ถ้าให้ผมวิเคราะห์เรื่อง เจ้าตากยืมเงินจีน ก็คงประมาณว่า
เมื่อกรุงแตก จากเอกสารหลายอย่างทำให้ทราบได้ว่า เจ้าตากไม่ใช่กลุ่มแรกที่หนีออกจากกรุงศรี และไม่ใช่กลุ่มสุดท้ายที่หนีออกจากกรุงศรีอีกเช่นกัน
ในสมัยนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีการแบ่งก็ก แบ่งเหล่ากัน เนื่องจากศูนย์อำนาจใหญ่อย่างอยุธยาสั่นคลอน
จึงไม่แปลกที่จะมีก็กโน่นก็กนี่มากมายดังที่ปรากฏ
ก็กใหญ่ๆ ก็คือก็กพระเจ้าตาก ก็กพระเจ้าฝาง (ซึ่งมีความเชื่อของคนท้องถิ่นว่า เป็นพระ ที่เจ้าสังฆราชตอนเหนือ ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เก่งเรื่องอาคม คงกระพัน ถูกขอร้องจากฆราวาสให้ลาสิกขาบทมาเป็นหัวศึกในการคุ้มครองจากพม่า และคนไทยที่ถือโอกาสซ่องสุมเป็นก็กเล็กๆ ที่คอยปล้นสดมภ์) นอกจากนี้ยังมี ก็กพิษณุโลก ก็กนครศรีธรรมราช
ที่นี้มาเรื่องกู้เงิน เจ้าตากในตอนนั้น มีความสนิทสนมกับจีนอยู่เป็นการส่วนตัว เนื่องจากมีเชื้อจีน และเคยเป็นพระยาบ้านนอกมาก่อน การยืมเงินจีนจึงไม่น่าเริ่มที่กรุงแตก อาจมีการกู้เงิน หรือค้าขายกันก่อนหน้านั้นแล้ว
การกู้เงินจีนในสมัยนั้นน่าจะเป็นการกู้ส่วนบุคคลมากกว่าการกู้เงินในลักษณะ รัฐต่อรัฐ เพราะนครศรีธรรมราชเองก็มีการกู้เงินจากจีนเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี บันทึกของพ่อค้าขาวจีนปีนังบันทึกไว้ว่า นครศรีธรรมราชในยุคนั้น สนิทกับจีนมาก ถึงขนาดมีกองอาสาจีน นับ 1000 คน
(ต้องเข้าใจนิดนึงว่า นครศรีธรรมราชเองเป็นรัฐอิสระ หรือประเทศราช และเป็นศูนย์กลางการค้าขายแถบคาบสมุทธมาลายู และอินโดจีน พ่อค้าชาวจีนสามารถค้าขายกับเมืองนี้ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องขึ้นกับอยุธยา คือไม่ต้องเสียภาษีให้อยุธยา แต่นครศรีธรรมราชก็ต้องแสดงความจงรักภักดีด้วยการส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ให่อยุธยาทุกปี(ปัจจุบันยังหาดูได้ที่ ว้ดพระธาตุ) ปัจจุบันบันทึกชาวจีนฉบับนี้อยู่ในครอบครองของนายชุ่ม สินบริรักษ์ จ.นครศรีธรรมราช (ตระกูลนี้ มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับพระเจ้าตาก คือเชื่อว่า ต้นตระกูลของตนเป็นองครักษ์ของเจ้าตากมาก่อน พอมา ร.6 ก็ไปขอใช้นามสกุล สินบริรักษ์ ไว้วันหลังจะถ่ายรูปมาให้ดู)
ดังนั้นการกู้เงินจากจีนของพระเจ้าตาก ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่น่าจะเป็นการกู้ในฐานะ กลุ่มคน หรือก็กหนึ่งเท่านั้น คงไม่ใช่รัฐต่อรัฐ
แต่นักรบที่ดี อาจจะไม่ใช่นักปกครองที่ดี ดังนั้นรอบข้างพระองค์ในขณะนั้นหลังจากตั้งราชวงศ์ธนบุรีแล้ว อาจจะมีนักการเมืองหลายมุ้ง
อย่างเช่น นายทองด้วงและน้องชาย,กลุ่มข้าหลวงเก่าของอยุธยา ไม่ว่าจะเป็นของขุนหลวงหาวัดที่ยังไม่ถูกต้อนไปพม่า หรือของขุนหลวงขี้เรื้อน ที่พยายามสร้างอำนาจให้มีเสียงข้างมากเข้าไว้ หรือแม้แต่ยนายสรรค์ ที่ก่อกบฏจนกลายเป็นเรื่องผลัดแผ่นดินในที่สุด
หลังจากการล็อบบี้เป็นเวลานาน (หาอ่านได้จากหนังสือ อ.นิธิ การเมืองไทยฯ) จีนจึงยอมรับ ว่า นายสิน คนนี้เป็นเจ้าแผ่นดิน หนี้สินที่หยิบยืมมา ก็เป็นหนี้สินของรัฐบาลนั้นไปด้วย ซึ่งอาจจะทำให้นักการเมือง กลุ่มมุ้งต่างๆ ไม่พอใจ
บรรยากาศตอนนั้น ผมว่าท่านคงถูกกดดันรอบด้าน ไหนจะสร้างเมืองใหม่ ไหนจะจะต้องเตรียมรับมือกับพม่าที่นับวันจะเข้มแข็งขึ้นมาอีกครั้ง (ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะหลังจากผลัดแผ่นดินไม่นานก็เกิดสงคราม 9 ทัพ) ไหนจะหวาดระแวงกลุมอำนาจเก่าจากอยุธยา ไหนจะหนี้สินเฉพาะตนที่ยืมมาจากจีน
ผมว่าโอกาสที่จะคลุ้มคลั่ง ไร้สติคงมีบ้างไม่มากก็น้อย (ซึ่งอาจเป็นเหตุให้คนใส่ความว่า บ้า ได้)
ดังนั้นการยืมเงินจีนก็ไม่อาขปฏิเสธได้ทั้งหมด
แต่เมื่อลูกหนี้ตายมีหรือที่คนอื่นจะยอมใช้หนี้แทน
หลักการง่ายที่สุดคือล้างไพ่ ตั้งวงเล่นใหม่ คือตั้งราชวงศ์ใหม่นั่นเอง (แต่ผมยังข้องใจอยู่ว่า ทำไมฆ่าล้างตระกูลขนาดใหญ่ ข้าราชบริพารอีก 1000 กว่า กลับมาขอใช้ นามสกุล แต้ ในการติดต่อกับจีน แถมยังบอกอีกว่า เป็นน้องชายเจ้ากรุงธน)
ผมขอจบไว้แค่นี้ก่อน แล้ววันหลังจะมาโพสต์อีก
จากคุณ :
แทน
- [
30 ก.ค. 48 09:55:46
A:203.188.17.116 X: TicketID:054068
]