ความคิดเห็นที่ 1 เร็วไปครับ แต่เร็วไปแล้วยังไม่เท่าไหร่ แต่พอเปลี่ยนแปลงเสร็จก็ไม่ได้มีการส่งเสริมประชาธิปไตยให้มั่นคงอย่างแท้จริงเลย เห็นมีแค่อนุสาวรีย์อยู่แถวๆคอกวัวแค่นั้น ยิ่งไปกว่านั้นกลายเป็นการขัดแข้งขัดขากันเองไปเสียอีก จากคุณ : mr.packman - [ 22 มิ.ย. 48 01:49:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าเร็วไป แล้วคิดว่า เมื่อไหร่มันจะพร้อมล่ะครับ ลองไปอ่านกระทู้เก่าๆ ก็ได้ครับ เถียงกันมาเยอะแล้วเรื่องนี้ จากคุณ : Dongyang (UnlimitedDreams) - [ 22 มิ.ย. 48 03:49:12 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ต้องคิดแล้วค่ะ จะช้าหรือว่าเร็วไป เพราะว่ามันเกิดไปแล้ว เอาเป็นว่าปัจจุบันนี้ ระบบประชาติปไตย์ของเราพัฒนาไปแค่ไหน และจะเป็นประชาธิปไตย์ของประชาชนคนไทยทั้งปวงจริงๆหรือไม่ จากคุณ : นี่นะ - [ 22 มิ.ย. 48 06:41:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าถ้าจะเอาใจไปตั้งอยู่กับกลุ่มใด ฝ่ายใด คณะราษฎร์ก็คงเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะไปตั้งใจมั่นอยู่ด้วยแน่นอนครับ จากคุณ : หน่อง (neednong) - [ 22 มิ.ย. 48 08:03:29 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คิดเหมือนคุณนี่นะครับ คือมันไม่เร็วไม่ช้าเกินไปหรอก เพราะว่าเราต้องเข้าใจบริบทในสังคมโลกในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 คือยุคที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กำลังล่มสลาย แนวคิดที่กำลังแพร่หลายก็เป็นแนวคิดแบบสาธารณรัฐ  ความจริงเราช้าไปเสียด้วซ้ำ จีนเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐปี 1911 โซเวียตเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ปี 1917 (สาธารณรัฐประชาชน) ผมสังเกตดูว่าเราค่อนข้างจะมีความรู้ต่อยุครัชกาลที่ 7 แบบฝันๆ น่ะ คือไม่ดูว่าในสมัยพระองค์นี่ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กำลังจะพังลงมาแล้ว แม้แต่รัชกาลที่ 7 เองยังทรงรู้พระองค์โดยกล่าวว่า "ม่านการปกครองแบบนี้จะรูดลงในสมัยพระองค์นี่เอง" ความจริงตอนนั้นประชาชนระดับบนมีความกระตือรือร้นในเรื่องประชาธิปไตยมาก ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อคณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ชาวบ้านให้การต้อนรับดีมาก ทำไมล่ะ ?  คงยังจะมีชาวบ้านระดับรากหญ้าที่ไม่เห็นด้วยอีกเยอะ แต่ว่าทำไมพวกเขาไม่รุกฮือเลยล่ะ ?ก็เพราะพวกเขาไม่ค่อยมีความผูกพันกับพระมหากษัตริย์ (เมื่อเราจินตนาการกันในปัจจุบันนี้อย่างไรเล่า)    นอกจากนี้ปัญหาเศรษฐกิจที่เพาะบ่มมาตั้งแต่การเปิดประเทศของรัชกาลที่ 5 จนมาถึงการใช้เงินค่อนข้างมากในรัฐบาลของรัชกาลที่ 6 ก็กลายเป็นตัวบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐบาลของรัชกาลที่ 7 ยิ่งวิกฤตเศรษฐกิจโลกในยุค30 เข้ามาซ้ำโดยที่รัฐบาลไม่มีน้ำยาในการแก้ไข ก็ยิ่งเลวร้ายใหญ่อีก การเปลี่ยนแปลงการปกครองก็คือการเชิญกษัตริย์เข้าไปอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและเปิดให้คนสามัญเข้ามาช่วยบริหารประเทศ (ไม่ใช่แช่อยู่แค่เชื้อพระวงศ์ ชั้นสูงอยู่นั่นแหละ จะบริหารงานผิดพลาดอย่างไร ก็คนกลุ่มเดิมอยู่นั่นแหละ) ถึงแม้จะมีคนโจมตีว่าชาวบ้านจริงๆ ไม่ได้เข้ามานอกจากชนชั้นกลาง แต่อย่าลืมว่ามันต้องมีลำดับขั้น ไม่ใช่ว่าจู่จะพรวดพราดเป็นอย่างนั้น อย่างไรก็ตามสมาชิกในคณะราษฎรหลายคนก็ต้องยอมจำนนให้กับกลิ่นหอมของอำนาจไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องฉ้อฉลไป แต่อย่าลืมว่าไม่มีอำนาจใดที่จะได้มาโดยไม่มีการต่อสุ้ จากคุณ : Johann Sebastian Bach (Johann sebastian Bach) - [ 22 มิ.ย. 48 08:11:58 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าถามว่าประเทศไทยตอนนั้นพร้อมกับระบอบประชาธิปไตยยัง ผมก็คิดว่ายัง แต่ถ้าไม่ทำตอนนั้นประเทศไทยตอนนี้ก็อาจเป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้วก็ได้ ผมก็คิดว่าเป็นโชคดีของประเทศไทยเหมือนกันที่คณะราษฎทำตอนนั้น และก็ขอบคุณ รัชการที่ 7 และเชื้อพระวงศ์ในยุคนั้น ที่ยอมสละอำนาจ เพราะเห็นประเทศชาติสำคัญกว่า แต่หลังจากได้อำนาจแล้วก็น่าเสียดายที่คณะราษฎกลับแย่งอำนาจกันเอง แล้วก็จบลงด้วยเผด็จการทหาร อีกเกือบ 50 ปี แต่ก็ถือว่าไม่เลวร้ายมากเมื่อมองไปยังเผด็จการทหารอื่นๆ ทั่วโลก แต่ที่น่าสนใจก็คือ แม้แต่เผด็จการทหารยุคนั้นก็ยังเลวไม่ได้ครึ่งหนึ่งของนักการเมืองยุคนี้ เพราะยุคนั้นเวลากิน เขายังกินแบบมีมารยาท เขายังห่วงประเทศชาติบ้าง เขาจะรู้ว่าอะไรไม่ควรแตะต้อง ไม่เหมือนยุคนี้ กินดะทุกอย่างที่ขวางหน้า จากคุณ : Pongkm (Pongkm) - [ 22 มิ.ย. 48 09:27:29 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เร็วไป เวลาที่พร้อมคือ เวลาที่กฏหมายที่ ร.6 บังคับให้เด็กไทยเรียนหนังสือเริ่มปรากฏผล และคนไทยมีการศึกษาพออ่านออกเขียนได้ พึ่งพาตนเองได้ รู้ปกป้องสิทธิ์ของตน พอเข้าใจระบบปกครองที่จะเปลี่ยน ที่ผ่านมา เป็นการ ยึดอำนาจเจ้า มาเป็นอำนาจของคณะราษฏร์ ประชาชนไม่ได้มีโอกาสเลือก ว่าต้องการแบบเก่าหรือแบบใหม่ จากคุณ : อยากย้อนเวลา - [ 22 มิ.ย. 48 10:51:10 A:61.90.88.128 X: TicketID:075446 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เร็วไป ประชาชนชายขอบและรากหญ้ายังขาดความรู้เรื่องประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่เรื่องประชาธิปไตยอย่างเดียว เรื่องอื่นๆ ด้วย ถามว่าเมื่อไหร่จึงพร้อม ควรมีการส่งเสริมให้เข้าใจเสียก่อน ผู้ปกครองเมื่อขึ้นมามีอำนาจและขัดแย้งกันเอง เพราะปกป้องผลประโยชน์และอำนาจของตนตลอดมา ความพร้อมจึงยังไม่เกิด ลองหันไปดูในช่วงก่อนที่พลเอกเปรมจะลาการเมือง ยังมีการรณรงค์การเลือกตั้งและให้ความรู้ประชาธิปไตยกับประชาชน สัดส่วนประชาชนที่มาลงคะแนนน้อยมาก แทบไม่ถึง 50 เปอร์เซ็น หลังจากพลเอกเปรมลาการเมือง พลเอกชาติชายได้รับเรื่องตั้งกระทั่งจนปัจจบัน รู้สึกว่าเพิ่งจะได้ยินรากหญ้าพูดถึงการเลือกตั้งอย่างแพร่หลาย แต่ความเข้าใจนั้นมีมากแค่ไหน เช่นการพูดถึงการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายยังไม่มีความเข้าใจ ตลอดจนปัจจุบันการปกครองท้องถิ่นเช่น อบต. เข้ามามีบทบาทและกำหนด มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งระดับประเทศ ด้วยที่เชื่อและฟัง อบต. อบต.บอกให้เลือกใครก็เป็นไปตามนั้นเป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากมองในแง่รัฐศาสตร์ ประชาธิปไตยคือการที่ประฃาชนมีอิสระในการพูด วิพาก และวิจารณ์ในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเสรี ก็นับว่าหลังพลเอกชาติชาย เราได้ยินมากขึ้น และหวังว่าจะมีต่อไป หากมองในแง่นี้ประชาชนเพิ่งจะมีความรู้ในเรื่องนี้แค่ 20 ปีเท่านั้น จากคุณ : ชากร - [ 22 มิ.ย. 48 12:08:47 A:203.172.109.133 X: TicketID:102190 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วไม่มีว่าเร็วไปหรือช้าไปหรอกครับ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเป็นไปตามบริบทเหตุการณ์เงื่อนไขต่างๆในเวลานั้นๆ เรากลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ที่น่าเสียใจคือผ่านไปเจ็ดสิบกว่าปี ประชาธิปไตยเรายังย่ำเท้าก้าวสั้นๆ ไปได้ไม่ถึงไหนเพราะประชาชนส่วนมากไม่ได้รับความรู้อย่างที่ควรจะเป็น และที่น่าเสียใจกว่านั้น คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เคยเป็นกำลังสำคัญในก้าวกระโดดของการเปลี่ยนแปลงมาทุกยุคทุกสมัยส่วนใหญ่กลับหลงอยู่แต่กับเรื่องการเล่นสนุก ไม่ใส่ใจในเรื่องของชาติ เป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วครับ จากคุณ : CrazyHOrse - [ 22 มิ.ย. 48 12:30:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เร็วไม่เร็ว ช้าไม่ช้า แต่ที่แน่ๆ ไม่เด็ดขาดพอ จากคุณ : นู๋เองง่ะ - [ 22 มิ.ย. 48 14:05:01 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับ คคห.ที่ 9 ค่ะ อนิจจาน่าใจหายมากสำหรับเด็กยุคใหม่นี้ คือ ระบอบทุนนิยม การค้าเสรี ที่มาพร้อมกับระบอบประชาธิปไตยได้หล่อหลอมให้เด็กที่เติบโตมาในรุ่นหลังๆ ไม่ได้รักและหวงแหนประเทศชาติ สมาพันธ์นักศึกษา ในสมัยก่อนมีบทบาทมาก สมาชิกมากมาย ถามเด็กรุ่นใหม่ ก็คงยังไม่รู้เรื่องเลย บางคนอาจจะบอกว่า มีด้วยเหรอ ยังมองไม่ออกเลยค่ะว่า เด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์ อะไรก็ต้องเอาให้ได้ดั่งใจแบบนี้ จะพัฒนาประชาธิปไตยของเราไปทางไหน จากคุณ : นี่นะ (นี่นะ) - [ 22 มิ.ย. 48 15:34:46 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าสภาพทางสังคมยังเป็นอยู่อย่างนี้ ตอนนี้ ประเทศไทยคงไม่เหมาะกับประชาธิปไตยเลยด้วยมั๊ง -ระบอบอุปถัมป์ยังมีอิทธิพลอยู่มาก จะทำอะไรก็ไม่เด็ดขาด เพราะมัวแต่จะต่างตอบแทนกัน -ระบอบอาวุโสที่ปิดกั้นไม่ให้คนอ่อนอาวุโสมีสิทธิมีเสียงอย่างเต็มที่ -จะมีกี่คนที่เข้าใจถึงแก่นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ถึงจะมีการกระจายอำนาจการปกครองออกสู่ท้องถิ่น แต่ไม่มีการกระจายความรู้ออกไปด้วย ยังมีคนอีกหลายคนที่รู้จักแต่สิทธิตัวเอง แต่ไม่สนใจหน้าที่และสิทธิของคนอื่นๆ (ไม่ว่าจะคนชนบท คนเมือง หรือนักการเมืองด้วยก็เถอะ) -คนไทยอีกหลายคนถนัดแต่จะคอยรับคำสั่ง แต่ไม่ถนัดที่จะเสนอความคิดเห็นตัวเองออกไป -ยิ่งเดี๋ยวนี้ทั้งสู้ ทั้งกลุ่มต่างๆ ยังถูกปิดปากไปอีก เฮ้อ... etc. น่าเสียดายที่การเปลี่ยนแปลงของคณะผู้ก่อการทั้งหลายก็เป็นแค่การเปลี่ยนอำนาจจากกลุ่มพระราชวงศ์ มายังกลุ่มตัวเองแค่นั้น ซึ่งก็เป็นแค่ประชาธิปไตยแภยนอกแค่นั้นเอง แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 48 17:22:34 จากคุณ : mr.packman - [ 22 มิ.ย. 48 17:03:31 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่เร็วไปครับ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ชนชั้นปกครองไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆ หากไม่มีปัจจัยมาบีบบังคับ ผมไม่เชื่อว่าหากไม่มีการปฏิวัติ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ประเทศเราจะเป็นประชาธิปไตยได้มากกว่าที่เป็นอยู่ การปฏิวัติ 2475 คือพัฒนาการของสังคมที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ที่ 5 ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีการวิวัฒนาการก้าวหน้ามาตามลำดับจากการเลิกทาส เลิกระบบเกณฑ์แรงงานไพร่ เลิกประเพณีหมอบคลาน จนในที่สุดก็มีรัฐธรรมนูญที่จำกัดอำนาจกษัตริย์ตามแบบสากล ซึ่งเราถือเป็นจุดเริ่มต้นของระบอบประชาธิปไตยไทย แม้จะเกิดขึ้น จากการก่อการของคนเพียงกลุ่มเดียวก็ตาม แต่แน่นอนที่สุดสังคมไทยในขณะนั้นยังไม่พร้อมที่จะเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ คณะราษฎรจึงยังต้องกำกับดูแล และส่งเสริมการพัฒนาประชาธิปไตยโดยการให้การศึกษาอบรมทางการเมืองและกฎหมายแก่มหาชน ซึ่งในช่วงต้นก็จำเป็น ที่จะต้องใช้อำนาจเผด็จการบ้างเพื่อพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยให้รอดพ้นจากการทำลายของพวกปฏิกิริยา แม้คณะราษฎรอาจประสบความสำเร็จไม่เท่าที่ควร แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะอย่างน้อยได้ทำให้ประชาชน ได้เรียนรู้กฎหมายและการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย เป็นการปลูกฝังความคิดประชาธิปไตยในหมู่ปัญญาชนที่ค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้นตามลำดับ ประชาธิปไตยที่เกิดจากพลังมหาชนเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเราถือเป็นวันประชาธิปไตย แต่เราคงจะมี 14 ตุลาไม่ได้ หากไม่มี 24 มิถุนา เพราะปัญญาชนที่ต่อสู้เรียกร้องเมื่อ 14 ตุลา 16 ก็เป็นผลิตผลจากระบบการศึกษาที่คณะราษฎรได้วางรากฐานไว้ จากคุณ : เสรีนิยมก้าวหน้า - [ 22 มิ.ย. 48 17:04:35 A:192.168.4.97 X:203.185.129.244 TicketID:099733 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เห็นด้วยกับคคห.ที่12 แม้ในปัจจุบันประชาชนบางกลุ่มยังไม่เข้าใจและเห็นความสำคัญของการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การออกไปใช้สิทธิเพียงแลกกับค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย ไม่สนใจว่าการเมืองและการปกครองมีผลกระทบหรือผลประโยชน์ในอนาคตของตัวเองอย่างไร ผู้ที่มีอำนาจก็แสวงหาแต่ผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่ก่อให้กับประเทศ ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมีกลุ่มใดบ้างที่ทำเพื่อประชาชนอย่างจริงใจโดยแท้ ถ้าผู้มีอำนาจในการปกครองอุทิศตนทำงานเพื่อพัฒนาประเทศยกระดับมาตรฐานชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ดั่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทรงพระราชทานแก่ราษฎร ประเทศไทยได้ไปไกลกว่านี้เยอะ จากคุณ : คมในฝัก (คมในฝัก แต่ชักไม่ออก) - [ 22 มิ.ย. 48 18:24:29 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ช้าไป ถ้าเร็วพร้อมฝรั่งเศสเด็กไทยคงไอคิวดีกว่าทุกวันนี้ จากคุณ : ครูไทย - [ 22 มิ.ย. 48 19:06:24 A:203.113.81.170 X: TicketID:102386 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าเร็วไป แต่ตอนนี้ผมกลับเห็นว่าไม่เร็วไปหรอก เพียงแต่วิธีการและขั้นตอนมันผิด และเหตุการณ์หลังจากนั้นยิ่งเลวร้าย แทบจะเรียกว่าประชาธิปไตยไม่ได้เลย รายละเอียดอื่นผมคงได้แต่คิด คงแสดงความเห็นตรงนี้ไม่ได้ จากคุณ : ===Wladyslaw Szpilman=== - [ 22 มิ.ย. 48 22:00:31 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ดูเหมือนเร็วเกินไปครับ แต่อย่าเพิ่งหมดหวังกับประชาธิปไตยบ้านเราเพราะคิดว่ามีมาถึง 70 กว่าปีแล้วยังเหมือนไม่ไปไหนเลยครับ ถ้าจำไม่ผิด สมัยตอนประชาิธิปไตยในประเทศอเมริกามีอายุประมาณ 60-70 ปี ก็ยังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใช้ไม้ตะพดตีสมาชิกคู่ปรับจนนอนจมกองเลือดภายในสภาโดยไม่มีคนห้ามกันอยู่ (แต่น่าจะเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว) สุภาพสตรีชาวอเมริกันเองก็ไม่ได้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจนกระทั่งประชาธิปไตยเค้ามีอายุเกือบร้อยห้าสิบปี ได้รับสิทธิทีหลังคนผิวดำที่เป็นผู้ชายเสียอีก ถึงแม้จะสมัยนี้ก็เถอะ ประชาธิปไตยในอเมริกามีมาเกือบสองร้อยสามสิบปีแล้ว ความเสมอภาคในสังคมก็ยังขาด ๆ หาย ๆ อยู่ เพราะมีตัวประกอบอีกหลายอย่าง เช่น ฐานะทางเศรษฐกิจ การศึกษา หรือแม้กระทั่งเชื้อชาติรูปพรรณสัณฐาน เข้ามาเกี่ยวข้อง สรุป การพัฒนาประชาธิปไตยต้องใช้เวลาครับ ชั่วชีวิตเราอาจไม่พอด้วยซ้ำไป เพราะต้องเริ่มต้นกันที่การศึกษา กว่าจะมีรูปแบบการให้การศึกษาที่ดี กว่าเด็กทุกคนจะมีโอกาสได้เรียนถึงระดับที่ทำให้เข้าใจถึงปัญหาเหล่านี้ได้ทุก ๆ คน กว่าเด็กเหล่านี้จะมีจิตสำนึกรู้สึกถึงความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลงพัฒนา กว่าจะมีโอกาสได้เข้ามาพัฒนาบ้าง คงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี (อาจจะร้อยปีด้วยซ้ำ) แต่จนกระทั่งทุกวันนี้แล้ว เด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือหรือยังเรียนน้อยอยู่ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไปนะครับ การพัฒนาแบบก้าวกระโดด มักจะมีการสูญเสียใหญ่หลวงทางใดทางหนึ่งเสมอ จากคุณ : FootFeet45 - [ 23 มิ.ย. 48 03:18:25 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ช้าไปเร็วไปไม่สำคัญครับ เพราะเห็นด้วยกับหลายๆท่าน เถียงไปก็เท่านั้น ย้อนอดีตไม่ได้ ถึงย้อนได้แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าการแก้อดีตนั้นดีหรือเลว เอาเป็นว่าให้วัยรุ่นไทยผู้ใหญ่บางคน เข้าใจลัทธิบริโภคนิยม ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ยอดเยี่ยมแล้วครับ จากคุณ : ทบพล - [ 23 มิ.ย. 48 07:03:36 ]

ความคิดเห็นที่ 19 (อยากให้คึกคัก) ตอนนั้นที่เปลี่ยนนะเปลี่ยนจาก ราชาธิปไตย เป็น คณะบุคคลาธิปไตย แต่ถ้าจะเอา "การเลือกตั้ง" หมายถึง "ประชาธิปไตย"แล้วล่ะก็ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ เสนาบดี และพระบรมวงศานุวงศ์ เลือกและตั้งพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติตามสมเด็จพระเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงทดลองเลือกตั้งข้าราชการเป็นครั้งแรกที่ตำบลบางปะอิน  เป็นการเลือกตั้งกำนัน จากคุณ : กัมม์ - [ 23 มิ.ย. 48 18:14:24 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอคึกคักด้ยนะครับ ผมว่าที่คุณกัมม์กล่าวมันคนละประเด็นนะครับ หากไม่มีกลุ่มก่อการโฉมหน้าสยามคงอาจไม่ได้เป็นประเทศไทยแบบวันนี้ก็ได้ ผมว่ามันอยู่ที่เวลาและโอกาสมากกว่า อีกอย่างประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือ บันทึกจากกลุ่มคนที่ได้หรือเสียประโยชน์ย่อมออกมาต่างกัน หากวันนี้ประเทศไทยไม่ได้เป็นราชอาณาจักร ประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันคงจะเป็นแบบตรงกันข้ามน่ะครับ ผมว่าช่วงนั้นโชคดี หรือไม่ดีไม่ทราบแล้วแต่มุมมอง ที่คณะราษฎร์ยังคิดที่จะเชิญกษัตริย์พระองค์เดิมมาเป็ฯ constututional monarch หากเรามองเหตุการณ์หลัง 2475 ถึงก่อนสมัยจอมพลสฤษดิ์จะเห็นได้ว่ากลุ่มราชวงศ์ไม่ได้มีบทบาทมากนัก ก่อนที่จะได้รับการฟื้นฟูในรัชกาลปัจจุบัน จากคุณ : นิรนาม - [ 23 มิ.ย. 48 18:40:46 A:61.91.211.148 X: TicketID:086026 ]

ความคิดเห็นที่ 21 พอดี พอดี รับกับเวลาการเปลี่ยนแปลงในบริบทของ สภาพสังคมและวัฒนธรรมของโลกพอดิบพอดี การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการปฏิวัติ เกิดขึ้นจากรากที่เน่าเฟะของสังคมศักดินา (ที่ดันมาเน่าบนพื้นดินของชนชั้นแรงงาน) กระแส การปรับเปลี่ยน รูปแบบศักดินา จากคนกลุ่มหนึ่ง กลายมาเป็น คณะบุคคลที่กว้างขึ้น เริ่มขยายแนวคิดไปสู่โลกภายนอก(ยุโรป) ความแตกต่างของพื้นฐาน ตะวันตกและตะวันออก เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ส่งผลให้ การปฏิวัติ ไม่ได้รับความนิยม หรือไม่ได้ถูกใช้อย่างเต็มรูปแบบในเขตโลกตะวันออก การเปลี่ยนแปลง มักจะมีการอลุ่มอล่วย ปรับอย่างช้า ๆ หรือมีกลวิธีในการปรับ(ยึด) อำนาจจากกลุ่มคนยอดปิรามิด ชนชั้นกลางในทุกยุคทุกสมัยจึงมักได้รับผลอนิสงฆ์(ผลประโยชน์)จากการเปลี่ยนแปลง โดยมีชนชั้นล่าง(แรงงานหรือ Mode of Production ของมาร์ก) เป็นเพียงกองหนุนและข้ออ้างสม่ำเสมอ ทุกยุ ทุกสมัย ความนิยมในการกระจายอำนาจเพื่อเปิดโอกาสให้คนหมู่มากมีโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร ถูกเรียกว่า"ประชาธิปไตย" ในมุมมองของการปกครองและควบคุม ผลจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในสยามปี 2475 ทำให้การเปลี่ยนแปลงโดยการปฏิวัติในอีกแนวคิดหนึ่ง(คอมมูน)ที่ดูจะรุนแรงกว่า ถูกสกัดกั้นโดยอัตโนมัติ รากฐานของแรงงานและไพร่ฟ้าในสยาม ยินดีกับการเปลี่ยนแปลงแบบที่มีการคงไว้ด้วยสัญลักษณ์แห่งผู้นำของโลกจารีตโบราณ เพื่อผลทางจิตใจและความต่อเนื่องใน"สยามรัฐ" ชนชั้นกลางผู้ฉกฉวยอำนาจแห่งการควบคุมทรัพยากร ได้ใช้ประโยชน์ของ"อุดมการณ์" เพียงส่วนหนึ่งให้กับชนชั้นล่าง และแสวงหา ฉกฉวย สิ่งที่แย่งชิงมาจากยอดปิรามิด เพื่อผลประโยชน์แห่งตนตลอดมา จนในที่สุด รัฐชาติเข้มแข็ง การปฏิวัติการสื่อสารและความเจริญรุดหน้าแห่งสังคมโลก ไพร่ฟ้า และชนชั้นผู้ถูกปกครอง เริ่มมี"สำนึก"และเริ่ม"คาดหวัง" กับอำนาจในการควบคุมทรัพยากรดวยตนเอง คำว่า"ประชาธิปไตย" จึงเริ่มเกิดขึ้นติดตามมา อย่างช้า ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป สลับกับการปกครองแบบเข้มงวดและอ่อนแอ ประชาธิปไตยในปัจจุบัน กำลังอ่อนแอ ยังม่เข้มแข็ง ไม่ใช่พราะว่าเราเรียนรู้ ประชาธิปไตย ช้าหรือเร็ว เกินไป หากแต่ เราเอง....กล้าหาญเพียงพอไหมที่จะสร้างและรังสรรค์"ประชาธิปไตย" แห่งประเทศ"ไทย"ในวันนี้และวันถัดไป เรามี"สำนึก" เพียงพอไหมที่จะลุกขึ้น ต่อสู้กับ"อุปสรรค"แห่งประชาธิปไตย ด้วยวิถีทางแห่ง"ปัจจุบันวิถี" เรากำลังจะพ่ายแพ้  !!! จากคุณ : วรณัย - [ 23 มิ.ย. 48 20:55:55 ]

ความคิดเห็นที่ 22 วันนี้คนรุ่นเรา พ.ศ. ๒๕๔๘ เดินมาไกลพอ จะหันหลังไปมองคนรุ่น พศ. ๒๔๑๑ ได้ชัด เจนกว่าคนรุ่น พ.ศ.๒๔๗๕ มองเห็นเหตุผล ต้นธาร-บริบทแห่งการเปลี่ยนแปลงและการ เชื่อมโยง- เปรียบเทียบถึงเหตุผลการปฏิวัติ ในฝรั่งเศสเป็นระบบประชาธิปไตย และการ เลือกใช้ระบบสังคมนิยมของรัสเซีย รองรับ ระบบเศรษฐกิจภายหลังยุคการปฏิวัติอุตสา หกรรมอันแพร่หลายในยุโรป..ฯ ปัญญาชนกลุ่มแรกๆ ที่มีโอกาสเดินทางไป ศึกษาเรียนรู้ศิลปะวิทยาในยุโรปจึงไม่อาจ ปฏิเสธองค์ความรู้เรื่องเศรษฐกิจ-การเมือง ด้วยถือเป็นของใหม่อันศิวิไล เช่น เสรีภาพ -ภราดรภาพ- อิสรภาพ-ประชาธิปไตย และ คำว่า Revolution "การเปลี่ยนแปลง" ฯลฯ หากสัจจะ-แห่งการเปลี่ยนแปลง ได้ส่งผ่าน จากต้นสายธารมานานและไกลมากแล้วตั้ง แต่มนุษย์คนหนึ่ง- ลุกขึ้นต่อสู้กับกลุ่มคนที่ ไม่รู้จักขณะกำลังหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวลงใน นาข้าว เขตุแดน-พื้นที่ดินของตนเอง.. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช.. จนถึงสมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราชทรงรวบรวมไพร่ฟ้า ขับไล่ข้าศึกจนแตกพ้าย พ้นจากขอบขันธ สีมาฯ ทรงประกาศอิสระภาพให้ชาวสยาม หลังเสียกรุงฯ ปี พ.ศ. ๒๑๑๒ และ ๒๓๑๐ เราพึงเคารพกราบไหว้ดังหลักหมุดทองคำ เช่นเดียวกับ รัชสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง ปฎิรูปบ้านเมือง-การเลิกทาส ครั้งแผ่นดิน พระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าฯ โดยไม่ต้อง เสียเลือดเนื้อฆ่าฟันกันเหมือนการโค้นล้ม ระบบกษัตริย์ในรัชกาลพระเจ้าหลุยที่ ๑๖ หรือวันนี้..เราต่างหากที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง จึงติดยึดอยู่กับการเปลี่ยนแปลงปี ๒๔๗๕ ติดกับรูปแบบกรอบกรงขัง"ประชาธิปไตย" อย่างขาดความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ หลงลืมเจตนารมณ์แก่นสาระการมีส่วนร่วม แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 48 13:31:17 แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 48 06:11:01 จากคุณ : พุ่มสกี้ - [ 24 มิ.ย. 48 06:04:59 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมเห็นด้วยกับ Johann Sebastian Bach (Johann sebastian Bach) ขี้เกียจบรรยายความรู้สึก เพราะมักจะเมามันทุกที แล้วก็โดนลบ ชอบใจคุณวรณัย ที่ชอบเขียนเรื่องง่ายให้ดูยากๆ อ่านคำหรูหราของคุณแล้วเหมือนจะยากเย็น ทำให้อ่านช้าลง แต่จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ดีครับ ดูดีไม่น้อย จากคุณ : วรวีร์ - [ 24 มิ.ย. 48 19:17:06 A:203.113.67.134 X: TicketID:031822 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่ เร็ว หรือ ช้า หรอกครับ แต่มันอยู่ที่ กลุ่มคนที่เปลี่ยนแปลง ต้องการ ประชาธิปไตย หรือ ต้องการ อำนาจ กันแน่ ถ้าเป็นอย่างแรก ก็ไม่เร็วไปหรอก และถ้าจะช้ากว่านี้ ก็ไม่เป็นไร เพราะของแบบนี้เราค่อยๆเรียนรู้กันไปได้ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง จะเร็วจะช้า มันก็ ไม่สำคัญ อยู่ดี ก็คนมันจะเอา น่ะ จากคุณ : โรช - [ 7 ก.ค. 48 02:17:40 A:202.183.157.26 X: ]