ความคิดเห็นที่ 1 วินิจฉัยเรื่องพระเจ้าอู่ทอง เรื่องของ พระเจ้าอู่ทอง หรือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ดูเป็นเรื่องสลับซับซ้อน เนื่องจากมีนิทาน นิยายปรัมปราเข้ามาปะปนมาก คล้ายกับเป็นเรื่องไม่จริง แม้แต่ชาวต่างประเทศก็สนใจวิเคราะห์กันไว้หลายคน บางคนเขียนไว้อย่างเสียหาย ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในหลักฐานเอกสารที่น่าเชื่อถือ อนึ่งความเชื่อเดิมที่ว่า พระเจ้าอู่ทองหนีโรคห่ามาจากเมืองอู่ทองนั้น บัดนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะจากหลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดียืนยันว่า เมืองอู่ทองร้างไปไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ปีก่อนพระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ใน พ.ศ. ๑๘๙๓ ถือเป็นความก้าวหน้าทางวิชาประวัติศาสตร์ที่ได้เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าหากมีหลักฐานยืนยันแน่นอน สนใจเรื่องพระเจ้าอู่ทองโปรดอ่านได้จากเรื่องนี้ จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:06:25 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขณะที่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ทรงตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้นนั้น มีชนชาวไทยหลายพวกด้วยกันอพยพลงมาอยู่ในดินแดนตอนใต้ของคาบสมุทรอินโดจีน พวกที่มีกำลังเข้มแข็งก็ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้น พวกที่อ่อนแอไม่สามารถรวมกันเป็นปึกแผ่นได้ก็เข้ามาอยู่ในความปกครองของชนเหล่าอื่น ระยะเวลานี้มีเจ้าไทยองค์หนึ่งพระนามตามเรียกกันเป็นสามัญว่า พระเจ้าอู่ทอง สามารถตั้งตนเป็นใหญ่ในภาคกลางของประเทศไทย ตั้งราชธานีขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา พระราชประวัติสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาที่ว่า พระองค์ท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ของผู้ใด เดิมอยู่ที่ไหน และเหตุใดจึงมาสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานีนั้นมีหนังสือกล่าวไว้มากมาย ต่างเรื่องต่างกล่าวกันไปหลายอย่าง นายดับบลิว. เอ. อาร์. วู้ด ได้กล่าวว่า “มีบุคคลน้อยนักที่ปรากฏชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ไทย แล้วมีประวัติลึกลับไร้ความแน่นอนเหมือนพระองค์ผู้ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยา” จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:07:02 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 3 พงศาวดารโยนก ของ พระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) และพระราชพงศาวดารสังเขป ของสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวต้องกันว่า เมื่อปีจอ จุลศักราช ๕๔๐ (พ.ศ. ๑๗๓๑) มีพระเจ้าแผ่นดินไทยพระองค์หนึ่ง เป็นเชื้อวงศ์ของพระเจ้าพรหมผู้ปราบขอม ได้แผ่อาณาจักรไทยบริเวณภาคเหนือลงมาจนจดแดนเชลียงเป็นครั้งแรกพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ที่ว่านี้มีนามว่า พระเจ้าไชยศิริ ครองเมืองไชยปราการ (ปัจจุบันเป็นเมืองร้างอยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่) ต่อมาพระเจ้าสุธรรมวดีแห่งเมืองสะเทิมหรือสะตอง ได้กรีธาทัพเข้ารุกราน พระเจ้าไชยศิริจึงอพยพราษฎรเลื่อนลงมาทางใต้เมื่อ พ.ศ. ๑๗๓๑ มาตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองร้างแห่งหนึ่งชื่อว่า เมืองแปบ อยู่ในแขวงจังหวัดกำแพงเพชร และตั้งราชธานีใหม่ขึ้นที่นั่น เรียกกันว่า เมืองไตรตรึงส์ “เมื่อพ่ายแพ้มอญมานั้น พระเจ้าไชยศิริคงมิสามารถอพยพผู้คนหนีมาได้ทั้งหมด น่าจะหลบหนีมาพร้อมด้วยผู้ใกล้ชิดบางคน และที่ว่ามาสร้างเมืองนั้นก็คงหาเป็นความจริงไม่ เมื่องเก่าคงจะมีผู้คนอยู่แล้ว เป็นดินแดนไทยด้วยกันเมื่อได้ทราบว่าพระเจ้าไชยศิริเป็นผู้ใด ก็เห็นจะเต็มใจยกขึ้นไปเป็นกษัตริย์แห่งตน” เชื้อพระวงศ์พระเจ้าไชยศิริได้ครองราชสมบัติสืบต่อกันมาอีก ๔ ชั่วกษัตริย์ ก็ถึงสมัยพระเจ้าอู่ทอง พระราชมารดาของพระเจ้าอู่ทอง คือ ราชธิดาท้าวไตรตรึงส์ ส่วนวงศ์สกุลฝ่ายพระชนกพระเจ้าอู่ทองนั้นไม่ปรากฏแน่ชัด จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:07:34 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ในตำนานเดิมเรื่องท้าวแสนปม ได้กล่าวถึงต้นวงศ์ของพระเจ้าอู่ทองว่า มีเจ้าเชื้อไทยองค์หนึ่งเชื้อสายมาจากพระเจ้าพรหม ซึ่งตีได้อาณาเขตลานนาไทยจากพวกขอม อพยพลงมาทางใต้เมื่อ พ.ศ. ๑๗๓๑ เพราะมหาราชเมืองสะเทิมยกทัพมาตีพระนคร ได้มาสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่ เมืองแปบ (เป็นเมืองร้างในเขตจังหวัดกำแพงเพชร) เรียกว่า เมืองไตรตรึงส์ แล้วเสวยราชย์สืบวงศ์มา ๓ ชั่ว ถึงรัชกาลพระเจ้าไตรตรึงส์ที่ ๓ มีชายทุคตะเข็ญใจคนหนึ่งรูปร่างวิกลเป็นปมเปาไปทั่วทั้งตัว จนเรียกกันว่า แสนปม ทำไร่เลี้ยงชีพอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่งใต้เมืองไตรตรึงส์ นายแสนปมนั้นมักไปถ่ายปัสสาวะที่โคนต้นมะเขือในไร่ของตนเนือง ๆ ครั้นมะเขือออกผล เผอิญมีผู้นำไปส่งทำเครื่องเสวยที่ในวัง ราชธิดาองค์หนึ่งเสวยมะเขือนั้นทรงครรภ์ขึ้นมาโดยมิได้มีวี่แววว่าเคยคบชู้สู่ชายแล้วคลอดบุตรเป็นชาย พระเจ้าไตรตรึงส์ใครจะรู้ว่าใครเป็นบิดาของบุตรนั้น พอกุมารเจริญถึงขนาดรู้ความก็ประกาศสั่งให้บรรดาชายในเมืองไตรตรึงส์หาของมาถวายกุมารราชนัดดา และทรงอธิษฐานว่า ถ้ากุมารเป็นบุตรของผู้ใด ขอให้รับของของผู้นั้น นายแสนปมถูกเรียกเข้าไปด้วย ไม่มีอะไรจะถวาย มีแต่ข้าวสุกก้อนหนึ่งถือไป แต่กุมารเลือกรับเอาข้าวสุกก้อนนั้นเห็นประจักษ์ตาแก่คนทั้งหลาย พระเจ้าไตรตรึงส์ได้รับความอัปยศอดสู จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:08:14 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 5 จึงเอากุมารหลานชายกับราชธิดาที่เป้นมารดาลงแพปล่อยลอยน้ำไปเสียด้วยกัน กับนายแสนปม แต่เมื่อแพลอยไปถึงไร่ของนายแสนปม พระอินทร์ได้จำแลงเป็นวานรเอากลองสารพัดนึกลงมาให้นายแสนปมลุกหนึ่ง บอกว่าถ้าปรารถนาสิ่งใดก็ให้ตีกลองนั้นจะ สำเร็จได้ดังปรารถนา นายแสนปมตีกลองครั้งแรกปรารถนาจะให้ปมเปาที่ตัวหายไปก็หายหมด กลับมีรูปร่างโฉมสง่างาม ตีครั้งที่สองปรารถนาจะให้มีบ้านเมืองสำหรับครอบครอง ก็เกิดนครขึ้น (จารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ เรียกว่า เมืองคนที ขณะนี้เรียกว่า บ้านโคน ในเขตจังหวัดกำแพงเพชร) ตีครั้งที่สามปรารถนาเปลทองคำสำหรับให้กุมารนอนก็เกิดเปลทองคำขึ้นมาดังปรารถนา เพราะกุมรมีบุญได้นอนเปลทองคำของนฤมิตผิดกับคนอื่น จึงได้นามว่า พระเจ้าอู่ทอง ส่วนนายแสนปมได้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าไชยศิริเชียงแสน ครองเมืองที่เนรมิตนั้น ขนานนามเมืองว่า เทพนคร เมื่อพระเจ้าไชยศิริเชียงแสนสิ้นพระชนม์พระเจ้าอู่ทองรัชทายาทได้ครองราชย์สืบต่อมา ภายหลังที่ครองเมืองได้ ๖ ปี พระเจ้าอู่ทองก็ปรารถนาที่จะสรางเมืองราชธานีใหม่ให้บริบูรณ์พูนสุขกว่าเทพนคร ให้ข้าหลวงเที่ยวตรวจตราหาที่ ก็พบว่าที่ตำบลหนองโสนเหมาะดี จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:08:44 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 6 พระเจ้าอู่ทองจึงย้ายจากเมืองเทพนครลงมาสร้างพระนครศรีอยุธยาขึ้นที่นั่น ราชาภิเษกทรงพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ “เรื่องท้าวแสนปมนั้น ดูมีข้อความวิจิตรพิสดารเกินกว่าที่จะผูกขึ้นเป็นนิยายเฉย ๆ เรื่องนั้นมีมูลความจริงอยู่ แต่ผู้ที่เล่าภายหลังไม่ได้มีความรู้สึกซึ้งปานใด ทั้งใจก็ชอบในทางปาฏิหารย์มากเกินไปจนเหลือที่จะเชื่อได้” ในพงศาวดารเหนือ ตอนเรื่องพระยาแกรก กล่าวว่าเมื่อพระยาแกรกสิ้นพระชนม์แล้ว ได้มีผู้ครองเมืองสืบมา ๓ ชั่ว จนถึงชั่วที่ ๓ มีแต่ราชธิดาไม่มีวงศ์ที่เป็นชายครองเมืองโชฎกเศรษฐีได้จัดการให้เจ้าอู่ทองบุตรโชฎกเศรษฐีอภิเษกกับราชธิดาซึ่งสืบเชื้อสายมจากพระยาแกรก จึงได้ครองเมืองนั้นจะเป็นเมืองใดไม่ปรากฏ ปกครองเมืองได้ ๗ ปี เกิดโรคระบาด ผู้คนล้มตายลงเป็นอันมาก เจ้าอู่ทองได้ยกไพร่พลออกจากพระนครเมื่อตอนเที่ยง คือมุ่งไปยังทิศทักษิณ เดินทางได้ ๑๕ วัน จึงมาถึงแม่น้ำสายหนึ่ง และเห็นเกาะ ๆ หนึ่งมีชัยภูมิอันเหมาะสม ให้เตรียมเรือข้ามน้ำและบุกป่าโสนเข้าไปบนเกาะและสร้างเมืองขึ้น ณ ที่นั้น ส่วนพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหมอบรัดเลย์กับเรื่องจุลยุทธการวงศ์ และเรื่องสิงหนวัติกุมาร กล่าวว่ามีเชื้อสายของพระเจ้าพรหม ทรงพระนามว่า พระเจ้าไชยศิริอพยพมาตั้งอยู่ใกล้เมืองกำแพงเพชร เรียกว่า เมืองไตรตรึงส์และสืบต่อมาอีกหลายชั่วกษัตริย์จนถึงพระเจ้าอู่ทอง ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาเจริญสัมพันธ์ไมตรีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับราชวงศ์พระเจ้าพรหมไว้ในจดหมายเหตุว่า พระเจ้าพรหมเป็นปฐมสุริยเทพครองเมืองไชยปราการมหานคร เมื่อ พ.ศ. ๑๓๐๐ มีกษัตริย์ครองราชย์สืบต่อมาอีกหลายชั่ว และทรงย้ายราชธานีหลายครั้ง จนถึงพระเจ้าพนมชัยศิริซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒๒ นับต่อจากพระเจ้าพรหมผู้เป็นปฐมกษัตริย์ พระองค์ทรงย้ายราชธานีมาตั้งที่เมืองนครไทย เมื่อ พ.ศ. ๑๗๓๑ กษัตริย์องค์ต่อมาได้ย้ายมาตั้งเมืองพริบพรี (หรือเพชรบุรี) จนถึงกษัตริย์องค์ที่ ๒๖ คือ พระเจ้าอู่ทอง ได้ทรงย้ายมาสถาปนากรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๔ แต่ลาลูแบร์ไมได้กล่าวถึงเหตุผลที่พระเจ้าอู่ทองทรงย้ายราชธานีจากเมืองเพชรบุรีมาสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่ จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:09:15 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 7 หนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า กล่าวว่า พระเจ้าอู่ทองทรงครองเมืองเพชรบุรีอยู่ก่อน แล้วจึงมาสร้างกรุงศรีอยุธยา เหตุที่ย้ายมานั้นเนื่องจากเพชรบุรีเกิดทุพภิกภัย ข้าวยากหมากแพง สัตว์พาหนะล้มตาย รวมทั้งชาวเมืองเพชรบุรี ก็เจ็บป่วยล้มตายลงด้วย จนต้องอพยพหนีจากเมืองเพชรบุรีไปหาที่สร้างพระนครใหม่ พระเจ้าอู่ทองเป็นโอรสของพระอินทราชา ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าชาติราชาผู้ครองราชย์อยู่ ณ สิงหบุรี จากหลักฐานดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า พระราชประวัติของพระเจ้าอู่ทองที่ว่าพระองค์เป็นใครมาจากไหนนั้น เป็นปัญหาขัดแย้งกันอยู่ เพราะต่างเรื่องกล่าวไปต่าง ๆ กัน จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๖ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จไปตรวจโบราณวัตถุสถานที่จังหวัดสุพรรณบุรี ทรงทราบว่าเมืองร้างแห่งหนึ่ง อยู่ใกล้ตำบลจระเข้สามพันธุ์ อำเภออู่ทอง ทรงสอบถามชาวบ้าน ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าชื่อเมืองอะไร มีบางคนกราบทูลว่าชื่อเมืองท้าวอู่ทอง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงวินิจฉันเรื่องราวและชื่อของเมืองนี้ไว้ในหนังสือ “นิทานโบราณคดี” ว่า เมืองอู่ทองนี้เป็นเมืองเก่าสมัยทราวดี (พุทธศตวรรษที่ ๑๒–๑๖) และคงมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเมืองนครปฐม เพราะได้ขุดพบพระพุทธรูปและเงินตราซึ่งมีลักณะเดียวกับที่ได้พบที่นครปฐม อาจจะเป็นเมืองเดียวกับเมืองสุวรรณภูมิ ปรากฏชื่อในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง เพราะชื่อ “อู่ทอง และ สุพรรณภูมิ” นี้อาจตีความหมายได้ว่า “แผ่นดินอันมีทองคำมาก” จากคุณ : ขุนนางอยุยา - [ 15 พ.ค. 48 23:09:48 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 8 นิทานและสถานที่หลายแห่งที่เกี่ยวโยงถึงพระเจ้าอู่ทอง เช่น เมืองท้าวอู่ทอง ท่าท้าวอูทอง การที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า เมืองอู่ทองโบราณเป็นเมืองเดิมของพระเจ้าอู่ทอง ก็โดยอาศัยเหตุที่ว่าเป็นเมืองโบราณ มีตำนานและการบอกเล่าของคนในท้องถิ่นเกี่ยวกับชื่อ เมืองท้าวอู่ทอง, ท่าท้าวอู่ทอง และทรงให้เหตุผลเสริมว่า ในสมัยโบราณนิยมเรียกพระนามประมุขของแคว้นหนึ่ง ๆ ตามชื่อเมืองนั้น ๆ เช่น พระเจ้าน่าน พระเจ้าเชียงใหม่ เป็นต้น นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีส่วนใหญ่เห็นชอบด้วยกับข้อเสนอนั้น ดังนั้น ความคิดที่ว่าเมืองเดิมของพระเจ้าอู่ทองก่อนที่จะทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี คือ เมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ครั้นเกิดโรคห่าซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นอหิวาตกโรค พระองค์ต้องอพยพผู้คนพลเมืองไปอยู่ที่ตำบลเวียงเล็ก เพื่อดูท่าทีอยู่เป็นเวลา ๓ ปี ก่อนที่จะสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ จึงเป็นที่ยึดถือกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:10:24 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๖ กองโบราณคดี กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดแต่งโบราณสถานเมืองอู่ทอง พบศิลปวัตถุและโบราณสถานอันเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีหลายแห่ง ผลของการขุดค้นยืนยันได้ว่า ." อู่ทอง " เป็นเมืองสำคัญแห่งอาณาจักรทราวดี ศาสตราจารย์ ชอง บัวเซอร์ลิเยร์ แห่งมหาวิทยาลัยปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ชำนาญด้านโบราณคดีภาคเอเชียอาคเนย์ ได้ให้ความเห็นว่า อู่ทองมีความสำคัญตั้งแต่เริ่มสมัยประวัติศาสตร์แล้ว และน่าจะได้เจริญติดต่อกันมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หรือกึ่งก่อนประวัติศาสตร์จนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ หรือ ๑๘ อันเป็นเวลาที่เมืองอู่ทองอาจถูกทอดทิ้งไปอย่างกระทันหัน เพราะภัยธรรมชาติหรือเพราะเหตุอื่น เพื่อไปสร้างเมืองใหม่ที่สุพรรณบุรี อันเป็นที่ซึ่งพระเจ้าอู่ทองเคยประทับ แต่เมืองอู่ทองโบราณนี้ได้เสื่อสลายร้างไปเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ถึง ๑๗ ก่อนสมัยประสูติพระเจ้าอู่ทองระหว่าง ๑๐๐ ถึง ๒๐๐ ปี ด้วยโบราณวัตถุสถนที่ค้นพบในเมืองนี้มีอายุเพียงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เท่านั้นหาได้ลงมาจนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ไม่ ดังนั้นพระเจ้าอู่ทองจะต้องอพยพมาจากเมืองอื่น มิใช่จากเมืองอู่ทอง ข้อมูลทางโบราณคดีนี้จึงเปลี่ยนความเชื่อเดิมในประวัติศาสตร์ไทยที่ยอมรับกันมากว่ากึ่งศตวรรษ ว่าพระเจ้าอู่ทองได้ทรงอพยพผู้คนหนีโรคระบาดจากเมืองอู่ทอง แล้วจึงไปสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:10:55 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ส่วนปัญหาที่ว่า พระเจ้าอู่ทองเสด็จมาจากเมืองใดนั้นได้มีผู้เสนอข้อคิดเห็นไว้ต่าง ๆ กัน คือ ศาสตราจารย์ ชอง บัวเซอลิเยร์ กล่าวว่า เมืองอู่ทองร้างไปแล้ว ชาวอู่ทองอาจอพยพไปอยู่ที่ตำบลบ้านไร่รถหรือหนองแลง ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำท่าว้า ปัจจุบันอยู่ในตำบลดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี พระเจ้าอู่ทองอาจเสด็จจากที่นั่นไปสร้างพระนครศรีอยุธยาขึ้นเป้นราชธานีใหม่ โดยอ้างเหตุผลหลักฐานทางโบราณวัตถุที่บ้านไร่รถมีมาตั้งแต่สมัยลพบุรี ลงมาถึงสมัยอยุธยาตอนต้น ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล กรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย ทรงเสนอว่า พระเจ้าอู่ทองคงเสด็จมาจากเมืองใดเมืองหนึ่งในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี นายตรี อมาตยกุล กรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย ได้เสนอข้อคิดเห็นว่า พระเจ้าอู่ทองต้องเป็นกษัตริย์ หรือเป็นเจ้าผู้ครองนครที่ใหญ่โตมาแล้ว จึงจะมีกำลังรี้พลมากพอที่จะสร้างกรุงศรีอยุธยาอันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเมืองทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้ พระองค์น่าจะเสด็จมาจากเมืองใดเมืองหนึ่งในสองเมืองนี้ คือ เมืองสุพรรณบุรี และเมืองละโว้ (ลพบุรี) เพราะเมื่อราชาภิเษกแล้ว ได้โปรดให้พระราเมศวรราชโอรสเสด็จไปครองเมืองละโว้ หรือเมืองลพบุรี และโปรดให้ขุนหลวงพงั่วไปครองเมืองสุพรรณบุรี ถ้าทั้งสองเมืองนี้ไม่ใช่เมืองสำคัญคงไม่โปรดให้เจ้านายที่มีศักดิ์สูงไปครองแน่ จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:11:43 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 11 นายตรี อมาตยกุล เชื่อว่า พระเจ้าอู่ทองคงจะเสด็จมาจากเมืองสุพรรณภูมิมากกว่าเมืองละโว้ เพราะพระนามของพระเจ้าอู่ทอง ถ้าเรียกกลับเป็นภาษามคธก็คือ สุพรรณภูมินั่นเอง ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช กรรมการการชำระประวัติศาสตร์ไทย เสนอให้พิจารณา “เมืองเทพนคร ซึ่งเป็นเมืองคู่กับสิงห์ไตรตรึงส์ และอาจเป็นเมืองสิงห์เดิม ที่วัดหน้าพระธาตุ เมืองสิงห์” นายธนิต อยู่โพธิ์ กรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยมีความเห็นว่า ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะมาสร้างราชธานีนี้ขึ้น ณ บริเวณหนองโสนนั้น ท้องที่แถบนั้นคงจะเป็นที่ตั้งเมืองโบราณ มีเมืองอยู่ก่อนหรือมีอยู่ร่วมสมัยกับกรุงสุโขทัย เพราะปรากฏว่า ทำเลในท้องที่แถบนั้น คงจะเป็นที่ตั้งเมืองโบราณ เคยเป็นแหล่งชุมนุมชนมีผู้คนคับคั่ง มิฉะนั้นคงจะไม่มีกำลังเพียงพอที่จะสร้างพระพุทธรูปพนัญเชิงอันใหญ่โตได้ ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาถึง ๒๖ ปี ด้วยเหตุนี้น่าจะเข้าใจว่า ณ ท้องที่บริเวณนั้นเคยเป็นที่ตั้งของเมืองเก่า ซึ่งมีชื่อเรียกไว้ในจดหมายเหตุหรือหนังสือเก่าว่าอโยชณิบ้าง อายุทธิยา หรืออโยชฌะปุระบ้าง ซึ่งคงจะหมายถึงเมืองเดียวกัน แต่เขาเรียกชื่อแผกเพี้ยนกันไป นายธนิต อยู่โพธิ์เสนอข้อคิดเห็นอีกว่า ผู้ครองแคว้นอยุธยาเดิมคงมีนามว่า พระรามราชา หรือ พระรามาธิบดี โดยอาศัยแนวเรื่องพระรามวีรบุรุษในรามเกียรติ์หรือรามายณะผู้ครองกรุงอโยธยาสืบต่อจากท้าวทศรถ ซึ่งคงจะเป็นวีรบุรุษที่ยกย่องนับถือกันอยู่ในสมัยนั้น อาจเนื่องมาจากเหตุการณ์ทางสงคราม นายมานิต วัลลิโภดม ผู้เชียวชาญโบราณคดี และกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม โบราณคดี เสนอข้อคิดว่าอโยธยาเป็นเมืองเก่าของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ก่อนที่จะมาสร้างกรุงศรีอยุธยาศรีเป็นราชธานี และได้เสนอพระนามกษัตริย์แห่งกรุงอโยธยาศรีรามเทพนครทั้ง ๑๐ พระองค์ด้วย นายศรีศักร วัลลิโภดม อาจารย์บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร มีความเห็นเช่นเดียวกันว่า กรุงอโยธยาซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของเมืองอยุธยา น่าจะเป้นเมืองเดิมของพระเจ้าอู่ทองก่อนที่จะสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:12:21 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 12 นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีส่วนใหญ่ มีความเห็นเกี่ยวกับเมืองเดิมของพระเจ้าอู่ทองเป็น ๒ ทฤษฎีด้วยกัน คือ ๑. บางท่านกว่าวว่า พระเจ้าอู่ทองคงทรงอพยพมาจากเองในแถบจังหวัดสุพรรณบุรีนั้นเอง ทั้งนี้เพราะคำว่า อู่มอง- สุกพรรณบุรี – สุพรรณภูมิ เป็นหลักฐานยืนยันอยู่ว่า คงเป็นสถานที่แห่งเดียวกัน พระองค์คงจะทรงเป็นพระราชบุตรเขยของเจ้าเมืองนั้น ๒. บางท่านกล่าวว่า พระเจ้าอู่ทองประทับอยู่ที่เมืองอโยธยามาแต่ก่อนเดิม เมืองนี้ตั้งอยู่ใกล้วัดพนัญเชิงในปัจจุบัน และพระองค์ทรงอพยพไพร่พลหนีอหิวาตกโรคด้วยการอพยพข้ามฟากแม่น้ำเท่านั้น ระหว่างสองทฤษฎีข้างต้นนี้ ขอย้ำว่า ทฤษฎีที่ว่าพระเจ้าอู่ทองน่าจะมาจากเมืองใดเมืองหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรีนั้นน่าจะมีน้ำหนักมากกว่า กล่าวคือ ถ้าเกิดโรคระบาดจริงการอพยพผู้คนเพียงแค่ข้ามฟากแม่น้ำไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งนั้น ย่อมจะไม่แก้ปัญหานั้นได้ แต่ปัญหาที่ว่าพระเจ้าอู่ทองจะเสด็จมาจากเมืองไหนนั้น ปัจจุบันนี้ยังไม่มีคำตอบที่แน่นอน จะต้องอาศัยการสำรวจขุดค้น และขุดแต่งโบราณสถานตามเมืองต่าง ๆ ที่อ้างถึงเหล่านั้นเสียก่อน เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วน ก็พอจะยืนยันได้ว่า ทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้นถูกต้องแน่นอน หรืออาจเป็นที่อื่น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีข้างต้นก็ได้ อย่างไรก็ตาม เมืองเดิมของพระองค์ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด จะต้องเป็นเมืองใหญ่ และมีกำลังไพร่พลมากพอที่จะสร้างราชธานีใหม่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้ จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:12:53 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 13 หลักฐานส่วนใหญ่กล่าวกันว่า พระเจ้าอู่ทองได้อภิเษกสมรสกับของเจ้าผู้ครองนครเมืองหนึ่ง (เดิมสันนิษฐานว่าเป็นเมืองอู่ทอง) และพระองค์ทรงพระปรีชาสามรถได้ช่วยเหลือราชการบ้านเมืองจนเป็นที่ไว้วางใจแก่เจ้าผู้ครองเมือง และเป็นที่รักใครของพลเมืองในนครนั้น ข้อที่แสดงความสามารถนี้กล่าวไว้ในพงศาวดารพม่าว่า ตั้งแต่รัชกาลพระเจ้าแสนเมืองมิ่ง เป็นต้นมา หัวเมืองทั้งปวงก็แยกเป็นอิสระไม่ยอมขึ้นต่อกรุงสุโขทัย พระเจ้าแสนเมืองมิ่งทรงยกทัพไปตีเมืองทวายและเมืองตะนาวศรี ซึ่งเป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัยเอาไปเป็นเองขึ้นของมอญ เมื่อ พ.ศ. ๑๘๖๑ พระเจ้าเลอไทยทรงส่งกองทัพออกไปปราบแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เมืองมอญทั้งปวงเลยตั้งตัวแข็งเมืองมาแต่ครั้งนั้น ต่อมาเมืองทวายและเมืองตะนาวศรีก็กลับคืนมาเป็นของไทยอีก จึงสันนิษฐานว่าคงจะเป็นไทยจากเมืองซึ่งพระสัสสุระของพระเจ้าอู่ทองครองอยู่ ไม่ใช่ไทยจากกรุงสุโขทัยไปตีเมืองคืนมาได้ ทั้งนี้เพราะเมื่อพระเจ้าอยู่ทองทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาแล้ว ก็มีเมืองตะนาวศรีเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่แรก พระเจ้าอู่ทองอาจจะทรงแสดงพระปรีชาสามารถในครั้งนี้ให้ประจักษ์แก่คนทั้งหลาย ดังนั้นเมื่อเจ้าผู้ครองนครเดิม ซึ่งเป็นพระสัสสุระของพระองค์สิ้นพระชนม์ลงพระเจ้าอู่ทองจึงได้เป็นเจ้าเมืองสืบแทนต่อมาใน พ.ศ. ๑๘๘๙ จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:13:27 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ความคิดที่พระเจ้าอู่ทองจะตั้งตนเป็นใหญ่ ณ ตอนกลางของประเทศไทยเป็นอิสระไม่ยอมขึ้นต่อกรุงสุโขทัยนั้น เนื่องจากไทยทางเมืองใต้ที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่ตั้งแต่เมืองนครสวรรค์ลงมาจนถึงฝั่งทะเล ผิดกับไทยทางเหนือที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่ทางเหนือปากน้ำโพขึ้นไป ไทยทางเมืองใต้ใกล้ชิดกับพวกขอมยิ่งขึ้นกว่าพวกไทยใหญ่ที่อยู่ทางเหนือ เพราะเมื่อชนชาติไทยอพยพลงมาตั้งภูมิลำเนาในดินแดนแถบนี้ เป็นเวลาที่พวกขอมมีอำนาจปกครองบ้านเมืองในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีราชธานีอยู่ที่เมืองลพบุรี ส่วนไทยทางใต้ตกอยู่ในอำนาจของกรุงสุโขทัยในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งเป็นระยะที่อาณาเขตของกรุงสุโขทัยแผ่ออกไปอย่างกว้างขวาง เมื่อสิ้นรัชกาลของพระองค์แล้ว พระมหากษัตริย์องค์ต่อมามิได้ทรงเข้มแข็งในการศึกสงคราม เช่น พ่อขุนรามคำแหงไทยทางใต้จึงเกิดความคิดที่จะเป็นอิสระขึ้น อนึ่งการที่หัวเมืองมอญซึ่งเคยขึ้นตรงต่อกรุงสุโขทัย กลับเป็นอิสระทั้งหมดในรัชกาลพระเจ้าเลอไทย และกองทัพกรุงสุโขทัยไม่มีความสามารถที่จะทำการปราบปรามได้ ก็แสดงให้เห็นชัดว่ากรุงสุโขทัยกำลังเสื่อมอำนาจลงเป็นอันดับ อาจเป้นช่องทางให้พวกมอญหรืออาณาจักรลานนาขยายเขตมายังไทยทางเมืองใต้ได้ ความคิดที่จะตั้งตัวเป็นอิสระจึงตื่นตัวยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การตีเมืองทวายและตะนาวศรีคืนมาได้ นับเป็นชัยชนะสำคัญขั้นแรกเป็นการสร้างชื่อเสียงบารมีให้หัวเมืองฝ่ายใต้อื่น ๆ ก่อนที่จะดำเนินมาตรการขั้นสำคัญต่อไป โดยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่าการที่พระเจ้าอู่ทองทรงสามารถตั้งตนเป็นใหญ่ได้ผลสำเร็จนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการด้วยกัน กล่าวคือ จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:14:02 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ๑. พระเจ้าอู่ทองเป็นเจ้าเมืองใหญ่ มีกำลังไพร่พลมากและมีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ชัด ๒. ได้เปรียบไทยทางเหนือในด้านเศรษฐกิจ เพราะที่ตั้งของไทยทางใต้อยู่ใกล้ปากน้ำ มีโอกาสค้าขายกับต่างประเทศที่สำคัญ คือ จีน ได้สะดวก จึงมีกำลังทรัพย์ยิ่งกว่าไทยทางภาคเหนือ และพระเจ้าอู่ทองคงจะใช้นโยบายทางการทูต ทำไมตรีกับแคว้นใกล้เคียงทางใต้โดยเฉพาะอาณาจักรกัมพูชามาตั้งแต่ระยะที่กรุงสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง ดังนั้นพระเจ้าอู่ทองประกาศตั้งกรุงศรีอยุธยาเป้นอิสระขึ้นทางภาคกลางของประเทศไทยใน พ.ศ. ๑๘๙๓ พระองค์จึงมิต้องเสียเวลารบพุ่งปราบปรามเมืองอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงแต่อย่างใด ปัญหาที่ว่า เพราะเหตุใดพระเจ้าอู่ทอง จึงทรงเลือกผืนแผ่นดินซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาเป้นราชธานีนั้นน่าจะพิจารณาได้ว่า พระองค์ได้ทรงรู้จักแว่นแคว้นนี้มาก่อนแล้วว่าเป็นที่ชุมชนใหญ่ มีผู้คนตั้งภูมิลำเนาทำมาหากินกันอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจะเห็นได้ว่า มีโบราญสถานเช่นวัดพนัญเชิงซึ่งมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่มโหฬาร อันปรากฏว่าสร้างมาก่อนพระเจ้าอู่ทองทรงสร้างกรุงศรีอยุธยาถึง ๒๖ ปี จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:14:36 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 16 นอกจากนี้ยังมีวัดธรรมิกราช วัดศรีอโยธยา หรือวัดเดิม วัดกุฎีดาวและวัดอื่น ๆ อีกหลายวัดซึ่งเป็นพยานว่า ดินแดนนี้เคยเป็นเมืองใหญ่ มีผู้คนตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่พอสมควรจึงกำลังสร้างพระพุทธรูปและวัดใหญ่ ๆ ได้ ในด้านเศรษฐกิจคงจะเป็นเมืองที่มั่งคั่งมาก นอกจากนั้นบริเวณนี้ยังมีชัยภูมิอันเหมาะสมยิ่ง มีแม่น้ำใหญ่ คือ แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำลพบุรี และแม่น้ำเจ้าพระยาไหลมาบรรจบกันเป็นศูนย์การคมนาคม พระเจ้าอู่ทองได้ทรงเห็นความสำคัญของดินแดนแถบนี้ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงได้ทรงเลือกเป็นที่ตั้งเมืองใหญ่ ในครั้งแรกได้มาตั้งเมืองเล็ก ๆ ที่ตำบลเวียงเหล็ก (ที่วัดพุทไธสวรรยย์ปัจจุบันนี้) อยู่ถึง ๓ ปี ทรงทราบลักษณะภูมิศาสตร์เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะพระองค์คงจะได้ทรงพิจารณาภูมิฐานบ้านเมืองอยู่ช้านานเพราะมีทั้งอาณาจักรกัมพูชาอยู่ทางตะวันออก และอาณาจักรสุโขทัยอยู่ทางเหนือ และที่ตั้งของเมืองเดิมได้แม่น้ำแต่เพียงด่านเดียว จึงได้ทรงเลือกสร้างเมืองใหม่ ณ ดินแดนใกล้เคียงที่ยื่นล้ำมาทางด้านตะวันตก เพราะเป็นดินแดนที่ได้แม่น้ำทั้งสามด้าน คือ มีแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๓ สายมาบรรจบกันดังกล่าวมาแล้ว เมื่อเห็นสมควรถึงเวลาที่จะประกาศอิสรภาพอย่างเปิดเผย จึงได้ย้ายมาสร้างพระราชวังขึ้นที่ตำบลหนองโสน (บึงพระราม) และสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๓ จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:15:14 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มีข้อน่าสังเกตว่า หนังสือต่าง ๆ เช่น ตำนานมูลศาสนาชินกาลมาลีปกรณ์ จามเทวีวงศ์ ได้กล่าวถึงเมืองอโยธยาว่า เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนา และเป็นเมืองซึ่งขอมหรือเขมรโบราณตั้งขึ้น เมื่อเป็นใหญ่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และมีมาก่อนการตั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าอยู่ ณ ที่ใด ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๕๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้า ฯ ให้พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยาดำเนินการขุดแต่งพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยา เพื่อประกอบพระราชพิธีรัชมงคล จากผลการขุดแต่งและสอบสวนครั้งนั้นได้ความรู้จักว้าง ๆ ว่า “กรุงศรีอยุธยานั้น (หมายถึงอโยธยาเดิม) ตั้งอยู่ข้างฟากตะวันออกของกรุงทราวดี (หมายถึงพระนครที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงสร้าง) คงจะอยู่ทางสะเตชั่นรถไฟกรุงเก่าออกไปในแถวที่วัดสมณโกษ วัดกุฎีดาว และวัดศรีอโยธยา ซึ่งต่อมาภายหลังเรียกกันว่าวัดเดิม เมืองคงจะหันหน้าไปทางตะวันออกลงแม่น้ำหันตรา แต่กำแพงป้อมปราการเห็นจะไม่ใช่ก่อด้วยอิฐ คงเป็นเชิงเทินเดิน เมื่อเมืองร้างแล้วก็มีคนถากถางเกลี่ยลงทำเป็นที่ไร่นา และทั้งปราสาทราชฐานก็คงจะเป็นเครื่องไม้ จึงมิได้มีสิ่งใดเหลือ” ผลของการสำรวจตรวจค้นทางโบราณคดีในปัจจุบัน ได้เสนอข้อคิดใหม่ ๆ เกี่ยวกับบริเวณเมืองอโยธยาไว้ว่า “เมืองอโยธยาตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของเมืองอยุธยา ตัวเมืองมีลำน้ำตามธรรมชาติล้อมเป็นคูเมือง ๓ ด้าน คือ ด้านเหนือ ด้านตะวันออก และด้านใต้ลำน้ำนี้ คือ ลำน้ำป่าสักเดิม แต่เรียกชื่อแตกต่างออกไปตอนที่ไหลผ่านคูเมืองด้านเหนือและตะวันออกเรียกว่า แม่น้ำหันตรา และคลองโพธิ์ ส่วนตอนที่หักมุมมาเป็นคูเมืองด้านใต้เรียกว่า ลำน้ำแม่เบี้ย มาออกปากน้ำเจ้าพระยา ที่ปากแม่น้ำเบี้ยตอนใต้วัดพนัญเชิงลงมา ส่วนคูเมืองด้านตะวันตกนั้นขุดขึ้น คือ ลำคูหน้าซึ่งเป็นด้านตะวันออกของเมืองอยุธยานั้นเอง” จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:15:54 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 18 นายนิคม มูสิกะคามะ อดีตหัวหน้าแผนกพิพิธพัณฑ์โบราณสถานพระนคร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองโบราณคดี กรมศิลปากร เสนอว่า “มีเมืองโบราณ เมืองหนึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพระนครศรีอยุธยา ระหว่างวัดใหญ่ไชยมงคลมีลำน้ำล้อมรอบ ๓ ด้าน คือ ด้านทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ทางทิศใต้มีแนวคันดินเป็นเส้นตรง เมืองดังกล่าวเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ ๑๕๐ เมตร ยาวประมาณ ๑๙๐๐ เมตร มีแม่น้ำผ่านกลางและมีความเห็นว่า “เมืองนี้ควรมีชื่อว่า เมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร และเป็นเมืองเก่าของพระเจ้าอู่ทองก่อนที่จะสร้างกรุงศรีอยุธยา” อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ลงความเห็นว่าเมืองอโยธยาอยู่ที่ใดและเมืองนี้เป็นเมืองเก่าของพระเจ้าอู่ทองหรือไม่นั้น สมควรที่จำทำการขุดค้นและขุดแต่งเสียก่อนว่า มีคูเมืองเชิงเทินล้อมรอบเพื่อป้องกันตนตามละกษณะเมืองสำคัญทั่วไปหรือไม่ มีโบราณสถาน โบราณวัตถุ อันใดหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่ ที่เกี่ยวกับเมืองอโยธยาล้วนแล้วแต่ยังไม่เป็นข้อยุติ จำเป็นต้องอาศัยการค้นคว้าทางเอกสาร แปลศิลาจารึกเพิ่มขึ้นและมีการขุดค้นเมืองเก่า หาหลักฐานทางด้านโบราณคดีประกอบการพิจารณาในขั้นต่อไป พระเจ้าอู่ทองทรงสร้างพระนครขึ้นมาที่ริมหนองโสน ทำพิธีฝังหลักเมืองเมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๕ แล้วถือโอกาสนั้นตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ทำพิธีราชาภิเษกทรงพระนาม “สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตร” แล้วขนานนามราชธานีที่ตั้งขึ้นใหม่ว่า “กรุงเทพมหานครบวรทราวดีศรีอยุธยา มหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรัมย์” จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:16:28 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 19 สถานที่ตั้งกรุงศรีอยุธยา ที่หนองโสนหรือบึงพระรามนั้น อยู่ในทำเลที่เหมาะสมเป็นราชธานี ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ยุทธศาสตร์และการเมือง เป็นที่รวมของลำน้ำทั้ง ๓ สาย จึงเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำและพานิขยกรรมสามารถไปมาค้าขายกับหัวเมืองใกล้เคียงได้สบาย และติดต่อกับพ่อค้าลูกค้าที่ไปมากับต่างประเทศได้สะดวก ที่ตั้งเมืองก็มีลำน้ำล้อมอยู่เป็นคูเมือง ได้แก่ ลำน้ำป่าสัก ลำน้ำเจ้าพระยา คำว่า “คูขื่อหน้า” นั้นน่าจะเรียกกันในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา คือ เมื่อขยายคูให้กว้างออกไป ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ คงจะเรียกแต่ว่าคูเมืองเท่านั้น ลักษณะชัยภูมิดังกล่าวมีความสำคัญยิ่งทางยุธทศาสตร์ ทำให้ปลอดภัยจากข้าศึกศัตรูผู้รุกราน สะดวกในการป้องกันเมืองและเหมาะสำหรับเป็นที่มั่นรับข้าศึก เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก บริเวณรอบนอกพระนครเจิ่งไปด้วยน้ำ ข้าศึกไม่สามารถตั้งทัพได้สะดวก ต้องล่าถอยกลับไป นับว่าเป็นชัยภูมิที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:17:00 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ทางด้านเศรษฐกิจ กรุงศรีอยุธยานับว่าเป็นเมืองบริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร พื้นดินเหมาะแก่การกสิกรรม นอกจากนี้ยังเป็นเมืองสำคัญบนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ติดทะเลกับเมืองอื่น ๆ สะดวกในการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน เป็นต้น เป็นปากน้ำและประตูบ้านของหัวเมืองทั้งปวง “การที่พระเจ้าอู่ทองมาสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นนั้น พระองค์คงจะทอดพระเนตรเห็นการณ์ไกลว่าการรวมอาณาจักรทั้งฝ่ายใต้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และการที่จะขับไล่อิทธิขอมให้ออกไปจากลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้นั้น จำเป็นจะต้องสร้างเมืองป้อมสำหรับคุมกุญแจประตูที่จะไขไปสู่ทะเลใหญ่ได้ จึงได้ตกลงพระทัยสร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองป้อมที่มั่นขึ้น เหตุการณ์เหล่านี้แม่จะไม่สำเร็จบริบูรณ์ในรัชสมัยของพระองค์ก็ตาม แต่ก็สำเร็จในรัชกาลต่อมา ด้วยเหตุผลดังกล่าวมาแล้วนี้ อาจจะสรุปได้ว่า การที่พระเจ้าอู่ทองทรงย้ายจากเมืองเดิมมาสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นใน พ.ศ. ๑๘๙๓ ก็เพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจ ทางยุธทศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุผลทางการเมืองเป็นสำคัญ” ตัวเมืองที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงสร้าง เข้าใจว่ากำแพงเมืองนี้ยังใช้เพียงหลักไม้ระเนียดปักบนเชิงเทินดินมาก่อกำแพงด้วยอิฐปูนเมื่อแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักพรรดิแนวกำแพงเมื่อสร้างครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) นั้น ด้านเหนือ ด้านตะวันตก ด้านใต้ ตั้งลงมาถึงริมแม่น้ำทั้ง ๓ ด้าน แต่ด้านตะวันออกลำแม่น้ำป่าสักอยู่ห่างมาก แนวกำแพงอยู่หลังวังจันทรเกษมเข้าไป ใน พ.ศ. ๑๘๙๖ ได้โปรดให้สร้างวัดพุทไธสวรรย์ขึ้นที่ตำบลเวียงเหล็ก ซึ่งเป็นที่ซุ่มประทับอยู่ ๓ ปี ก่อนที่จะมาสร้างราชธานีใหม่ กรุงศรอยุธยาซึ่งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงสถาปนาขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๑๐ มีมีพระมหากษัตริย์สืบต่อกันมาถึง ๓๔ พระองค์ นับเป็นเวลานานถึง ๔๑๗ ปี จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:17:49 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 21 คัลลอกจากหนังสือ พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทย : วินิจฉัยเรื่องพระเจ้าอู่ทอง : สมชาย พุ่มสอาด จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 15 พ.ค. 48 23:18:26 A:203.156.99.48 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น สมัยกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร สันนิษฐานว่า สมัยนั้นคงจะใช้ภาษาขอมและอักษรขอมในการจารึก ซึ่งจะปรากฎตามโบราณวัตถุ จากคุณ : วินิจฉักรุงศรีด้วยตนเอง - [ 16 พ.ค. 48 02:16:21 A:202.133.163.43 X: TicketID:088319 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ข้าพเจ้าก็ยังนับถือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นกษัตริย์องค์เดียวในหัวใจและจิตวิญญาณ เพราะท่านให้อิสรภาพ ไม่เหมือนกษัตริย์อยุธยา ที่นำระบบการปกครองแบบขอมมาใช้ ว่าประชาชนเป็นเพียงฝุ่นใต้เท้า และยกกษัตริย์เป็นอวตารของพระวิษณุ (นำมาจากฮินดู) อย่างนี้ไม่ยอมรับ เพราะประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย การปกครองแบบประชาธิปไตย คือเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อคนมีอันจะกินและคนมีอำนาจ จากคุณ : คนไทยใจอิสระ - [ 16 พ.ค. 48 07:31:01 A:192.168.202.50 X:203.146.145.125, 203.146.145.122 TicketID:096503 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เเต่คุณคนไทยใจอิสระคะ  อย่างไรเสียพระมหากษัตริย์ในครั้งกรุงศรีอยุธยาหลายๆพระองค์ก็ทรงมีคุณูประการต่อประเทศชาติอย่างมากมายนะคะ  อยากให้คุณได้ศึกษาพระราชกรณียกิจของเเต่ละพระองค์ให้ดีก่อน  ส่วนเรื่องฝุ่นละอองนั้นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากคุณ : ธารกำนัล - [ 16 พ.ค. 48 16:40:48 ]

ความคิดเห็นที่ 25 คุณ คห.23ผมว่า ระบบการปกครองแต่ละแบบมันก็เหมาะ กับช่วงเวลาแต่ละสมัยไม่เหมือนกัน สมัยพ่อขุนรามก็ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ.... เรื่องฝุ่น..งดแสดงคห. จากคุณ : หน้าหมู - [ 17 พ.ค. 48 00:56:57 ]

ความคิดเห็นที่ 26 1. ผมว่าข้อมูลอะไร ฯลฯ ไม่ต้องยกมาให้ "อ่าน" ก็ได้ครับ ผมคิดว่า คนที่สนใจประวัติศาสตร์ และได้เข้ามาพูดคุยในห้องประวัติศาสตร์นี้คงจะมีความรู้ในระดับหนึ่ง หรือมีเอกสารหนังสือ ฯลฯ ในระดับหนึ่งเช่นกัน.....คือ อาจจะแค่ยกชื่อหนังสือมา หรือยกมาแค่ท่อนที่มีความสำคัญก็น่าจะเพียงพอแล้ว 2. ที่ผมอยากรู้มากกว่าคือ "ความคิด และข้อสรูป" ของท่านเจ้าของกระทู้มากกว่าครับ ว่าท่านคิดอย่างไร มีอะไรในการอ้างอิง เพื่อจะได้ทำให้เกิดการ "แลกเปลี่ยนความคิดเห็น" น่าจะเหมาะกว่า การ "เปิดหนังสือเล่มหนึ่งให้อ่านๆ" กันครับ 3. สำหรับท่านที่ว่า "...ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น" ผมว่าคงจะคิดในทางลบเกินไปสักนิดนะครับ เพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็ได้เห็นพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ ซึ่งเขียนในสมัยพระนารายณ์ และก็ใช้ตัวหนังสือไทยนี่หล่ะครับ ไม่ใช่หนังสือขอมอะไรเลย...และต่อให้ใช้หนังสือขอมจริงก็ไม่จำเป็นว่าสิ่งที่ถูกเขียนจะต้องเป็นเรื่องโกหกเสมอไปครับ....ปัญหาสำคัญมันอยู่ที่ว่า "...นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังจะตีความสิ่งที่ถูกจดจารด้วยความเป็นกลางมากน้อยเพียงไร" ยิ่งปราศจากอคติมากเท่าใดก็ยิ่งได้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น.....รวมทั้งต้องตีความโดยอาศัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ที่ถูกต้องตามสมัยนั้นๆด้วย... 4. เรียนคุณคนไทยใจอิสระ ผมอ่านความคิดของคุณที่คุณได้เขียนออกมาแล้ว....คุณจะรักหรือเกลียดใครเพราะอะไรนี้ก็เป็นสิทธิ และเสรีภาพของคุณนะครับ ผมไม่ได้บอกว่าคุณผิดหรือถูก...ผมไม่มีอำนาจเช่นนั้น...แต่อยากจะแย้งนิดหนึ่งในเรื่องพ่อขุนรามคำแหง...ประการแรกคือ คำว่า มหาราช เป็นคำที่คนรุ่นหลังไป "สรวม" ให้ และเป็นคติของพราหมณ์-ฮินดู และคติของขอมที่คุณไม่ชมชอบนี่แหล่ะ...อีกประการหนึ่งคือ พ่อขุนรามคำแหง ที่คุณว่า "ให้อิสรภาพ" แก่ประชาชนนั้น ที่เราพบก็เพียงแค่ 17 บรรทัดในศิลาจารึกหลักที่ 1 เท่านั้น บรรทัดถัดๆมาเป็นคนรุ่นหลังๆเขียนขึ้น ซึ่งแน่นอนๆว่า โดยอัตวิสัยส่วนตัวของผู้จารึกไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ย่อมจะว่า ตัว และโคตรวงศ์ของตัว "ดีเสมอๆ"...ที่สำคัญในยุคนั้นสังคมไทยมีการปกครองแบบนครรัฐ...เป็นช่วงกึ่งสังคมทาส กับสังคมศักดินา (ในขณะที่รัฐอโยทยาขณะนั้นเป็นสังคมศักดินาเต็มที่แล้ว) จะอย่างไรประชาชนก็ "ไม่ได้มีอิสรภาพ" เหมือนเช่นที่คุยแน่ๆ ในกฎหมายของสุโขทัยขณะนั้นมีคำว่า "ไพร่ฟ้าข้าไท" ชัดเจน ตราบเท่าที่ยังมี "ข้า (ของ) ไท" ถ้าจะบอกว่า 'ประชาชนเป็นอิสระ' ก็น่าแปลกใจอยู่...และประการสุดท้ายคือ ผมยืนยันครับว่า 'นครรัฐสุโขทัยไม่ได้ใช้ระบอบประชาธิปไตยแน่ๆ...' (อย่างน้อยที่สุด ก็ไม่มีใครลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้พ่อขุนรามเป็นกษัตริย์...อันนี้เป็นความจริงแท้) 5. สำหรับระบอบการปกครองใดๆ ผมเชื่อว่า มันขึ้นกับ "กาละ และเทศะ" ครับ กาละ ก็คือ เวลา.....เทศะ ก็คือ ท้องที่....ในสมัยอยุธยา (หรือสมัยก่อนหน้าคือ อโยทยา) ก็อาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ระบบเทวราช-ศักดินา แน่นอนครับว่า เมื่อมองจากในสายตาของคนปัจจุบันระบอบนี้เป็นระบอบที่กดขี่ ปัญหาคือ เราเอาประวัติศาสตร์เป็นบทเรียนได้ แต่เราแก้ประวัติศาสตร์ไม่ได้ (ประวัติศาสตร์จริงๆ)....ที่ผมอยากเสนอคือ เราอาจจะเกลียดสิ่งที่มีอยู่แล้วในประวัติศาสตร์ได้ แต่เราก็ต้องยอมรับในความที่มันมีอยู่แล้วได้ด้วย มันเป็นพัฒนาการขั้นหนึ่งของระบอบการปกครอง สังคม วัฒนธรรม เท่านั้นเอง.... 6. ที่สำคัญกว่าคือ ในสังคมที่ก้าวหน้าจนเรียกได้ว่า "ประชาธิปไตย" นี่ต่างหากครับ ที่กลับยัง "ติดยึด" ในซากเดนระบอบเก่าอย่างเหลวไหลไร้สาระ...เหมือนในโลกนี้เขาใช้รถยนต์กัน มีบ้านเราที่ยัง "บูชา" เกวียน อยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย และถือว่า เกวียนของเราดีที่สุดในโลก...สุดท้ายก็มีแต่ก้าวไปไม่ทันโลก และถูกโลกเหยียบเท่าเอาเพราะความ "หลงงมงาย และยึดติด" ซากเดนสิ่งเก่าๆนี่แล 7. ผมยังยืนยัน นั่งยัน และนอนยัน ว่า....ในสมัยอโยทยา หรือสมัยกรุงศรีอยุธยาคำว่า "ชาติ" แบบที่เราเข้าใจนั้น "ไม่มีโดยสิ้นเชิง" คำว่า ชาติ ในราชวงศ์ต่างๆของจีน ก็คือ ดินแดนของวงศ์ตระกูลตัวเอง...เท่านั้น ซึ่งนิยามนี้ผมเชื่อว่า ก็ใช้กันโดยทั่วไปในเอเชียตะวันออก และตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหลาย...ดังนั้นคำว่า "ชาติ" ในสมัยนั้นจึงอาจจะหมายความว่า "ทรัพยากรต่างๆที่อยู่ภายในดินแดนของวงศ์ตระกูลกษัตริย์" ด้วย...ประชาชนภายใต้คำว่า "ชาติ" ของยุคนั้นไม่ต่างอะไรกับ "ผู้เช่าที่ดิน" เพื่อดำรงชีพเท่านั้น...(ดังที่แสดงในบรรทัดแรกๆในกฎหมายสมัยนั้น และอาจหารากเหง้าได้จากกฎหมายตราสามดวง) ประชาชนมี "หน้าที่" จ่ายภาษี จ่ายส่วย ให้เจ้าที่ดิน มีหน้าที่สังกัดกับเจ้าขุนมูลนายตามระบอบไพร่ (ทาส)...ในขณะที่เจ้าขุนมูลนายก็สังกัดกับเจ้าขุนมูลนายในระดับที่สูงกว่าไปจนสุดที่อภิมหามูลนายของกษัตริย์ (ซึ่งในบางกรณี เจ้าขุนมูลนายที่มีไพร่ในสังกัดมากก็จะทำการ 'โค่นล้ม' กษัตริย์องค์เดิม กลายเป็นอภิมหามูลนายแทน...ดังที่เห็นกันบ่อยๆในประวัติศาสตร์อยุธยา)...ในการรบการข้าศึก (ที่เป็นต่างชาติ) ก็เป็นไปเพื่อ "รักษาผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูลของตัวเท่านั้น" โดยอาศัยการเกณฑ์มูลนาย (และมูลนายก็เกณฑ์ไพร่ของตัว) ไปรบ...ดังนั้น ไพร่ราบพลทหารที่ตายไปก็ตายไปเพื่อผลประโยชน์ของอภิมหามูลนายเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อตัวประชาชนเองเลย...เมื่อไพร่ราบพลทหารเหล่านี้ตายไปก็ตายไปโดยไร้ค่า ไม่มีใครจดจำ...และไม่มีความจำเป็นอะไรทีจะต้องจดจำ...คล้ายกับฝุ่นอะไรสักอย่างที่มีก็ได้ไม่มีก็ได้.......เป็นเช่นนี้ทั้งโลก 8. เพราะฉะนั้นในบางที ก็จะได้เห็นนักปราชญ์บางท่านในยุคนั้นๆ ได้ทำการเปรียบเปรยไว้ว่า...."ถ้าปล้น-ฆ่าคนบ้านหนึ่งเราเรียกว่า โจร...แต่ถ้าปล้น-ฆ่าคนเมืองหนึ่ง รัฐหนึ่ง ประเทศหนึ่ง เราเรียกว่า มหาราชา".... จากคุณ : นายเจ็ดตัวอักษร - [ 17 พ.ค. 48 12:19:46 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เห็นด้วยกับคุณ นายเจ็ดตัวอักษร นะครับ ระบบพ่อปกครองลูกของรัฐสุโขทัยอุดมคตินี่อาจถูกแต่งขึ้นในสมัยหลังมากๆด้วยเหตุผลอื่นๆก้อได้เนื่องจากหลักฐานร่วมสมัยไม่ได้มีบอกไว้ การที่เรามองและรับรู้ประวัติศาสตร์จากการอ่านประวัติศาสตร์นิพนธ์ หรือนิยายปรัมปรา โดยไม่มีการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ หรือมองดูว่าผู้แต่งต้องการสื่ออะไร คงไม่ถูกต้องเท่าใดนัก จากคุณ : นิรนาม - [ 17 พ.ค. 48 15:22:37 A:10.4.2.10 X:202.28.179.1 TicketID:086026 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เรื่องฝุ่นละอองนี่ดูเหมือนจะเคยพูดถึงกันเเล้วในสมัยหม่อมชุลีนะคะ  กะอีเเค่คำคำเดียวไม่รู้จะไปใส่ใจอะไรหนักหนา  ดิฉันมองเเค่ว่ามันเป็นคำที่ไพเราะมากเเต่ไม่อยากสนใจเรื่องความหมาย  อย่างไรเสียก็ไม่อยากให้พวกคุณมองพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยสมุติเทวราชไปอย่างนั้น  พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงมีพระคุณต่อเรา  เเละขอย้ำว่าสำหรับดิฉันพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยาเเทบทุกพระองค์  ทรงมีพระคุณต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล  เเละการปกครองเเบบนั้นดิฉันก็คิดว่าเหมาะสมกับอยุธยาที่สุดเเล้ว จากคุณ : ธารกำนัล - [ 17 พ.ค. 48 17:06:14 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เเละขอเรียนอีกว่า  สำหรับการที่คุณขุนนางอยุธยานำเรื่องราวต่างๆมาเผยเเพร่เป็นการดีมากอยู่เเล้ว  ดิฉันไม่เข้าใจคุณเลยคุณเจ็ดตัวอักษร  มันไม่เเน่เสมอไปว่าผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์จะต้องมีหนังสือเหล่านี้  เชื่อว่ายังมีคนสนใจอ่านอยู่อีกมาก  เพราะหลายเรื่องของท่านขุนนางฯก็ไม่ใด้หาซื้อได้ตามร้านทั่วไป  อย่างดิฉันเองหนังสือเกี่ยวกับพวกอยุธยาก็มีอยู่ไม่กี่เล่ม  ก็เฉพาะที่มีขายทั่วไป  เพราะดิฉันก็ไม่ใช่ผูที่สนใจประวัติศาสตร์ช่วงอยุธยาจริงๆ  เเต่ก็สนใจที่จะอ่านไว้  เพราะฉะนั้นไม่อยากลงทุนซื้อให้เปลื่องเงินค่ะ  เก็บเงินไปซื้อหนังสือประวัติศาสตร์ช่วงที่ดิฉันสนใจดีกว่า จากคุณ : ธารกำนัล - [ 17 พ.ค. 48 17:12:31 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ถึง ความคิดเห็นที่ 26 1 ถ้าเป็นอย่างนั้น ในครั้งหน้าข้าจะไม่นำบทความที่เกี่ยวกับการต่อต้านแนวคิดระบบทุนนิยม ซึ่งมีข้อคิดของ จิตร ภูมิศักดิ์ แฝงอยู่ในบทความดังกล่าว 2 ถ้าข้าตั้งกระทู้เมื่อไหร่ก็อย่าได้เข้ามาอ่านก็แล้วกัน จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 17 พ.ค. 48 19:13:06 A:203.107.193.105 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คุณนายเจ็ดตัวอักษรครับ แล้วถ้าคนที่ไม่มีความรู้ทางประวัตติศาสตร์ แล้วอยากจะรู้บ้างก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาหรือครับ จะต้องเป็นคนมีความรู้เค้ามาถกกัน ไม่เป็นการปิดกั้นกันไปหน่อยหรือ การยกข้อประวัตติศาสตร์ส่วนหนึ่งขึ้นมาวิพากย์วิจารณ์นั้น ผมก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ แต่การที่คุณขุนนางอยุธยาได้กรุณา นำข้อความที่น่าสนใจในหนังสือ มาทั้งหมด ย่อมเปิดโอกาสให้คนที่สนใจประว้ตติศาสตร์ แต่ยังเป็นเพียงผู้เริ่มต้น หรือไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ได้มีโอกาสเข้ามาแสดงความคิดเห็นอยู่บ้าง ผมจึงเห็นว่า การนำเสนอของคุณขุนนางอยุธยาเป็นสิ่งที่น่ายกย่องครับ ขอขอบคุณและเป็นกำลังใจให้คุณขุนนางอยุธยาที่นำความรู้ดีดีมาให้ผู้ไม่รู้อย่างผมครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : Khun_Horm - [ 18 พ.ค. 48 11:29:38 ]

ความคิดเห็นที่ 32 1. ไม่ๆๆ ครับ แหม ความคิดเห็นหลังๆ ชวนให้ดูว่าผมเป็นคน "ปิดกั้น" ความรู้กันเสียอย่างนั้น... 2. ลองอ่านความเห็นที่ 1-2 ของผมในความคิดเห็นที่ 26 ดีๆสิครับ....ผมไม่ได้ "บอกว่า" การนำเสนอของคุณขุนนางฯ "ไม่ดี" แต่ถ้าจะให้ดีขึ้นนอกจากการนำเสนอ "สิ่งที่มีอยู่ในตำรา" แล้วนั้น ทำไม "ไม่ลองเพิ่มเติมความคิดเห็นส่วนตัว" ของคุณขุนนางฯ ไว้ด้วยเล่าครับ? เพื่อให้ทราบว่าคุณขุนนางคิดอย่างไร? และดูว่าท่านอื่นเมื่อได้อ่านแล้วคิดอย่างไร? เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กัน จะไม่ดีกว่า "การสักแต่อ่านๆ" มากหรือครับ?...... 3. สำหรับห้องนี้แล้วผมคิดว่า "เป้าหมายหลัก" คือ การ "แลกเปลี่ยนความคิดเห็น" มากกว่า เป็น "ห้องเรียน" ที่คุณครูเอาตำรากางๆให้เด็กๆอ่านนะครับ...และโดยส่วนตัวแล้ว ผมก็ว่าการ "ศึกษา" ประวัติศาสตร์ที่ดีที่สุดคือ การแลกเปลี่ยนความเห็นนี่หล่ะครับ....เอาข้อมูลประวัติศาสตร์มาช่วยกันตีความ...หลายตาพากันมองก็ย่อมเห็นอะไรได้กว้างขวางกว่า คนเดียวยลแน่นอน...ยังยืนยันครับว่า "...สิ่งที่คุณขุนนางฯนำมาเสนอนั้น ไม่ใช่ไม่ดี แต่ผมแนะนำนิดหนึ่งคือ น่าจะมีความเห็นของคุณขุนนางฯ เอง วิจารณ์มันด้วย เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน น่าจะมีประโยชน์เพิ่มเติมขึ้น..." 4. สำหรับความเห็นที่ 30 อ่านแล้ว ทำให้ผม "ไม่แน่ใจ" ว่าคุณขุนนาง ที่ "ใจกว้าง" แบ่งปันข้อความในหนังสือให้กับท่านที่ไม่รู้ กับคุณขุนนางที่ "ใจแคบ" ไม่แม้แต่กระทั่งรับฟังข้อเสนอแนะ? ขนาดสรุปไว้ว่า "...ถึง ความคิดเห็นที่ 26 .....2 ถ้าข้าตั้งกระทู้เมื่อไหร่ก็อย่าได้เข้ามาอ่านก็แล้วกัน" ทั้งที่ข้อที่ผมแนะนำก็แนะนำโดยสุภาพ...คือ ผมว่า สำหรับคำแนะนำของผม ถ้าคุณขุนนางคิดว่า "ไร้สาระ" อย่างมากก็คิดว่าเป็นแค่สายลมผ่านไปก็น่าจะสิ้นเรื่องสิ้นราว แต่สรุปอย่างความเห็นที่ 30 ผมไม่แน่ใจเลยจริงๆ..... 5. ยิ่งเรื่องบทความคุณจิตร นี่ก็ไม่เป็นไรดอกครับ เพราะงานของคุณจิตรผมเท่าที่ผมติดตามมาก็มีเป็นส่วนใหญ่ แม้จะไม่ครบก็เกือบครบแล้วครับ ขอบคุณครับที่ "ขู่" ไว้เช่นนั้น แต่ผมคงไม่รบกวน....ส่วนที่ว่า "...ถ้าข้าตั้งกระทู้เมื่อไหร่ก็อย่าได้เข้ามาอ่านก็แล้วกัน" คือ ปกติผมก็ไม่ได้ค่อยเข้ามาห้องประวัติศาสตร์เท่าไหร่ในช่วงหลังๆ เพราะทัศนะจิตนิยมค่อนข้างมาก มากจน "ใจแคบ" เลยทีเดียว...ว่าแต่กระทู้ที่คุณตั้งนี่ คุณซื้อที่ว่างจากทางเจ้าของเวบไซต์หรือครับ? ที่จะ "ห้าม" คนโน้นคนนี้เข้ามาอ่าน?...ถ้า "มันไม่ใช่ของคุณ" กรุณาอย่า "แสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ" เลยครับ มันไม่ถูกต้อง.... 6. ผมว่าผมคงชี้แจงได้โดยส่วนใหญ่ถึงสิ่งที่ผมอยากจะสื่อนะครับ...ถ้าให้ดี ถ้าได้อ่านข้อความของผมโดยละเอียด และถี่ถ้วน ทุกถ้อยคำแล้ว ก็น่าจะเข้าใจได้ชัดเจน โดยไม่ต้องให้ผมต้องชี้แจงซ้ำครับ แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 48 14:26:56 จากคุณ : นายเจ็ดตัวอักษร - [ 18 พ.ค. 48 13:59:25 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ฮิ ฮิ แอบมาอ่าน ไม่เอาน่า อย่าคิดมาก จากคุณ : วรณัย - [ 18 พ.ค. 48 21:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เรียน คุณ วรณัย อีกครั้ง ไม่ทราบว่าได้รับ Mail ของข้าพเจ้าหรือยัง ( ข้าพเจ้ามีบางสิ่งที่ใคร่ต้องการจะแลกเปลี่ยนกับท่าน ) โปรดตอบ E - mail ด้วยจักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง จากคุณ : ขุนนางอยุธยา - [ 18 พ.ค. 48 23:04:31 A:203.156.70.215 X: TicketID:032642 ]

ความคิดเห็นที่ 35 1. จริงๆผมก็ไม่ได้คิดมากอะไรนะครับ เพียงแต่มีหลายท่าน "ตีความ" สิ่งที่ผมอยากจะสื่อ "ผิดพลาด" ไปอย่างแรง ก็ต้องชี้แจงให้ชัดขึ้น 2. อันที่จริงที่ผมแนะนำนั้น ก็ไม่ได้เกี่ยวกับกระทู้อะไรเลย เป็นแค่แสดงความเห็นธรรมดาอันหนึ่งเท่านั้น... จากคุณ : นายเจ็ดตัวอักษร - [ 19 พ.ค. 48 01:08:24 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เห็นด้วยนะคะ ว่าควรจะมีการแสดงความเห็น หรือวิพากษ์วิจารณ์งานเขียนหรือบทความที่นำมาด้วย เพระพออ่านจบแล้ว ไม่เข้าใจนัก ว่านำมาทำไม เพียงเพื่อบอกว่า มีข้อความแบบนี้ในหนังสือเล่มไหนเท่านั้นหรือ เชื่อว่า คุณขุนนางฯ คงจะมีความรู้และมีความคิดเห็นที่สามารถสื่อออกมาให้เกิดการพัฒนาความคิดได้มากค่ะ ส่วนตัว สนใจ แต่ไม่ค่อยมีเวลาหาความรู้ด้านนี้นัก แต่ชอบอ่าน และชอบที่จะรับรู้แนวคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ค่ะ ชื่นชมคุณค่าของอดีตกาลเสมอมา จากคุณ : เจ้านุ้ย - [ 21 พ.ค. 48 17:34:19 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เหอเหอ.. ผมอ่านกระทู้ตั้งแต่วันแรกๆ นี่ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่หงัย ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกแระ โดยเจ้าเก่า จากคุณ : หึหึ - [ 23 พ.ค. 48 12:27:26 A:210.246.64.241 X: TicketID:080713 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณ จขกท. ครับ จากคุณ : MaX FiRE - [ 24 พ.ค. 48 21:43:04 ]