ความคิดเห็นที่ 1 ไม่เคยอ่านงานเขียนของเค้าจริงๆ จังๆ เลย เพียงแค่ผ่านๆ นะครับ นอกนั้นก็มักจะอ่านที่มีผู้ย่อไว้และวิเคราะห์วิจารณ์อีกครั้งเท่านั้นเองครับ ความเห็นส่วนตัวนะครับ นิทเช่จัดอยู่ในกลุ่มอัตถิภาวนิยมซึ่งถือว่า ส่วนตัวหรือสิ่งเฉพาะสำคัญกว่าส่วนรวมหรือสิ่งสากล อีกนัยหนึ่งก็ให้ความสำคัญความรู้สึกหรือความพอใจส่วนตัวมากกว่าเหตุผลหรือระเบียบกฎเกณฑ์ จุดเด่นของนิทเช่ก็เรื่องการพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นเลิศสูงสุดหรืออภิมนุษย์ ซึ่งเค้าเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพนี้อยู่ แนวคิดทำนองนี้ ทำให้เค้าจัดอยู่ในกลุ่มนักคิดเรื่องวิวัฒนาการด้วยอีกประเด็นนะครับ เรื่องที่น่าทำวิจัยนะครับ ก็คือการเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องศักยภาพของของมนุษย์ตามแนวคิดของนิทเช่กับแนวคิดเรื่องหน้าที่ไม่สมบูรณ์ในตัวเองของคานต์ ซึ่งคานต์ให้ความเห็นไว้ว่า มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่ต้องพัฒนาไปสู่ความเป็นเลิศอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ความเกียจคร้านหรือความสุขสบายเป็นต้น ทำให้มนุษย์ไม่ได้พัฒนาไปสู่จุดสูงสุด ... คิดว่าประเด็นนี น่าจะยังไม่มีใครเคยคิดเปรียบเทียบ ยินดีนะครับ จากคุณ : ณ. ลังค่าย - [ 16 พ.ค. 48 23:56:13 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อัตถิภาวนิยม เป็นแนวคิดแบบRomanticism ครับนั่นคือเน้นถึงการหาความเป็นจริงภายในตัวมนุษย์เอง สิ่งหนึ่งที่นักปรัชาแนวคิดนี้พยายามค้นหาคือเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก เจตจำนง สำนึกความเป็นตัวเอง หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่กรอบของเหตุผลเหมือนกับนักปรัชญาสายเหตุผลนิยม (ซึ่งนักคิดอัตถิภาวนิยมต่อต้านเช่นเดียวกับพวกประสบการณ์นิยม) ที่Nietzsche บอกว่าพระเจ้าตายแล้ว เขาต้องการต่อต้านกรอบระเบียบ จารีตของยุโรปที่อิงอยู่กับศาสนาคริสต์ครับ ถ้าพระเจ้าตายแล้ว มนุษย์ก็สามารถค้นพบกับความยิ่งใหญ่ ในการสร้างความหมายให้กับตัวมนุษย์เองได้ ถ้าพระเจ้าตายไปแล้ว มนุษย์ที่ทำเช่นนั้นได้ก็คือ อภิมนุษย์ (หรือผู้มีศีลธรรมแบบนาย)ในขณะที่ยังมีมนุษย์อีกมากที่ยอมตกอยู่ภายใต้จารีต ประเพณี (ซึ่งนิชเช่เห็นว่าไร้สาระ เรียกว่าผู้มีศีลธรรมแบบทาส) http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=historyandphilosophy&group=6 จากคุณ : Johann Sebastian Bach - [ 17 พ.ค. 48 10:38:45 A:61.19.21.15 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 แอบเข้ามาดูความรู้เฉยๆ... เคยพยายามอ่านงานของเค้าเหมือนกัน แต่...ไม่รอด เฮ้อ จากคุณ : แผล (J'aime l'amour...) - [ 17 พ.ค. 48 17:55:41 ]

ความคิดเห็นที่ 4 "หากพระเจ้ายังอยู่ท่านต้องช่วยเรา แต่ท่านไม่ช่วย เท่ากับท่านตายไปแล้ว" และถ้าพระเจ้าตายไปแล้วเราก็ต้องช่วยตนเอง...การอ่านนิทช์เช่ต้องระวังเพราะความหมายที่ฟังดูเป็นด้านลบ จะเป็นการเสียดสีสังคมในยุคนั้น ที่จริงสิ่งที่เขาต้องการนำเสนอจะอยู่ในมุมที่ตรงกันข้าม ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมคือสิ่งสำคัญสำหรับอัตถิภาวะนิยม ( existencialism) มีบางมุมของ existencialism ที่สอดคล้องกับปรัชญาพุทธ แต่จะยังไงก็ตาม ทำชีวิตคุณให้เป็นสุข ทำให้คนรอบข้างคุณเป็นสุข ก็น่าจะดีกว่านะ จากคุณ : บาจี๋:-D (bajee) - [ 17 พ.ค. 48 19:12:28 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อืม.....งั้นขอต่อยอดคำถามต่อแล้วกันครับ สงสัยอยู่เหมือนกันว่า existencialism คืออะไรเหรอครับ? จากคุณ : See ScapE - [ 17 พ.ค. 48 22:45:24 A:161.200.131.192 X:161.200.255.163 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เริ่มอ่านจาก On the genealogy of morals ก่อนน่าจะดีกว่านะครับ จะได้ทำความเข้าใจเรื่องศีลธรรม กับการกลับค่าทางศีลธรรมให้ดีเสียก่อน เรื่องนี้สัมพันธ์กับความเข้าใจเรื่องอภิมนุษย์มาก (ในแง่การสร้างคุณค่า) หนังสือไม่หนาเลย แต่ถ้าไม่มีเวลาอ่านจาก sparknote ก็ได้ครับ ผมก็แอบทำ(บ้าง) จากคุณ : นั่งอยู่คนเดียว - [ 18 พ.ค. 48 19:15:50 ]

ความคิดเห็นที่ 7 Essence precede exitance คือก่อนนั้นแนวคิดหลักของยุโรปเชื่อว่าโลกนี้ออกแบบไว้แล้ว เป็นระบบและมีระเบียบ ซึ่งมนุษย์มีหน้าที่ยอมรับในระเบียบนั้นแล้วเดินตามมันไป นั่นหมายถึงแก่นแท้ของมนุษย์ด้วย พวกนี้เชื่อว่าแก่นแท้ของมนุษย์มีอยู่ก่อนที่มนุษย์จะเกิด (ถูกออกแบบไว้แล้วโดยพระเจ้า) แต่หลังจากความล้มเหลวของสังคม ความรู้สึกของคนในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมรู้สึกแปลกแยกกับระบบ โดดเดี่ยวจากการเอารัดเอาเปรียบส่งผลกระทบ....มาจนกระทั่งสงครามโลกทั้งสองครั้ง คำถามเรื่องโลกออกแบบไว้แล้วมีจริงหรือ??? แก่นแท้ของมนุษย์มีอยู่ ออกแบบไว้แล้วจากมือที่มองไม่เห็น(invisible hand) จริงเหรอ????...หลายแนวคิดเกิดขึ้นจากผลกระทบนั้น ต่อต้านกับแนวคิดจิตนิยมแบบเดิม....และเอ็กซิสเท็นเชียลิสม์ก็เป็นหนึ่งในแนวคิดเหล่านั้นด้วย Existance precede essence แนวคิดอัตถิภาวะ เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสแห่งความเสื่อมถอยของแนวคิดเชิงระบบ และเสนอทางเลือกใหม่ว่า มนุษย์คือเสรีภาพ และมีหน้าที่แสวงหาความมีอยู่ของตนเองจากความว่างเปล่า ( ภาวะที่ออกแบบไว้แล้วของมนุษย์ไม่มีเพราะมันคือ nothingness) ไม่มีระเบียบกฏเกณท์ใดๆมากำหนดให้มนุษย์เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นอกจาก ตัวคนคนนั้นเองจะเลือกที่จะเป็น อัตถิภาวะนิยมไม่สนใจความมีอยู่ของพระเจ้า แต่สนใจความมีอยู่ของมนุษย์ ในฐานะของความมีอยู่ของชีวิตๆหนึ่ง เขาเสนอว่าเราไม่อาจรู้ได้ว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่...แม้กระทั่งปฏิเสธเลยว่าไม่มีจริง โลกและจักรวาลจะออกแบบไว้แล้วหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นที่มนุษย์จะพึงใส่ใจ แต่เรามีชีวิตอยู่แล้วจริงๆซึ่งเราต้องหาคุณค่าของการมีชีวิตด้วยตัวเราเอง....แบบมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราเลือกกระทำอย่างกล้าหาญ (เสรีภาพและความรับผิดชอบ) มนุษย์เกิดก่อนสารัตถะหรือความมีอยู่ของมนุษย์ และเราไม่มีข้ออ้างใดๆที่จะโยนผลแห่งการกระทำของเราไปให้กับคนอื่น นอกจากเราจะต้องยอมรับมันด้วยตัวเองว่า เราเป็นผู้เลือกที่จะเป็นแบบนั้น จากคุณ : Snake Fish Fisho - [ 18 พ.ค. 48 21:41:52 A:203.147.20.158 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่รู้สึกว่า กระทู้ในพันธุ์ทิพย์ ถามดี ตอบดี ขอบคุณมากๆ ครับ จากคุณ : ... - [ 19 พ.ค. 48 17:22:58 A:203.144.221.102 X: TicketID:098934 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ส่วนตัวแล้วผมเห็นด้วยกับนิชเช่ครับ แต่ผมเห็นว่า การที่เราจะจำแนกเป็นพวก Existance precede essence ก็เกินไปนะครับ เพราะว่าบางอย่างในฤษฎีนั้นก็ (ส่วนตัวนะครับ) ผมคิดว่ากว้างไปหน่อยครับ - - มนุษย์เกิดก่อนสารัตถะหรือความมีอยู่ของมนุษย์ อาจจะเป็นไปได้ครับ เพียงแต่มนุษย์ไม่รู้ว่าตนเองจะมีอยู่ไปได้อย่างไร และเพื่ออะไร ผมว่าวแม้แต่นิชเช่เองก็ยังคลุมเคลืออยู่บางประการ (บางประการใหนผมเองก็จำไม่ได้เสียแล้ว) ... ว่าแต่ว่า ... พระเจ้าตายแล้วจริงครับ *** ศาสนาอื่นก็ยังดำรงอยู่อย่างที่ทุกคนเห็นอย่างนั้นจริงหรือครับ? จากคุณ : beer - [ 20 พ.ค. 48 01:21:20 A:203.150.100.74 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตอบไม่ถูกครับ.. เริ่มจาก On the genealogy of morals ก็ดี แต่ที่ผมชอบก็น่าจะเป็น Zarathutra ผมว่าความคิดหมอนี่บ้าดี พระเจ้าเป็นเรื่องตลก เขาเชื่อว่าพระเจ้าก็คือมนุษย์อย่างเราๆนี่แหละ จากคุณ : นายอึเหม็น - [ 23 พ.ค. 48 20:50:26 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอยกถ้อยอธิบาย "พระเจ้าตายแล้ว" ที่ คุณปราบดาหยุ่นเขียนไว้ใน กระทบไหล่เขาให้อ่านกัน "นิทเช่เป็นที่จดจำในฐานะผู้เขียนประโยคพระเจ้าตายแล้วในหนังสือเรื่อง จอย ฟูล วิส ด้อม ซึ่งทำให้ผู้ที่ไม่ได้ศึกษางานของเขาคิดว่านิทเช่ไม่เชื่อในพระเจ้า และดูหมิ่นความศรัทธาทางศาสนาแต่นิชเช่เพียงต้องการแสดงให้เห็นว่าความเลื่อมใสในพระเจ้าของคนเปลี่ยนแปลงไปและเสื่อมโทรมลง ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าไม่มีความหมายอีกต่อไป "พระเจ้าตายแล้วเพราะมนุษย์ฆ่าพระเจ้า" ไม่ใช่เพราะพระเจ้าไม่มีตัวตน" จากคุณ : ตูข้าผู้หลงในนิยายของชีวิต - [ 25 พ.ค. 48 10:10:14 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ชอบกระทู้นี้มากๆ ขอบอก จากคุณ : ข้าวสวย - [ 14 มิ.ย. 48 18:11:50 A:unknown X:203.146.81.198 ]

ความคิดเห็นที่ 13 "พระเจ้าตายแล้ว" น่าจะหมายถึง พระเจ้าตายจากความรู้สึกของคนทั่วไป เพราะคนในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในสายตายของนิทซ์เช่นั้นเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล นิทซ์เช่เป็นอเทวนิยม เขาโจมตีคริสต์จักร์ที่สร้างคุณค่าให้คนไปในทางที่ผิด มนุษย์ควรทำความดีด้วยความรู้สึกของตนเองเอง ไม่ต้องรอให้ใครมาคอยบอกให้ทำความดี การอ่านผลงานนิทซ์เช่เป็นเรื่องที่เข้าใจยากมากอย่างที่หลายคนรู้สึก เพราะต้องมีการตีความหมาย แล้วใครจะรู้จริงๆ ว่าที่นักปราชญ์เยอรมันท่านนี้เขียนเอาไว้มันหมายถึงอะไร แต่ที่น่าประหลาดใจคือปรัชญาของท่านมีแนวคิดของพระพุทธศาสนาอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง eternal recurence หรือ The overman อย่างไรก็ตามนิทซ์เช่จบชีวิตด้วยอาการจิตหรือเป็นบ้าจริง เหมือนดังที่พระอาจารย์ชากล่าวไว้ว่า พระอรหันต์กับคนบ้ามีรอยยิ้มเหมือนกันแต่แตกต่างกันตรงความหมายของมันนั่นเอง... จากคุณ : แม่มะม่วง - [ 19 มิ.ย. 48 21:53:43 A:203.209.96.219 X: ]

ความคิดเห็นที่ 14 "พระเจ้าตายแล้ว" ของนิทเช่ น่าจะหมายถึงอะไรก็ตามที่จัดว่าเป็นสิ่งที่เป็น universal good , absolute reality ไม่มีจริง แต่สิ่งที่มีจริงคือ ภาวะของมนุษย์ ที่ต้องกระทำและพัฒนาให้ไปข้างหน้า จากคนที่ยอมรับระบบศิลธรรมเดิมๆ...(ศิลธรรมแบบทาส) ไปสู่การเป็นคนที่ปฏิเสธศิลธรรมแบบเก่า( ถือเป็นศิลธรรมแบบนาย) สุดท้ายคือภาวะอภิมนุษย์ คือผู้สร้างกฏเกณท์ทางศิลธรรมใหม่ ปรัชญาของนิทเช่ มองอีกมุมก็มีส่วนคล้ายๆกับปรัชญา พุทธนิกายมหายานเหมือนกัน จากคุณ : Snake Fish Fisho - [ 20 มิ.ย. 48 03:12:42 A:203.130.158.181 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 อืม มานั่งฟังค่ะ อยากรู้เรื่องบ้าง จากคุณ : quin toki - [ 22 มิ.ย. 48 03:43:30 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ผมสนใจ นีทเช่ เพราะอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ ซาราทุสทรา ศาสดาอเทวนิยมศาสนาแรกคือ โซโรอัสเตอร์ ในหนังสือ แนวคิดหลังตะวันตก ของคุณ ธีรยุทธ์ บุญมี และบังเอิญเห็นหนังสือ ดังพจนา ซาราทุสทรา ของ นีทเช่ บนชั้นหนังสือเดียวกันในห้องสมุด - นีทเช่ แทนตัวเอง เหมือนว่าตัวเขาเป็น ซาราทุสทรา ซึ่งเขาเคยสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณและความรู้สึกกับศาสดาองค์นี้มาตั้งแต่เด็ก - "พระเจ้าตายแล้ว" คำพูดนี้ไม่ได้แสดงว่าเขาเชื่อหรือไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า เพียงแต่ต้องการเสียดสีสังคม และชี้ถึงการไม่จำเป็นต้องรู้ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่เท่านั้น ซึ่งในหนังสือ ดังพจนา ซาราทุสทรา ก็มีพูดถึงอยู่เช่นกัน จากคุณ : fusionanomaly - [ 29 มิ.ย. 48 05:30:54 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ความจริงก็คือ ทั้งพระเจ้าและนิชเช่ ต่างก็ตายแล้วเช่นกัน จากคุณ : lifestoryขออนุญาติแจม - [ 14 ก.ค. 48 19:56:35 A:203.147.24.23 X: ]