ความคิดเห็นที่ 5
ถึงปลายปีมะเส็ง ถวายพระเพลิงพระบรมศพที่พระเมรูท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม งานพระเมรุครั้งนั้นฉันก็จำอะไรมิใคร่ได้ จำได้มั่นคงแต่เมื่อวันเปลื้องเครื่องพระบรมศพก่อนจะถวายพระเพลิง แม่ให้ฉันไปถวายบังคม ภูษามาลาเขาอุ้มฉันชูขึ้นถึงปากพระโกศ ได้เห็นพระบรมศพทูลกระหม่อม กับเมื่อถวายพระเพลิงแล้ว รุ่งขึ้นเช้าเจ้านายลูกเธอของทูลกระหม่อมได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ขึ้นไปเก็บพระบรมอัฐิไว้สักการบูชา เจ้านายเด็กๆพวกฉันยังไม่มีใครเคยเห็นอัฐ บางพระองค์ก็เก็บถูกพระบรมอัฐิ บางพระองค์ก็หลงเก็บเอาพระอังคาร(ถ่าน)มา แต่ฉันเคราะห์ดีด้วยเมื่อเก็บแล้วถามพระยาราชโกศา(จันทร์ วัชโรทัย)ภูษามาลาว่าพระบรมอัฐิหรือมิใช่ แกบอกว่าพระบรมอัฐิ จึงได้เชิญมายังสักการบูชาอยู่จนทุกวันนี้
เมื่อสิ้นงานพระเมรุแล้วก็เลิกไว้ทุกข์ คนทั้งหลายเลิกโกนหัวกลับไว้ผมกันอย่างเดิม พวกข้าราชการประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งให้คงตำแหน่งอยู่ตลอดเวลาพระบรมศพยังประดิษฐานอยู่ ก็ต้องเปลี่ยนฐานะไปตามกาล ตอนนี้น่าสงสารแม่ เมื่อถูกเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ กับหีบหมากลงยาสำหรับยศเจ้าจอมมารดา และพานทองเครื่องยศที่เป็นพระสนมเอก เปลี่ยนเครื่องยศเป็นหีบหมากทองเหมือนอย่างท้าวนาง ทั้งถูกลดผลประโยชน์ที่เคยได้พระราชทานน้อยลงกว่าครึ่งค่อน ใช่แต่เท่านั้น ชื่อที่เคยเรียกว่า "เจ้าจอมมารดาชุ่ม" ก็ต้องเปลี่ยนเป็น "ชุ่มเจ้าจอมมารดา" หมายความว่าเจ้าจอมมารดาเป็นม่าย ที่จริงก็เป็นแต่การลดยศศักดิ์ แต่เพราะไม่เคยตกยาก พวกเจ้าจอมมารดาก็พากันโทมนัสรู้สึกเหมือนกับว่าถูกถอดทั่วไป จนทราบถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยตรัสเล่าแก่ฉันเมื่อภายหลังว่า ครั้งนั้นสงสารเจ้านายพี่น้องกับเจ้าจอมมารดาที่ต้องลำบากยากจน จึงตรัสขอให้รัฐบาลจ่ายเงินกลางปีแก่พระเจ้าพี่น้องเธอพระองค์ชายปีละ ๒,๔๐๐ บาท พระองค์หญิงปีละ ๑,๖๐๐ บาทแต่นั้นมา
ล่วงมาอีกสัก ๒๕ ปียังทรงแก้ไขอีกครั้งหนึ่งด้วยทรงพระกรุณาแม่ฉันเป็นต้นเหตุ ควรจะเล่าไวว้ให้ปรากฏ ถึงสมัยเมื่อฉันเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ เกิดไข้ส่าเป็นโรคระบาดในกรุงเทพฯคนเจ็บกันมากกว่ามาก ตัวฉันก็เป็นไข้ส่าด้วย อาการโรคไข้ส่านั้นตัวร้อนเหมือนจับไข้และมีเม็ดผุดขึ้นทั่วทั้งตัวคล้ายกับออกอีสุกอีใส ถ้าเม็ดไม่ขึ้นก็มีอาการปวดตามข้อเป็นที่ทุกขเวทนา แต่มิใคร่มีใครเป็นอันตราย ถึงกระนั้นเพราะเพิ่งเกิดไข้ส่าเป็นโรคระบายครั้งแรกคนก็พากันตกใจ เมื่อฉันเจ็บอยู่นั้นวันหนึ่งอยู่ในห้องนอนกลุ้มใจ จึงสั่งให้เขาเอาเตียงพับสำหรับเดินทางไปตั้งในห้องสมุด จะย้ายลงไปอยู่ในห้องนั้น คนตั้งเตียงเผลอไปไม่กางขาเตียงให้ถึงที่ ตัวฉันกำลังเจ็บก็ไม่สังเกต เมื่อขึ้นนอนเตียงๆก็ฟุบลงจนฉันพลัดตก แต่ก็ไม่เจ็บช้ำอันใด แต่ข่าวระบือไปถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าฉันป่วยอาการมากถึงดิ้นรนจนพลัดตกเตียง ก็ตกพระราชหฤทัย รีบทรงเขียนลายพระราชหัตถ์ถึงแม่ ตรัสถามอาการป่วยของฉัน เมื่อผนึกซองพระราชหัตถเลขาแล้วจะสลักหลังซองว่า "ถึงชุ่มเจ้าจอมมารดา" ทรงนึกสงสารจึงเขียนว่า "ถึงเจ้าจอมมารดาชุ่ม" แล้วเลยมีพระราชดำรัสสั่งกรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดา เมื่อยังเป็นเสนาบดีกระทรวงวัง ให้เปลี่ยนระเบียบเรียกเจ้าจอมมารดารัชกาลที่ล่วงแล้ว ให้ใช้คำ "เจ้าจอมมารดา" นำชื่อ แต่ให้ลำดับรัชกาลเข้าข้างหลังเช่นว่า "เจ้าจอมมารดาชุ่ม รัชกาลที่ ๔ ดังนี้ จึงใช้เป็นประเพณีสืบมา เมื่อแม่ได้รับลายพระราชหัตถเลขาเชิญมาให้ฉันอ่าน ด้วยความปิติยินดีแต่ทั้งตัวท่านและฉันไม่ได้สังเกตที่ทรงเปลี่ยนคำสลักหลังซอง เมื่อฉันเขียนจดหมายสนองลายพระราชหัตถ์จึงกราบบังคมทูลแต่อาการให้สิ้นพระวิตก แต่มิได้กล่าวถึงชื่อมารดา เมื่อฉันหายเจ็บเข้าไปเฝ้าตรัสถามว่า "สังเกตชื่อแม่ของเธอที่ฉัยสลักหลังซองหรือเปล่า" แล้วจึงดำรัสเล่าให้ฟังดังแสดงมา
เมื่อเริ่มรัชกาลที่ ๕ ความเปลี่ยนแปลงกระทบเข้าถึงเจ้านายที่เป็นพระราชโอรสธิดาของทูลกระหม่อม ทำให้ผิดกับแต่ก่อนหลายสถาน เป็นต้นว่าแต่ก่อนมาเคยรักและเคารพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างเจ้าพี่ที่เป็นหัวหน้า ส่วนพระองค์โปรดเล่นหัวกับเจ้านายน้องๆเสมอ ครั้นเสด็จเสวยราชย์ พระองค์ต้องทรงประพฤติพระราชกิจของพระเจ้าแผ่นดิน แต่มิใช่เป็นพ่อเหมือนทูลกระหม่อมเจ้านายพี่น้องเธอก็เกิดกลัวเกรง ไม่กล้าเข้าไปใกล้ชิดโดยวิสาสะเหมือนแต่ก่อน แม้เจ้านายพี่น้องด้วยกันเองก็ต้องแยกตามชั้นพระชันษา พระองค์หญิงที่เป็นสาวไปเข้าหมู่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายใน พระองค์ชายที่เป็นหนุ่มต่างก็ออกไปอยู่วังต่างหาก เจ้าจอมมารดากับเจ้าน้องที่ร่วมเจ้าจอมมารดาก็มักตามไปอยู่ด้วย แต่เจ้านายพระองค์ชายที่ยังไม่ได้โสกันต์เช่นตัวฉันยู่ในวังแทบทั้งนั้น มีเหตุจำได้ในตอนนี้ ๒ เรื่อง คือคืนวันหนึ่งเมื่องานเฉลิมพระชันษาในปีมะเมียนั้นเกิดไฟไหม้ที่ตำหนักเจ้าคุณจอมมารดาสำลี(ชนนีของสมเด็จพระปิตุฉาเจ้าสุขุมมาลมารศรี) ฉันกำลังนอนหลับอยู่กับพี่เลี้ยง(ชื่อน้อย) แกปลุกพาไปที่หีบผ้าเลือกหยิบเอาผ้าปูมใหม่ผืน ๑ มาให้นุ่ง บอกว่าถ้าอย่างจะได้มีผ้าใหม่ติดตัวไปด้วย แล้วพากันลงไปยืนคอยหนีไฟอยู่ที่บันไดเรือน ที่จริงไฟไหม้อยู่ห่างเป็นไหนๆ แต่เห็นเปลวไฟลุกโพลงน่ากลัวก็พากันหวาดหวั่น เพราะไม่มีใครเคยเห็นไฟไหม้ในวังมาแต่ก่อน ตอนนั้นฉันต้องย้ายจากเรือนที่ทูลกระหม่อมโปรดฯให้สร้างพระราชทานทางฝ่ายตะวันตกใกล้ประตู(ดิน)อนงคลีลา ไปอยู่เรือนโบราณซึ่งสร้างครั้งรัชกาลที่ ๓ ทางด้านตะวันออกใกล้ประตูราชสำราญ เพราะจะรื้อเรือนเดิมเอาที่สร้างตำหนักสมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร เรือนที่ไปอยู่ใหม่นั้นดูเหมือนจะยังอยู่จนบัดนี ด้วยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ ฉันมีโอกาสเข้าไปในวังผ่านไปทางนั้นเห็นเข้ายังชี้ให้ลูกดู พากันเห็นประหลาดที่ฉันเคยอยู่เรือนเล็กเพียงเท่านั้น
การศึกษาของฉัน เมื่อทูลกระหม่อมเสด็จสวรรคตได้เรียนชั้นปฐมต่อครูผู้หญิงสำเร็จแล้ว ถึงเขตที่จะเรียนชั้นมัธยมต่อครูผู้ชาย แต่ในปีมะเส็งท่านผู้ใหญ่ยังสาละวนอยู่ด้วยเรื่องเปลี่ยนรัชกาล การศึกษาต้องรอจนถึงปีมะเมีย เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว จึงได้รับคำสั่งให้ออกไปเรียนหนังสือขอม(คือเรียนภาษามคธ) ด้วยกันกับเจ้านายพี่น้องที่เป็นชั้นเดียวกันอีกสักสี่ห้าพระองค์ พระยาปริยัติธรรมธาดา(เปี่ยม) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้เป็นอาจารย์พระลูกเธอ นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้น มาสอนทีเก๋งกรงนกในเวลาเช้าตั้งแต่ ๙ จน ๑๑ นาฬิกาทุกวัน เว้นแต่วันพระกับวันโกน เก๋งกรงนกที่ไปเรียนนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างไว้นอกบริเวณพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยทางด้านตะวันตก(๑) เดิมมีกรงนกใหญ่อยู่กลางมีเก๋งด้านละหลัง เก๋งทางด้านตะวันตกชื่อ "วรเทพสถาน" เป็นที่สำหรับเสด็จประทับ เก๋งทางด้าเหนือชื่อว่า "สำราญมุขมาตยา" เป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่พัก เก๋งทางด้านตะวันออก(ที่ไปเรียนหนังสือ)ชื่อ "ราชานุราชอาสน์" เป็นที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับเมื่อคอยเข้าเฝ้า เก๋งทางด้านใต้ชื่อ "วรนาฏนารีเสพ" เป็นที่พักของนางในที่ตามเสด็จ ถึงรัชกาลที่ ๕ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินกราบทูลขอรื้อกรงนก เอาที่สร้างเก๋งใหญ่ขึ้นใหม่หลัง ๑ สำหรับเป็นที่ประชุมปรึกษาราชการขนานนามว่า "เก๋งวรสภาภิรมย์" เป็นเก๋งโถง ๓ ด้าน กั้นเฉลียงด้านใต้เป็นห้องยาวตลอดหลัง ในห้องนั้นทำแท่นราชอาสน์ไว้แห่งหนึ่ง มีช่องพระแกลตรงราชอาสน์นั้นเปิดถึงห้องประชุม เดิมหมายว่าจะใช้เป็นห้องลับสำหรับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทรงฟังปรึกษาราชการแผ่นดินเป็นการศึกษา แต่ไม่พอพระราชหฤทัยที่จะเสด็จไปประทับเช่นนั้น จึงจัดให้เป็นที่กรมพระราชวังบวรฯประทับเมื่อคอยเข้าเฝ้า เอาเก๋งราชานุราชอาสน์ใช้เป็นที่เล่าเรียนของเจ้านายพวกฉัน วิธีเรียนภาษมคธในสมัยนั้นยังไม่มีสมุดตำราเรียนฉบับพิมพ์ นักเรียนที่เรียนตามวัดต้องหัดเขียนและจารหนังสือของตนเอง(เพราะเหตุนั้น พวกเปรียญจึงมักเขียนหนังสืองาม) แต่เจ้านายพวกฉันไม่ต้องหัดเขียน แรกเมื่อเข้าเรียนอาจารย์เขียนตัวหนังสือขอมลงสมุดดำสอนให้อ่านก่อน เมื่ออ่านหนังสือขอมออกแล้วก็ให้ตั้งต้นเรียนไวยากรณ์ภาษามคธ อาจารย์เขียนให้เองบ้าง เอาไปให้ราชบัณฑิตย์เขียนมาให้บ้าง เมื่อเรียนไวยากรณ์ตลอดแล้วก็สอนให้แปลคัมภีร์ธรรมบทต่อไป เรียกกันว่า "ขึ้นคัมภีร์" เจ้านายที่เรียนจนถึงขั้นขึ้นคัมภีร์ดูเหมือนจะมีน้อยพระองค์ เพราะการเรียนชั้นนี้กำหนดหมดเขตเพียงทรงผนวชเป็นสามเณร ถ้าทรงผนวชแต่พรรษาเดียวก็มักท้อภาษามคธไปเรียนวิชิอย่างอื่นต่อทรงผนวชอยู่หลายพรรษาจึงเรียนภาษามคธต่ออาจารย์อื่นสืบไป ส่วนตัวฉันเองไม่นึกรักภาษามคธมาแต่แรก เพราะไม่รู้จะมีประโยชน์อย่างไรและไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงต้องเรียนไวยากรณ์ ลำบากยากเย็นต้องเรียนก็เรียนไปอย่างนั้น ดูเหมือนจะเรียนช้ากว่าเจ้าพี่พระองค์อื่นโดยมาก พอเรียนไวยากรณ์จบเล่มบทมาลา ก็พอถึงเวลาตั้งโรงเรียนหลวงสอนภาษาอังกฤษ มีรับสั่งให้ส่งไปเข้าโรงเรียนนั้น แต่นั้นฉันจึงได้เล่าเรียนอย่างกวดขันดังจะเล่าในที่อื่นต่อไป
....................................................................................................................................................
(๑) อยู่ตรงสนามหญ้าหน้าปราสาทจักรีองค์ตะวันออกบัดนี้
จากคุณ :
กัมม์
- [
12 ก.ค. 48 14:17:30
]
|
|
|