ความคิดเห็นที่ 1 เกณฑ์การรับของกลุ่มคณะต่างๆมีดังนี้ *กลุ่ม 1   สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เช่น คณะแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ เทคนิคการแพทย์ สหเวชศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ เภสัชศาสตร์ สัตวแพทยศาสตร์ เทคนิคการสัตวแพทย์ กำหนดใช้จีพีเอ 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 4% เท่าๆกัน รวมน้ำหนัก 20% สอบ O-NET จำนวน 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 7% รวม 35% สอบ A-NET จำนวน 3 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาอังกฤษ 10% คณิตศาสตร์ 10% วิทยาศาสตร์ 15% รวม 35% แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 48 08:45:56 จากคุณ : Visby - [ 12 พ.ค. 48 08:44:51 ]

ความคิดเห็นที่ 2 กลุ่ม 2 สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ  เทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม พลังงาน ทรัพยากร เช่น คณะวิทยาศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น กำหนดใช้จีพีเอ 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา กลุ่มละ 3% วิทยาศาสตร์ 6% คณิตศาสตร์ 5% รวม 20% สอบ O-NET จำนวน 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 7% เท่าๆกัน รวม 35% สอบ A-NET จำนวน 3 กลุ่มสาระ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ 20% คณิตศาสตร์ 10% ภาษาอังกฤษ 5% รวม 35% จากคุณ : Visby - [ 12 พ.ค. 48 08:47:32 ]

ความคิดเห็นที่ 3 กลุ่ม 3 สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ กำหนดใช้จีพีเอ 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 4% เท่าๆกัน รวม 20% สอบ O-NET จำนวน 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 8% เท่าๆกัน รวม 40% สอบ A-NET จำนวน 3 กลุ่มสาระ ได้แก่ คณิตศาสตร์ 10% วิทยาศาสตร์ 10% ความถนัดทางวิศวกรรม 10% รวม 30% จากคุณ : Visby - [ 12 พ.ค. 48 08:48:41 ]

ความคิดเห็นที่ 4 กลุ่ม 4 สาขาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ได้แก่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ กำหนดใช้จีพีเอ 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย สังคมศึกษา กลุ่มละ 2.5% ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 5% รวม 20% สอบ O-NET จำนวน 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 8% เท่าๆกัน รวม 40% สอบ A-NET เพียงวิชาเดียวคือความถนัดทางสถาปัตยกรรม น้ำหนัก 30% จากคุณ : Visby - [ 12 พ.ค. 48 08:49:29 ]

ความคิดเห็นที่ 5 กลุ่ม 5 สาขาวิชาเกษตร เช่น คณะเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร วนศาสตร์ เทคโนโลยีการเกษตร เป็นต้น กำหนดใช้จีพีเอ 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ คณิตศาสตร์ 4% ภาษาอังกฤษ 4% สังคมศึกษา 3% ภาษาไทย 3% วิทยาศาสตร์ 6% รวม 20% สอบ O-NET จำนวน 5 วิชา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 8% เท่าๆกัน รวม 40% สอบ A-NET จำนวน 2 วิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ 20% คณิตศาสตร์ 10% รวม 30% จากคุณ : Visby - [ 12 พ.ค. 48 08:51:32 ]

ความคิดเห็นที่ 6 กลุ่ม 6 สาขาวิชาบริหารธุรกิจพาณิชยศาสตร์ การบัญชี การจัดการ การท่องเที่ยวและเศรษฐศาสตร์ โดยแบ่งเป็น 6.1 สาขาบริหารธุรกิจ การบัญชี เศรษฐศาสตร์ กำหนดใช้ จีพีเอ 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 4% เท่าๆ กัน รวม 20% สอบ O-NET จำนวน 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 7 % รวม 35% สอบ A-NET จำนวน 2 วิชา ได้แก่ คณิตศาสตร์ 20% ภาษาอังกฤษ 15% รวม 35% ----------------------------------------------------------- กลุ่ม 6.2 สาขาการจัดการการท่องเที่ยว กำหนดใช้จีพีเอ 3 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย 5% คณิตศาสตร์ 5% ภาษาอังกฤษ 10% รวม 20% สอบ O-NET จำนวน 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 14% รวม 70% และ ไม่มีการสอบ A-NET จากคุณ : Visby - [ 12 พ.ค. 48 08:53:20 ]

ความคิดเห็นที่ 7 กลุ่ม 7 สาขาวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ แบ่งเป็น -สาขาที่เน้นมนุษยศาสตร์(คณะนิเทศ วารสาร อักษร ศิลปศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์) กำหนดใช้จีพีเอ 4 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย 5% ภาษาอังกฤษ 5% สังคมศึกษา 5% และคณิตศาสตร์/วิทยาศาสตร์/ภาษาต่างประเทศ/ศิลปะ 5% รวม 20% โดยให้แต่ละคณะเป็นผู้กำหนดรายละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากมีสาขาวิชาเอกจำนวนมาก สอบ O-NET จำนวน 3 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา น้ำหนัก 35-70% ซึ่งยังไม่ลงตัว ต้องให้แต่ละคณะกำหนดใหม่อีกครั้ง สอบ A-NET น้ำหนัก 0-35% ก็ยังไม่ลงตัวเช่นกัน ---------------------------------------------------------- - ส่วนสาขาที่เน้นด้านสังคมศาสตร์ (คณะรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ สังคมวิทยา ) กำหนดใช้จีพีเอ 4 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย 5% ภาษาอังกฤษ 5% สังคมศึกษา 5% และคณิตศาสตร์/ วิทยาศาสตร์/ภาษาต่างประเทศ/ศิลปะ 5% รวม 20% โดยให้แต่ละคณะเป็นผู้กำหนดรายละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากมีสาขาวิชาเอกจำนวนมาก สอบ O-NET จำนวน 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ สังคมศึกษา 10% ภาษาไทย 10% ภาษาอังกฤษ 10% คณิตศาสตร์ 20% วิทยาศาสตร์ 20% รวม 70% แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 48 18:39:57 จากคุณ : Visby - [ 12 พ.ค. 48 08:57:46 ]

ความคิดเห็นที่ 8 กลุ่ม 8 สาขาวิชาครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ กำหนดใช้จีพีเอ 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 4% เท่าๆ กัน รวม 20% สอบ O-NET จำนวน 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 8% รวม 40% สอบ A-NET เฉพาะวิชาเฉพาะ ได้แก่ วิชาวัดแววความเป็นครู 10% วิชาเอก/วิชาเฉพาะ 20% ซึ่งจะกำหนดภายหลัง จากคุณ : Visby - [ 12 พ.ค. 48 08:59:22 ]

ความคิดเห็นที่ 9 กลุ่ม 9 สาขาวิชาศิลปกรรม วิจิตรศิลป์ และประยุกต์ศิลป์ ได้แก่ คณะศิลปกรรมศาสตร์ วิจิตรศิลป์ มัณฑนศิลป์ จิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ กำหนดใช้จีพีเอ 3 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา กลุ่มละเท่าๆ กัน รวม 20 % สอบ O-NET จำนวน 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 7% รวม 35 % ไม่สอบ A-NET แต่จะทดสอบเฉพาะตามกลุ่มสาขา จำนวน 35% แบ่งเป็น 1. กลุ่มที่สอบปฏิบัติอย่างเดียว ได้แก่ วาดเส้น องค์ประกอบศิลป์ 2. สอบทฤษฎีและปฏิบัติด้านทัศนศิลป์และการออกแบบ 3. สอบทฤษฎีและปฏิบัติด้านดนตรี และ 4. สอบทฤษฎีและปฏิบัติด้านนาฏศิลป์และศิลปะการแสดง โดยวิชาเฉพาะดังกล่าว ในปี 2549 ทาง สกอ.จะดำเนินการจัดสอบให้ในเดือน ต.ค.2548 จากคุณ : Visby - [ 12 พ.ค. 48 09:08:46 ]

ความคิดเห็นที่ 10 หวังว่ากระทู้นี้คงมีส่วนช่วยให้ น้องๆหลายคนเข้าใจระบบ Admission มากขึ้นนะครับหรือถ้ายังไม่เข้าใจ.. ก็ไปลองปรึกษาอาจารย์เเนะเเนวที่โรงเรียนก็ได้ครับ จากคุณ : Visby - [ 12 พ.ค. 48 09:24:59 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับ อิอิ ว่าแต่ ทำไมคณะสายสิน สอบวิด สอบเลขซะเยอะ แปลกใจจัง เค้าทำแปลกดี จากคุณ : เดะซิ่ว (natthaset) - [ 12 พ.ค. 48 10:32:42 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ทำไปได้ -*- จากคุณ : nanaosan - [ 12 พ.ค. 48 15:51:30 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แล้ว วารสาร อักษร กับ นิติ มันอยู่กลุ่มวิชาไหนบ้างครับ ใครพอไขความกระจ่างได้ แต่ผม OK นะถ้าเป็นแบบนี้ดีหน่อย จากคุณ : L - [ 12 พ.ค. 48 16:21:49 A:58.10.27.37 X: TicketID:006632 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อืม..ค่อยเป็นค่อยไปครับพบกันคนละครึ่งทาง จากคุณ : futureperfect - [ 12 พ.ค. 48 16:37:30 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตอบ คห.13   คณะวารสาร อักษร อยู่กลุ่มมนุษย์ศาสตร์ ส่วน นิติ อยู่กลุ่มสังคมศาสตร์ จากคุณ : Visby - [ 12 พ.ค. 48 18:37:13 ]

ความคิดเห็นที่ 16 สรุปว่า -สายวิทย์จะสอบของสายศิลป์ได้ใช่ไหมคะ -คณิตหรือวิทย์ที่สายสังคมศาสตร์ให้เลือกได้น่ะค่ะ คือ วิทย์พื้นฐาน และคณิตพื้นฐานใช่มะคะ ไม่ใช่สายวิทย์ให้ใช้เคมี+ฟิสิกส์+ชีวะ เฮ้อ รู้สึกระบบมันแปลกๆ ไม่ได้มุ่งไปด้านสายนั้นตรงๆเลยอ่ะ สรุปต้องเก่งหมดนั่นเอง สงสารพวกวิดวะ ถาปัด จากคุณ : pukkajr. - [ 12 พ.ค. 48 19:48:52 ]

ความคิดเห็นที่ 17 โอ้ พระเจ้ายอดมันจ๊อดมาก... มันยังมีไม่แน่นอนอีก เฮ้อ หนังสือมีเรียนช้ากว่าชาวบ้าน รุ่นคุณหนูนี่ลำบากโคตรเลย จากคุณ : rommunee - [ 12 พ.ค. 48 20:59:27 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เอ่อ อยากรู้ว่าคนคิดใช้ตี_ คิดเหรอครับ หรือว่าในสมองไม่มีรอยหยักครับ กลุ่ม 3 สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ กำหนดใช้จีพีเอ 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 4% เท่าๆกัน รวม 20% สอบ O-NET จำนวน 5 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ กลุ่มละ 8% เท่าๆกัน รวม 40% สอบ A-NET จำนวน 3 กลุ่มสาระ ได้แก่ คณิตศาสตร์ 10% วิทยาศาสตร์ 10% ความถนัดทางวิศวกรรม 10% รวม 30% ขอไล่ตั้งแต่ GPA นะครับ ใช้ไทยสังคม 8 % แต่ ฟิสิกส์เคมีชีวะสามวิชารวมกันทั้งหมด 4% โอ้สุดยอดครับ ต่อมา อีกครับ O-NET  ไทยสังคม 16%ครับ แต่ ฟิสิกส์เคมีชีวะ รวมกัน 8% ครับสุดท้าย A-NET ดูคนคิดจะมีความคิดที่สุดนะครับเพราะมีฟิสิกส์เพิ่มมาอีก 13.33% ถ้ารวมสัดส่วนทั้งหมดนะครับ ไทย สังคม รวมทั้งหมด 24% แต่ทางด้านฟิสิกส์ใช้ 17.33% เคมีใช้ 7.33% ชีวะใช้ 7.33% เลขใช้ 22% อังกฤษใช้ 12% คือจะสื่ออะไรเหรอครับ คนจะเข้าวิศวะ ต้องเก่ง ไทย สังคม งั้นเหรอครับ คนจะเรียนวิศวะเคมี ต้องจบสังคมศาสตร์มาก่อนถึงจะเรียนเคมีได้รู้เรื่องเหรอครับ ถึงใช้เคมี 7.33% แล้วใช้ไทยสังคม 24% คงเจริญนะครับ ประเทศไทย จากคุณ : esdgr - [ 12 พ.ค. 48 21:09:22 ]

ความคิดเห็นที่ 19 สายศิลป์มีสอบเลขเยอะเหมือนกันนะคะ เข้ากลุ่มสังคมยังสอบวิทย์ 20% เลขอีก20% แน่ะ ยังดีหน่อย พวกกลุ่มมนุษยศาสตร์อย่างอักษรยังใช้เลขกับวิทย์ไม่เยอะ ปัญหาคือว่าตอนเรียนมาน่ะค่ะ แผนศิลป์จะไม่ค่อยหนักวิทย์กับเลข แล้วพอต้องใช้คะแนน มันก็แบบว่า ยากหน่อย แต่คิดว่าระบบนี้จะทำให้นักเรียนตั้งใจเรียนในห้องมากขึ้นแล้วเลิกไปกวดวิชาได้จริงๆ น่ะหรือคะ จากคุณ : Jann Oppra (Jann Oppra) - [ 12 พ.ค. 48 21:13:25 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อ่านแล้วอยากตาย.... ทำไมอ่ะ ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมอ่ะ ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมนิติต้องสอบวิทย์คณิตด้วยอ่ะ  จะปิดทางพวกเราให้หมดเลยเหรอ  เรามันโง่เองใช่ไม๊ที่ไม่เก่งวิทย์คณิตอ่ะ   เออใช่สิ ไอ้คนที่เป็นรมต.กระทรวงศึกษามันเก่งวิทย์นี่ จากคุณ : เซ็งจิตมากเลย (กอหญ้าพาฝัน) - [ 12 พ.ค. 48 21:14:17 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ลืมไป ฝากโหวตๆกันด้วย กระทู้จะได้ขึ้นหน้า 1 ประจานความ_ง่(เติมสระเอาเองข้างหน้าครับ)ของประเทศว่านักวิชาการเมืองไทยเค้าคิดกันอย่างงี้ ให้เค้าได้รู้กันให้ทั่ว จากคุณ : คนๆนึงที่ต้องซวยเพราะระบบปีนี้ (esdgr) - [ 12 พ.ค. 48 21:20:52 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณเบอร์ 18 ไม่ต้องงงเลยว่าคิดกันมาได้อย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทปอ. กำหนดกรอบไว้เลยว่าคะแนน O-NET ต้องใช้ทั้ง 5 วิชาๆ ละเท่ากัน สิ่งที่แต่คณะวิศวฯ ทำได้ก็เพียงกำหนดสัดส่วนของ A-NET ให้มีวิทย์ คณิต และความถนัดเท่านั้น ไม่เข้าใจว่ากลุ่มของนิติศาสตร์กำหนดให้แต่ละวิชาใน O-NET ไม่เท่ากัน จากคุณ : เท่าที่ทราบ - [ 12 พ.ค. 48 21:21:29 A:210.213.11.70 X: TicketID:090579 ]

ความคิดเห็นที่ 23 พิมพ์ไม่ครบคือ ไม่เข้าใจว่าคณะนิติกำหนดสัดส่วนวิชาใน O-NET ไม่เท่ากันได้อย่างไร เพราะถ้ากำหนดเช่นนั้นได้ เชื่อว่าทุกคณะฯ ต้องขอเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน จากคุณ : เบอร์ 22 - [ 12 พ.ค. 48 21:23:34 A:210.213.11.70 X: TicketID:090579 ]

ความคิดเห็นที่ 24 วิดวะก็ต้องสอบไทยสังคม ไปเพื่อ????? จากคุณ : esdgr - [ 12 พ.ค. 48 21:29:25 ]

ความคิดเห็นที่ 25 แล้วสาขาที่เน้นมนุษยศาสตร์  สอบ O-NET แค่สามวิชาเหรอครับ ขอรายละเอียดหน่อยครับ จากคุณ : 000 (เด็กอายุ 15) - [ 12 พ.ค. 48 21:42:54 ]

ความคิดเห็นที่ 26 หนีไปสอบ ตรงเถอะครับ เค้าคงใช้ วิชาเฉพาะ ลองดูผมรอลุ้นสอบตรงว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง จากคุณ : Aszaultz - [ 13 พ.ค. 48 00:58:43 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ตอบ คห.25  กลุ่มมนุษย์ยังกำหนดไม่ลงตัวเลยครับ   เเต่มีเเนวโน้มว่าจะสอบ O-Net ครบทั้ง 5 วิชาเลย คาดว่าทุกคณะคงต้องสอบ O-Net ครบทั้ง 5 วิชาเเหละครับ เพราะเป็นการสอบประเมินผลรวบยอดที่เรียนมาทั้ง 3 ปีต้องสอบทุกคนครับ ถ้าไม่สอบโรงเรียนอาจไม่อนุมัติให้จบการศึกษาได้ ข้อสอบ O-Net ได้ข่าวว่าจะไม่ยากนะครับเพราะ คณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์เป็นเเบบเนื้อหาพื้นฐานครับ เพราะมีครูมัธยมมาร่วมออกข้อสอบด้วย ** เพิ่มเติม ** -กำหนดวันทดสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน หรือ Ordinary National Educational Test (O-NET) วันที่ 25-26 ก.พ.2549 -วันทดสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง หรือ Advanced National Educational Test (A-NET) สอบวันที่ 28 ก.พ.และวันที่ 1 มี.ค.2549 โดยแบบทดสอบ O-NET จะทดสอบ 5 วิชาได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นข้อสอบปรนัย 80-90% อัตนัย 10-20% ส่วนแบบทดสอบ A-NET จัดสอบ 5 วิชาได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นข้อสอบปรนัย 60-80% ข้อสอบอัตนัย 20-40% ทั้งนี้ข้อสอบแบบอัตนัยจะทำให้เด็กรู้จักคิด สังเคราะห์และวิเคราะห์ได้ และการตรวจสอบข้อสอบนั้น จะเป็นคำตอบสั้นๆ ที่สามารถระดมคนตรวจคำตอบได้ ซึ่งข้อสอบอัตนัยของเด็ก 1 คน จะมีผู้ตรวจคำตอบมากกว่า 1 คน เพื่อความยุติธรรมในการให้คะแนน และมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการตรวจข้อสอบอัตนัย ต่อไป อ้างอิง:ไทยรัฐ จากคุณ : Visby - [ 13 พ.ค. 48 07:24:17 ]

ความคิดเห็นที่ 28 น่าสงสารเมืองไทย ระบบการศึกษาเมืองไทย ฯลฯ เกินคำบรรยาย... คิดหาวิธีการแก้ปัญหากันได้อย่างไรเนี่ย จากคุณ : I'm stupid - [ 13 พ.ค. 48 20:31:48 A:65.140.69.215 X:64.136.48.13, 64.136.49.225 TicketID:008914 ]

ความคิดเห็นที่ 29 งงง โว้ย จากคุณ : เดะซิ่วงงง (natthaset) - [ 14 พ.ค. 48 14:22:09 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เอาไรคิดเนี่ย จากคุณ : ราชันย์ทิวา - [ 16 พ.ค. 48 03:54:40 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ฝันอยากให้นักเรียนทุกคนเรียนจากจอภาพ เหมือนระบบการศึกษาทางไกลจากหัวหิน กระทรวงศึกษามีหน้าที่ไประดมอาจารย์ระดับยอดฝีมือมาสอน นักเรียนทุกคนเรียนจากครูคนเดียวกัน ใช้ข้อสอบกลางอันเดียวกัน จากคุณ : Pmoat (Pmoat) - [ 17 พ.ค. 48 11:55:10 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ยุ่งชิปเป๋ง ของเดิมก็ดีแล้ว จากคุณ : praphrut608 - [ 17 พ.ค. 48 15:35:38 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ซวยแล้ว น้องๆ เอ๋ย จากคุณ : ม่วนน้อย - [ 17 พ.ค. 48 17:30:44 ]

ความคิดเห็นที่ 34 โอ้ย  ปวดหัว  จริงๆ เครียดจังเลย ไฟล์รูปภาพ จากคุณ : แพร (funnysong) - [ 17 พ.ค. 48 18:33:12 ]

ความคิดเห็นที่ 35 >"< จากคุณ : นินจาน้อย - [ 17 พ.ค. 48 19:23:00 ]

ความคิดเห็นที่ 36 คุณ edsg น่าจะใช้สมองคิดด้วยคนนะครับ ไม่ใช่ไปใช้ ตี_ คิดเหมือนคนคิดระบบที่คุณด่าๆอยู่ ถ้าเกิดคุณดูระบบคุณจะเห็นได้ว่าคนคิดมีความคิดเช่นนี้ GPA - ใช้สำหรับวัดความสามารถในระยะยาว และความสามารถโดยรวมโดยที่อยู่ในโรงเรียน จริงอยุ่ โรงเรียนมีมาตรฐานแตกต่างกัน แต่สำหรับคนที่อาจจะขยันและทำงานสม่ำเสมอแต่อาจจะไม่เก่งนักในการสอบ หรือคนที่โคดขี้เกียจแต่สอบเก่ง ตรงนี้ การใช้ GPA จะเป็นการลบความเหลื่อมล้ำตรงนี้ไป O-Net - ตรงนี้มันก็บอกว่าเป็นการสอบ "พื้นฐาน" โดยใช้ "มาตรฐาน" ระดับประเทศ เพื่อที่ความแตกต่างระหว่างโรงเรียนจะได้ลบลงไป ถึงแม้ว่าน้ำหนักของแต่ละวิชาจะเหมือนกัน แต่ให้คุณคิดซะบ้างว่าเด็กมปลายนะ มันควรจะรู้เรื่องต่างๆของโลกบ้าง ไม่ใช่จะสอบเป็นวิศวะตั้งแต่ ม2 จะบ้าเหรอครับ เพราะอย่างนี้ ให้เลือกสายศิลป์วิทย์บ้าบอตั้งแต่เด็ก วิสัยทัศน์เด็กเมืองไทยเลยเป็นเหมือน กบในกะลา วิทย์ก็วิทย์ไปเลย ศิลป์ก็ไม่รู้เรื่องไปเลย A-Net - อันนี้ คืออันที่วัดความสามารถจริงๆ เพราะเป็นการสอบเฉพาะสาย ซึ่งมันก็ถูกต้องแล้ว ที่เด็กเฉพาะสายต้องสอบอันนี้โดยกำกับวิชา แต่ในเวลาเดียวกัน เมื่อต้องสอบ O-Net ด้วย จะทำให้เด็กมีวิสัยทัศน์กว้างขึ้น มีความสนใจในสิ่งต่างๆรอบตัว เด็กศิลป์จะได้รู้ว่าวิทยศาสตร์คืออะไร และเด็กวิทย์ก็จะได้พูดได้หลายๆภาษา สรุปแล้ว ผมไม่อยากเทียบกับการศึกษาเมืองนอก เพราะกลัวพวกคลั่งชาติ จะมานั่งบ่นว่าเราคือเมืองไทย ต้องเรียนแบบไทยๆ ยกระดับทางจิตใจบ้าบอคอแตกอะไรเทือกนี้ แต่นี่คือสิ่งที่เมืองนอกทำอยู่ คือการที่ส่งเสริมให้เด็ก เรียนวิชาหลายๆวิชา ก่อนที่จะเลือกวิชาเฉพาะ เช่นระบบ IB (international baccalaureate) เด็กจะเลือกได้ถึง 6 วิชา โดยสามารถรวม สังคม วิทย์ ภาษาต่างๆเข้าด้วยกัน โดยวิชาที่อยากเจาะจงก็สามารถเลือกเป็น higher level ได้ รวมทั้งมีการเขียนวิทยานิพนธ์ (extended essay) และวิชาปรัชญา เข้ามารวมด้วย จะได้ให้เด็กนั้น เข้าใจถึงความสำคัญของการศึกษา และการมองโลก ระบบของอังกฤษนั้น ก็มี o-levels (gcse) ที่เด็กเรียนได้ถึง 10+ วิชา ในตอน มัธยม 2 - 4 และหลังจากนั้น ตอนม 4 - 6 ก็สามารถเลือกได้ 3 วิชาที่อยากจะเจาะจง (A-levels) และวิชาอีก 2 - 3 วิชาที่อยากจะทำ (AS levels) คือถึงแม้จะต้องเรียนเฉพาะเข้าไป แต่ก็ยังให้โอกาศเด็กที่จะเรียนรู้ถึงความรู้หลายๆอย่าง หลายๆแขนงได้ สรุป ไปด่าเค้าว่าใช้ตี_เขียน ระวังต้องกลืนน้ำลายตัวเอง บ๊ายบาย จากคุณ : upholder of justice (! o_o !) - [ 18 พ.ค. 48 02:17:09 ]

ความคิดเห็นที่ 37 กำเวง ของ เด็กตาดำๆ เฮ้อ ดีนะเนี่ย พลาดมาหวุดหวิด ^ ^ ^ ^ เป็นกำลังใจให้เด็กไทยสู้ๆ รีบๆโตกันนะหนู แล้วเอาอุดมการณ์มาพัฒนาชาติไทยให้ก้าวไกลทัดเทียมต่างชาติ ปล.ใครฟังน้าสรยุทธ์สัมภาษณ์คุณหญิงวันก่อนบ้าง แหม รักคุณหญิงจังเลย กิกิ จากคุณ : มู๋เองค่ะ (นู๋หมูเองค่ะ) - [ 18 พ.ค. 48 12:26:55 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดูดีนี่คะ เห็นด้วยกับความเห็นที่ 36 ค่ะ ยกเว้นสองบรรทัดแรกกับสองบรรทัดสุท้ายที่ขอไม่เกี่ยวข้อง จากคุณ : แพรเซี่ยงไฮ้ - [ 18 พ.ค. 48 13:29:44 A:203.188.13.77 X: TicketID:095175 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แถมอีกนิด เราพูดกันถึงการให้เกรดเฟ้อของโรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งจะมาเป็นคะแนนในข้อ 1-2 ตามกระทู้ (รวม 30%) อยากให้ช่วยกันตรวจสอบระบบการสอบ ทั้ง A-NET และ 0-NET ซึ่งรวมถึง 70% ด้วย (ตามข้อที่ 3-4 ในกระทู้) การสอบทั้ง 70% นี้จะต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่มีรั่ว ไม่มีทุจริต นะคะ...ตรงนี้สำคัญไม่แพ้(หรือสำคัญกว่า)การที่แต่ละโรงเรียนปล่อยเกรดเฟ้อ (ซึ่งจะเฟ้อดย่างไรก็สิ้นสุดที่ทุกคนได้เกรด 4) จากคุณ : แพรเซี่ยงไฮ้ - [ 18 พ.ค. 48 13:40:10 A:203.188.13.77 X: TicketID:095175 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ++ เพิ่มเติม ++ สำหรับการดำเนินการรับสมัครในระบบแอดมิชชั่นในปี 2549 จะให้นักเรียนสมัครผ่านทางเว็บไซต์ และเสียค่าธรรมเนียมผ่านทางธนาคาร แต่ในการรับสมัครนั้นอาจจะมีนักเรียนบางส่วน ที่ไม่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ ที่ประชุมจึงได้มอบให้มหาวิทยาลัยที่เคยเป็นศูนย์รับสมัครช่วยดูแล กรณีที่เด็กไม่สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้ ส่วนการคัดเลือกและการประกาศผลในปี 2549 นั้น นักเรียนสามารถเลือกได้ 4 อันดับ และให้ สกอ.เป็นผู้ประกาศผล เพียง 1 อันดับ ส่วนการสอบ O-NET และ A-NET จะสอบประมาณวันที่ 27 ก.พ.-3 มี.ค.2549 ทั้งนี้ ในการสอบ O-NET จะสอบเพียง 1 ครั้ง ส่วน A-NET สามารถสอบได้มากกว่า 1 ครั้ง และสามารถเก็บคะแนนไว้ได้ 3 ปี และเลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด ทั้งนี้แนวทางดังกล่าวจะใช้เฉพาะปี 2549 เท่านั้น ส่วนในปีต่อๆ ไป จะปรับปรุงการดำเนินงานให้มหาวิทยาลัยเป็นผู้คัดเลือกผู้เรียนเองต่อไป จากคุณ : Visby - [ 18 พ.ค. 48 14:24:13 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ในปีการศึกษา 2548 สถาบันทดสอบจะดำเนินการประเมินให้กบช่วงชั้นที่ 4  ก่อน  เนื่องจากมหาวิทยาลัยต้องการใช้ผลการทดสอบเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ในระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษา สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติจะพัฒนาเครื่องมือเพื่อใช้วัดและประเมินผลมาตรฐานการจัดการศึกษาด้านผูเรียน  ในช่วงชั้นที่ 4   ใน 2 ระดับ   คือ                1.   แบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน(O – NET)                2.   แบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง    (A – NET) การสอบ O - NET  (Ordinary National Educational Test)                  O - NET คือ แบบสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน  เป็นการวัดผลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน   สำหรับในช่วงชั้นที่ 4  จัดสอบ  5  กลุ่มสาระการเรียนรู้  ได้แก่               1 ภาษาไทย             2 คณิตศาสตร์             3 วิทยาศาสตร์             4 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม             5 ภาษาค่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)                                                        ลักษณะข้อสอบแ ละการประเมินผล O - NET ประกอบด้วย               1. แบบทดสอบจะมีทั้งปรนัย และอัตนัย ในอัตราส่วนระหว่าง 80% – 90% :  10% – 20%   ข้อสอบแบบปรนัยจะเป็นข้อสอบแบบ  4  ตัวเลือก   สำหรับข้อสอบอัตนัยจะเป็นข้อสอบแบบเขียนคำตอบสั้นๆ (Short Answer)             2.  เวลาในการทำข้อสอบวิชาละ  2  ชั่วโมง           3. ข้อสอบแต่ละข้อ คะแนนอาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความยากง่ายของข้อสอบ           4. ข้อสอบครอบคลุมสาระและทักษะสำคัญของ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้            การสอบเป็นบริการของรัฐให้แก่นักเรียนทุกคนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ การสอบ A - NET  (Advanced National Educational Test)         A - NET  คือ  แบบสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง เป็นการวัดความรู้และ ความคิดวิเคราะห์ ซึ่งจะเป็นการวัดความรู้เชิง สังเคราะห์ โดยเน้นทักษะการคิดมากกว่า O-NET   ประกอบด้วย             1 ภาษาไทย 2           2 คณิตศาสตร์ 2           3 วิทยาศาสตร์ 2           4 สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม  2           5 ภาษาอังกฤษ 2                                       ลักษณะข้อสอบและการประเมินผล A - NET ประกอบด้วย             1. แบบทดสอบจะมีทั้งปรนัย และอัตนัย ในอัตราส่วนระหว่าง 60% – 80%  :  40% – 20%   ข้อสอบแบบปรนัยจะเป็นข้อสอบแบบ  4  ตัวเลือก   สำหรับข้อสอบอัตนัยจะเป็นข้อสอบแบบเขียนคำตอบสั้นๆ (Short Answer)           2. เวลาในการทำข้อสอบวิชาละ 2 ชั่วโมง ยกเว้นวิชาวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยเนื้อหาด้าน เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา อยู่ในฉบับเดียวกัน ที่ใช้เวลาในการสอบ 3 ชั่วโมง และจะแสดงผลการทดสอบทั้งรวมและแยก         3.ข้อสอบแต่ละข้อ คะแนนอาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความยากง่ายของข้อสอบ วิธีการคิดคะแนน         1. เมื่อมีการตรวจกระดาษคำตอบมีวิธีการวิเคราะห์ข้อสอบทุกข้อเพื่อหาคุณภาพขอข้อสอบ  ถ้าข้อสอบข้อใดไม่มีคุณภาพตามเกณฑ์ ไม่สามารถวัดหรือจำแนกได้ ข้อสอบข้อนั้นจะไม่นำมาคิดคะแนน ดังนั้นคะแนนที่ได้จะเป็นคะแนนสอบที่ได้มาจากข้อสอบที่มีคุณภาพทุกข้อ         2 คะแนนผลการสอบจะแปลงคะแนนเป็นคะแนนมาตรฐานรายวิชา                      ตารางแสดงสัดส่วนน้ำหนักของคะแนนของข้อสอบปรนัยและอัตนัย                      สาระที่จัดสอบ            O-NET             A-NET   % ปรนัย   %อัตนัย    % ปรนัย    % อัตนัย 1.ภาษาไทย     80-90     10-20     60 - 80     20 - 40 2.คณิตศาสตร์     80-90     10-20     60 - 80     20 - 40 3.วิทยาศาสตร์     80-90     10-20     60 - 80     20 - 40 5.สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม     80-90     10-20     60 - 80     20 - 40 6.ภาษาภาษาค่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)     80-90     10-20     60 - 80     20 - 40                              ตารางแสดงจำนวนชั่งโมงที่ใช้ในการสอบ แต่ละสาระวิชา * สาระที่จัดสอบ*                              * O-NET *        * A-NET * 1.ภาษาไทย                    2                  2 2.คณิตศาสตร์                  2                  2 3.วิทยาศาสตร์                  2                  3 5.สังคมศึกษา                   2                  2 6.ภาษาภาษาค่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)                                     2                  2 กำหนดการสอบประมวลความรู้  ช่วงชั้นที่ 4ประจำปีการศึกษา 2548   สอบ  O-NET วันเสาร์ที่25 – วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549 สอบ  A-NET วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์  –  วันพุธที่ 1 มีนาคม 2549 สาระที่จัดสอบ                 O-NET              A-NET     วันที่        เวลา                  วันที่        เวลา 1.คณิตศาสตร์    25 กพ 49       08.30-10.30   28 กพ 49      08.30-10.30 3.ภาษาภาษาค่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ)    25 กพ 49       12.00-14.00   28 กพ 49     12.00 -14.00 5.สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม    25 กพ 49       15.00-17.00   28 กพ 49      15.00-17.00 2.วิทยาศาสตร์    26 กพ 49       08.30-103.0     1 มีค 49      08.30-11.30 4.ภาษาไทย    26 กพ 49       12.00-14.00     1 มีค 49      13.00-15.00 Last Updated ( Wednesday, 18 May 2005 ) จากคุณ : Visby - [ 18 พ.ค. 48 21:31:40 ]

ความคิดเห็นที่ 42 "9.คะเเนน GPA ของนักเรียนทั่วประเทศจะต้องนำมาปรับมาตรฐานด้วยข้อสอบ O-Net ก่อน ไม่นำมาใช้เลยเพื่อป้องกันเกรดเฟ้อ โรงเรียนใดปล่อยเกรด ต้องโดนประจานชื่อโรงเรียน" This is how they deal with grade inflation. Reasonable. จากคุณ : .. - [ 19 พ.ค. 48 00:50:30 A:81.86.83.212 X: TicketID:083442 ]

ความคิดเห็นที่ 43 **เข้าใจประเด็นที่36พูด** แต่...ขอถามว่า เด็กจำเป็นต้องเป็นหนูทดลองของผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาหรือไม่  ถ้าจะปรับระบบ ทำไมไม่มีการถามเด็ก/ผู้ปกครอง/ครู ให้ดีก่อนว่าเขาอยากทำอย่างไร และอยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแต่ของม.ปลาย แล้วม.ต้นล่ะ แล้วประถมล่ะ     เด็กรุ่นปี49นี้ ก็เรียนอนุบาล-ม.ต้นมาเหมือนๆกับที่พวกเราเรียน แน่ใจหรือว่า บางคนมีความสามารถรอบรู้ในทุกวิชาจริงๆ  แน่ใจหรือว่า ระบบที่ ความสามารถในการสอนของครูแต่ละคนไม่เท่ากัน ครูบางโรงเรียนน้อยเกินไป มีชม.สอนล้นเต็มไปหมด หรือ ครูบางคนต้องสอนทั้งพละ สุขศึกษา สังคม เลขเองหมด...จะทำให้เด็กไม่เป็นพวก เกลียดเลขรักภาษา ชอบวิทย์ลืมภาษาไทย ระบบนี้เป็นระบบที่ดี เพราะทำให้เด็กหันมาสนในการเรียนในห้องและเป็นผู้มีความรู้แบบบูรณาการ แต่... ประเทศไทยพร้อมหรือยังที่จะปฎิรูป อ่านกี่ครั้งๆๆก็ไม่เข้าใจว่า ในเมื่อ ฐานมันไม่ดีตั้งแต่ต้นแล้ว จะสร้างยอดใหม่ไปทำไมกัน จากคุณ : SUPANIKA - [ 20 พ.ค. 48 02:47:13 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คห 36 ผมยินดีอยู่ร่วมกับพวกคลั่งชาติ ที่ยอมรับความจริง และวิเคราะห์อะไรตามสภาพสังคมที่เป็นอยู่จริง มองโลกหลายด้าน.... มากกว่าอยู่กับเสี่ยวในโลกที่สามที่ถือว่าของต่างชาติล้วนเป็นของดีเยี่ยม โดยที่ตัวเองก็รู้และหาข้อมูลมานิดๆหน่อยๆ(คงคิดว่าเห็นเอาข้อมูลอะไรก็ได้มาจากฝรั่งแล้วคนทั่วไปจะตาลุกเหมือนคนแถวบ้านตัวเอง) ยังไงกำพืดก็ฝังอยู่ในสายเลือดนั่นแหละครับ นี่กำลังอภิปรายปัญหาบ้านเมืองนะ ไม่ใช่ปาฐกถาเนื่องในวันชาติ แค่คำว่า "โอกาส" ก็ยังสะกดผิด (เดี๋ยวคอยดูสิ ต้องอ้างว่าสะกดผิดแค่นี้เรื่องเล็ก ไม่ได้เป็นปัญหาในการสื่อสาร ขี้แพ้แล้วไม่ยอมรับผิดแบบนี้ชัวร์ ดูจากคำพูดแล้ว) จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1.เด็กต่างประเทศที่ว่าไม่ใช่กบในกะลานั้น หมายถึงประเทศอะไร กี่ประเทศ แล้วใครบ้าง  แล้วประเทศที่ว่านี้เด็กหูกว้างตากว้างทั้งประเทศเลยหรือไม่ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริง(ซึ่งยากมาก) เค้าหูกว้างตากว้างกันเพราะไม่เรียนตามความถนัด แต่เรียนทั้งสองสายหรือเปล่า 2.เด็กประเทศไทยทุกคนโง่ เป็นกบในกะลาทั้งสิ้นหรือไม่ วัดความเป็นกบในกะลาอย่างไร เคยได้ตรวจข้อสอบของเด็กไทยทุกรุ่น ทุกประเทศ แล้วมองเห้นวิสัยทัศน์ หรือเป็นแค่พวกกระจก ที่ใช้ตรรกไม่เป็น แล้วพูดตามแม่ค้าข้างบ้านว่าอะไรที่เป็น "ของนอก"ล้วนดีไปหมด 3.คุณเคยไปเรียนเมืองนอกแล้วหรือเปล่า ถ้าเคย แสดงว่าการเรียนในเมืองนอกไม่น่าจะช่วยให้วิสัยทัศน์คุณกว้างขึ้นเลย คิดแบบตรรกไม่เป็น(เช่น คิดว่าเด็กต่างประเทศ- -ซึ่งไม่ระบุประเทศ- -ทุกคนหูกว้างตากว้าง คิดว่าเด็กไทยทุกคนเป็นกบในกะลา) จับประเด็นไม่ได้ แล้วกล้าอ้างถึงปรัชญา ผมล่ะสงสาร(พูดถึงเรื่องการสอบเข้าที่จะใช้ในปีหน้า ไม่ได้พูดถึงการเปลี่ยนระบบการศึกษา ไม่ได้มีใครว่าว่าระบบวิเศษที่คุณและครอบครัวเทิดทูนเป็นของแย่ แค่พูดว่าการจัดสอบแบบเทพประทานที่คุณชื่นชอบจะรีบเอามาใช้ไม่ได้ เพราะมีข้อเหลื่อมล้ำ แต่คุณกลับมาพ่นของที่ลอก- -อย่างคุณคงอ่านฉบับแปลแหละ - -มาเต็มไปหมด) ใช้คำย้อมสี เพื่อปิดโอกาสไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามอธิบาย (เช่น กลัวคนอื่นจะมาอธิบายเรื่องพื้นภูมิประเทศเราไม่เหมาะที่จะเอาระบบวิเศษของเทพเจ้าหัวแดงที่คุณกราบเท้ามาใช้ ก็เรียกว่าเป็นพวกคลั่งชาติ - -เค้าเรียกว่าดูบริบททางสังคมครับ ไม่ใช่คลั่งชาติ และแสดงมารยาททางวิชาการที่ต่ำ) ใช้ภาษาแย่ (สะกดคำง่ายๆผิด แสดงถึงความไม่มีการศึกษา ใช้คำผิดควาหมาย เช่น คลั่งชาติ) หรือจริงๆนั่งอ่านไทยรัฐ ดูละครช่องเจ็ดอยู่บ้าน แล้วมานั่งพล่ามตำราฝรั่งในนี้ หรือไปเรียนเมืองนอกมา (ซึ่งเรียนไม่เก่งแล้วล่ะแบบนี้) หุหุ ขอโทษคนอื่นที่อภิปรายอย่างสรางสรรค์อยู่ด้วยนะครับ ผมแค่ใช้ภาษาและวิธีคิดในการเขียนให้เหมาะแก่คู่สนทนา เท่านั้นเอง จากคุณ : จันทรมาณพ - [ 21 พ.ค. 48 12:03:27 ]

ความคิดเห็นที่ 45 แก้คำตกสามคำครับ คือ ความหมาย กระจอก และสร้างสรรค์ จากคุณ : จันทรมาณพ - [ 21 พ.ค. 48 12:04:51 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ว่าแล้วว่าต้องมีพวกคลั่งชาติเข้ามาแล้วก็จริงๆด้วย 1. + 2.  ไม่อยากจะพูดอะไรมากกับคนไม่รับความจริง เอาแค่นี้แล้วกัน สอบเมืองไทยไม่มีข้อเขียนเลย คุณว่าตรงนี้ไม่กบในกะลาไปหน่อยเหรอ ได้แต่กากล่องๆ คงจะโลกกว้างมากเลยสินะ 3.  กรุณาอ่านกระทูผมให้ดีกว่านี้หน่อย เห็นไหมว่าผมเขียนตอบให้ใคร เขียนตอบ edsg ที่กำลังว่าระบบอยู่ ไม่ได้เขียนด่าคนอื่น แก่แล้วอ่านหนังสือตกๆหล่นๆไม่ว่ากัน ส่วนคำถามส่วนตัวไม่อยากจะตอบ เอาเป็นว่าผมเรียนไม่เก่งก็แล้วกัน เบื่อคนไม่ยอมรับความจริง จากคุณ : ! o_o ! - [ 21 พ.ค. 48 17:12:14 ]

ความคิดเห็นที่ 47 http://www.parent-youth.net/ www.nuttygang.com ไฟล์รูปภาพ จากคุณ : noptawat - [ วันวิสาขบูชา 12:13:22 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ผมคิดว่าเด็ก(อนาคตของชาติ)ไทยตอนนี้ถูกปลูกฝังให้โตเดี่ยวขาดการทำงานเป็นทีมและขาดจินตนาการ...โรงเรียนแต่ละโรงเรียนมีหลายห้อง....หลายโรงเรียนได้มีการแบ่งห้องเก่งไว้เพื่อเอาเด็กเก่งมารวมกัน.....เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้เด็กเก่งหลายคน(โดยเฉพาะเด็กประถมที่ชอบเล่นมากกว่าเรียน)อยู่รวมกันก็ลำบาก.....พ่อแม่เป็นส่วนหนึ่งที่กดดันลูกเพื่อการสอบเข้าม.1หรือมหาวิทยาลัยว่าต้องสอบให้ได้คะแนนดีๆหรือที่ดีๆ...ความเครียดทำให้เกิดความก้าวร้าวและเห็นแก่ตัว,การท่องตำรามากๆทำให้สมองส่วนจินตนาการฝ่อลง...เด็กจะเลือกแก้ความเครียดจาการเรียนโดยfight or flight(สู้เรียนต่อหรือวิ่งหนี)...ซึ่งโดยปกติผู้หญิงจะมีลักษณะนิสัยคงเส้นคงวาตั้งแต่เกิดส่วนผู้ชายชอบทุ่มสุดตัวแล้วพัก....ดังนั้นการเรียนแบบนี้(มีความกดดันต่อเนื่อง)ผู้หญิงจึงมีแนวโน้มทำได้ดีกว่าผู้ชาย(ระบบการเรียนแบบนี้ต่อเนื่องไปจนถึงม.6)แต่เด็กทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายก็เครียด(ผู้ชายเครียดมากกว่า)ซึ่งความเครียดนั้นถ้าถูกกำจัดผิดวิธีบวกกับความไม่เข้าใจของพ่อแม่หรือผู้ปกครองย่อมทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา....เด็กแก้ปัญหาความเครียดแบบนี้ครับ--หลบจากโลกความจริงโดยเล่นเกมหรือแม้กระทั่งติดยา--สร้างจุดเด่นซึ่งบางจุดกลายเป็นปัญหาตามมาเช่นผู้ชายทำท่าตุ้งติ้ง(ไม่รวมพวกที่เป็นมาแต่กำเนิดนะครับ)เน้นความรุนแรงแบบขาใหญ่(ถ้าเกิดในผู้หญิงก็จะมีลักษณะเหมือนทอม)มอเตอร์ไซค์ซิ่งหรือใช้เงิน(ซึ่งอาจต้องหามาในทางที่ผิด)สร้างจุดเด่นในหมู่เพื่อน---บางคนยอมแพ้แบบเบี่ยงเบนทางเพศเพื่อได้รับการปกป้องหรือได้รับความรัก(เกย์ควีน,ดี้) ผู้ชายหายไปไหน? เมื่อแรกเกิดชายต่อหญิงประมาณ1ต่อ1แต่ตอนเข้ามหาวิทยาลัยผู้ชายหายไปไหน.....หลายคณะโดยเฉพาะสายวิทย์ที่ผู้ชายเคยมากกว่าผู้หญิงมากๆ(เช่น แพทย์ วิศวะ)ผู้ชายหายไปอย่างน่าใจหาย ระบบแอดมิสชั่นทำให้ผู้ชายหายไปใช่หรือไม่? เป็นปัจจัยหนึ่งครับ...นอกเหนือจากความกดดันตั้งแต่ประถมถึงมัธยมที่ไม่เหมาะกับบุคลิกผู้ชายที่ชอบเป็นที่ยอมรับของสังคม(ประเภทชอบให้ใครดูว่าข้าแน่)มากกว่าผู้หญิง...เวลาเรียนเก่งสักหน่อยโดนคัดไปอยู่ห้องเด็กเก่ง(ที่โรงเรียนเน้นทำชื่อเสียงให้โรงเรียน)ซึ่งแข่งขันกันมากขึ้น....ผู้ชายอาจภูมิใจที่อยู่ห้องเก่งแต่ระหว่างเรียนในห้องมันเศร้าใจเพราะลำดับที่ในห้องร่วงลง....ก็คะแนนเก็บ50จิตพิสัย20สอบปลายภาค30เอง,70แรกผู้หญิงทำได้ดีกว่าอยู่แล้ว...ตลอดประถมถึงมัธยมเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะเหลือผู้ชายที่ยังประทับใจภูมิใจเรื่องเรียน(แบบที่ไปโม้ได้)สักกี่คน....สุดท้ายจีพีเอที่จะเพิ่มทุกปีจนจีพีเอและจีแพกเท่ากับ50โอเน็ทบวกเอเน็ท50จะทำให้ผู้ชายสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้น้อยลงมากๆ...ที่ผมห่วงมากคือผู้ชายที่จะมาเรียนแพทย์และวิศวะน้อยลงเพราะผู้หญิงโดยทั่วไปไม่เลือกศัลยแพทย์และวิศวะโยธา....เราจะขาดศัลยแพทย์และวิศวะโยธาในระยะ10ปีข้างหน้า แล้วระบบแอดมิสชั่นดีหรือไม่? ดีครับผมเห็นด้วยกับการที่จะดึงเด็กกลับมาในโรงเรียนและครู-พ่อแม่ช่วยกันดูแลเด็กแต่ครูพ่อแม่ควรเข้าใจสไตล์เด็กผู้ชายซึ่งแตกต่างจากเด็กผู้หญิงพอสมควร....ถ้าคะแนนเก็บและจิตพิสัยไปเน้นที่กระดาษรายงานเรียบร้อยมากไม่มีที่ติ,ความประพฤฒิเหมือนผ้าพับไว้.....เราก็ต้องใช้ระบบโควต้าหรือให้เลือกวิชาเอก(เฉพาะคณะที่ต้องการให้ผู้ชายเข้าไปพอสมควร)ตอนแอดมิสชั่น....อาจกำหนดว่าโควตาวิศวะและแพทย์รับผู้ชายต่อผู้หญิงเท่ากับ1ต่อ1(เท่ากับอัตราการเกิดเด็กเพศชาย-หญิง)หรือให้แยกย่อยรับวิชาเอกตอนเข้าปี1เลยเช่นวิศวะโยธากี่คนวิศวะสื่อสารกี่คนแพทย์รักษาผิวหนังกี่คนแพทย์ผ่าตัดกี่คน สรุปว่าประเทศไทยต้องปฏิรูปพอสมควรสำหรับการแข่งขันกับประเทศอื่นๆซึ่งการปฏิรูปนั้นต้องเริ่มที่เด็กครับ ป.ล.อย่าไปกดดันเด็กว่าให้เรียนดีๆเพื่ออนาคตของชาติหรือของใคร...แค่ให้เด็กเรียนรู้อย่างมีความสุขแล้วเด็กก็จะเป็นอนาคตที่เข้มแข็งแล้วครับ อยากให้เป็นสัจจะอธิษฐานแก่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเด็กจังเลยครับ "ขอให้เด็กทุกคนได้เรียนรู้อย่างมีความสุขตลอดไป" จากคุณ : think_pos  - [ วันวิสาขบูชา 13:45:13 ] จากคุณ : think_pos - [ 23 พ.ค. 48 08:43:27 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ผมว่าใครที่กำลังจะเอนท์ปีนี้ ก็ฟิตโคตรๆเพื่อสอบตรงให้ติดไปเลยดีกว่า  ไม่ต้องมาเครียดกับระบบแอ๊ดมิดชั่นบู้บี้อะไรนี่หรอก จากคุณ : Alonely~* (ปูเทียมไก่ชุบ) - [ 23 พ.ค. 48 22:00:23 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เฮ้อ...เป็นเด็กแลกเปลี่ยนนี่จัดอยู่ในกลุ่ม 8 มั้ยคะ? มีเกรดแค่ 4 เทอมเอง แค่คิดก็เศร้าแง้ว จากคุณ : จันทรกานตา - [ 24 พ.ค. 48 13:16:39 ]

ความคิดเห็นที่ 51 คงไม่ต้องมาเรียกร้องให้ยกตัวอย่างให้ดูล่ะนะครับ ว่าข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย(ชนิดที่คนสอบเป็นหมื่นเป็นแสน)ประเทศไหนเป็นแบบเติมคำหรือเขียนบรรยาย เพราะคุณคงไม่รู้ระบบการสอบของประเทศอื่นเลย คงคิดค้ลายคนรับจ้างซักผ้าบ้านผม ว่า อะไรๆที่ใช้คำว่า "เมืองนอก" ได้ ก็เป็นของดีกว่าในประเทศไทยทั้งสิ้น ถึงไม่มีโอกาสไปเมืองนอก อ่านหนังสือเอาบ้างก็จะช่วยเปิดหูเปิดตาได้ดีขึ้นครับ ผมแนะนำ เปิดฟ้าส่องโลก ของนิติภูมิ นวรัตน์ ภาคไหนก็ได้ครับ มีพูดเรื่องการศึกษาด้วย จะได้รู้ว่า "เมืองนอก" หรือ "ต่างประเทศ" ที่ชาวบ้านอย่างคุณพูดนั่นน่ะ คืออะไร ส่วนเรื่องจะคลั่งชาติ หรือยอมรับความจริงนั้นน่ะ ลองอ่านงานของ ศ สิวลักษณ์ ดูจะช่วยคุณได้ครับ ผมไม่เบื่อคนขี้แพ้ และไม่ยอมรับความจริง "อย่างคุณ" หรอกครับ เพราะคนคิดไม่ทัน และ เถียงไม่ขึ้น อย่างคุณ ทำให้ผมใช้เวลาว่าง"ฝึกภาษา" ได้สนุกดี ^^ จากคุณ : นายจันทร์ (จันทรมาณพ) - [ 25 พ.ค. 48 16:48:30 ]

ความคิดเห็นที่ 52 IB information. See http://www.ibo.org/ibo/index.cfm. จากคุณ : .. - [ 25 พ.ค. 48 19:48:56 A:81.86.85.14 X: TicketID:083442 ]

ความคิดเห็นที่ 53 "คงไม่ต้องมาเรียกร้องให้ยกตัวอย่างให้ดูล่ะนะครับ ว่าข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย(ชนิดที่คนสอบเป็นหมื่นเป็นแสน)ประเทศไหนเป็นแบบเติมคำหรือเขียนบรรยาย เพราะคุณคงไม่รู้ระบบการสอบของประเทศอื่นเลย" เออ ก็ที่ยกตัวอย่างไปให้ดูไงครับ คุณเคยไปอ่านบ้างหรือเปล่าเนี่ย ถามจริงๆ?  a-levels กับ IB นี่แทบจะไม่มีข้อปรนัยเลยนะ ที่อเมริกา ถ้าจะเข้ามหาลัยดีๆก็ต้องมีเรียน AP (advanced placement) และต้องใช้ GPA แถมยังต้องมี admissions essay ถึงแม้จะต้องทำ SAT ก็เหอะ ว่าคนอื่น "โง่" แล้วพ่นความเห็น ค ค ออกมาแล้วมันน่าสมเพชนะพูดจากใจจริง edit: "... the IBO [organising body for the IB program] is presently influencing the education of about 170,000 students worldwide." source - IBO Annual Review 2003 the A-levels are taken by all virtually UK students (i.e. UK entrance exams) BLAH ... oh, the power of denial ... แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 48 00:26:21 จากคุณ : โอย จะเป็นลม (! o_o !) - [ 26 พ.ค. 48 00:03:05 ]

ความคิดเห็นที่ 54 [แอบดู] ..... จากคุณ : ......... - [ 26 พ.ค. 48 09:39:52 A:61.90.14.12 X: TicketID:051579 ]

ความคิดเห็นที่ 55 จะเข้าวิศวะ ต้องไปติวลิลลี่ ดาวองซ์หรือเปล่านี่ ทำใมคะแนนภาษาไทย สังคม มันมากกว่า ฟิสิก ชีวะ เคมี งง !! เด็กวิศวะต้องนั่งท่องคำสมาส คำสนธิ เรียนรู้การแต่งโคลงฉันท์ กลอน ไปทำซากอะไร อีกหน่อยตึกรามบ้านช่อง คงถล่มบ่อยแน่ ๆ จากคุณ : ^-^ - [ 26 พ.ค. 48 15:26:38 A:58.8.38.176 X: TicketID:004404 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ผมก็ไม่เห็นด้วยนะที่วิศวะจะต้องไปเรียนภาษาไทยอะไรขนานที่ คคหที่ 55 พูด และถ้าภาษาไทยใน O-Net ให้นักเรียนเรียนอะไรที่มันลึกเกินไปก็คงจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม นักเรียนไทยทุกคนควรที่จะเก่งภาษาไทยเพียงพอที่จะเขียนรายงานที่มีประเด็นเป็น และสามารถจับประเด็นที่มีต่างๆรอบๆตัวเอามารวมกันได้ อย่างเป็นระบบ แต่ตอนนี้ก็คงยากที่จะทำ เพราะข้อสอบยังเป็นแบบกาๆ ในอนาคตก็หวังว่าประเทศไทยจะสามารถที่จะทำได้นะ เพราะได้วางระบบไว้ส่วนหนึ่งแล้ว จากคุณ : .. - [ 26 พ.ค. 48 17:09:59 A:81.86.74.204 X: TicketID:083442 ]

ความคิดเห็นที่ 57 "ทำใมคะแนนภาษาไทย สังคม มันมากกว่า ฟิสิก ชีวะ เคมี งง" อาจจะโอเคก็ได้ ถ้าเขาทำให้คะแนนภาษาไทย สังคม ใน o-Net มันเก็บง่ายกว่า ฟิสิก ชีวะ เคมี มากๆ ไอ้พวกวิชาใน o-net ก็เรียนแบบง่ายๆพอ ให้เด็กไทยรู้อะไรกว้างๆบ้าง แต่ไม่ต้องลึกจนเกินไป ส่วนวิชา a-net ก็ทำไห้มันยากๆไปเลย จากคุณ : .. - [ 26 พ.ค. 48 17:15:46 A:81.86.74.204 X: TicketID:083442 ]

ความคิดเห็นที่ 58 คุณ think pos ไม่ต้องห่วง ผู้ชายยังครองโลกอยู่ดีละ จากคุณ : .. - [ 26 พ.ค. 48 17:24:22 A:81.86.84.25 X: TicketID:083442 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ผมไม่ได้ห่วงว่าใครจะครองโลกหรอกครับคุณ.. เพียงแต่สังคมควรอยู่ในสมดุล,งานบางอย่างชายทำได้ดีกว่าหญิงก็ควรให้เขาได้มีโอกาสทำในขณะเดียวกันงานที่หญิงทำได้ดีกว่าชายก็ให้หญิงทำ....ไม่ควรสร้างระบบคัดเลือกที่ทำให้ชายหรือหญิงหมดโอกาสในการทำสิ่งที่ตนเองทำได้ดีกว่าครับ ถ้าชายหรือหญิงไม่ได้ทำงานที่ตนเองถนัดเพียงเพราะระบบคัดเลือกที่บิดเบี้ยวเราควรทำระบบคัดเลือกให้ดีขึ้นไม่ใช่หรือครับ ถ้าเราไม่มองให้พ้น(ผลประโยชน์)ตัวของเรา,เพศของเรา,ฯลฯของเรา............เราจะไม่สามารถสร้างสังคมให้ดีขึ้นในอนาคตครับ จากคุณ : think_pos - [ 26 พ.ค. 48 18:59:23 ]

ความคิดเห็นที่ 60 แล้วสอบตรงล่ะคะ มันแล้วแต่คณะจะกำหนดใช่หรือป่าว แล้วมีการสอบส่วนไหนที่ตรงกับเดือนตุลาคมปี 48 บ้างมั้ยคะ อยากได้ข้อนี้มากๆ จากคุณ : ยุ้ย - [ 26 พ.ค. 48 19:30:41 A:203.118.116.79 X: TicketID:099674 ]