ความคิดเห็นที่ 1 ไม่เชื่อครับ จากคุณ : Foucault lover - [ 25 มิ.ย. 48 22:09:49 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โลกพระศรีอารย์ มีจริง? จากคุณ : whitehome - [ 25 มิ.ย. 48 23:50:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่เชื่อ อะคราบบบบบ มีคำบาลีอยู่คำหนึ่งว่า "อะนะมะตัคเค" แปลว่า "ในกาลอันมีเบื้องต้นและที่สุด อันบุคลไปตามอยู่ รู้ไม่ได้แล้ว" ถ้าหลักการของ Marxism เป็นจริง นั่น แสดงว่า คำสอนของมาร์กขัดกับคำที่ยกมา นะครับ จากคุณ : ณ. ลังค่าย - [ วันสุนทรภู่ 00:42:29 ]

ความคิดเห็นที่ 4 " Interesting concepts, wrong specie ". จำเขามาอีกที จากคุณ : OLD THAI - [ วันสุนทรภู่ 00:43:34 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ชอบ Marxist ตรงที่มันช่วยเปิดเผยการกดขี่ และครอบงำ ในระบบทุนนิยมเสรี แต่ไม่เชื่อที่คุณตะนิ่นถามน่ะค่ะ Marx ไม่สามารถนำเราไปสู่ยุคพระศรีอารย์ ได้หรอกค่ะ และยังไม่ค่อยแน่ใจว่า โลกพระศรีอารย์นั้นจะเป็นโลกแห่งความสุขจริงๆหรือ??? ไม่รู้เหมือนกันค่ะ จากคุณ : สวัสดีอ้วนอ้วน (อยู่กับก๋ง) - [ วันสุนทรภู่ 01:19:33 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มดตัวน้อยๆจะรู้ไหมว่าบนโลกนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตอีกหลายจำพวก บนฟ้ายังมีนกและแมลง และในน้ำก็ยังมีปลาและสิ่งมีชีวิตอีกมากมาย พวกมันมีสังคมที่คล้ายมนุษย์ แต่มันก็รู้เท่าที่มันมีชีวิตอยู่แบบนั้น ก็เหมือนพวกเราที่ยังตั้งคำถามว่าพระศีรอารย์มีจริงไหม พระพุทธเจ้ามีจริงไหม แล้วGodของศาสนาคริสต์เป็นผู้สร้างโลกจริงหรือ วิญญานมีจริงไหม ตายแล้วตกนรกจริงหรือ หรือตายแล้วไปเกิดใหม่ จากคุณ : อมิตตาพุทธ - [ วันสุนทรภู่ 04:17:19 A:61.91.171.180 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 นิยายเพ้อฝันทางการเมือง ดูจีน รัสเซียปะไร เมื่อก่อนก็หลงตามมาร์ค จากคุณ : ส - [ วันสุนทรภู่ 09:06:36 A:61.19.184.192 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 เป็นทฤษฎีที่ดีครับถ้าว่ากันตามโลกทรรศน์แบบนิวตัน แต่ปัจจัยที่สำคัญคือคนไม่ใช่เฟืองจักร คนมีความแตกต่างกันมาก-น้อย Mark ละเลยคนในฐานะคนไปทำให้ทฤษฎีของเขาล้มเหลวเมื่อนำมาใช้งานจริง จากคุณ : Nexus - [ วันสุนทรภู่ 10:00:45 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คาร์ล มาร์คก็มีสังคมอุดมคติของเขาปลายทางไม่ได้เหมือนกับแนงคิดชาวพุทธเลย โลกสมัยพระศรีอาริยะเมตไตรก็คือสังคมในอนาคตของชาวพุทธ ซึ่งไม่รู้จะอีกกี่หมื่นกี่แสนปีข้างหน้า จากคุณ : น้องหอมแดง - [ วันสุนทรภู่ 20:50:10 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คาร์ล มาร์กซ......ในทัศนะข้าพเจ้า เป็นเพียงนักคิดนักเขียนที่เก็บกด เหยียดหยามโลก มองแต่โลกในแง่ร้าย.......ไม่เข้าถึงจิตใจมนุษย์อย่างแท้จริง ทฤษฎีต่างต่างที่นำไปสู่ ลัทธิคอมฯ สังคมนิยม มาร์กซิสต์ หรือเลนิน ล้วนเป็นเครื่องมือคร่าชิวิตคนจำนวนมหาศาล การมองโลกแบบวัตถุนิยมเชิงประวัติศาสตร์แบบ มาร์กซ โดยคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นแบบในอุดมคติ...มันเพ้อฝัน โลกพระศรีอารย์.....แชงกรีล่า หรือ ซังคชัวรี่ อะไรก็แล้วแต่ มันไม่มีจริงหรอกสำหรับ มาร์กซ มุมมอง แนวคิด ของมาร์กซ ก็ไม่น่าจะแตกต่างจากท่านอื่นอื่น ที่เป็นแรงบันดาลใจคนสำคัญอย่าง.... เฮเกล , อดัม สมิท, เพลโต, อริสโตเติล หรือผู้ร่วมงาน ฟรีดริช เองเกิลส์  เท่าใดหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 48 21:10:41 จากคุณ : ลี้ถ้ำฮวย - [ วันสุนทรภู่ 21:07:49 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Marxism เป็นอุดมคติ แนวคิดดี นักวิชาการทั่วไปยอมรับ แต่มันใช้ไม่ได้กับโลกแห่งความเป็นจริง ไม่งั้น รัชเซีย คงไม่ล่ม และ จีน คงไม่มีปัญหา และเวียดนาม คงเจริญมากกว่านี้ จากคุณ : keiji - [ วันสุนทรภู่ 22:58:31 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ต้องขอโษเพื่อนๆทุกคนที่ให้ความเห็น ในกระทู้นี้ เนื่องจากไม่ได้บอกถึง ที่มา ที่ไป ของกะทู้นี้อยู่ๆก็ จู่ลู่ ขึ้นมาตั้งเป็น กระทู้ ห้วนๆดื้อๆ ดังนั้นจึงขออนุญาตเพื่อนๆ ขยายความสักนิดครับ สืบเนื่องจากได้อ่านหนังสือเรื่อง Marxist and Utopian Socialists ของ Fred  Hann ซึ่งได้พูดถึงแนวความคิดของ นักคิดสองท่านคือ Karl  Marx และ Sir Thomas Moore ผลสรุปของทั้งสองท่านนั้นมีเป้าหมาย ที่ใกล้เคียงกันคือ Anarchism อรัฐนิยม แต่วิธีการที่จะมาถึงนั้นแตกต่างกัน ตรงนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าประสงค์เดียวกัน มุ่งไปยังจุดหมายเดียวกัน คนหนึ่งใช้ วัตถุ อีกคนใช้ การพัฒนาทางจิตใจ มันจะไปถึงเป้าหมายเดียวกันได้หรือ? ถ้าได้ วัตถุ กับ การพัฒนาจิตใจ ก็ไปด้วยกันได้ ถ้าได้ จะถือได้หรือไม่ว่า การพัฒนาทางด้านวัตถุ กับ การพัฒนาทางด้านจิตใจ สามารถทำให้เจริญ ก้าวหน้า *ควบคู่* กันไปได้ ด้วยสมมุติฐาน นี้ ด้วยความสงสัย นี้ จึงได้ตั้งเป็นกระทู้ ขอความเห็นจากเพื่อนๆทุกคนครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ตะนิ่นตาญี - [ วันสุนทรภู่ 23:38:39 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นโลกพระศรีอาริย์ ในความหมายของยูโทเปีย (โลกในอุดมคติ) ในโลกนี้เคยมีสังคมนิยมที่แท้จริงและบริสุทธิ์หรือไม่ จริงเท็จแค่ไหนควรต้องแยกแยะ จากคุณ : มานิเฟสโต้ - [ 27 มิ.ย. 48 00:43:58 A:203.113.33.12 X:203.151.140.114 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขยายความเสียหน่อย.... ถ้าเป็นหลักการของมาร์กซ์ดั้งเดิมที่อ้างไดอาเล็คติก อาจจะไม่ใช่แบบนั้น แต่การไปสิ้นสุดที่โลกในอุดมคติ มีสิทธิ์เป็นไปได้ (และก็เข้าใจว่า มาร์กซ์หมายความตามนั้น ) แต่ไม่เคยมีใครคิดจะทำจริงจังแม้สักครั้งเดียว ดังนั้นการจะไปอ้างเอากับ จีนและ รัสเซีย ที่เป็นเท็จเทียม จึงเป็นการกล่าวที่เบี่ยงเบนจากเนื้อหาสาระที่แท้จริงของคอมมิวนิสต์อย่างไม่น่าให้อภัยสักเท่าใดนัก เหมือนบริโภคยาเกินขนาดหรือผิดวิธี แล้วโทษว่า ขึ้นชื่อว่ายาแล้วอันตรายทั้งนั้น มีแต่จะทำให้คนตาย ฉันใดก็ฉันนั้น มาร์กซ์มิได้ละเลยความเป็นคน แต่กลับให้ความสำคัญกับความเป็นคน แต่ให้ความสำคัญคู่กับการพัฒนาของวัตถุ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ควรจะพัฒนาควบคู่กันไป มาร์กซ์ยังได้กล่าวถึงการพัฒนาของจิตสำนึก แต่โดยรวมแล้ว มาร์กซ์จะค่อนข้างกล่าวในแนวค่อนข้างไปทางสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ ซึ่งอ้างหลักเกณฑ์ธรรมชาติ มากกว่าว่ามันคือสังคมที่ควรจะเป็น ความเห็นส่วนตัว,คิดว่ามาร์กซ์ใช้การมองในมุมตนเองมากไป ในการวิจารณ์แนวคิด สังคมนิยมยูโทเปีย ถ้าคิดว่ามันเพ้อฝัน ก็เพ้อฝัน แต่เหมาะควร ก็เหมาะควร แต่ถ้ายึดติด มันก็ยึดติด และเมื่อยึดติดแล้ว คุณค่าของมนุษย์ในด้านดีก็จะถูกลดลง และถูกอ้างอิงกับเสรีภาพอันจอมปลอม ซึ่งเสรีภาพแท้จริงเต็มปริมาณ มีจริงๆหรือ แล้วโลกปัจจุบันมันดีแค่ไหน ทำไมถึงทนอยู่กันได้.. หรืออาจจะเป็นเพราะไม่ถึงคราวตนเองก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องของตน ก็ไม่ต้องช่วย ยอมรับว่ามันเป็นธรรมดาของมนุษย์โลก แต่พิจารณาให้ดีว่า มนุษย์"ไม่เป็นมนุษย์" ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ การล้างสมองจากระบบทุนนิยม ได้ผลจริงๆ และทำให้ใครต่อใคร ยึดติดกับค่าโน่นค่านี่.. มากกว่า "ค่าของความเป็นมนุษย์"ที่จะทำเพื่อส่วนรวม และภาคภูมิใจกับงานของตน จากคุณ : มานิเฟสโต้ - [ 27 มิ.ย. 48 01:08:46 A:203.113.33.12 X:203.151.140.114 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คอมมิวนิสต์ถือหลัก “จากแต่ละคนตามความสามารถของเขา แก่แต่ละคนตามความจำเป็นของเขา” เมื่อถือหลักดังนี้เสรีภาพของเอกชนก็มีอยู่ไม่ได้เพราะรัฐจะต้องบังคับให้ทุกคนทำงานเต็มความสามารถตลอดเวลาไป (ซึ่งอาจจะเป็นงานชนิดที่แต่ละคนไม่ชอบก็ได้) ไม่มีเสรีภาพที่จะหยุดพักหรือเลือกงานตามใจชอบ และให้ผลตอบแทนเฉพาะที่เห็นว่าจำเป็นตามสภาพของแต่ละบุคคล (ซึ่งแตกต่างกันไปได้) และการที่คนเราจะทำงานโดยไม่ได้รับผลตอบแทนตามส่วนกับการลงทุนลงแรงก็ย่อมไม่ยุติธรรมและไม่มีเครื่องจูงใจให้ทำงาน แล้วชาติบ้านเมืองจะเจริญได้อย่างไร ? ทรัพย์สินทั้งหลายที่เอกชนจะครอบครองก็ต้องขึ้นอยู่ที่รัฐบาลจะยินยอมให้เพียงใด การจะหวังให้แต่ละคนทำงานเพื่อมนุษยชาติ โดยไม่หวังผลตอบแทนกันทั่วทุกคนไปนั้น ในสภาพปัจจุบันซึ่งมนุษย์ยังยากไร้อยู่มากมาย และพลอยทำให้เกิดความโลภขึ้นด้วยนั้น จะทำได้ก็แต่โดยวิธีบังคับ หากไม่มีความยากจนให้เห็น หากความโลภหมดสิ้นไปแล้ว นั่นแหละมนุษย์จะหมดห่วงกังวลต่างๆ และจะทำงานเพื่อสังคมเองโดยสมัครใจ สำหรับระบบคอมมิวนิสต์ปัจจุบัน ซึ่งยอมลดหย่อนจากหลักการเดิมมาเป็นรัฐให้ผลตอบแทนต่อบุคคลตามส่วนกับผลงานหรือผลผลิต (เพื่อให้เกิดแรงจูงใจทำงานตามสมควร) นั้น ผมยังมองไม่เห็นว่ารัฐจะแก้ไขปัญหาในเรื่องความเหลื่อมล้ำเกี่ยวกับการได้อยู่ได้ทำงานในที่ดินดีเลวผิดกันอย่างไร ถ้าไม่ใช้วิธีคิดหักราคาหรือค่าเช่าที่ดินไว้ด้วย (จากหนังสือความยากจนที่ไม่เป็นธรรม หน้า 74 ดูได้ที่ www.geocities.com/utopiathai ครับ) จากคุณ : สุธน หิญ - [ 27 มิ.ย. 48 12:44:18 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ส่วนที่ขึ้นชื่อมากที่สุดส่วนหนึ่งของคำประกาศลัทธิคอมมิวนิสต์ (Communist Manifesto) คือ การปฏิรูป ๑๐ ประการ ประการแรกคือ “การยึดที่ดินและใช้ค่าเช่าที่ดินทั้งสิ้นเพื่อการสาธารณะ” ถ้าคอมมิวนิสต์ทำการปฏิรูปเฉพาะครึ่งหนึ่งของข้อแรกนี้และเน้นว่าส่วนที่จะนำมาใช้เพื่อการสาธารณะนั้นมิใช่ตัวที่ดินเอง แต่เอาเฉพาะค่าเช่าที่ดินเท่านั้น (ไม่ต้องยึดที่ดิน แต่ให้ท้องถิ่นและรัฐร่วมกันเก็บค่าเช่าที่ดิน - เฉพาะจากที่ดิน ไม่รวมอาคารบ้านเรือนที่เอกชนสร้าง - และเลิก/ลดภาษีอื่นๆ ชดเชยกัน) คำประกาศลัทธิคอมมิวนิสต์ก็จะเป็นคำประกาศที่ปลดแอกอย่างแท้จริง น่าเสียดายที่โซเวียตและจีนไม่เริ่มทำขั้นตอนที่ ๑ ตามที่มาร์กซ์บอกเป็นลำดับแรก   แต่กลับบังคับเฉลี่ยรายได้ เฉลี่ยทรัพย์สิน  ซึ่งขั้นนี้ต้องไม่มีการบังคับ แต่ต้องปล่อยให้เป็นไปเองตามธรรมชาติของมนุษย์  เมื่อมนุษย์เลิกกลัวการหางานที่มีรายได้ดีพอควรทำไม่ได้  และเมื่อมนุษย์มีทรัพย์สินอุดมสมบูรณ์พอควรแล้ว  ซึ่งจะทำให้มนุษย์เกิดน้ำใจเอื้อเฟื้อแบ่งปันกันขึ้นเองเป็นการทั่วไป เมื่อเกิดการบังคับ ผู้คนธรรมดาก็เลยทำงานกันแบบซังกะตาย ผลผลิตก็ต่ำ เลยลำบากและยากจนกันไปหมด ลัทธิคอมมิวนิสต์จึงเสื่อม จากคุณ : สุธน หิญ - [ 27 มิ.ย. 48 12:56:34 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ลัทธิครึ่งข้อส่วนหลังของข้อที่ 1 ของ The Communist Manifesto นั้นก็คือลัทธิของ Henry George นั่นเอง ดูได้จาก www.geocities.com/utopiathai ครับ จากคุณ : สุธน หิญ - [ 27 มิ.ย. 48 13:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผู้ถูกฉกชิงตลอดกาลคือคนจนจำนวนมาก ซึ่งเป็นฐานล่างของสังคมและช่วยตัวเองได้น้อยที่สุด ระบบภาษีของแทบทุกประเทศเอื้อประโยชน์แก่เจ้าของที่ดิน ทำให้เกิดการเก็งกำไรสะสมเก็บกักที่ดินกันอย่างกว้างขวางทั่วไป ยิ่งทำให้คนจนไม่สามารถมีที่ดินพอเพียงกับการอยู่อาศัยและทำกิน เทคโนฯ ก้าวหน้าและความเจริญดีขึ้นทั้งหลายกลับไปเพิ่มราคาที่ดิน การเก็งกำไรที่ดินทำให้คนจนต้องเสียค่าเช่าที่ดินแพงกว่าปกติ ค่าเช่าที่ดินยิ่งสูงแปลว่าส่วนแบ่งที่เป็นค่าแรงและดอกเบี้ยยิ่งต่ำ อีกทั้งเมื่อที่ดินถูกเก็บไว้ไม่ใช้ประโยชน์หรือทำประโยชน์น้อยไป ก็ยิ่งลดโอกาสที่แรงงานจะเข้าใช้ที่ดินเพื่อการผลิตทำมาหากิน จึงเกิดการสูญเปล่า การว่างงานมากขึ้น ค่าแรงก็ต่ำลงอีก ซ้ำต้องเสียภาษีเช่นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ผลิตผู้ค้าบวกไปในราคาสินค้า ยิ่งทำให้คนจนอ่อนแอ กลายเป็นเหยื่อแก่นายทุนและผู้อื่นซ้ำเข้าไปอีก ความจนจึงกลายเป็นวิถีซ้ำซากของคนจน คำตอบคือภาษีที่ดินซึ่งเก็บเท่าหรือเกือบเท่ากับค่าเช่าศักย์ เพื่อให้ราคา/ค่าเช่าที่ดิน ซึ่งไม่ได้เกิดจากเจ้าของที่ดิน แต่เกิดจากธรรมชาติและสังคม กลับคืนมาเป็นของสังคม แต่ขอให้ค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลา 20-30 ปี แล้วเลิก/ลดภาษีจากการทำงานและการลงทุนชดเชยกัน และ/หรือ นำภาษีที่ดินมาเฉลี่ยแจกราษฎรทุกคนเท่าๆ กัน จากคุณ : สุธน หิญ - [ 27 มิ.ย. 48 13:11:46 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ที่ดินนั้นมนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้นมา คุณค่าของที่ดินที่ก่อให้เกิดราคา/ค่าเช่าก็ไม่ใช่เจ้าของที่ดินทำให้เกิด (ถ้าเขาทำ เขาก็ทำในฐานะผู้ลงแรงหรือผู้ลงทุน ซึ่งก็ได้รับผลตอบแทนไปในระยะเวลาไม่นานนัก) แต่คุณค่าของที่ดินเกิดจากความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติบ้าง ส่วนใหญ่เกิดจากการมารวมกันเป็นชุมชนและจ่ายภาษีเพื่อให้ชุมชนมีสิ่งอำนวยความสะดวกความปลอดภัย แล้วก็ทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนผลผลิตกันเป็นไปอย่างง่ายและเร็ว ผลดีของการรวมตัวเป็นชุมชนจึงควรเป็นของทุกคน แต่มันกลับไปปรากฏเป็นราคา/ค่าเช่าที่ดินให้เจ้าของที่ดินได้ประโยชน์ไป รวมทั้งความเจริญทางเทคโนโลยี ที่สำคัญคือทำให้เกิดการเก็งกำไรแสวงหาสะสมเก็บกักที่ดินกันเป็นการทั่วไป ทำให้ราคา/ค่าเช่าที่ดินยิ่งสูง และที่ดินยิ่งหายากสำหรับผู้มีแต่แรงงานขั้นพื้นฐาน ต้องยอมทำงานมากขึ้นเพื่อแบ่งผลตอบแทนจากแรงงานเป็นค่าเช่าที่ดิน ซ้ำการเก็งกำไรเก็บกักที่ดินทำให้ที่ดินถูกใช้ประโยชน์น้อยลง นั่นหมายความว่า ผู้ใช้แรงงานหางานทำได้ยากขึ้นด้วยและค่าแรงก็ต่ำ ความยากจนจึงเกิดเคียงคู่ไปกับความเจริญก้าวหน้า ก็เท่านั้นเองครับที่เป็นเหตุผลให้เฮนรี จอร์จเสนอให้ถือว่าที่ดินต้องเป็นสิทธิเท่าเทียมกันของทุกคน แต่จะแบ่งที่ดินออกให้แก่ทุกคนอย่างยุติธรรมหรือทุกคนพอใจก็เป็นไปไม่ได้ ทางที่ดีคือให้ถือว่าเจ้าของที่ดินทุกคนเป็นผู้เช่าที่ดินจากรัฐและจ่ายค่าเช่า (เรียกว่าภาษีที่ดิน) เพื่อใช้แทนภาษีต่างๆ ที่เรียกเก็บอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งต้องเลิกเก็บไป ส่วนอีกทางหนึ่งก็เห็นกันว่าภาษีที่ดินที่ได้มานั้นควรนำมาแจกราษฎรทุกคนเท่าๆ กัน (แปลว่าภาษีอื่นที่เก็บอยู่ก็จะต้องเก็บต่อไป) ก็อาจแบ่งทำทั้งสองวิธีก็ได้ แล้วแต่จะตกลงกันตามวิถีทางประชาธิปไตยครับ จากคุณ : สุธน หิญ - [ 27 มิ.ย. 48 13:14:13 ]

ความคิดเห็นที่ 20 #13 และ 14 คุณ มานิเฟสโต้ ครับ ถ้าพิจารณากัน โดยใช้ Quantum Physic มาเป็นตัวจับ ก็ดูเหมือนจะใช่ โดยเฉพาะกับคำกล่าวที่ว่า *ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้* แต่หากพิจารณากันในแง่ของวิธีการณ์ล่ะครับ โดยเฉพาะกับสิ่งที่เรียกกันว่า Class Struggles หรือ Class Warfare ตรงนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาครับ สงสัยว่าสังคมที่เริ่มต้นด้วยการ ทำลายล้างกัน เข่นฆ่ากัน แย่งชิงกัน จะไปสู่จุดมุ่งหมายเพื่อความสมบูรณ์ของ สังคมได้อย่างไร? และเมื่อให้สังคมมีปัญหาขึ้นมาอีก เรามิต้อง เข่นฆ่ากัน อีกหรอกหรือ? อย่างไรก็ตามผมเห้นด้วยกับ คุณ มานิเฟสโต้ ครับ ว่า สังคมคอมมิวนิสต์ ที่แท้จริงนั้นเป็นสังคมที่ยัง ไม่เคยกิดขึ้น ยังไม่เคยมีประเทศใดนำไปใช้จริง ในทางปฏิบัติ ครุสเชฟ อดีตผู้นำของ รัสเซีย ได้เคยประกาศไว้ว่า จะนำพา รัสเซีย เป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ให้ได้ ภายใน ปี 1980 แต่ก็ไม่สามารถที่จะกระทำได้ ที่ดูจะใกล้เคียงที่สุดก็เห็นจะเป็น สหภาพโซเวียตสังคมนิยม จนในปัจจุบันสหภาพโซเวียตรัสเซียนั้น ได้ล่มสลายลงไปแล้ว สภาพสังคมที่พอจะเรียกได้ว่าใกล้เคียงกับ คอมมิวนิสต์มากที่สุด แต่เป็นได้แค่ในระดับย่อย แต่ไม่ถึงระดับประเทศ ได้แก่ Commune เช่นที่มีอยู่ใน จีน และ Kibbutz ใน อิสราเอล ชอบประโยคของ คุณ มานิเฟสโต้ ที่ว่า *มนุษย์ ไม่เป็นมนุษย์ได้ขนาดนี้เชียวหรือ* ขอบคุณ คุณ มานิเฟสโต้ ครับ จากคุณ : ตะนิ่นตาญี - [ 28 มิ.ย. 48 02:13:31 ]

ความคิดเห็นที่ 21 #15 คุณ สุธน หิญ ครับ แนวความคิดของ Marx แม้จะได้รับบางส่วนมาจาก Engles แต่ส่วนใหญ่แล้ว เป็นการนำเอาแนวความคิดของ Plato และ Arstotle มาประยุกต์ใช้ ยกตัวอย่างเช่นประโยคที่ คุณ สุธน หิญ ยกมา “จากแต่ละคนตามความสามารถของเขา แก่แต่ละคนตามความจำเป็นของเขา” ก็น่าจะมาจากประโยคที่ว่า *A man should do his work in the station of life to which he was called by his capacities* ของ Plato หากพิจารณากันแล้วผมคิดว่าเป้าประสงค์สุดท้ายของ Marx ก็คือสังคมในลักษณะ Idea state ของ Plato ในขณะที่แนวความคิดเรื่องความเป็นธรรมในสังคมนั้น ใกล้เคียงกับแนวความคิดของ Aristotle นั่นคือ Aristotle แบ่งความชอบธรรมในสังคม ออกเป็นสองประการได้แก่ Justitia distributiva และ Justitia commutativa การจัดสรรแบ่งปัน และความเป็นธรรมในการชดเชย ครับ จากคุณ : ตะนิ่นตาญี - [ 28 มิ.ย. 48 03:04:23 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คุณ สุธน หิญ ครับส่วนหนึ่งที่ผมตั้งข้อสงสัยไว้ นั่นก็คือ มนุษย์เรา นั้นหากจำกัดความต้องการ ให้เหลือแค่ ปัจจัยสี่ ให้มีพอเพียงใน ปัจจัยสี่ มนูษย์เรายังจะสามารถลดหรือ ตัด Desires and Appetiste ตัณหา และความกระหาย ออกไปได้มั๊ย วัตถุที่ Marx เสนอให้ตามทฤษฎีนั้นจะเพียงพอได้หรือไม่ ครับ คุณ สุธน หิญ ครับ จากคุณ : ตะนิ่นตาญี - [ 28 มิ.ย. 48 03:13:38 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมคิดว่าได้ตอบแล้วสำหรับคำถามแรกในตัวกระทู้เลย ที่ว่า Marx สามารถเปลี่ยนแปลงให้สังคมเรานี้เป็นสังคมในโลกพระศรีอารย์ (ยุคแห่งความอุดมสมบูรณ์) ได้จริงหรือไม่? และผมยังไม่ได้ทราบเลยว่าพวกหัวใหม่ที่นิยมมาร์กซ์เสนออะไรที่ผิดแผกไปจากระบบที่ก่อความทุกข์ยากและล้มเหลวไปแล้วในจีนและยุโรปตะวันออกที่เขาตำหนิอยู่ ตามความคิดเห็นที่ 22 ที่คุณตะนิ่นถามเรื่องวัตถุที่ Marx เสนอให้ตามทฤษฎีนั้นจะเพียงพอได้หรือไม่ ผมไม่ทราบเรื่องมาก่อน คุณจะหมายถึงหลักของคอมมิวนิสต์ที่ว่า “แก่แต่ละคนตามความจำเป็นของเขา” หรือเปล่า? ผมคิดว่าการได้แค่เพียงสิ่งที่จำเป็นจะเพียงพอหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับจิตใจของแต่ละบุคคล การตีความ “สิ่งจำเป็น” เองก็ยังผิดกันไปได้อีก ธรรมชาติของมนุษย์ ทั้งที่ผมเรียนเศรษฐศาสตร์ทางไปรษณีย์มาสั้นๆ ไม่ถึงปี จากสำนักเฮนรี จอร์จ และที่รู้มาจากศาสนาพุทธ คือ ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับพระภิกษุได้รับการอบรมมิให้มีสิ่งฟุ้งเฟ้อ แม้จีวรยังเอามาจากผ้าห่อศพ Bushanda กาฉลาดในเรื่องรามายณะ “ผู้ได้อยู่มาในทุกส่วนของเอกภพและรู้เหตุการณ์ทุกอย่างนับตั้งแต่เริ่มกาลเวลา”  ได้ประกาศว่า ถึงแม้การรังเกียจต่อประโยชน์ทางโลกจะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความสุขสูงสุด  แต่ความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดก็เกิดขึ้นจากความยากจนสูงสุด อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าสังคมในฝันของมาร์กซ์ก็เหมือนกับสังคมในฝันของเจ้าลัทธิอื่นๆ และที่รับฟังมาก็คือมาร์กซ์เห็นว่าสังคมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเองจนถึงขั้นยุคพระศรีอาริย์ แต่มาร์กซ์กลับต้องการเร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลงให้เร็วขึ้น โดยไม่คิดถนอมชีวิตมนุษย์ และส่วนที่ผมว่ามาร์กซ์ผิด ก็คือมาร์กซ์ว่า โลกเรานี้เปลี่ยนจาก ระบบเจ้าที่ดิน มาเป็น ทุนนิยม แล้วจะต้องเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบคอมมิวนิสต์ในที่สุด คือผมว่า ระบบเจ้าที่ดินยังคงอยู่กับเราครับ แทบทุกประเทศ และผสมอยู่กับทุนนิยม แต่ผมสงสัยว่าคุณตะนิ่นถามเพื่ออะไร และไม่สนใจลัทธิของจอร์จหรือ?  ลัทธิของจอร์จจะขจัดความไม่เป็นธรรมที่เอื้อเจ้าของที่ดินและยังความทุกข์ยากแก่ผู้มีแต่แรงงานขั้นพื้นฐาน ถ่วงความเจริญก้าวหน้าของส่วนรวม และมีทางจะทำให้สังคมในฝันเป็นจริงได้มากกว่า ถ้าเราเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปแบบการเลิกทาสของสมเด็จพระปิยมหาราช จากคุณ : สุธน หิญ - [ 28 มิ.ย. 48 18:34:06 ]

ความคิดเห็นที่ 24 #23 คุณ สุธน หิญ ครับ คงต้องเรียนตรงๆ ผมไม่เคยอ่านแนวความคิดของ เฮนรี่ จอร์จ เลยครับ แต่ที่อ่านจากที่ คุณ สุธน หิญ กล่าวมา ผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเฮนรี่ จอร์จ ถึง มีเป้าประสงค์เช่นนั้น และผลจากแนวความคิดของ เฮนรี่ จอร์จ จะก่อให้เกิดผลอย่างไร? ตรงนี้เท่าที่ อนุมาน เอาตามความเข้าใจของตัวเอง นั่นก็คือเพื่อสู่เป้าหมายของ สังคม ที่เสมอกัน ที่เท่าเทียมกัน เพื่อไปสู่สังคมที่ดีขึ้น ดังนั้นเพื่อก่อให้เกิดการนี้นั่นก็คือ การจำกัดความต้องการของมนุษย์ให้เหลือน้อยลง คำถามจึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไร ตรงนี้คงพอตอบได้ กว้างๆว่า ด้วยการกำหนดให้ทุกคนมี ที่ดิน ที่พอจะ ทำกิน ทำอยู่ และก่อให้เกิดความมั่นคงในชีวิตของ มนุษย์ทุกคน คำถาม ที่ตามจึงเกิดขึ้นว่า ถ้าจำกัด ความต้องการของ มนุษย์ ให้น้อยลง ให้แค่เท่าที่ จำเป็น สังคมจะดีขึ้นจริงหรือ? และก็คงเป็นไปอย่างที่ คุณ สุธน หิญ ว่าไว้แหละครับ *ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สุด* อย่างไรก็ตามคงต้องเรียน คุณ สุธน หิญ อีกครั้ง ผมไม่เคยอ่านแนวความคิดของ เฮนรี่ จอร์จ มาก่อนเลย ดังนั้นหากจะถูกบ้าง ผิดบ้าง ก็คงต้องขออภัย ไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ อ้อ ! อีกนิดครับ คุณ สุธน หิญ ครับ โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่า ความคิด ของมนุษย์ นั้นเป็นสิ่งที่ดี ขอเพียงเรายอมรับความ คิด ของผู้อื่นแล้วนำเข้ามา คิดต่อ คิดตาม ไม่ว่าจะเห้นด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่ หากนั่นจะเป็นการเปิดแนวทาง ความคิด ของเรา ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นกระมั๊งครับ คุณ สุธน หิญ ครับ จากคุณ : ตะนิ่นตาญี - [ 28 มิ.ย. 48 20:19:32 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เข้ามาอ่าน นะ อ่านๆ ไป ก็เกิดความรู้สึกว่า ความคิดเห็นค่อยๆ ห่างไปจากสังคมที่เป็นอยู่จริงๆ นะครับ จากคุณ : ณ. ลังค่าย - [ 28 มิ.ย. 48 20:36:36 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จริงค่ะ คุณ ณ ลังค่าย อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นกระทู้ที่คิดกันได้ลึกดีจัง นับถือค่ะนับถือ แอบสารภาพกับคุณสุธนว่าเข้าไปที่ลิงค์แปลของเฮนรี่ จอร์จแล้วค่ะ เซฟมาแล้วแต่ยังไม่มีเวลาอ่านสักที ถ้าได้อ่านแล้วคงเข้าใจแนวความคิดของคุณสุธนมากขึ้น คิดว่าคุณตะนิ่นก็คงรู้สึกเหมือนกันเพราะคำถามที่ #22 ของคุณตะนิ่นน่ะ ตรงกับที่ใจคิดเลยค่ะ ขอบคุณทุกกระทู้ข้างบนที่ให้ความรู้และมุมมองที่น่าสนใจนะคะ จากคุณ : แม่น้ำลำธาร - [ 28 มิ.ย. 48 20:59:58 A:217.165.238.45 X:213.42.2.23 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คุณตะนิ่นคะ ขออนุญาตแสดงความเห็นตามคห 22 นะคะ คิดว่า Marx จัดแบ่งวัตถุแห่งความพื้นฐานจำเป็น มี sense ของการบังคับให้พอใจน่ะค่ะ  และที่ใดมีการกดขี่ ครอบงำ ที่นั่นก็จะมีการต่อต้าน การแบ่งวัตถุ แม้จะเท่าเทียมกัน ส่วนตัวเชื่อว่าไม่สามารถจำกัด ความต้องการให้หยุดได้มังคะ แต่การพัฒนาทางด้านจิตใจ ให้รู้จักพอ อาจจะเกิดความพอใจจากตัวเอง ไม่รู้สึกถูกบังคับให้พอ น่าจะพอได้อย่างเป็นจริง และยืนยาวกว่า สังคมแบบคอมมิวนิสต์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมเหตุปัจจัยให้เป็นคอมมิวนิตส์แท้ๆหรือเปล่าคะ เหมือนกับทำการทดลองในหลอดทดลอง ควบคุมปัจจัย ตัวแปร ได้ทุกอย่าง และมันดี แต่เมื่อออกไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง มันกลับมีหลายปัจจัยมากกว่านั้น และมันก็ทำไม่ได้ เลยไม่แน่ใจว่า การคิดจากฐานของสังคมที่เป็นจริงจะช่วยแก้ปัญหาได้มากกว่าไหมคะ หรือว่าเราต้องมี  Model หรือ Ideal ไว้ด้วย และก็ยังตอบคุณตะนิ่น ว่า "ไม่เชื่อค่า" เหมือนเดิม ประโยคของ คุณ มานิเฟสโต้ ที่ว่า *มนุษย์ ไม่เป็นมนุษย์ได้ขนาดนี้เชียวหรือ อ่านแล้วนึกถึง "พระราชวังกลางสายรุ้ง"  ค่ะ จากคุณ : อยู่กับก๋ง - [ 28 มิ.ย. 48 23:51:09 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขออนุญาตเสนอความเห็นครับ แรกเลย ผมคิดว่าประเทศที่เป็น คอมมิวนิสท์จริงๆนั้นไม่มี เพียงแต่อ้างชื่อคอมมิวนิสท์ในคราบระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จนิยม อย่างที่สองก็ มาร์กซ พูดถึงเรื่อง การต่อสู้ระหว่างชนชั้นตั้งแต่เมื่อสมัย เกือบๆสองร้อยปีที่แล้ว โดยในขณะนั้น การกดขี่แรงงานทางชนชั้นยังสูงอยู่มาก ยังไม่มีสหภาพแรงงาน ยังไม่มีกฏหมายคุ้นครองแรงงาน ยังไม่มีอัตราเงินเดือนขั้นต่ำ และอีกหลายๆอย่างอย่างที่ มีในปัจจุบันนี้ รวมทั้งยังไม่มีอินเตอร์เนท ระบบการค้าระหว่างประเทศที่ซับซ้อนยังไม่เกิดขึ้น ระบบ บริโภคนิยม (Consumerism) ที่ใช้ โฆษณาในการกระตุ้น demand ยังไม่เกิด ผมคิดว่า--- ฉะนั้น หลักการ ของ มาร์กซนั้น ถึงแม้ว่าอาจจะฟังดูเป็นโลกอุดมการณ์ก็จริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังขาดตัวแปรหลายๆอย่างในสังคมปัจจุบัน อีกมาก ฉะนั้น ผมคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสามารถพูดได้ว่า ลัทธิมาร์กซ จะนำไปสู่สังคมอุดมคติได้หรือไม่ ความเห็นของผมอีกเรื่องหนึ่ง --- ถ้าคิดว่าสังคมไหนในโลกมีความใกล้เคียงสังคมอุดมคติมากที่สุด ผมก็คงตอบว่า ฟินแลนด์ เนื่องจากเขามีระบบสวัสดิการสังคม ที่แทบจะเรียกได้ว่าดีทีสุดในโลก แต่ก็มีการจัดเก็บภาษีที่โหดที่สุดในโลกเหมือนกัน เด็กเรียนฟรี โดยที่ครูต้องรับผิดชอบเด็กคนนั้นอย่างใกล้ชิด เรียนฟรีถึงมหาลัย ป่วยรักษาฟรี มีสวัสดิการสำหรับคนว่างงาน และอื่นๆอีกมากมายครับ แต่เก็บภาษีอัตราก้าวหน้าที่ 40-45 เปอร์เซนต์ได้ (ประมาณนี้อะครับ เอาให้ชัวร์ต้องค้นหนังสือ) ไปจบที่75 เปอร์เซนต์ อาจารย์ผมเป็นผู้หญิง คนฟินแลนด์เล่าให้ฟังว่า แม่เขาเพิ่งเสียเมื่อ 2 ปี ก่อนแล้วมีคอนโดใน เฮลซิงกิ อาจารย์ก็ได้รับมรดกมา โดยอาจารย์ผมเนี่ยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยมาจะสิบปีแล้ว ทำงานก็อยู่เมืองไทย ได้เงินเดือนเยอะก็จริง แต่เป็นเงินไทย เอาไปเทียบกับค่าครองชีพยูโร ก็คงไม่ได้ อาจารย์ท่านเลยต้องขายคอนโดเพื่อ จ่ายภาษีอะครับ นี่เป็นกรณีของแม่สู่ลูกนะครับ ถ้าเพื่อนสู่เพื่อน ภาษีจะเป็น 80 เปอร์เซนต์ของราคาประเมินครับ ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันนะครับ แต่ผมคิดว่าเนี่ยแหละใกล้เคียง แนวคิดสังคมอุดมการณ์มากที่สุดแลวก็มันคล้ายคลึงความคิดของ เฮนรี่ จอร์จ ทของคุณ สุธน หิญ มากเลยครับ จากคุณ : ทบพล - [ 29 มิ.ย. 48 03:21:01 ]

ความคิดเห็นที่ 29 #24 คุณตะนิ่นครับ ลืมนึกถึงสิ่งสำคัญที่ควรตอบคุณเกี่ยวกับความพอไม่พอ นั่นคือทางสายกลางของพระพุทธเจ้าครับ อีกเรื่องหนึ่งของคุณคือเรื่องการยอมรับความคิด การเคารพความเห็นของผู้อื่น การเปิดใจให้กว้าง ฯลฯ ผมก็เห็นด้วยว่าสำคัญมากครับ สำหรับแนวคิดของเฮนรี จอร์จ ในเมืองไทยและแม้ฝรั่งสมัยนี้ส่วนใหญ่ทีเดียวก็ไม่รู้จักกันหรอกครับ แม้ในสมัยของจอร์จเองกว่าร้อยปีมาแล้วที่ว่าหนังสือของเขาขายดีมากในสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และตอลสตอยก็นิยมและจัดให้มีการแปลเป็นภาษารัสเซียนั้น คนที่จะอ่านจริงๆ จังๆ ผมก็คิดว่ามีน้อย ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของแต่ละคน เพราะระบบที่ไม่ยุติธรรมทำให้คนเราต้องใช้เวลาส่วนใหญ่มุ่งไปที่การสะสมทรัพย์ให้มากที่สุดที่จะมากได้เพราะกลัวว่าวันหนึ่งตนอาจพลาดพลั้งขาดทุนหรือตกงาน รวมทั้งเป็นห่วงลูกหลานต่อไปด้วย สมัยเฮนรี จอร์จ เขาได้เห็นคนยากจนในเมืองใหญ่ต้องทุกข์ยากสาหัสทั้งๆ ที่มีตึกรามอ่าโอ่ มีสินค้าราคาแพง ของฟุ่มเฟือยตั้งโชว์และวางขายกันมากมาย เขาจึงพยายามคิดค้นหาสาเหตุที่ความยากจนเกิดขึ้นควบคู่ไปกับความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุนี้ ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปหรือข้อยุติว่ามาจากการปล่อยให้เอกชนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและได้รับผลประโยชน์จากการถือครองที่ดิน ที่ฝรั่งเรียกว่า unearned income ซึ่งนำไปสู่การเก็งกำไรสะสมเก็บกักที่ดินที่ยิ่งก่อผลร้ายมากขึ้น แต่จอร์จไม่สนับสนุนการยึดที่ดินเป็นของรัฐหรือจัดสรรที่ดินให้คนจน เพราะทำให้รัฐมีภาระมากขึ้น เสียเสรีภาพ และจะจัดแบ่งที่ดินกันอย่างไรก็ไม่ยุติธรรม ซ้ำเป็นงานที่ไม่สิ้นสุดเพราะการเปลี่ยนแปลงของประชากรในตำบลต่างๆ และเพิ่มโอกาสใช้อำนาจโกงกินของข้าราชการ จอร์จจึงเสนอให้เก็บภาษีที่ดินเสมือนว่าเจ้าของที่ดินทั้งหลายเป็นผู้เช่าที่ดินจากรัฐ และให้ยกเลิกภาษีอื่นๆ ซึ่งก็คือภาษีที่เก็บจากการลงแรงและการลงทุนผลิต (รวมถึงการแลกเปลี่ยนขายซื้อ) ดังนั้นผู้ทำงานและผู้ลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนเต็มที่ไม่ต้องถูกลงโทษปรับด้วยภาษี ส่วนภาษีที่ดินก็คือการนำเอามูลค่าที่เกิดจากภาษีและกิจกรรมของส่วนรวม (แต่กลับไปทำให้ที่ดินเกิดค่าเช่า/ราคา) กลับคืนมาบำรุงส่วนรวม ซึ่งจะทำให้การเก็งกำไรที่ดินหมดไปด้วย ที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์หรือใช้ประโยชน์น้อยไป ซึ่งมีอยู่ทั่วไป ก็จะเปิดออกรับแรงงานและทุนเข้าทำงานได้จำนวนมาก ผลผลิตก็ได้เพิ่ม การว่างงานโดยไม่สมัครใจจะแทบหายไป ค่าแรงก็สูงขึ้น จากคุณ : สุธน หิญ - [ 29 มิ.ย. 48 11:37:34 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ความคิดเห็นที่ 25   สวัสดีคุณ ณ.ครับ ผมว่าผมพยายามเสนอความฝันที่น่าจะเป็นจริงได้แล้วเชียวนา ! ! ความคิดเห็นที่ 26  สวัสดีคุณแม่น้ำลำธารอีกครั้งครับ  ผมแค่ลอกของฝรั่งที่เขาคิดกันไว้แล้วที่ผมเห็นว่าดีเอามาบอกต่อเท่านั้นเอง ดีใจครับที่คุณให้ความสนใจหนังสือที่ผมแปลมา ถ้าเล่มใหญ่อาจเบื่อเสียก่อนที่จะรู้เรื่อง ก็ลองดูบทความต่างๆ ในเว็บบอร์ดของผมก่อนก็ได้นะครับ ความคิดเห็นที่ 27  สวัสดีคุณอยู่กับก๋งครับ ผมเองอยากให้พวกมาร์กซ์ที่ตำหนิคอมมิวนิสต์เดิมในจีน รัสเซีย และยุโรปตะวันออกว่าไม่ใช่มาร์กซิสต์แท้นั้น ช่วยชี้แจงว่าเขามีวิธีอะไรที่เป็นของแท้ที่ดีกว่าบ้าง อยากรู้จริงๆ ความคิดเห็นที่ 28  สวัสดีคุณทบพลครับ จะให้สวัสดิการดี ภาษีก็ต้องโหด แต่ถ้าโหดกับเจ้าของที่ดินก็ไม่เป็นไร เพราะส่วนที่เจ้าของที่ดินได้ไปนั้นมันเกิดจากการใช้แรงงานและทุนทั้งนั้น แล้วภาษีที่ดินก็จะทำให้คนที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐลดลงมาก การสวัสดิการก็จะทำได้ถูกต้องเหมาะสมมากขึ้นครับ จากคุณ : สุธน หิญ - [ 29 มิ.ย. 48 11:40:10 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ค่ะ คุณ สุธน หิญ ก็คงต้องถามพวก Marxist ละมังคะ พอดีเรา เป็นได้แค่ MARKS & SPENCER ค่ะ 555 ขนม ช๊อคโกแลต อร๊อย อร่อยค่ะ อิอิ อืมมม พูดถึงสังคม หรือชุมชน ลองคิดถึง "สังฆะ" ดูเล่นๆไหมคะ อาจจะทำได้ โดยไม่ต้องตอบคำถามว่าของแท้ หรือเปล่า เป็นได้จริงไหม หรือรอการปฏิวัติเปลี่ยนแปลง เลยก็ได้นะคะ 555 ธรรมะ คือ คุณากร.......... จากคุณ : อยู่กับก๋ง - [ 29 มิ.ย. 48 13:27:58 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขออนุญาตอีกรอบ ผมพูดได้เลยว่า Marxist จริงๆนั้นเป็นแค่ แนวทางความคิดครับไม่ใช่ปฏิบัติ โดยมาร์ก บอกไว้เองว่า เมื่อเวลาและ สภาวะการณ์มาถึง คอมมิวนิสต์ก็จะปรากฏเอง โดยมาร์กไม่ได้พูดถึง *วิธีการ* เลยแม้แต่นิดเดียว โดยเลนนิน ต่างหากที่บอกว่า คอมมิวนิสต์นั้นไม่ต้องรอ แต่สามารถทำได้โดยการปฏิวัติชนชั้น กรรมาชีพ เช่นเดียวกับเหมาเจ๋อตุง ในจีนเช่นกัน โดยมาร์กบอกว่า เมื่อสภาวะการณ์มาถึง กรรมาชน จะเป็นเจ้าของพลังการผลิตทั้งหมด โดยเลนนินก็บอกว่าฉะนั้นการปฏิวัติจะต้องเริ่มจากกรรมาชน โดยลัทธิเลนนิน และ ลัทธิเหมานั้น ถือว่าเป็นการนำหลักลัทธิ มาร์ก มาบิดเบือนครับ โดยใช้ระบอบเผด็จการ ชนชั้นกรรมาชีพ โดยการจำกัดการถือครอง ปัจจัยต่างๆให้เท่ากัน โดยที่ตัวผู้ปกครองเองนั้นก็ไม่ต่างอะไรจาก นายทุนผู้ขูดรีดอยู่ดี ลองดู สตาลิน กับเหมาก็ได้ ว่าถ้าเท่าเทียมกันจริง ทำไมคนเหล่านี้ถึงอยู่เหนือคนอื่นได้ ฉะนั้น ผมยืนยันเลยว่า คอมมิวนิสต์ ที่เคยมีมาและที่ยังเป็นอยู่นั้น เป็นเพียงระบอบเผด็จการรูปแบบหนึ่งที่อ้างอึงถึงลัทธิมาร์ก เท่านั้น ไม่ใช่ลัทธิมาร์กโดยเนื้อแท้ครับ สังคมอุดมคติที่กล่าวใน แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ของมาร์กนั้น แท้จริงแล้วยังไม่มีประเทศไหนในโลกเลยที่ทำได้ ดังที่ผมบอกไปแล้วว่า แนวคิดมาร์กนั้น หลายปัจจัยในโลกปัจจุบัน ไม่ได้ถูกคำนึงถึงในสมัยนั้น โลกในปัจจุบันมันมีการพัฒนา และประนีประนอมที่มากขึ้นครับ ฉะนั้น เราจะพูดไม่ได้ว่า จีน และ รัสเซีย เป็นคอมมิวนิสท์ที่ไม่ถูกต้อง ต้องพูดว่า ทั้งสองประเทศนั้นไม่ใช่ประเทศคอมมิวนิสท์เลยต่างหาก เพียงแค่ใช้ชื่อคอมมิวนิสต์บังหน้าเท่านั้น จากคุณ : ทบพล - [ 29 มิ.ย. 48 20:47:34 ]

ความคิดเห็นที่ 33 สวัสดีคุณทบพลอีกครั้งครับ ผมอยากทบทวนเรื่องแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์หน่อยครับ ผมดูที่ http://www.marxists.org/thai/archive/marx-engels/1848/communist-manifesto/ch04.htm ตอนท้ายสุดเขาว่าไว้ดังนี้ครับ ชาวพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ต้องการปกปิดอำพรางทรรศนะและความมุ่งหมายของตน พวกเขาประกาศอย่างเปิดเผยว่าจุดหมายของพวกเขาจะบรรลุได้ก็มีแต่ใช้ความรุนแรงโค่นระบอบสังคมที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันทั้งหมดเท่านั้น ปล่อยให้ชนชั้นปกครองตัวสั่นอยู่เบื้องหน้าการปฏิวัติลัทธิคอมมิวนิสต์ไปเถิด ในการปฏิวัตินี้ชนกรรมาชีพจะไม่สูญเสียอะไรเลยนอกจากโซ่ตรวนเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาจะได้มาก็คือ โลกทั้งโลก ชนกรรมาชีพทั่วโลกจงสามัคคีกัน! สำหรับผมไม่ได้ข้องใจอะไรคุณทบพลครับ เพราะคุณบอกไว้แล้วฟินแลนด์ใกล้เคียงกับอุดมคติมากที่สุด   สำหรับผมที่พูดว่า “ผมเองอยากให้พวกมาร์กซ์ที่ตำหนิคอมมิวนิสต์เดิมในจีน รัสเซีย และยุโรปตะวันออกว่าไม่ใช่มาร์กซิสต์แท้นั้น ช่วยชี้แจงว่าเขามีวิธีอะไรที่เป็นของแท้ที่ดีกว่าบ้างนั้น” ก็เพราะอยากรู้จริงๆ ครับ จากคุณ : สุธน หิญ - [ 30 มิ.ย. 48 01:40:06 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มันก็เหมือนที่ผมบอกนะครับ ผมก็ยังนืนยันความคิดของตัวเองอยู่ดี ถ้าชนกรรมาชีพสามัคคีกันจริง ทำไมยังมี ชนชั้นปกครอง ใน จีน โซเวียต และ คิวบา (สารพัดประธาน และ เลขธิการสามัญ พรรคคอมมิวนิสท์ต่าง) แล้วก็โซ่ตรวนนั้นยังมีอยู่ครับ แถมหนักกว่าเดิมอีกด้วย สมัยโซเวียต ในช่วงสตาลินนี่ คนรัสเซียนี่ ถูกบังคับทำงานเป็นทาสเลยครับ อย่างแผน 5 ปี ที่พอใช้ไป ปีนึง ก็เปลี่ยนเป็นแผนสี่ปี โดยที่goal ยังเหมือนเดิม ลองคิดดูสิครับว่า คนงานจะทำงานหนักกันขนาดไหน ระบอบเหล่านี้เป็นแค่เผด็จการ ส่วนมาร์กซิสท์ ของแท้เหรอครับ ผมยังไม่เคยมีโอกาสได้เห็นเลย และไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นเหมือนกัน จากคุณ : ทบพล - [ 30 มิ.ย. 48 08:40:34 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ในความคิดเห็นที่ 33 ของผมนั้นจุดใหญ่คือต้องการบอกว่าถึงแม้มาร์กซ์จะเชื่อว่าในที่สุดสังคมจะเปลี่ยนเป็นแบบที่มาร์กซ์คิดไว้ แต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้เป็นไปเอง คือพยายามจะเร่งกระบวนการทางสังคมให้เร็วขึ้น ซึ่งเห็นได้ตามข้อความตอนจบของ The Communist Manifesto นั่นละครับ ที่จริงคุณทบพลกับผมก็มีความเห็นตรงกันที่ไม่เชื่อว่าลัทธิมาร์กซ์จะนำไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ได้ (ที่นิยมเรียกกันว่ายุคพระศรีอาริย์)  แล้วก็เหตุที่คุณต้องมาตอบเรื่องมาร์กซิสต์ของแท้เป็นอย่างไรนั้น น่าจะเป็นเพราะคำถามของผมขาดความชัดเจนไปตรงที่ไม่ได้บอกว่าต้องการให้ตอบโดยพวกมาร์กซิสต์ที่บอกว่าลัทธิที่ใช้กันมาแล้วในจีน โซเวียตและยุโรปตะว้นออกไม่ใช่มาร์กซิสต์ ไม่ใช่ถามเอากับคุณทบพล ข้อนี้เลยคงทำให้คุณทบพลคิดว่าถูกผมถาม จึงต้องพยายามตอบ ถ้าเป็นเช่นนั้นผมก็ต้องขออภัยในความไม่ชัดเจนในคำถามของผมด้วยอย่างมากครับ จากคุณ : สุธน หิญ - [ 30 มิ.ย. 48 12:11:24 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ยังไงผมเองก็ต้องขอโทษด้วยเหมือนกันครับ คุณ สุธน หิญ เพราะผมเอง ความจริงก็ไม่ได้ศรัทธามาร์กซิส อะไรขนาดนั้น เพียงแต่ผมเป็นพวกต่อต้านเผด็จการเท่านั้นเอง และผมเองไม่ได้มีความศรัทธา ในระบอบคอมมิวนิสท์เลยแม้แต่นิดเดียว ผมเองคิดว่าสังคมนิยม ประชาธิปไตย (ไม่ใช่คอมมิวนิสต์นะครับ) คงเป็นระบอบที่ดีที่สุด ยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ ไม่ได้ต้องการจะป่วนบอร์ด หรือ ทำให้คุณ สุธน รู้สึกว่าตั้งคำถามไม่เคลียร์เลย ผมเองก็ไม่เคลียร์เหมือนกันครับ จากคุณ : ทบพล - [ 1 ก.ค. 48 03:27:25 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ครับ การแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกันบางทีก็เกิดการเข้าใจผิดกันขึ้นได้ แต่ถึงอย่างนั้น ก็น่าจะยังคงต้องพยายามแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นเพื่อประเทืองปัญญาและหาทางออกสำหรับสังคมกันต่อไปนะครับ จากคุณ : สุธน หิญ - [ 1 ก.ค. 48 07:58:28 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ควรอ่านงานด้าน Marxism ให้จริงจังกันหน่อยครับ ลัทธิมารกซ์ ไม่มีวันตาย ตราบใดที่ยังมีความไม่เสมอภาค โครงสร้างของประเทศเรามันเป็นอย่างที่เราเห็น ความยุติธรรมคือ ผลประโยชน์ของผู้ที่แข็งแรงกว่า หรือคุณว่าไง? จากคุณ : Raskolnikov - [ 6 ก.ค. 48 23:20:21 A:61.91.79.9 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 Marx, Karl  - Monopoly of land is the basis of monopoly in capital.  (จาก http://www.cooperativeindividualism.org/georgism_05.html) Karl Marx “จากมุมมองของรูปแบบทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นของสังคม การให้เอกชนบางคนมีกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินโลกเป็นความเฉาโฉดเหมือนกับการให้บุคคลหนึ่งมีกรรมสิทธิ์ในอีกบุคคลหนึ่ง  แม้แต่สังคมหนึ่ง หรือแม้แต่ทุกสังคมรวมกัน ก็ไม่ใช่เจ้าของแผ่นดินโลก  พวกเขาเป็นเพียงผู้ครอบครอง ผู้ใช้แผ่นดินโลก  และจะต้องส่งต่อไปยังชนรุ่นหลังๆ ในภาวะที่ดีขึ้น เสมือนบิดาที่ดีของครอบครัว” (Das Kapital, vol. III, p. 901-2 อ้างโดย www.progress.org/geonomy/thinkers.html) ผมคิดว่าระยะหลังๆ คาร์ล มาร์กซ์คงจะเปลี่ยนความคิดไปบ้าง จากที่ว่านายทุนเป็นผู้ขูดรีด กลายเป็นว่าผู้ขูดรีดหลักคือเจ้าของที่ดิน ส่วนนายทุนเป็นผู้ขูดรีดอันดับหลังถัดมาจากเจ้าของที่ดิน  มาร์กซ์จึงพูดว่า Monopoly of land is the basis of monopoly in capital. เหมือนที่ผมเขียนว่า อีกทั้งเมื่อที่ดินถูกเก็งกำไรเก็บไว้ไม่ใช้ประโยชน์หรือทำประโยชน์น้อยไป ก็ยิ่งลดโอกาสที่แรงงานจะเข้าใช้ที่ดินเพื่อการผลิตทำมาหากิน จึงเกิดการสูญเปล่า การว่างงานมากขึ้น ค่าแรงก็ต่ำลงอีก ยิ่งทำให้คนจนอ่อนแอ กลายเป็นเหยื่อแก่นายทุนและผู้อื่นซ้ำเข้าไปอีก (จาก บทความ ผู้ถูกฉกชิงตลอดกาล ของผมเอง) นั่นคือผมเชื่อว่ามาร์กซ์กลับมาเห็นด้วยกับเฮนรี จอร์จ ในเรื่องที่ว่าความยากจนเกิดจากการยอมให้เอกชนเป็นเจ้าของที่ดินโดยได้รับประโยชน์จากการมีราคา/ค่าเช่าที่ดินไปเป็นส่วนใหญ่  (เพียงแต่มาร์กซ์ไม่ได้บอกว่าตนเปลี่ยนความคิดเท่านั้น) จากเดิมที่มาร์กซ์ว่าโลกเปลี่ยนจากระบบเจ้าที่ดินเป็นระบบนายทุนมาแล้ว (แล้วจะเปลี่ยนต่อไปอีก) (ความจริงโลกเราตอนนี้น่าจะเป็นการผสมระบบเจ้าที่ดินกับระบบทุนนิยม - คือระบบเจ้าที่ดินยังคงอยู่) จากคุณ : สุธน หิญ - [ 7 ก.ค. 48 17:00:59 ]

ความคิดเห็นที่ 40 โซเวียตที่ล่มสลายไม่ใช่คอมมิวนิสต์แบบ Marx แต่เป็นทุนนิยมที่มีรัฐฯ เป็นเจ้าของทุน จากคุณ : Marxismus (อิ๋งเจิ้น) - [ 17 ก.ค. 48 21:46:22 ]

ความคิดเห็นที่ 41 แล้วแบบมาร์กซ์ของคุณ Marxismus มีอะไรที่ผิดจากแบบโซเวียตที่ล่มไปบ้าง กรุณาขยายความให้เป็นวิทยาทานหน่อยครับ แล้วแบบจีนล่ะ? จากคุณ : สุธน หิญ - [ 18 ก.ค. 48 06:53:37 ]