงเป็นเหตุผลที่มหาลัยไม่ยอมให้นักวิจัยชำแหละประโยคที่นักแปลแปลเพื่อการวิเคราะห์ว่า คิดอย่างไรจึงแปลออกมาแบบนั้น ที่ถูกต้องเป็น นั่นคงเป็นเหตุผลที่มหาลัยยอมให้นักวิจัยชำแหละประโยคเพื่อการวิเคราะห์ว่า คิดอย่างไรจึงแปลออกมาแบบนั้น แต่หากทำเช่นนั้นแล้วไซร้ จะไม่ยอมให้มีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยของนักแปลผู้อื่นออกมาเผยแพร่เป็นอันขาด..... รู้สึกว่าเพื่อนเราเล่าให้ฟังว่า มีนักศึกษาทำวิทยานิพนธ์วิจารณ์ผลงานของนักแปลท่านหนึ่งซึ่งแปลเรื่อง Alice in Wonderland ไปไปส่งเป็นงานวิทยานิพนธ์ มหาลัยก็ตรวจและให้คะแนนเพื่อให้รับปริญญาโทไปตามระเบียบ แต่ไม่ยอมตีพิมพ์ผลงานวิจัยนั้นออกเผยแพร่..... เหตุผลก็คงอย่างที่คุณแอ๊ดว่านั่นแหละ.... ดังนั้นนักแปลที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักพิมพ์ ไม่ว่าจะแปลมั่วหรือไม่มั่ว ก็ยังคงหากินต่อไปได้อีกหลายปี....... จากคุณ : tansy - [ 26 ก.ค. 47 11:57:55 A:210.203.186.38 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 จะไม่ยอมให้มีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยของนักแปลผู้อื่นออกมาเผยแพร่เป็นอันขาด..... แก้เป็น จะไม่ยอมให้มีการตีพิมพ์ผลงานวิจัยที่นักวิจัยวิจารณ์ผลงานแปลของนักแปลผู้ใดผู้หนึ่งออกมาเผยแพร่เป็นอันขาด..... จากคุณ : tansy - [ 26 ก.ค. 47 12:03:52 A:210.203.186.38 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 editor มักเคยเป็นนักแปลที่มีผลงานดีมาก่อนในฟิลด์ที่ตรวจครับ บางคนก็ทำทั้งสองหน้าที่ แต่จะไม่ตรวจงานของตัวเอง เวลาตรวจก็แน่นอนว่าจะต้องตรวจเทียบกับต้นฉบับ ค้นคว้าในจุดที่สงสัย บางที่ editor จะแก้งานไปเลยไม่ผ่านนักแปล แต่บางที่จะวงๆ ไว้ เขียนอธิบาย แล้วให้นักแปลไปแก้กลับไปกลับมา ซึ่งแบบหลังนี่จะเสียเวลามากไม่แพ้ editor แปลเอง แต่ข้อดีคือเป็นการพัฒนานักแปลไปด้วยในตัว เป็นวิธีพัฒนามาตรฐานการทำงานระยะยาว และก็สามารถพัฒนาผู้ตรวจได้ด้วย การตรวจงานนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ คนที่ไม่เคยตรวจงานคนอื่น มักจะแก้ดะไปหมดและรู้สึกว่าแปลเองดีกว่า เร็วกว่า การตรวจโดยมีแบบฟอร์มระบุเหตุผลทุกจุดที่แก้แล้วส่งแบบฟอร์มกลับไปหานักแปล หรือการทำเครื่องหมายบนเอกสารในจุดที่ต้องการให้นักแปลแก้ไขจะเป็นการสอนให้ผู้ตรวจรู้จักแก้เท่าที่จำเป็น คือไม่ยึดตัวเองเป็นมาตรฐาน ถ้าเห็นว่างานแย่มากจริงๆ ก็จะให้ไปแปลใหม่ ฯลฯ ประมาณนี้นะครับ ถ้าคนตรวจไม่เจ๋งจริง นักแปลจะเกลียดขี้หน้า แต่ถ้าคนตรวจเจ๋ง นักแปลจะนับถือหมดใจ พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการจัดหน้าและตรวจตัวสะกดเพื่อดูความเรียบร้อยในขั้นสุดท้าย ซึ่งบางแห่งก็ตรวจตัวสะกดก่อน แล้วไปจัดหน้า เอากลับมาดูความเรียบร้อย (QA) บางแห่งใช้วิธีจัดหน้าก่อน แล้วมาตรวจตัวสะกดและ QA ไปพร้อมๆ กันเลย ซึ่งการตรวจตัวสะกดนี้ไม่ต้องเทียบภาษาอังกฤษ เพราะจะไม่ดูความหมาย ค่าตรวจต่างกันไปตามแต่จะคิดกัน ผมเคยทราบมาหลากหลายเหลือเกิน บางที่ตรวจกับแปลคนละครึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากแปลราคาไม่แพง บางที่ตรวจได้ 30-40% ของงานแปล ตรวจตัวสะกดมักจ้างเป็นเงินเดือนหรือเหมาจ่าย บางที่จ้างเหมาทั้ง edit และ proofread เช่นเล่มละหมื่น หรือเท่าไหร่ก็ตามแต่จะตกลง จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 26 ก.ค. 47 16:08:00 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ตายละว่า หยั่งงี้ผมโดนเกลียดขี้หน้าไปรึยังล่ะเนี่ยคุณพ่อฯ จากคุณ : บูมเมอร์ - [ 26 ก.ค. 47 18:14:08 ]

ความคิดเห็นที่ 13 555...อันนั้นต้องไปเปิดประเด็นเรื่อง timeframe ครับ และก็เปลี่ยนใหม่เป็นว่า นักแปลแปลไม่ดี คนตรวจก็เกลียดขี้หน้าเหมือนกัน...555 จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ - [ 26 ก.ค. 47 22:40:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 แอบถามนิดหนึ่งสิ คุณ tansy บอกใบ้ก็ได้ alice เล่มนั้นน่ะ คนแปลชื่ออะไรคะ หรือบอกสนพ. ก็ได้ อยากรู้ จะไปหามาเช็คดูบ้าง จากคุณ : Angelina - [ 27 ก.ค. 47 19:31:34 A:202.5.88.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 อยากรู้เหมือนกันว่าเขาแปลบท Jabberwocky ว่าไง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 27 ก.ค. 47 20:09:28 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คนแปล alice เอ.....จำไม่ได้ซะด้วยซี เอาไว้เพื่อนที่เรียนการแปลโทรมาแล้วจะถามให้ .....เออไอ้งานตรวจที่พ่อโปรเจ็กต์ว่า น่าสนนะ .....ไปหาที่สำนักพิมพ์ไหนอ่ะ ....ของบริษัท you มีไหม.....ไม่ได้แปลก็ขอให้ได้ตรวจก๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ......... แต่พอไปเจอประโยคที่โหดๆเข้านะ แปลใหม่ง่ายกว่าละคนตรวจแย่แน่ๆเลย.......จริงๆแล้วนักแปลเนี่ยเกลียดคนตรวจนะ ........ตอนเราหัดแปลอังกฤษ-ไทยใหม่ๆคนตรวจเชี่ยวชาญในการแปลมากๆ จนเราต้องเก็บไปศึกษา......เท่านั้นยังไม่พอยังตามไปเก็บซากที่เขาตรวจของคนอื่นไปศึกษาอีก...โชคดีเป็นของเราที่สมัยก่อนนักแปลรุ่นลายครามพิมพ์ดีดไม่เป็นเลยซักคน และคนตรวจก็พิมพ์ดีดไม่เป็นด้วย ซึ่งถ้าพิมพ์ดีดเป็นกันหมดแล้วทำกันบนคอมพิวเตอร์กันหมด เราคงไม่ได้เห็นซากงานแปลเด็ดๆหลายๆชุด.....และไม่ได้เห็นความมักง่ายของทั้งคนแปลและของคนตรวจ และรวมถึงของตัวเราเองด้วย ฮาๆๆๆๆๆๆๆ....... ตรวจงานแปลไทย-อังกฤษซี่สนุกที่สุดเลย อยู่ดีๆวันหนึ่งชาวต่างชาติ (พม่าที่เก่งภาษาอังกฤษมากกว่าฝรั่งเสียอีก) ที่อ่านภาษาไทยรู้เรื่องดี พอตรวจๆไปอ่านๆคำแปลไปแล้วอยู่ดีๆหมอก็หัวเราะขำกลิ้งแทบตกเก้าอี้ ที่ว่าตกนี่ตกจริงๆนะ เรารีบพยุงตัวไว้ม่ายงั้นตกแน่ๆ เราก้อบอกขอดูบ้างดิ...... แล้วพบว่าเจออะไรตลกๆสุดๆเลยหลายอย่าง ที่น่าสนใจก็คือมีคนเอาพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่เท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว มาให้แปล.....คือในหลวงไม่ได้เขียนแต่พูดแล้วมีคนเขียนภาษาไทย แล้วรู้สึกฝรั่งคนที่แต่งดิกไทยเป็นอังกฤษ ชื่อ McFarland หรืออะไรเนี่ย (รู้สึกฝรั่งคนนี้จะมียศเป็นอัมมาตย์เอก...อะไรเนี่ย ถ้าจำไม่ผิดฝรั่งคนนี้คงเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสวนกุหลาบในยุคแรกๆ) ฝรั่งคนนี้แปลไทยเป็นอังกฤษบางส่วนไว้ แล้วลูกค้าบอกให้แปลที่เหลือจากไทยเป็นอังกฤษหมดและเอาให้สำนวนภาษาอังกฤษให้หรูหราเหมือนๆกับ McFarland นะ......โห....อีก 10 ชาติบ่ายๆสิ ถึงพวกเราจะเขียนได้ดีขนาดนั้น ฮาๆๆๆๆๆๆ.......งานนี้ลักไก่แน่ๆ.....ระดมทีมงานกันเป็น 10 คนช่วยกันแปลนะ ......เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นเหตุการณ์ที่ในหลวงไปอยู่ต่างประเทศ ..... รู้สึกมีประโยคหนึ่งที่นักแปลแปลผิดแล้วขำกลิ้งกันทั้งบริษัทเลย คือ จำได้ไม่แน่นะ อะไรทำนองนี้ ถ้าเอากรมสมมตมาไว้ที่นี่กรมสมมตจะอดตาย นักแปลเขาแปลมาว่า If Supposition Department is brought here, it will starve to death. คนแปลอ่านสมมตเป็นสมมุติไป และจริงๆแล้วเขาไม่รู้ว่า "กรมสมมต" (ไม่แน่ใจตัวสะกด) เป็นชื่อคน เขาเลยแปลกรมเป็น Department ไปเลย....... จากคุณ : tansy - [ 28 ก.ค. 47 10:33:23 A:210.203.188.129 X: ]

ความคิดเห็นที่ 17 อีกอันหนึ่งก็คือมีนักแปลคนหนึ่งมีใบรับรองผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงยุติธรรมด้วยนะ เขาแปลฉลาก ปิดสินค้า "เห็ดหูหนู" ว่า 'Rat's Ear Mushroom' ไอ้เราก็คิดว่าคงมีใครแก้ให้เขานะ แต่อีก 3 เดือนต่อมาเราไปเจอผลิตภัณฑ์อันหนึ่งวางขายอยู่ใน Foodland แล้วที่หน้าซองมันมีฉลากปิดไว้ว่า 'Rat's Ear Mushroom' เราก้องงแฮะ ....เลยไปเล่าให้เจ้าของบริษัทแปลว่า ผลงานบริษัทเราไปวางขายอยู่ตามร้าน ปรากฎว่าเจ้าของบริษัทก็หัวเราะซะน้ำตาเล็ดน้ำตาไหลเลย...... จากคุณ : tansy - [ 28 ก.ค. 47 10:41:39 A:210.203.188.129 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 Different skills? จากคุณ : Tey - [ 29 ก.ค. 47 16:53:31 A:130.102.42.97 X: ]