ครั้งนี้จะพยายามแปลด้วยตัวเอง ถ้าหากแปลผิด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
หากมีข้อติชมประการใด ขอเชิญนะครับ
บทความนี้มีอยู่ 10 ตอน ซึ่งจะทยอยแปลให้นะครับ
มาจาก (http://www.xycq.net/forum/index.php?showtopic=34709)
และเขียนโดย Ren Yi
______________________________________________________________________________________________
1)
จุดเริ่มต้นของการคุยกันเรื่องนวนิยายของท่านกิมย้ง ---- "สรรพสิ่งล้วนมายา"
"สรรพสิ่งล้วนมายา ดุจดั่งเงาและความฝัน ดั่งน้ำค้างและสายฟ้าฟาด นั่นคือวิธีที่เราควรจะมองสรรพสิ่ง"
เป็นปริศนาธรรมที่ปรากฎอยู่ในคัมภีร์์ฺฺ กิมกังเก็ง ของศาสนาพุทธ นิกายมหายาน ซึ่งท่านกิมย้งได้นำไปสลักไว้บนกระจกซึ่งตั้งอยู่ในหมู่ตึกพุทธะ ของวัดเส้าหลิน ในเรื่อง แปดเทพอสูรมังกรฟ้า
คำว่า พุทธะ ในศาสนาพุทธนั้นหมายถึง การบรรลุทางปัญญา ซึ่งเชื่อกันว่าองค์พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ดังนั้นต้นโพธิ์ซึ่งมีมากทางภาคใต้(ของจีน) จึงค่อย ๆ กลายเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของการตรัสรู้
ในคัมภีร์ ถันจิง (ของท่านฮุ่ยเหนิง) ได้กล่าวถึงปริศนาธรรมที่ท่านภิกษุเสินซิ่วได้รจนาไว้ "ร่างกายดั่งต้นโพธิ์ ใจดั่งกระจกเงา..." ซึ่งคาดว่าประโยคที่ท่านกิมย้งนำไปเขียนก็คงจะได้แรงบันดาลใจจากตรงนี้ แม้ว่าตัวผู้เขียนไม่สามารถที่จะฟันธงได้ว่า การที่ท่านกิมย้งนำปริศนาธรรม
ไปเขียนแฝงไว้ใน แปดเทพ ฯ นั้นเป็นการจงใจที่จะแอบใบ้เกี่ยวกับ หลักปรัชญาที่ท่านได้แอบสอดซ่อนไว้ให้ผู้อ่านได้รับรู้หรือไม่ ทว่าในสายตาของผู้เขียน โชคชะตาของตัวละครสำคัญ ๆ ของ แปดเทพฯ นั้นล้วนแต่ที่จะหนีไม่พ้นปริศนาธรรมที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น
เฉียวฟงในตอนแรกมั่นใจว่าตัวเองนั้นเป็นชาวฮั่นเต็มร้อย แต่ในภายหลังเฉียวฟงก็ต้องมารับรู้ความเป็นจริงที่ตัวเองนั้นเป็นลูกหลานชนกลุ่มน้อยป่าเถื่อน(ในมุมมองของชาวฮั่น) เป็นชาวชี่ตัน
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองได้สาบานด้วยเกียรติของตัวเอง ว่าจะไม่เข่นฆ่าชาวฮั่นแม้แต่คนเดียว แต่สถานการณ์ใน จู้เสียนจวง ก็ทำให้เขาต้องฆ่าคนชาวฮั่นไปนับสิบชีวิต
เฉียวฟงเชื่อมั่นในตัวเองว่า ไม่ว่าในสถานการณ์ไหน เขาย่อมสามารถที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ แต่ว่าในที่สุดแล้ว ที่ริมทะเลสาบกระจก เขากลับลงมือผิดพลาดทำให้อาจูต้องเสียชีวิต
นอกจากนั้น เฉียวฟงยังเป็นคนที่ให้ความสำคัญ ต่อการเคารพและกตัญญูต่อครูบาอาจารย ์ และผู้มีพระคุณ แต่เมื่อตัวเองได้รู้ว่า คนที่ฆ่า พ่อแม่บุญธรรม และครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ คือพ่อผู้ให้กำเนิดตัวเอง เขานั้นจะทำอย่างไรได้
ท้ายที่สุด เมื่อคุณธรรมต่าง ๆ ที่เขาเชื่อมั่นใน เหลืออยู่แต่ความจงรักภักดี และความรักชาติ แต่ในที่สุดแล้ว การจับกษัตริย์เหลียวเป็นตัวประกันเพื่อแลกกับการไม่บุกแผ่นดินซ้อง ก็ได้ทำลายสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ สิ่งสุดท้ายของเฉียวฟงลงไป ...
ซึ่งเส้นทางชีวิตของเฉียวฟง หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างที่สำคัญต่อเขาได้พังทลายลงนั้นมีอยู่ทางเดียว คือความตาย...
เมื่อมองตัวละครอื่น ๆ ในเรื่อง เช่นต้วนยู่ ที่ภูมิใจในการเป็นผู้สืบทอดของตระกูลต้วนแต่เพียงผู้เดียว พร้อมทั้งกับการที่เขาเทิดทูนคำสั่งสอนของปราชญ์ต่าง ๆ แต่ในที่สุดแล้ว ดั่งชีวิตเล่นตลกกับเขา ต้วนยู่กลับต้องมาพบว่าเขาเองเป็นลูกที่ถือกำเนิดมาจาก การกระทำที่ผิดต่อคำสอนของศาสนา และ ปราชญ์ทั้งปวง คือการเป็นชู้ของมารดาตน
ในกรณีของซูจู๋ ซูจู๋ผู้ที่ศรัทธาและเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในพุทธศาสนา แท้จริงแล้ว เขานั้นเป็นลูกที่เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน หลวงจีนฟังเจิ้ง มีอย่างลับ ๆ จอมโฉดอันดับสอง เย่เอ้อเหนียง และรอยธูปซึ่ง ซูจู๋ เคยแต่ไหนแตไรมาสำคัญว่า่เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความที่เขานั้นเกิดมาเพื่อที่จะเป็นพระ แท้จริงแล้วกลับเป็นสัญลักษณ์และหลักฐาน ซึ่งบ่งบอกถึงการผิดศีลของหลวงจีนรูปหนึ่ง
ทั้งชีวิตอันเสเพลของ ต้วนเจิ้งฉุน เขามีลูกสาวหลายคน ซึ่งทั้งหมดเป็นผลผลิตของความเจ้าชู้ของเขา ทว่าในขณะที่เขาเที่ยวไปมีอะไรต่ออะไรกับใครอยู่นั้น ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเีดียวของเขากลับเป็นลูกที่เกิดจากการที่นางสนม เตาไบ๋หง ไปมีความสัมพันธ์กับ คนที่ พิการ อัปลักษณ์ และต่อมาเป็นจอมโฉด ต้วนเหยนชิ่ง
สำหรับอาจูนั้น วิชาอำพรางโฉมหน้าอันไร้ที่ติของเธอกลับถูก หม่าฟูเหริน ดูออก หรือว่า อาซึ ที่คิดว่าตัวเองนั้นฉลาดกว่าคนอื่น สามารถที่จะหลอกคนอื่นได้โดยที่ตัวเองจะไม่โดนหลอก แต่ในที่สุดแล้ว อาซึก็ถูก นางสนมแซ่มู่ หลอกใช้ ซึ่งสองพี่น้องคู่นี้อาจจะกล่าวได้ว่า ไม่ว่าเพราะทางตรง หรือทางอ้อม ต้องพบจุดจบเพราะว่า เชื่อมั่นในฝีมือของตัวเองมากจนเกินไป
บนโลกใบนี้ มีบางคนที่ให้ความสำคัญและหลงไหล ในสถานะ ในความสามารถ ในความเป็นอยู่ ในเงินตรา ในรูปร่างหน้าตา ... หรือในอะไรที่แปลกประหลาดกว่านี้ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ดั่งที่เล่าจื้อในคัมภีร์ เต๋าเต็กเก็ง ได้กล่าวไว้ "อันสิ่งที่เรียกว่า เต้า (มรรคา) นั้น มิใช่ เต้า ที่แท้จริง และ จีรังยั่งยืน" มีสิ่งใดบ้างในโลกนี้ที่จีรังยั่งยืน?
สิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์ยึดถือ และยึดติดกับนั้น น่าหัวเราะยิ่ง เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์
ต้องขออธิบายเพิ่มเติมว่า นั่นไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่มนุษย์ยึดติดนั้น ว่างเปล่าจับต้องไม่ได้ แต่เนื่องด้วยเมื่อสิ่งต่าง ๆ ถูกมนุษย์นั้นยึดติดกับ และหลงไหล สิ่งเหล่านั้น ก็จะเปรียบเสมือนดั่งภูเขาน้ำแข็งใต้แสงแดดที่แผดเผา ซึ่งสภาวะนี้นี่แหละ คื่อความน่าหัวเราะของการยึดติดกับความว่างเปล่า
จากคุณ :
Peking Man
- [
26 เม.ย. 48 15:36:40
]