ความคิดเห็นที่ 1 เราย้อนหลังกันสักนิด ถึงชีวิตการเป็นไปที่หล่อหลอมฃ เลดี้ไดตั้งแต่ครั้งยังอยู่ในวัยเยาว์ อันเป็นพลังผลักดันให้เธอเป็นอย่างที่พวกเราๆเห็นในทุกวันนี้ นั่นคือ ชีวิตที่ขาดความรักและ การประกันความมั่นคง รวมไปถึงความอบอุ่นต่างๆ ถ้าจะว่าไปก็ยิ่งกว่าละครน้ำเน่าไทย..และสิ่งที่เกิดมาเหล่านี้ มันช่างเหมือนกับสิ่งที่สร้างความ"แกร่ง"ให้แก่เลดี้ได สาวน้อยหน้าหวาน อย่างที่ไม่มีใครสามารถประเมินได้ ในคฤหาสน์อัลทรอป ที่มีอาณาบริเวณกว่า 1300 เอเคอร์นั้น..คือสถานที่ที่เธอได้ใช้ชีวิตของวัยรุ่นแบบธรรมดา ที่ชอบนุ่งกางเกงยีนส์ เสื้อตัวโคร่ง ฟังเพลงป๊อบ ชอบใช้เวลาฝึกหัดการเต้นบัลเล่ต์อันเป็นของโปรด  และ ไม่ถือเนื้อถือตัว เพราะ เลดี้ไดชอบใช้เวลาอยู่ในครัวกับเหล่าบรรดาสาวใช้ ที่เธอคบค้าเสมือนเพื่อน ในห้องนอนของเธอ จะมีเตียงขนาดทวิน เก้าอี้โซฟา หิ้งหนังสือที่เต็มไปด้วยนิยายแสนหวานของบาร์บาร่า คาร์ทแลนด์ เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ในห้องนั้น เป็นยุคของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด..เธอมีห้องน้ำเล็กแยกเป็นสัดส่วน ซึ่งไม่หรูหรานักแต่ก็ดูสดวกสบาย อันผิดกับส่วนอื่นๆของคฤหาสน์ที่ เคยมีคนกล่าวว่า ไม่มีจุดไหนในอัลทรอป ที่จะไม่มีสิ่งที่ราคาแพงระยับอยู่ใกล้ๆ.. ในห้องโถง..ฝาผนังเต็มไปด้วย ภาพวาดของศิลปินชื่อดัง อันเป็นสิ่งที่หายากยิ่ง เช่น Van Dyck, Ruben, Reynolds, อันเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษของ สเปนเซ่อร์ คือ Sarah the first Duchess of Marlborough ที่ส่งมอบมาให้แก่หลานชายสุดที่รัก คือ John Spencer จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 00:55:57 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คฤหาสน์อัลทรอปได้สร้างขึ้นในปี 1508 โดย Sir John Spencer ที่มีรายได้อย่างมหาศาลจากการค้าแกะ.. อีกทั้งได้มีการสร้างต่อเติมให้หรูหราอลังการ์อีกครั้งในปี 1787-1790 โดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียงจากฮอลแลนด์ การวางแปลนของข้างในคฤหาสน์นั้น สวยงามกว่าข้างนอกมากมายนัก ด้วยพื้นที่ปูด้วยหินอ่อน  ผ้าม่านไหมจากศตวรรษที่ 18   เครื่องกระเบื้องรูปปั้นประดับ พรมชั้นดีจากตะวันออกกลาง..ทุกอย่างนั้นคือ สัญญลักษณ์แห่งความเป็นผู้ลากมากดีของตระกูลสเปนเซ่อร์ ที่สืบทอดมานานหลายชั่วอายุคน แต่..หลังจากคุณผู้หญิงของบ้านได้จากไปเพราะการหย่าร้าง..ไม่นานต่อมา คฤหาสน์อัลทรอปก็ได้มีโอกาสต้อนรับคุณผู้หญิงคนใหม่ ที่ก้าวเข้ามาด้วยอำนาจและบารมีที่เกินพิกัด  เธอคนนั้น คือ Raine เรน  คือ ธิดาสาวคนเดียวของ บาร์บาร่า คาร์ทแลนด์ เจ้าของนวนิยายแสนหวานที่ตั้งอยู่เต็มชั้นหนังสือในห้องนอนของเลดี้ได และเธอคือ ภริยาของ Earl of Dartmouth ในวงสังคม ไม่มีไม่รู้จักเรน ผู้ซึ่งมีกิจกรรมไฮโซอยู่อย่างต่อเนื่อง เป็นสมาชิกของสมาคมโน้นนี้ และที่แน่ๆคือ เธอ มักจะฉายรัศมีของความเป็นไฮโซได้ในทุกโอกาส อย่างเช่น ที่สนามบินฮีทโธรว์ เธอได้โวยไปยังฝ่ายบุคคลระดับบริหารของสายการบิน บริติช แอร์เวย์ ในเรื่องที่ว่า ถ้วยชาที่นำมาเสริฟให้เธอนั้น มันไม่สะอาดพอ..!! และไม่ว่าเธอจะไปปรากฏตัวที่ไหน เรื่องสำคัญคือ เสื้อผ้าที่ต้องดูเนี๊ยบ และมีราคา มากกว่าใครๆในงานเสมอ ถ้านักข่าวคนไหน อยากลองของ เกิดเจ๊าะแจ๊ะซุบซิบนินทาเธอในหน้าหนังสือพิมพ์เข้าละก้อ..แน่นอนว่า เธอจะนำข้อความนั้นไปฟ้องมารดานักเขียนหญ่ายยย..ทันที เพราะเท่าที่ทราบกันว่า บาร์บาร่า มีเครือข่ายอิทธิพลต่อวงการหนังสือพอสมควร.. ความสัมพันธ์ระหว่าง จอห์นนี่ สเปนเซ่อร์ และ เรน เข้าข่ายคบชู้ เพราะในตอนนั้น เธอยังคงแต่งงานอยู่กินกับสามี ที่มีบุตรด้วยกันถึง สี่คน.. และ..กว่าจะมาถึงการหย่าร้างอันอื้อฉาวและอับอายจนเป็นข่าวใหญ่นั้น เพราะเหตุที่เกิดขึ้นที่ โรงแรม Dorchester ในขณะที่คนทั้งสองลักลอบไปพำนักค้างอ้างแรมกันที่นั่น ข่าวว่าระหว่างที่กำลัง"นั่นนี่" กันอยู่ จอห์นนี่เกิดอาการของหัวใจวายเฉียบพลัน.. ที่ต้องมีการเรียกรถโรงพยาบาลมาด่วน.. สภาพที่ต้องหามผู้ป่วยอย่างทุลักทุเลออกมาจากห้อง และ เรนได้อยู่ในสภาพผมเผ้ารุ่งริ่ง เสื้อผ้าที่คว้ามาใส่อย่างหลุดลุ่ย นั้น ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ.. ท่านเอิร์ลสามี ได้ขอหย่าในข้อหาคบชู้สู่ชายทันที.. ซึ่งคราวนี้ แม้ว่าจะมีมารดาเป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการน้ำหมึก ก็ไม่สามารถสะกัดข่าวให้อื้อฉาวต่อไปได้ จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:02:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ส่วนเรนนั้น..ไหนๆก็เสียสามีขุนนางไปคนหนึ่งแล้ว..จะต้องหันมาจับเอาจอห์นนี่ให้ได้ ไม่งั้นเสียหน้าแย่..!! แต่..ไม่ว่ากี่กระบวนท่าเล่มเกวียน จอห์นนี่ก็ยังไม่ยอมขอแต่งงานซะที.. ในที่สุด เธอจึงต้องไปปรึกษามารดา เพื่อขอคำแนะนำกลเม็ดที่เด็ดดวงกว่าที่มีอยู่..เพราะอย่างไรเสีย ภาษิต mother knows best  นั้นยังคงใช้ได้เสมอ แต่คนที่ได้ไอเดียมาเข้าท่าที่สุด นั่นคือ บุตรชายคนโตของเธอ Viscount Lewisham ผู้ซึ่งก็ไม่ได้ฉลาดเฉลียวอะไร เขาให้ข้อแนะนำว่า "ก็แม่ขอยื้มเรือยอร์ชของเพื่อน แล่นออกทะเล หายหน้าไปสักอาทิตย์สองอาทิตย์ซิ เขาจะได้รู้สึกถึงการสูญเสียไงล่ะ แม่จะได้ดูดีมีค่าสำหรับเขา" "อ้าว..ถ้าไปแล้ว เดี๋ยวเผื่อเขาติดต่อไม่ได้ ก็เลยพาลชวดไปเลยน่ะซิ" "ก็ให้มันรู้ไปซิแม่" ในที่สุด เรนก็ทำตามคำแนะนำของลูกชาย เธอออกล่องทะเลในเดือนกรกฏาคม 1976 และ..มันได้ผลเกินคาด เพราะ จอห์นนี่ขอเธอแต่งงานในปีนั้น ที่ Victoria, London  การแต่งงานเป็นพิธีแบบง่ายๆ ประเภทสวมแหวนแล้วก็จบ เหล่าบรรดาเด็กๆในตระกูลสเปนเซ่อร์ ไม่มีใครปรากฏตัวเลยแม้แต่คนเดียว แขกที่มาในงานก็มีเพียงลูกๆทั้งสี่ของฝ่ายหญิงเท่านั้น.. กระแสความเกลียดชังของแม่เลี้ยงนั้น ช่างรุนแรงเสียจน เลดี้ซาห์ร่า และเลดี้เจน ถึงกับกล่าวว่า "ขอยอมลงไปกอดกับศพของเลนินในหลุมมากกว่า ที่จะเข้าใกล้ยัยนี่" และ ทั้งสองเคยประกาศกร้าวกับบิดาของตัวเองว่า ..จะไปเอาใครก็ได้มาเป็นแม่เลี้ยง แต่ถ้าเป็นยัยเรน หนูไม่ยอมมมม... เพราะ เสียงนินทาว่า จอห์นนี่ที่เคยมีทีท่าว่าไม่เค่อยจะ"อะไร"ๆ กับเรนนั้น แต่ต่อมาถึงกับลุ่มหลงอย่างชนิดโงหัวไม่ขึ้น ข่าวจากวงใน ขยายมาว่า ทั้งสองมัวเมาซึ่งกันและกันอย่างขนาดหนัก ขนาดที่ ขับรถจากลอนดอนถึงอัลทรอปในระยะทางแค่นั้น ยังต้องแวะที่โรงเตี๊ยมข้างทาง ก่อน.. และเรื่องที่จะมาเอาใจลูกเลี้ยงนั้น ลืมไปได้เลย..ลูกชายของตัวเอง วิลเลี่ยม ที่มีอายุครบสี่สิบปี เธอยังลืมส่งการ์ดและของขวัญไปอย่างสนิท เพราะไม่เคยใส่ใจ ฉะนั้น ในการเข้ามาในอัลทรอปของเรนนั้น เข้ากับว่า เธอบังอาจเข้ามาอยู่ในกรงเสือ เพราะ ไม่มีการพูดจากันใดๆระหว่างแม่เลี้ยงลูกเลี้ยง ไม่ใช่แค่นั้น..แม้แต่เดินสวนกันก้ยังไม่มีการมองหน้า.. อันเป็นที่แน่นอนว่า โอกาสที่เด็กๆจะได้พบปะพูดคุยกับบิดาของตัวเองนั้น แทบไม่มีหวัง เพราะเรนได้พยายามเข้าแทรกกลางในทุกขณะจิต เรนได้ถือโอกาส..เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการตกแต่งคฤหาสน์อัลทรอปเสียใหม่ ตามรสนิยมของเธออย่างไม่เกรงใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น จนญาติคนหนึ่งในสเปนเซ่อร์ ได้บอกว่า..สิ่งที่เรนทำนั้นมันสมควรอยู่หรอก แต่ญาติข้างเรนก็ได้แฉว่า ความจริงแล้ว จอห์นนี่ก็มีแต่"เปลือก" ที่ต้องรักษาไว้ต่างหาก เพราะข้างในนั้นมันกลวงจนแทบไม่มีอะไรเหลือ ถ้าไม่ใช่เพราะเรนและบาร์บาร่ามาช่วยวิ่งหาเงิน สองล้านปอนด์มาช่วยจ่ายให้เป็นค่าภาษีมรดกแล้วละก้อ.. ป่านนี้พวกสเปนเซ่อร์คงต้องไปนอนในโรงเลี้ยงม้า !!! จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:03:57 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แต่การวิ่งหาเงินของเรนนั้น มันมาจากการขายทุกอย่างที่ขวางหน้า ภาพวาด ของประดับบ้าน ค่อยๆหายออกๆไปทีละชิ้นสองชิ้น สิ่งที่เข้ามาแทนที่ นั้นคือ ภาพวาดของตัวเธอเอง..และ กระถางที่อัดแน่นไปด้วยดอกไม้พลาสติคแทนที่ตุ๊กตากระเบื้องอิตาลีของเก่าแก่ โดยที่เธออ้างต่อ ชาวสเปนเซอร์ว่า ค่าดูแลคฤหาสน์นั้นมากมายนัก วิธีหาเงินก็มีวิธีเดียวนี้แหละ..!! เจ้าหญิงได..จดจำภาพต่างๆเหล่านี้ไว้อย่างไม่มีวันลืม จนมาถึงการแห่งมรณกรรมของท่านเอิร์ลสเปนเซ่อร์ ที่ได้เกิดขึ้นในช่วงที่ชีวิตการอภิเษกระหว่าง เธอกับเจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ใกล้สิ้นสุดลง..ทั้งคู่จำเป็นต้องมีการสร้างภาพในวินาทีแห่งความสูญเสียเช่นนี้ ซึ่งเจ้าฟ้าชายได้พยายามขมวดเวลาให้สิ้นสุดเป็นอย่างเร็ว โยการบินมาและบินกลับ อ้างว่า ต้องมีพระราชกรณียกิจไปรับเสด็จเจ้าชายแห่งบาเรน.. ส่วนเจ้าหญิงได ก็สวนตอกกลับไปหนึ่งดอก โดยการส่งพวงหรีดในนามของลูกสาว โดยเขียนว่า To my darling Daddy  ส่วนของเจ้าฟ้าชายก็คือช่อดอกไม้ เรียกว่า ของใครของมัน ไม่เกี่ยวกัน. ของเจ้าฟ้าชายก็เขียนว่า " In most affectionate memory"  ทั้งๆที่ชายสองคนนี้แทบจะไม่รู้จักกันเลย.. งานพิธีในครั้งนี้ สำหรับเจ้าฟ้าชายแล้วมันคือ ช่วงแห่งเวลาของการอึดอัด พะอืดพะอม.. แต่สำหรับเจ้าหญิงแล้ว..มันเป็นช่วงแห่งการแก้แค้นให้กับคนหลายๆคน..จากท่าทีที่เศร้าสร้อย โดดดี่ยว น้ำตาปริ่มเต็มในสองพระเนตร   สื่อ..ต่างรุมเขียน"จวก"เจ้าฟ้าชายเช่นเคย..เพราะในยามนี้ ไฉนจึงโหดร้ายกับเจ้าหญิง ผู้เป็นมารดาของพระโอรสนัก.. ใครเล่าจะรู้บ้างว่า เจ้าหญิงได และท่านเอิร์ลผู้บิดา ไม่ได้พบหน้าเจอะเจอกันมาตั้งแต่ งานแต่งงานของน้องชาย(ชารลส์) ในปี 1989 ท่านเอิร์ลได้พยายามไปหาเจ้าหญิงที่พระราชวังเคนซิงตันถึงสองครั้ง แต่ก็ได้รับคำตอบว่า "ไม่ว่าง" และ..หลานทั้งสอง เจ้าชาย วิลเลี่ยม และ เจ้าชายแฮร์รี่ ก็แทบไม่รู้จักตาของตัวเองเช่นกัน.. จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:04:53 ]

ความคิดเห็นที่ 5 และในงานแต่งงานของชารลส์ สเปนเซ่อร์นี้ก็เช่นกัน ที่ครอบครัวทั้งหมดต้องมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลอง(ตามมารยาท) นางฟรานเซส ผู้มารดา เจ้าบ่าว รวมทั้งญาติพี่น้องคนอื่นๆ ซึ่งแม่งานในครั้งนี้ คือ เรน..คุณผู้หญิงแห่งคฤหาสน์อัลทรอป.. หลังจากที่ การเลี้ยงน้ำชาได้ผ่านพ้นไป..เรนได้ลุกออกไปจากห้อง ซึ่งตามหลังไปติดๆด้วยเจ้าหญิงได.. ขณะที่เรนกำลังก้าวลงบันได เจ้าหญิงได้ทำท่าเหมือนจะช่วยประคอง แต่ไม่ทันได้มีใครคาดคิด  มือที่ดูเหมือนจะช่วยจับกลับกลายเป็นผลักเข้ากลางหลังของเรนอย่างเต็มรัก ผลคือ เธอได้กลิ้งหลุนๆลงมาจากบันได แม้จะไม่กี่ขั้น ก็ตาม แต่เธอก็ลงมาในสภาพคลานสี่เท้า ต่อหน้า สาวใช้หลายคนที่มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เรน..สาวใหญ่วัยห้าสิบแปดปี อยู่ในท่านั้นด้วยอาการตกตะลึง..เจ้าหญิงได้ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ เดินผ่านไปอย่างไม่ใยดี ด้วยใบหน้าราบเรียบไม่มีความรู้สึกใดๆ.. สงครามระหว่างแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงนั้นได้ดำเนินมาติดต่อกันนับตั้งแต่วันที่ เรนได้ย่างก้าวเท้าเข้ามาในอัลทรอป.. ซึ่งความร้าวฉานนั้นได้กระจายไปถึงมิตรภาพและความสัมพันธ์ระหว่าง ท่านเอิร์ลและลูกๆอีกด้วย อย่าง กับชารลส์ ลุกชายคนเดียวนั้น ถึงขนาดไม่พูดกัน ไม่มองหน้ากันเลยทีเดียว เจ้าหญิงได ได้ปฏิบัติการจองเวรไม่ใช่กับตัวของเรนเท่านั้น..หากแต่รวมไปถึง บาร์บาร่า คาร์ทแลนด์ มารดาของฝ่ายตรงข้ามซะด้วย ใครๆก็รู้ว่า..บาร์บาร่านั้น เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและสำคัญคนหนึ่งแห่งเกาะอังกฤษ  ซึ่ง เมื่อครั้งที่มีงานอภิเษกสมรส เจ้าหญิงได้ยื่นโนติ๊สให้แก่กองพิธีการว่า เธอไม่ต้องการให้ บุคคลคนนี้เข้ามาร่วมในงานเด็ดขาด ซึ่ง เท่ากับว่าเป็นการฉีกหน้ากันอย่างไม่มีชิ้นดี.. ทั้งๆที่จะว่าไปแล้ว..เรนไม่ใช่ต้นเหตุของการหย่าร้างระหว่างพ่อแม่ของเธอ.. อีกทั้งหลังจากพิธีศพของท่านเอิร์ล ตามพินัยกรรมทีระบุว่า เรนสามารถพำนักอยู่ในอัลทรอปได้อีกหกเดือนก่อนที่จะโยกย้ายออกไปนั้น.. ก็ไม่ได้ผลอันใดทั้งสิ้น เพราะ ชารลส์ ท่านเอิร์ลคนใหม่ได้ประกาศว่า จะมีแท๊กซี่มารอที่ประตูหลังของอัลทรอปสามคัน.. คันหนึ่งของเรน ส่วนอีกสองคันนั้นสำหรับคนใช้ของเธอ.. ทุกอย่างคือความประสงค์ของเจ้าหญิงได..ที่ต้องถือปฏิบัติ จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:06:10 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เรน..ขายทุกอย่างที่ขวางหน้าจริงๆ แต่เธอก็พลาดไปถนัดใจกับภาพวาดของ Andrea Sacchi ที่ชื่อว่า Apollo Crowning the Musician Pasqualini ด้วยราคาถึง 40,000 ปอนด์ ภาพนี้เป็นภาพเก่าแก่ของแท้ตั้งแต่สมัย 1758 และเธอมารู้ทีหลังว่า ภาพนั้นถูกขายต่อไปแทบในทันทีให้กับ Metropolitan Museum of Art แห่ง New York ด้วยราคาถึง 270,000 ปอนด์ เท่านั้น ก็ยังไม่ร้ายไปกว่า..ข่าวเรื่องนี้รู้ไปหูของเด็กๆชาวสเปนเซ่อร์  ทั้งหมดได้รวมหัวกันดาหน้าเข้าไปเพื่อฉีกเนื้อของแม่เลี้ยงออกเป็นชิ้นๆ ในฐานะที่มาล้างผลาญสมบัติอันควรที่จะเป็นมรดก..หากแต่ ท่านเอิร์ล..ได้ปกป้องภรรยาใหม่สุดที่รักสุดฤทธิ์สุดเดช แถมยังบอกลูกๆด้วยว่า..ทุกอย่างคือความเห็นชอบของเขาทั้งหมด..คนอื่นๆ..ไม่มีสิทธิ จะว่าฝ่ายหญิงมีปัญหากับพ่อแม่ซะฝ่ายเดียวเมื่อไหร่..เจ้าฟ้าชายชารลส์เองก็แสนที่จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับท่านดยุคพระบิดา ถึงขนาดที่ในห้องส่วนพระองค์ มีภาพท่านดยุคพร้อมทั้งลายพระหัตถ์ของเจ้าฟ้าชายที่ทรงเขียนไว้ข้างล่างว่า "จะไม่มีเดินตามรอยเท้าพ่ออย่างเด็ดขาด ในชาตินี้" ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าฟ้าชายไม่เคยมีโอกาสได้เล่น"ลูกอ้อน"กับใครๆไม่ว่าจะเป็นพระมารดา หรือ พระบิดา ฝ่ายหลังนี่ เข้มงวด ดุดัน ระเบียบจัด เพราะเคยตรัสไว้ว่า พระโอรสจะต้องแกร่งราวกับเหล็กกล้า เพื่อที่จะทรงต่อสู้กับอุปสรรคต่อไปได้ในภายภาคหน้า.. ยิ่งในระยะหลังๆมานี่ ท่านดยุคเริ่มจับตามองกลุ่มเพื่อนสนิทที่เค้ามาคบค้ากับเจ้าฟ้าชายสองคนอย่างระแวงระไว คนหนึ่งคือ Armand Hammers อภิมหาเศรษฐีบ่อน้ำมัน และ Laurens van der Post นักเขียนชื่อดัง(อีกทั้งเป็นพ่อทูนหัวให้กับเจ้าชายวิลเลี่ยมด้วย) คนทั้งสองนี้เจ้าฟ้าชายได้ให้ความไว้วางใจเพราะมีความเอื้ออาทร อบอุ่น ราวกับท่านลอร์ด เมาท์แบตเทน ที่ล่วงลับไป แต่ท่านดยุค เห็นว่า นี่คือมิตรภาพของการปีนบันไดสังคมของคนทั้งสองต่างหาก เพราะ คนแรก ยินดีจ่ายเงินอย่างไม่อั้น ไม่ว่าเจ้าฟ้าชายจะมีการเรี่ยไรทำบุญสมทบทุนที่ไหน.. แม้กระทั่งจะต้องบินไปถึง เวสต์ ปาล์ม บีช เพื่อจัดงานเลี้ยงรับรองเจ้าฟ้าชายในกลุ่มเจ๊ทเซ็ท ค่าดินเนอร์ในคืนนั้น มีการประมูลที่นั่งใกล้กับเจ้าฟ้าชายและเจ้าหญิง ด้วยราคาที่สูงลิ่ว..จนที่กล่าวขวัญอย่างอึงคนึง.. แน่นอน..เสียงสะท้อนกลับไปถึงพระกรรณของสมเด็จพระราชินีย่อมสร้างความไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง.. เนื่องจาก พระราชวงค์มีกฏเหล็กไว้อย่างแข็งแรงแน่นหนา ว่า ไม่มีการนำพระยศไปส่งเสริมรูปแบบของเชิงการค้าใดๆ ฉะนั้นไม่ว่ายามที่มีงานสำคัญใดๆของวินเซอร์ สองคนนี้ไม่เคยได้รับเชิญ..ไม่ว่าจะทุ่มเงินบริจาคสักเท่าใด.. จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:07:50 ]

ความคิดเห็นที่ 7 และเนื่องจากพื้นเพที่มาของทั้งสองคนช่างมีรอยแผลเป็นอย่างมากมาย..ทำให้การอภิเษกบันลือโลกเริ่มมีริ้วรอยของการบาดหมางให้เห็นในเพียงแค่ หกเดือนของชีวิตคู่ เช่น..การที่เจ้าหญิงได ได้พุ่งตัวกลิ้งลงมาจากบันได เพื่อทำร้ายตัวเองต่อหน้าพระสวามีที่กำลังจะเสด็จออกไปข้างนอก งานนี้..เรียกร้องความสนใจได้อย่างมากมาย เพราะหลังจากที่ได้พำนักรักษาตัวจนเป็นปรกติ เจ้าฟ้าชายได้พาไปพักผ่อนที่ชายทะเลหาดแถบ Norfolk หนังสือพิมพ์ก็ตามรังควาญอย่างไม่หยุดยั้ง ภาพเจ้าหญิงได ในชุดบิกินี่สีแดง กำลังเริงร่าโต้คลื่น จึงออกมาประกฏต่อสายตาประชาชน สมเด็จพระราชินี..ทรงสรวลไม่ออก ตรัสว่า..พวกหนังสือได้ร้ายกาจเข้าไปทุกวัน.. แต่เจ้าหญิงได..กลับไม่เห็นว่าจะเสียหายอะไร..ชอบพระทัยไปซะด้วยซ้ำ ต่อมาในเดือน พฤศจิกายน ก่อนถึงวันทหารผ่านศึก ซึ่งในสองคืนก่อนถึงวันสำคัญ ได้มีพิธีการที่พระราชวงค์ระดับสูงต้องเสด็จออกงานที่ Albert Hall และในปีนั้น คือปีของสงคราม Folkland ที่สำคัญมากกว่าทุกปี เจ้าหญิงได..ต้องเสด็จออกงานด้วย ใครต่อใครจึงเฝ้ารอคอยอย่างใจจดจ่อ หากแต่ไม่กี่นามีก่อนที่พิธีจะเริ่ม..ข่าวออกมาว่า เจ้าหญิงไม่สามารถเสด็จมาได้  ฝ่ายพิธีการจึงรีบส่งพนักงานไปเลื่อนเก้าอี้ประจำตำแหน่งออกมา. ห้านาทีหลังจากที่พิธีได้เริ่มขึ้น..สมเด็จพระราชินีได้ประทับบนพระที่อย่างเรียบร้อย เจ้าหญิงได..เพิ่งเสด็จมาถึงอย่างที่ไม่มีใครคาดว่าจะเสด็จ พร้อมทั้งองค์รักษ์ นามว่า Alan Peters เจ้าหญิงมีทีท่าที่ไม่ค่อยสดชื่นในทีแรกๆ..แต่หลังจากที่ประชาชนต่างปรบมือ แสดงความยินดีต่อการปรากฏพระองค์ จึงค่อยแช่มชื่น เบิกบาน จนทรงลืมไปอย่างหนึ่ง..คือ..ไม่เคยมีใคร"บังอาจ"ปรากฏตัวในงานล่าช้าต่อพระพักต์สมเด็จพระราชินีฯ จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:09:37 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จนปลายปี 1983 เจ้าหญิงได้ทรงพระครรภ์ขึ้นมาอีกครั้ง..จากข่าวที่เจ้าหญิงได้ให้สัมภาษณ์นั้นว่าเป็นพระประสงค์ของพระสวามี แต่เหล่ากลุ่มวงในของสองพระองค์เริ่มซุบซิบกันหนาหูว่า..ชีวิตอภิเษกนั้นเริ่มมีปัญหา เพราะการใช้ชีวิตที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งวัยที่ห่างไกลกันถึงเกือบหนึ่งรอบ รวมไปถึงการ"หลับนอน" อย่างเช่น..ชีวิตในพระราชวังเคนซิงตัน ที่เจ้าหญิงได้ทรงขึ้นบรรทมตั้งแต่ เวลาสามทุ่ม ในห้องบรรทมไม่มีโทรทัศน์ บนเตียงมีตุ๊กตาหมีสองตัว..ที่ทรงใช้มันเป็นเพื่อนปลอบขวัญ พระสวามี..ทรงหงุดหงิดทุกครั้ง..ที่เห็นพระชายารีบอิ่มในพระกระยาหารค่ำ และ รีบเข้าบรรทม.. เพราะพระองค์ยังคงต้องทรงงานในห้องพระอักษรจนดึกดื่น และใช้เสียงเพลงคลาสสิคที่ทรงโปรด..เป็นเพื่อนในยามดึก หลังจากที่ทรงเสร็จจากงานเหล่านั้น..พระองค์ก็ค่อยๆย่องไปเปลี่ยนเครื่องทรง และ บรรทมที่เตียงที่เตรียมไว้ส่วนพระองค์ในห้องนั่งเล่น เพราะ มีพระประสงค์เช่นนั้น.. ซึ่งเจ้าหญิงก็มิได้ไม่พอพระทัยแต่ประการใด เนื่องจาก นั่นคือความเคยชินของพระสวามีอันเป็นที่รู้กัน ในเดือนธันวาคมของปีนั้น เจ้าชายเฮนรี่ก็ได้ประสูติ พร้อมทั้งได้มีการจัดพิธีล้างบาป  คนที่แสดงความเซ็งสุดๆออกมานอกหน้า นั่นก็คือ ครอบครัวของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ที่ถือโอกาสอ้างว่า ต้องออกไปพักผ่อนที่พระตำหนักในชนบท เจ้าหญิงได..ก็รู้สึกโล่งพระทัยเช่นกัน เพราะ ว่ากันจริงๆแล้ว..ทั้งคู่ไม่ค่อยลงรอยกันอยู่แล้ว ทั้งๆที่ เจ้าฟ้าชายพระสวามี เคยขอร้องพระชายา ให้พยายาม"อ่อนข้อ"ให้กับพระขนิษฐาบ้าง..แต่ทุกอย่างก็ไร้ผล.. สมเด็จพระราชินีต้องทรงกล้ำกลืน และ อดทนต่อการ"ปฏิวัติ" กฏระเบียบวังของพระสุนิสาคนนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งในแต่ละครั้งนั้น ค่อนข้างสาหัสสากรรจ์ อย่างเช่น..ในงานเลี้ยงรับรองที่วอชิงตัน เจ้าหญิงได้เป็นแขกรับเชิญของประธานาธิบดีเรแกนและท่านผู้หญิงแนนซี่.. เจ้าหญิงหมดความสำรวมทันทีที่เห็น จอห์น ทราโวต้า ปรากฏตัวขึ้นในงาน ถึงกับแอบกระซิบกับเจ้าภาพฝ่ายหญิง เพื่อแสดงความจำนงของเต้นรำกับพ่อดาราเท้าไฟแห่งฟากฟ้าฮอลลีวู๊ด ราวกับเด็กๆอ้อนขอขนมหวาน.. ซึ่งท่านผู้หญิงก็จาดดดดห้ายยยย... แน่นอนว่า..เป็นข่าวใหญ่โต ถึงพระเนตรพระกรรณตามระเบียบ จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:11:39 ]

ความคิดเห็นที่ 9 และในครั้งที่มีงานกาล่าดินเนอร์ที่กรุงคานน์ เจ้าหญิงได้แต่งชุดราตรีสีดำสนิท..ออกงานพร้อมกับพระราชวงค์ของยุโรปประเทศอื่นๆ เล่นเอาเรียกเสียงฮืฮฮา ตำหนิติฉินอันเป็นอื้ออึง เพราะ นี่คือกฏเหล็กอีกข้อหนึ่งของวินเซอร์ ที่ พระราชวงค์ฝ่ายหญิงจะไม่มีการแต่งชุดสีดำเป็นเด็ดขาด เพราะถือเป็นลาง สีดำเก็บไว้เฉพาะงานไว้ทุกข์เท่านั้น และยิ่งตอนนั้น ควีนมัมก็มีพระชนมายุเฉียดๆเก้าสิบ..อย่างนี้ทุกคนในวินเซอร์ จึงมุ่งประเด็นได้อย่างเดียว นั่นคือการท้าทาย.. (เพราะ ระเบียบพิธีการข้อนี้ เจ้าหญิงน่าจะรู้ดีมากกว่าใครๆ) ต่อมาด้วยการฝืนข้อปฏิบัติในการนำพระโอรสทั้งสองขึ้นเครื่องบินโดยสารลำเดียวกัน.. ซึ่ง..เล่นเอาทั้งกรมวังวิ่งวุ่น ต่างชิงฟ้องสมเด็จพนะราชินีอย่างอึงคนึง ในที่สุด พระองค์ก็ตรัสว่า ตามใจหล่อนซิ อยากเอาไปก็เชิญ...( แต่ก็ทรงเห็นได้อย่างชัดเจนในคราวนี้ ว่า เจ้าหญิงได้ประกาศศึกอย่างเป็นทางการกับพระองค์และท่านดยุค) ยังมีข้อปลีกย่อยอีกมากมาย ในเรื่องของการแต่งตัวและการทำตัวให้เป็นข่าว..ซึ่งเจ้าหญิง ได้ลงทุนทำตัวสนิทสนมกับนักข่าวและหนังสือพิมพ์โดยการแจกข่าวเอง ไม่ผ่านฝ่ายคณะเลขาฯ ที่มีหน้าที่เฉพาะทาง จนมาถึง  ปี 1992 ที่สมเด็จพระราชินีถึงกับประกาศออกมาด้วยพระวาจาว่า นี่คือ  annus horribilis หมายถึง ปีแห่งความร้ายกาจน่าสพึงกลัว(ของพระราชวงค์) ถ้าเป็นภาษาเราๆ ก็คงต้องเรียกว่า ปีแห่งความซวยมหาซวย ก็เป็นได้.. เพราะ  ในเดือน เมษายน เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ได้ประกาศการหย่าร้างกับพระสวามี มาร์ค ฟิลลิป ในเดือน มิถุนายน หนังสือ My True Story เจ้าหญิงไดอะน่า ได้ออกมาแฉโพย เรียกร้องความเห็นใจจากประชาชนอย่างอื้ออึง แล้วมันงามหน้าไหมล่ะ ที่ใครต่อใครจะมารับรู้ รู้เรื่องฉาวๆคาวๆในครอบครัว รวมไปถึงเรื่องการเป็นโรคประจำตัว บูลิเมีย ที่เผอิญว่า เป็นกันแทบทั้งบ้าน ในหมู่สาวๆชาวสเปนเซ่อร์ (เลดี้ซาร่าห์ ก็ด้วย) ที่สำคัญคือการแฉว่า เจ้าหญิงได้พยายามปลงประชนม์เองถึงห้าครั้งห้าครา.. ยังไม่นับเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่กำลังจะนำมาเล่าต่อไป... จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:14:30 ]

ความคิดเห็นที่ 10 นั่นคือข่าวฉาวโฉ่สะท้านเกาะที่เกิดขึ้นกับ ซาร่าห์ ดัชเชส ออฟ ยอร์ค ชายาของเจ้าชายแอนดรูว์ พระโอรสองค์ที่สองในสมเด็จพระราชินีและท่านดยุคฯ ข้อความที่จะนำมาเล่าต่อไป คือรายละเอียดในหนังของดัชเชส ที่พิมพ์ออกมาจำหน่ายเอง ที่อ่านแล้วเห็นว่าเข้าท่าและจับได้ใจความมากกว่าหนังสือของ เจ้าหญิงได(ทุกเล่มรวมกัน) อย่างมากมาย เพราะ อย่างน้อยเธอได้สำนึกผิดที่ได้กระทำด้วยตัวเองอย่างแท้จริง..อีกทั้งรู้ตัวเองดีว่า ไม่มีวันที่จะอยู่ปะปนกับฝูงหงส์ได้ในชั่วชีวิตนี้... อีกทั้ง ดัชเชสคงมีนิสัยที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา การเขียนจึงชี้ชัดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นราวกับเป็นการรายงานข่าว ไม่มีลูบหน้าปะจมูก มากกว่ามุ่งแต่จะคอย เอาใบบัวมาปิดให้วุ่นวาย เข้าใจยากไปเปล่าปลี้ๆ.. จะฟังกันหรือยังคะ..แอ่น ..แอ๊น..!! จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:16:32 ]

ความคิดเห็นที่ 11 พระราชวังบัลมอรัลในสก๊อตแลนด์ เป็นหนึ่งใน"บ้าน"ของสมเด็จพระราชินีที่จัดว่าพิเศษสุด เพราะที่นั่นเป็นที่โปรดปรานของพระราชวงค์ทุกพระองค์ มันถูกสร้างขึ้นมาโดยพระมหาราชินีวิคตอเรียผู้ทรงอานุภาพแห่งประวัติศาสตร์ของเกาะอังกฤษและเครือจักรภพ ที่พระองค์ได้ใช้เป็นที่แปรพระราชฐาน ในฤดูร้อน อันถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดต่อเนื่องกันมา และสำหรับดัชเชสก็เช่นเดียวกัน เธอหลงรักทุกสิ่งทุกอย่างในความเป็น"บัลมอรัล" ไม่ว่าจะเป็นกำแพงที่ปกคลุมหนาแน่นไปด้วยไม้เลื้อย หรือกลิ่นไอดินที่หอมหวน ลำธารที่มีน้ำไหลรินเลาะผ่านจนไปบรรจบกับแม่น้ำดี.. และที่สำคัญ บรรยากาศของที่นั่นได้สร้างความสุขสดชื่นให้แก่เจ้าชายแอนดรูว์พระสวามีเป็นอย่างที่สุด พระองค์สามารถขับรถเที่ยวไปทั่วท้องทุ่งในชนบทนั้นนับเป็นวันๆโดยไม่มีตำรวจผู้ติดตามขนาบข้างให้วุ่นวาย และ การใช้ชีวิตอย่างสามัญชนที่เรียบง่ายนั้น เป็นสุดยอดแห่งความปรารถนาของครอบครัวเล็กๆของชาวยอร์ค ตัวดัชเชสเอง..ก็ถือว่าที่นั่นคือ บ้านที่เธอสามารถปลดปล่อยภาระที่แบกอึ้งไว้ทั้งหมด และ ดื่มด่ำไปกับการใช้ชีวิตอย่างเป็นส่วนตัว มีความสุขกับการเดินป่า ไต่เขา ไปกับสุนัขตัวโปรด  หรือ อาจจะปิ้งย่างทำบาร์บีคิวกันที่กระท่อมเล็กที่ในอดีตพระราชินีวิคตอเรียได้สร้างขึ้นสำหรับพักผ่อนยามที่ต้องติดตามพระสวามี เจ้าชายอัล เบิร์ตยามที่ออกป่าล่าสัตว์ ยิ่งทุกครั้งที่ดัชเชสได้โดยเสด็จไปกับสมเด็จพระราชินีทางรถยนตร์แล้วละก้อ..พอเข้าเขตภูเขาก่อนที่จะถึงพระราชวังนั้น กลิ่นไอของบัลมอรัลทำให้ เธอยิ่งปลาบปลื้ม จนเชื่อว่า ตัวเองเกิดมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น และ ของครอบครัวที่สำคัญที่สุดของประเทศ ความรู้สึก..มันช่างโอ่อ่า..งดงามและมีความสุขราวกับได้เดินอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า............... จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:19:52 ]

ความคิดเห็นที่ 12 หากแต่..ภาระต่อการเป็นดัชเชส แห่งยอร์ค ที่มีทั้งร้อนทั้งหนาวที่เธอได้ผ่านมากว่าหกปีนั้น..ในปี 1992 มันคือฟางเส้นสุดท้ายที่เธอไม่สามารถรับได้อีกต่อไป.. การพูดคุยกันถึงเรื่องแยกกันอยู่กับพระสวามีนั้น ได้เริ่มมีการเจรจากันมาตั้งแต่ต้นปี ไม่ใช่เพราะว่า "หมดรัก" คนทั้งสองยังมีความรักและห่วงใยต่อกันอย่างเต็มเปี่ยม หากแต่ วิถีที่เธอได้ผ่านมานั้น มันช่างเต็มไปด้วยอุปสรรค ขวกหนามแหลมคมคอยทิ่มแทงจนเกินกว่าที่สองขานั้นจะก้าวต่อไปได้อีกต่อไป.. ต่อมาในเดือนมีนาคม ข่าวรั่วไปถึงหูหนังสือพิมพ์จนได้ Daily Mail พาดหัวข่าวตัวเบ้อเร่อถึงการร้าวฉาน..ทั้งๆที่มีคนรู้เพียงไม่กี่คน เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกรมวังได้โจมตีดัชเชสอย่างไม่ไว้หน้า หาว่า เป็นคนปล่อยข่าวเรียกร้องความสนใจ ส่วน BBC ที่พอรู้เรื่องราวความนัยของวินเซอร์ได้เขียนว่า  "เฟอร์กี้..กำลังจ่อคิวรอถูกเชือดเป็นรายต่อไป" แต่ข้อความนั้นออกจะแรงไป ในวันต่อมาได้มีการขอโทษขอโพยกันต่อพระราชวัง หากแต่คนที่เสียหายไปแล้ว..นั่นคือ ดัชเชส ผู้ซึ่งตลอดเวลามาได้รับแต่การตำหนิติเตียนอย่างไม่ไว้หน้า ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งจากสื่อและจากภายในสำนัก เช่น..ทำตัวไม่เหมาะสมต่อการเป็นจ้าวเป็นนายในพระราชวงค์ คนเก่งจริงๆบางคน อาจจะต้องโต้กลับ หรือเอาเรื่องให้ถึงที่สุดต่อข้อกล่าวหาทั้งมวล แต่..ถ้าเขาคนนั้นเป็นคน"เก่งจริง" อย่างว่าละก้อ เขาคงฉลาดพอ..ไม่ทำตัวเองให้ลำบากลำบน  หรือ ทำความผิดอย่างโง่ๆ อย่างที่เธอได้กระทำลงไปเช่นกัน จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:23:06 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ลึกๆลงไปในความรู้สึกของดัชเชสนั้น เธอทราบดีว่า บทพิพากษานั้นมันก็สมควรกับความผิดที่มี..เธอยอมรับว่า..เธอไม่เหมาะต่อความเป็น"ดัชเชส"จริง เจ็ดปีก่อน..เธอยังเป็นเพียงแค่พนักงานในสำนักงานธรรมดา ที่มีเงินเดือนแทบไม่พอจ่ายค่าเช่าบ้านด้วยซ้ำไป แต่เพียงชั่วพริบตา เธอก็ต้องมากลายเป็น สมาชิกคนนหนึ่งของพระราชวงค์ ที่ใครๆก็ต้องก้มหัว ถอนสายบัวให้ ในงานพระราชพิธี ใครต่อใครต่างกล่าวขวัญสรรเสริญเธอว่า " สดใส สดชื่น..เปรียบเสมือนสายลมและแสงอรุณ" แต่ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร เธอยังคงมีความรู้สึกเสมอว่า เสียงนาฬิกาเที่ยงคืนอาจเหง่ง หง่าง ขึ้นมาได้ทุกเมื่อ และจากนั้น ทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปรกติ ดังกับซินเดอเรลล่า.. แต่..มันไม่จบลงอย่างสวยงามเหมือนกันกับในเทพนิยาย เพราะ ยามที่ต้องตื่นขึ้นมานั้น เธอต้องพบแต่กับความทรมานและร้าวรานใจอย่างไม่มีวันแก้ใขกลับคืน เรื่องมีอยู่ว่า.. อาทิตย์ก่อนนั้น..ดัชเชสเองได้มีโอกาสตอบรับคำเชิญจาก John Bryan นักธุรกิจอเมริกันที่เป็นเพื่อนที่ปรึกษาในเรื่องธุรกิจ (และเป็นกิ๊ก) ให้ไปพักผ่อนที่ St. Tropez ตอนใต้ของฝรั่งเศสอันเป็นที่โปรดปรานของใครต่อใคร และ ดัชเชสเองก็หลงต่อแสงสีเสียจนลืม"ส่วนเสีย"ที่จะตามมาอย่างสนิทใจ จึงตกปากรับคำ ตื่นเต้นกระหือรือที่จะไปกับชายที่ตัวเองมีใจหมายปอง.. อีกทั้งคนทั้งสองคิดว่าตัวเองได้ฉลาดสุดๆ ในการวางแผนการที่จะไปเที่ยวด้วยกันในครั้งนี้  นั่นคือ การเช่าเครื่องบิน  เช่าวิลล่าที่มีอาณาเขตถึง 10 เอเคอร์ที่อยู่ห่างจากถนนใหญ่ถึงสองไมล์ เพื่อเป็นการส่วนตั๊ว ส่วนตัว เจ้าหญิงน้อยๆทั้งสอง และ องค์รักษ์อีกสองคนที่ต้องตามเสด็จด้วย เพราะตามกฏของพระราชวังที่ยึดถือปฏิบัติ ในฐานะที่พระธิดาทั้งสองอยู่ในตำแหน่งที่ห้าและที่หกในการสืบสันตติวงค์แห่งวินเซอร์ (ไม่ว่าพระมารดาจะอยู่ในสถานะอย่างไร)   ในอาณาบริเวณวิลล่าที่กว้างใหญ่ของวิลล่าดังกล่าวนั้น สิ่งผิดปรกติคือ  ความรู้สึกสังหรณ์ได้เกิดขึ้นอย่างแรงกับเธอ นับตั้งแต่ออกจากสนามบิน ที่เธอได้พบกับสายตาที่ไม่ขอบมาพากลของคนในรถบรรทุก และ คนขี่มอเตอร์ไซค์ ที่จับจ้องมาอย่างไม่วางตา.. จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:27:11 ]

ความคิดเห็นที่ 14 และยามที่สำเริงสำราญอยู่ที่ริมสระน้ำ เธอมีความรู้สึกของการเป็นเป้าสายตา   เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันมาจากทิศใด..จนร่ำๆจะดึงผ้ามาปิดปทุมถันที่เปล่าเปลือย แต่..สายลม แสงแดดอันอบอุ่นของ Cote d'Anzur ก็ช่างเป็นใจ อย่ากระนั้นเลย..ไหนๆก็ไหนๆแล้ว..ช่างมันเถอะ !! เธอคิดได้แค่นั้นเอง ซึ่งนับว่าเป็นการผิดพลาดอย่างมหันต์ หลังจากที่กลับมาถึงลอนดอนได้เพียงหนึ่งวัน ดัชเชสและพระธิดาทั้งสองก็ต้องบินไปยัง Aberdeen เพื่อพบกับพระสวามีและพระราชวงค์ที่บัลมอรัล ซึ่งความจริงแล้ว การนอกลู่นอกทางของเธอนั้น มันมีมาตั้งแต่ต้นปี หากแต่ มนต์ขลังและความเขียวขจีของสก๊อตแลนด์นั้น ทำให้เธอไม่ปฏิเสธที่จะไปที่นั่นอีกครั้ง.. เพราะ เธอเชื่อเสมอว่า..เกิดมาทั้งทีก็ต้องทำตัวให้มีความสุข..จะมาเศร้าไปใย.. วันอังคาร..จอห์น ได้โทรมาหาด้วยเสียงที่ตื่นเต้นจนไม่เป็นส่ำว่า.. "ผมเกรงว่า ภาพของเราที่ฝรั่งเศสนั้น มันได้หลุดไปถึงมือนักหนังสือพิมพ์แล้วละ.." และเขาได้เล่าต่อว่า หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในด้านข่าวเจ๊าะแจ๊ะ เดลิเมล์ เป็นผู้ซื้อลิขสิทธิ์ไป ดัชเชส ได้ยินเข้าถึงกับเข่าอ่อนลมแทบจับ..ในเพียงแค่ประโยคแรก จอห์นกล่าวต่อไปว่า "ใจเย็นๆนะที่รัก ผมจัดการเอง ถ้ามันจะต้องสู้กันถึงโรงถึงศาลก็ให้มันรู้ไป.." เท่านั้นเอง..ดัชเชสก็ค่อยโล่งใจ เพราะ จอห์นของเธอนั้น ช่างเก่งกล้าสามารถจนเชื่อได้ว่า เขาจะเป็นเสมือนผู้กุมบังเหียนชีวิตของเธอได้ต่อไปในภายภาคหน้า สิ่งแรกที่เธอได้ตัดสินใจทำ..นั่นคือ การเข้าคุยกับเจ้าชายแอนดรูว์พระสวามีอย่างเปิดอกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างๆ.. เจ้าฟ้าชายก็น่ารักและดีใจหาย ทรงตรัสว่า "ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอทุกอย่าง..เพราะจะว่าไปแล้ว มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา คนอื่นไม่เกี่ยว" สิ่งต่อไปที่ดัชเชสได้กระทำต่อไป..นั่นคือ เข้ากราบบังคมทูลในเรื่องเดียวกันนี้ต่อองค์สมเด็จพระราชินี ซึ่งทรงไม่พอพระทัยนัก หากแต่ได้ตรัสว่า "คอยดูกันไปก่อนเถอะ.." จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:30:53 ]

ความคิดเห็นที่ 15 วันพุธ..เสียงโทรศัพท์จากจอห์นที่มีมาเป็นระยะ ระยะ ถึงการส่งข่าวเพิ่มเติม ซึ่งยิ่งเลวร้ายเข้าไปทุกที ทุกที เขาพร่ำพูดว่า "ผมได้พยายามอย่างดีที่สุด..." จนในบ่ายวันนั้น ข่าวร้ายก็ได้เผยโฉมออกมาว่า ศาลไม่สามารถระงับข่าวให้ได้ เพราะนี่คือสิ่งที่น่าสนใจสำหรับประชาชน แต่ศาลยังให้ความหวังรำไรในอีกกรณีหนึ่ง..นั่นคือ ถ้าทางพระราชวัง(หมายถึงฝ่ายกรมวังของสเด็จพระราชินี)มีคำร้องขอไปให้มีการระงับข่าวอันอาจเสื่อมเสียพระเกียรติ นั่นย่อมแล้วแต่ทางฝ่ายคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงจะพิจารณานำความกราบบังคมทูลหรือไม่..เวลาแห่งการขีดเส้นตายของการตัดสินใจในครั้งนี้ต้องกระทำก่อน สี่ทุ่มของคืนนั้น ดัชเชส..พยายามทำใจดีสู้เสือ ยังคงพาเจ้าหญิงทั้งสองไปว่ายน้ำที่สระอย่างปรกติ..ลึกๆในใจของเธอนั้น..ได้แต่ภาวนาขอให้คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย.. สี่ทุ่มผ่านไป..จอห์นได้โทรมาบอกเป็นครั้งสุดท้ายในคืนวันนั้นว่า.."ข่าวออกไปแล้ว ไม่มีใครหยุดยั้งให้เราได้เลย เพราะ เขาคนเดียว มิสเตอร์ Z ที่แสนร้ายกาจ (ดัชเชสเรียกเขาว่า Mr. Z แทนชื่อเต็มๆ เขาคนนี้คือคนสนิท เลขาประจำพระองค์ของสมเด็จพระราชินี ที่เป็นญาติของเจ้าหญิงได  อีกทั้งเป็นญาติห่างที่เกี่ยวดองกับ ครอบครัวของเฟอร์กุสันด้วยต่างหาก และเขาคนนี้อีกเช่นกัน ที่ เจ้าหญิงไดได้ขนานนามเขาว่า The Enemy within หรือประมาณได้ว่า เป็น หอกข้างแคร่) จอห์นโทรมาในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ทันทีที่เขามีหนังสือพิมพ์ เดอะ มิเรอร์ ของเช้าวันนั้นอยู่ในมือ รายงานมาว่า มีภาพเด็ดๆอยู่ด้วยกันราวๆ 20 ภาพ ซึ่งเป็นรูปคู่ที่กำลังเคลียคลอกอดจูบอ๋ออี๋ระหว่างเขาและดัชเชสที่ริมสระน้ำ จอห์นพูดเบาๆด้วยเสียงสุดระทมว่า "ผมเสียใจ..ที่ทำอะไรไม่ได้ดีไปกว่านี้" "โอเค...." ดัชเชสพูดออกไปอย่างเลื่อนลอยก่อนที่จะวางหูโทรศัพท์ลง..และ กลับไปรายงานให้พระสวามีทราบถึงข่าวร้ายด้วยเสียงที่เปล่งออกมาจากลำคออย่างตีบตัน เจ้าชายแอนดรูว์ นักรบผู้กล้าหาญแห่งราชนาวี นายทหารผ่านศึกแห่งฟอล์คแลนด์ ตรัสเนิบๆว่า.."อย่างเป็นกังวลเลย..อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เราจะต้องอยู่สู้หน้ากับมันไ แต่..ตัวดัชเชสเอง..มีความรู้สึกโหวงเหวงจนต้องหันไปพึ่งบรั่นดีแก้วใหญ่ๆ ความเจ็บปวดรวดร้าวที่เกินกว่าบรรยายวิ่งพล่านขึ้นลงอยู่ในสายเลือด เธอไม่สามารถนึกถึงสภาพที่กำลังจะตามมาได้ ว่ามันจะน่าสยดสยอง อับอายต่อตัวเอง และทุกคนที่เกี่ยวข้องในชีวิตได้อย่างมหันต์สักเพียงใด ในเมื่อเธอได้ดำรงตำแหน่งเป็นถึง ดัชเชส แห่งยอร์ค พระชายาของเจ้าชายแอนดรูว์ โอรสของสมเด็จพระราชินี แล้วมีภาพฉาวเริงชู้แสดงความรักความใคร่กับชายอื่นที่ไม่ใช่พระสวามี ต่อไปนี้ จากคำพูดของใครๆที่ว่า เธอนั้นไม่เหมาะสมกับความเป็นสมาชิกในพระราชวงค์ยิ่งแน่นแฟ้น จริงเสียยิ่งกว่าจริงจนไม่สามารถแก้ใขอะไรได้ทั้งสิ้น เธออาจโทษหรือโยนความผิดให้ใครต่อใคร เช่น จอห์น ชู้รัก หรือ มิสเตอร์ Z ตัวการ หรือ  พวกปาปารัซซี่ หรือ พวกระดับบิ๊กๆในวงการน้ำหมึกซุบซิบ ก็อาจได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้น นอกจากตัวของเธอเอง..ที่น่าจะรู้ดีว่า อะไรควรไม่ควร อีกทั้ง ศัตรูที่จ้องทำลายก็มีไม่ใช่น้อย และพวกเขาไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน หากแต่เป็นพวกที่ใส่สูทที่นั่งทำงานบนหอคอยงาช้างนั่นเอง !! จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:36:43 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คืนนั้นทั้งคืน ดัชเชสไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ เธอจิบบรั่นดีแก้วแล้วแก้วเล่า ไม่มีอื่นใดจะดีไปกว่าปรับทุกข์กับเพื่อนสนิททางโทรศัพท์ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งในฤดูร้อนเช่นนั้น พระอาทิตย์ช่างสาดฉายแสงส่องฟ้าเร็วกว่าฤดูไหนๆ สำหรับดัชเชสแล้ว มันเท่ากับว่า เวลาแห่งโทษประหารได้ใกล้เข้ามาทุกที  ทุกที..ถึงแม้ว่า ใครคนหนึ่งได้บอกกับเธอว่า "จำไว้นะ..คนคนเดียวที่จะพิพากษาเธอได้ ก็คือ พระเจ้าเท่านั้น  พระองค์คือผู้เดียวที่จะประทานอภัยให้กับเธอ ไม่ใช่ใครที่ไหน ฉะนั้น จงก้าวเดินต่อไป ไม่ต้องเกรงสิ่งใดทั้งนั้น" คำพูด..ก็เพียงแค่ฟังหรูดี แต่สำหรับดัชเชสแล้ว..เธอไม่สามารถออกไปพบหน้าตาใครได้ในเช้าวันนั้น พระสวามีจึงต้องเสด็จไปห้องเสวยพระกระยาหารเช้าแต่เพียงลำพัง สมเด็จพระราชินีและท่านดยุค ทรงเสวยในห้องบรรทมชั้นบน  คงเหลือแต่ เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ เจ้าฟ้าชายชารลส์ เจ้าฟ้าชายเอดเวิร์ด และพวกพระโอรสและพระธิดา รวมทั้งเหล่าองค์รักษ์และนางสนองพระโอษฐ์ที่คอยอยู่ปรนนิบัติรับใช้ในห้องเสวยชั้นล่าง เชื่อได้เลยว่า เขาทั้งหมดเหล่านั้นไม่ได้สนใจในอาหารเช้าเลยแม้แต่นิด เพราะต่างองค์ต่างพากันอ่านหนังสือพิมพ์ในข่าวพร้อมรูปฉาวๆของเธอ และแน่นอนว่า..ทันที่ที่เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ได้ปรากฏองค์ขึ้นในห้องนั้น ทุกคนคงต้องละสายตาจากภาพกึ่งเปลือยของสตรีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาอย่างเสียดาย หรือไม่ก้อ คงแอบเหลือบมองว่า พระองค์จะมีท่าทีเช่นไร.. ที่แน่ๆ ก็คือ พวกเขาต้องผิดหวังอย่างแรง เพราะ ท่าทีที่เรียบสงบ  ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย นอกจากจะทรงลุกขึ้น หยิบหนังสือพิมพ์ติดพระหัตถ์มาเผื่อให้เธอดูถึงในห้องนอน ซึ่ง..นี่คือเวลาแห่งการเชือดอย่างแท้จริง..!! จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:38:44 ]

ความคิดเห็นที่ 17 จากภาพในหนังสือพิมพ์ ทำให้เธอเห็นว่า ที่จอห์นบอกมานั้น  มันจริงเสียงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ที่ว่า ภาพเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ถ่ายมาด้วยมือกล้องระดับอาชีพ เพราะช่างชัดเจน เห็นชัดในทุกอณูผิว และ มันช่างประกาศได้อย่างชัดแจ้งว่า เธอและจอห์น มีสัมพันธ์กันยิ่งกว่าเพื่อน(ดังที่เคยบอกกับใครต่อใครเสมอ) ฉบับของ The Mirror พาดหัวข่าวว่า จุมพิตที่ร้อนเร่าและลักลอบของเฟอร์กี้  และตลอดทั้งหน้าข่าว มีแต่ภาพของเธอและจอห์น เกี่ยวกอดรัดรึง อีกทั้งภาพเล็กได้มีให้เห็นว่า หน้าอกของเธอนั้น เปล่าเปลือย เท่านั้นไม่พอ..ภาพทั้งหมดถูกตีพิมพ์ถึงเก้าหน้า อีกทั้งมีภาพที่จอห์นกำลังพรมจูบไล่ไปบนนิ้วเท้าของเธอในแต่ละนิ้ว..อันเป็นที่มาของคำเด็ดที่น่าขำของวงการว่า Toe-sucking! ภาพเด็ดที่ว่ามานี้ ได้ถูกถ่ายและนำมาขายให้กับหนังสือพิมพ์ด้วยวงเงินสูงถึงหนึ่งแสนเหรียญ จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:42:22 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ภาพที่ตีพิมพ์เหล่านั้น ...ได้ออกมาประจานอย่างหมดเปลือกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดัชเชสและที่ปรึกษาทางธุรกิจของเธอ จอห์น ไบรอัน มีความสัมพันธ์แนบแน่นฉันท์ชู้สาว และบางฉบับได้โจมตีแบบไม่เลี้ยงว่า เธอช่างหาญกล้าสวมเขาให้กับเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์พระสวามีผู้สูงศักดิ์อย่างเลือดเย็น อีกทั้งยังกล้าไปเสนอหน้าในการพักร้อนรวมหมู่กับพระราชวงค์ที่พระราชวังบัลมอรัลอยู่ในขณะนั้น และข้อความเกือบทุกฉบับได้ลงคล้ายๆกันว่า " เฟอร์กี้และเพื่อนชายชาวอเมริกันสมควรที่จะต้องถูกขับไล่ออกไปให้พ้น ก่อนที่พระราชวงศ์จะมัวหมองยิ่งไปกว่านี้ " หลังจากที่อ่านเนื้อความทั้งหมด ดัชเชสได้บอกกับตัวเองว่า มันช่างเลวร้ายซะยิ่งกว่าเห็นโลกล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา ... แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเธอ เท่ากับสิ่งที่ต้องกระทำต่อไป นั่นคือ การเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีเพื่อถวายรายงานข่าวที่สุดแสน " งามหน้า " ในข่าวนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งแค่คิดเธอก็อยากกลั้นใจตายไปเสียให้พ้นๆจากความอับอาย อัปยศอดสูในครั้งนี้ เพราะมันเท่ากับว่า เธอได้สร้างความผิดหวังให้กับองค์สมเด็จพระราชินีผู้ซึ่งเคยให้ความไว้เนื้อเชื่อใจ อีกทั้งทรงให้ความรักและเอ็นดูมาโดยตลอด เวลาเก้าโมงครึ่งของเช้าวันนั้น ... เธอเดินระโหยขึ้นไปยังที่ประทับชั้นบน ด้วยสำนึกราวกับนักโทษที่ถูกส่งขึ้นยังหลักประหาร สิ่งเดียวที่ดัชเชสสามารถทำได้ ก็คือ กราบขอพระราชประทานอภัยโทษในเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด แม้ว่า สมเด็จพระราชินีจะทรงเคยรักและเอ็นดูเธอมากเท่าไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมานั้น มันสุดจะทน ... แน่นอนว่า พระองค์ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ตามความคาดคิด เพราะผู้หญิงสามัญชนคนนี้ไม่ใช่หรือ ที่พระองค์ถูกพระทัยถึงขนาดเชิญให้มาร่วมในงานราชตฤณมัย ( Royal Ascot ) ในฐานะแขกส่วนพระองค์เมื่อปี 1985 อีกทั้งไม่เคยรังเกียจรังงอนในความเป็น " สามัญ " ของเธอเลยแม้แต่นิด ยิ่งเมื่อมาอยู่ในฐานะพระสุนิสา พระองค์ยิ่งให้ความเมตตาอย่างท่วมท้น ... แล้วไฉน จึงได้สร้างความอับอาย บัดสีบัดเถลิงให้ปรากฏต่อสายตาประชาชนได้มากมายเช่นนี้ ดัชเชส ... ได้แต่อ้อมแอ้มแก้ตัวว่า " ทรงคิดดูนะเพคะ ว่าทำไมหม่อมฉันจึงเป็นผู้ที่เคราะห์ร้ายแต่ผู้เดียว ในเมื่อ " ใครต่อใคร " ก็ล้วนแต่มีเรื่องฉาวโฉ่ด้วยกันทั้งนั้น " ( ในตอนนั้น ข่าวการระหองระแหงของพระราชวงศ์ทุกคู่ได้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน รวมทั้ง เจ้าฟ้าชายชารลส์และเจ้าหญิงไดอะน่า ) จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:46:25 ]

ความคิดเห็นที่ 19 หลังจากที่ออกมาจากห้องของสมเด็จพระราชินี บุคคลต่อไปที่เธอขึ้นไปพบ ก็คือ เจ้าหญิงได ผู้เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทและคู่สะใภ้ที่รู้ใจ เจ้าหญิงไดได้ปลอบและให้กำลังใจเธอในการที่ต้องเผชิญหน้าสู้โลกต่อไป ... นับว่า นี่คือสิ่งที่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดให้ได้บ้าง แม้จะน้อยนิด แต่ก็เป็นสิ่งที่เธอต้องการอย่างที่สุดในยามนี้ ตลอดวันนั้นทั้งวัน ดัชเชสได้ใช้เวลาเข้าพบสมาชิกองค์อื่นๆในพระราชวงศ์ เพื่อกราบขอประทานโทษต่อเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่ให้กำลังใจ ปลอบโยน แม้แต่ เจ้าชายฟิลลิปผู้เคร่งครัด ก็มิได้ทรงตำหนิอะไรมากนัก ... หากแต่ในเวลาแห่งการรับประทานอาหารค่ำวันนั้น ... เธอมีความรู้สึกว่า สายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาที่เธอ ต่างมองเห็นภาพของเธอนอนอล่างฉ่าง หน้าอกเปล่าเปลือย อีกทั้งมีชายชาวอเมริกันหัวล้านเคล้าคลอเคลียอยู่ไม่ห่างกาย (ตามที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ ) ... ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งอยากแทรกแผ่นดินหนีไปให้พ้นๆ ดัชเชสได้อดทนตากหน้าพำนักอยู่ที่พระราชวังบัลมอรัลไปอีกสามวัน เพื่อเห็นแก่พระธิดาทั้งสองพระองค์ที่จะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับพระอัยยิกา และตลอดทั้งสามวันนั้นหนังสือพิมพ์มิได้หยุดโจมตีเธอเลยแม้แต่วันเดียว รูปภาพอัปยศเหล่านั้นได้ถูกนำกลับมาพิมพ์ประจานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ... ข้อความล้วนแล้วแต่ส่งเสริมการผลักไสให้เธอได้หลุดไปจากวงจรของการเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์วินเซอร์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ โดยเฉพาะฉบับของหนังสือ " เดลี่ เอ๊กเพรส " ถึงกับพาดหัวว่า นี่คือ สิ่งที่ฉาวโฉ่ที่สุดนับตั้งแต่ครั้งที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดได้ทรงสละราชสมบัติเพื่อหญิงม่ายชาวอเมริกัน ในปี 1936 ทีเดียว ... แต่ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ... เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ทรงใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการแก้ต่างให้กับพระชายา อย่างดีที่สุดที่พระองค์ทำได้นั่นก็คือ ข่าวจากสำนักพระราชวังที่มีไปยังหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ว่า ... ทางพระราชวงศ์ไม่เห็นด้วยกับการที่หนังสือพิมพ์ได้จาบจ้วงตีพิมพ์ข่าวและเปิดเผยรูปภาพ " ส่วนตัว " เหล่านั้น จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:49:08 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แต่สำหรับตัวดัชเชสเอง เธอได้รู้ตัวดีว่า บัดนี้เธอไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ... ทุกอย่างจบสิ้นนับแต่วินาทีนั้น ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง ความไว้เนื้อเชื่อใจ และสุดท้ายคือ ด่ำดิ่งจากสูงสุดคืนสู่สามัญ ... เพียงแต่โชคของเธอยังดีที่มีระฆังเคาะหมดยกมาช่วยเอาไว้ นั่นคือ ในเช้าวันอาทิตย์ วันที่เธอเตรียมพร้อมจะเดินทางออกจากพระราชวังบัลมอรัลกลับไปสู่เส้นทางสายสามัญชน ที่ได้เคยเดินมาตลอดชีวิตนั้น ... ข่าวของเธอที่เคยลงบนหน้าหนึ่งถูกเบียดลงไปจนตกขอบ ด้วยข่าวที่เด็ดดังกว่านั่นก็คือ ข่าวเทปลับในข้อความสนทนาทางโทรศัพท์ของเจ้าหญิงไดอะน่ากับชายหนุ่มที่มีนามว่า " เจมส์ กิลบี้ " ในข้อความของการพูดคุยนั้นทำให้ทุกคนได้รู้ว่า คนทั้งสองได้มีความสัมพันธ์ทางด้านชู้สาวกันอย่างล้ำลึก และการลักลอบพบปะนั้น เกิดขึ้นโดยความร่วมมือของ สาวใหญ่เจ้าของร้านอาหาร ซาน ลอเรนโซ นามว่า " มารา " โดยเจ้าหญิงได้ทำทีว่าไปเสวยพระกระยาหารอันเป็นการส่วนพระองค์กับเหล่าบรรดาพระสหาย มาราจะจัดเตรียมห้องพิเศษในร้านให้เป็นการพบปะกับเพื่อนชายคนพิเศษ และในร้านของเธอนั้นเป็นที่ไว้ใจได้ว่า เป็นเขตปลอดนักข่าว ข้อความในการสนทนาจากเทบบันทึกเสียง ... ประโยคหนึ่งจากพระโอษฐ์ของเจ้าหญิง ที่เล่นเอาประชาชนถึงขั้นช็อค เพราะตอนนั้น ใครต่อใครต่างยังคงเชื่อว่าเจ้าหญิงแห่งเวลส์ของพวกเขานั้น ช่างไร้เดียงสา อ่อนเยาว์ต่อโลก ขี้อาย เปราะบาง ... ด้วยว่าพระองค์ได้ปรับทุกข์กับนายกิลบี้ว่า พระองค์กลัวการทรงครรภ์อีกครั้งอย่างที่สุด ซึ่งฝ่ายชายก็ตอบกลับมาให้การรับรองว่า ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ซึ่งทำให้พระองค์สบายพระทัยถึงขั้นเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังอย่างสนุกสนาน ทางนายกิลบี้ได้แต่พร่ำเพ้อ เรียกเจ้าหญิงว่า " ที่รักจ๋า " นับได้เป็นสิบๆครั้ง ... หมัดเด็ดสุดท้ายสำหรับพระราชวงค์วินเซอร์ที่ต้องถึงคราวช๊อคเช่นเดียวกับประชาชนอื่นๆที่ได้รับยินรับฟัง นั่นก็คือ เจ้าหญิงไดได้ทรงผรุสวาทในเชิงเจ็บพระทัยว่า " ฉันได้ช่วยงานสารพัด ยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กับไอ้ครอบครัวห่...นั่น พวกมันยังไม่เคยเห็นความดีสักนิด ! " จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:51:08 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เทปลับนี้มีชื่อว่า " สควิดจี้เทป " ( Squidgy Tape ) เพราะ นายกิลบี้ได้เรียกเจ้าหญิงว่า สควิดจี้ อันเป็นชื่อเล่นๆเป็นที่รู้กันระหว่างสองคน เพราะข่าวดังของสควิดจี้เทปเข้ามาครอบครองในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ ทำให้ดัชเชสถึงคราวต้องปลอบพระทัยเจ้าหญิงไดกลับคืนไปบ้างในครั้งนี้ และด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย เธอจึงได้กล่าวติดตลกไปว่า " ขอบคุณมากๆนะ ที่มาช่วยดึงความสนใจออกไปให้บ้าง ... ไม่งั้นฉันคงแย่อยู่คนเดียว " ... แน่นอนว่ามันเป็นตลกฝืดๆแต่ในยามนี้ เพราะทุกอย่างก็ยังคงเลวร้ายไปเสียหมดอยู่ดี ดัชเชสกลับมายังห้องส่วนตัวด้วยความเหนื่อยใจ ระโหยถึงกับต้องลงนอน สมองคิดเรื่องอะไรต่อมิอะไรเงียบๆคนเดียวถึงอนาคตข้างหน้าอันโดดเดี่ยวที่กำลังจะเกิดขึ้น เส้นทางของนางฟ้าตกสวรรค์ บวกกับความอัปยศหมาดๆที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นก็แย่สุดๆอยู่แล้ว ... แต่สิ่งที่เลวร้ายไปยิ่งกว่านั้น นั่นก็คือ หนี้สินจำนวนมากมายที่เธอได้ก่อไว้ และต้องหามาชดใช้นี่ซิ เธอจะทำอย่างไรกับมัน ? ... ป่านนี้ ฝ่ายสมาชิกในพระราชวงศ์ทุกพระองค์ พวกหนังสือพิมพ์ นักข่าว แวดวงในไฮโซ ทุกคนคงต่างพนันขันต่อกันว่า นังหญิงผมแดงเฟอร์กี้คงจะถึงจุดจบสิ้นของชีวิตด้วยอายุเพียงสามสิบสองปีนี้เองกระมัง ..!! ความคิดเธอได้เรื่อยเปื่อยไปยังอดีตที่ผ่านมา ... ในครั้งเมื่อเป็นสามัญชนคนธรรมดาที่พอมีเชื้อสายขุนน้ำขุนนางกับเขาอยู่บ้าง เธอและพี่สาว เจน เกิดมาในครอบครัวของข้าราชการ มีปู่และพ่อเป็นทหารในราชการกองทัพบกหน่วยทหารม้า บรรพบุรุษของเธอสามารถสาวขึ้นไปทั้งทางฝ่ายพ่อและแม่ถึงสมัยพระเจ้าชารลส์ที่สอง อีกทั้งมีเส้นสายเกี่ยวดองกับทางเลดี้ไดอะน่าแบบห่างๆอีกด้วย หากแต่ฐานะนั้นผิดกัน ทางฝ่ายเธอถือว่ายังพอมีมรดกพกห่ออยู่บ้างแต่ไม่ถึงขนาดเป็นราชาที่ดินนับพันๆเอเคอร์ เยี่ยงทางตระกูลสเปนเซ่อร์ ตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งเธอและครอบครัวต่างเชี่ยวชาญในเรื่องของม้า นับตั้งแต่เรื่องการเรียนการขี่ม้า ดูแลรักษา ฝึกหัดให้เชื่อง ทั้งหมดนี้เธอได้รับการถ่ายทอดโดยตรงมาจาก ผู้พันทหารม้า " โรนัล เฟอร์กูสัน " ผู้เป็นบิดา และถึงแม้ว่าพ่อแม่ของเธอจะเลิกร้างจากกันตั้งแต่ยามที่เธอได้ก้าวเข้าสู่วัยหัวเลี้ยวหัวต่อของความเป็นวัยรุ่น แต่สัมพันธภาพระหว่างครอบครัวก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งพ่อและแม่ รวมไปถึง พ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง ต่างยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอ จวบจนกระทั่งเธอได้ศึกษาจบในด้านวิชาเลขานุการจาก Queen Secretary College ซึ่งเธอเองก็ยังประหลาดใจว่าเธอจะทำอย่างไรต่อไปสำหรับเรื่องการวิ่งเต้นหางานทำ ในสายวิชาที่เรียนมา เนื่องจาก วิชาพิมพ์ดีดและชวเลขของเธอนั้น มันร่อแร่ผ่านมาได้เพราะการช่วยเหลือจากเพื่อนๆทั้งนั้น จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:54:19 ]

ความคิดเห็นที่ 22 พักก่อนนะคะ ให้เวลากับมือโพสรูปบ้าง..ขอบคุณค่ะ จากคุณ : WIWANDA - [ 9 ส.ค. 48 01:55:14 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอมาลงชื่อติดตามตอนต่อไปเป็นคนแรก ฮิฮิฮิ จากคุณ : Sillypen - [ 9 ส.ค. 48 02:50:32 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณค่ะ  มารออ่านต่อพรุ่งนี้ค่ะ จากคุณ : Poo-Ma - [ 9 ส.ค. 48 02:52:34 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ง้า..... ขอบคุณมากค่ะ ตกปลาสนุกไหมคะ จากคุณ : เมี๊ยวหง่าว - [ 9 ส.ค. 48 11:19:41 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มารออ่านเหมือนกันครับ จากคุณ : กริช (กริชครับผม) - [ 9 ส.ค. 48 13:30:55 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ติดตามอ่านอยู่นะคะ ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : ปองดาว - [ 9 ส.ค. 48 13:44:42 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มารออ่านต่ออย่างเคยค่ะ จากคุณ : little kitty - [ 9 ส.ค. 48 14:02:01 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ปกติไม่ค่อยได้โพสท์ และเรื่องพวกนี้พอรู้อยู่ก่อนแล้ว แต่ขอเข้ามาชื่นชมคุณ WIWANDA ค่ะ เขียนได้สนุก น่าอ่านมาก ๆ   รออ่านต่อด้วยคนนะคะ จากคุณ : ถังไม้โอ๊ค - [ 9 ส.ค. 48 14:57:38 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มานั่งอ้าปากหวอรออ่านด้วยคนค่ะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 9 ส.ค. 48 15:35:19 ]

ความคิดเห็นที่ 31 สวัสดีครับ มาติดตามอ่านเช่นเคย ได้ปลาอะไรมามั่งครับ? ไม่ลืมของฝากครับผม http://newssearch.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/july/23/newsid_2516000/2516203.stm จากคุณ : Great_Khan - [ 9 ส.ค. 48 16:30:52 ]

ความคิดเห็นที่ 32 มาลงชื่อค่ะ จากคุณ : vad (vad) - [ 9 ส.ค. 48 21:20:18 ]

ความคิดเห็นที่ 33 THank you so much ka. I am looking forward to you. จากคุณ : horseshoes - [ 9 ส.ค. 48 21:22:59 ]

ความคิดเห็นที่ 34 พักกลับไปตกปลาต่อ เหรอคะ?????   งั้น พรุ่งนี้จะมารอใหม่ค่ะ... แก้ไขเมื่อ 09 ส.ค. 48 22:26:36 จากคุณ : noinop - [ 9 ส.ค. 48 22:25:14 ]

ความคิดเห็นที่ 35 มาปูเสื่อนอนรอค่ะ จากคุณ : Poo-Ma - [ 9 ส.ค. 48 23:55:55 ]

ความคิดเห็นที่ 36 น้องๆและคุณ Great_Khan ถามว่า ไปตกปลามาแล้วเป็นอย่างไร? คำตอบคือ อากาศและทะเลแปรปรวนค่ะวันนั้น เมาเรือกลับมาตามเคย..ส่วนปลาน่ะได้มาเต็มลำ(กว่า สี่ร้อยปอนด์)โดยฝีมือคนอื่น แต่โชคดีคือได้ไปดูน้ำตก Koonisnoo ที่ไหลลงจากยอดเขาสู่ทะเลอย่างหน้าตาเฉย สวยดีค่ะ.. แล้วจะโหลดรูปมาฝากให้ดูทีหลังนะคะ จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 02:52:35 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อ้ะ..เล่าต่อ งานแรกที่เธอได้มาก็จากความช่วยเหลือของเพื่อนพ่อ ในตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ ที่มีรายได้เพียง ,000 ต่อปี และทันทีที่มีรายได้เป็นของตัวเอง ซาร่าห์ เฟอร์กูสัน หรือที่ใครๆเรียกว่า " เฟอร์กี้ " นั้น ก็ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ระเริงเฮฮาอยู่ตามปาร์ตี้ ตามดิสโกเธค หรือ ตามผับต่างๆ ในที่สุด เธอก็พบรักกับชายหนุ่มที่มีอายุแก่กว่าเธอเพียงสองปี ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองสนิทแน่นอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องเลิกร้างจากกันไปโดยปริยาย เพราะ ฝ่ายหญิงได้เดินทางไปเยี่ยมผู้เป็นมารดาและพ่อเลี้ยงในออสเตรเลียเป็นเวลานานถึงหกเดือน กลับมาถึงลอนดอนคราวนี้ เฟอร์กี้ต้องตั้งต้นชีวิตใหม่ นับตั้งแต่ต้องวิ่งหางานทำ และหาที่อยู่ ในที่สุด เธอก็มาได้ห้องเช่าเล็กๆโดยอยู่ร่วมกับเพื่อนสาว ที่ตึกเลขที่ 40 ถนนลาเวนเดอร์ การ์เดน ตำบล แครบแฮม อยู่ทางด้านใต้ของแม่น้ำเทมส์ อัตราค่าเช่าส่วนของเธอนั้นตกราวๆ $ 50 ต่ออาทิตย์ ซึ่งในอัตราค่าเช่าประมาณนี้ หมายถึงว่า แหล่งที่ตั้งของตึกที่อยู่นั้นมีข้อด้อยในบางส่วน และบางส่วนที่ว่านั้นคือ การที่ปลูกติดกับสุสานฝังศพ ซึ่ง ยามที่ต้องจอดรถแถวๆนั้นเวลาค่ำมืด ก็นับว่าชวนเสียวสันหลังพอสมควร ... ส่วนงานนั้น เธอก็หาได้ไม่ยากนักด้วยความสามารถของการที่มีปากเป็นเอก นั่นคือพนักงานขายภาพวาด ในอาร์ต แกลลอรี่แห่งหนึ่งกรุงลอนดอน ถึงแม้ว่าจะมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง นิสัยเดิมๆของเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิด เช่น จอดรถส่งเดชจนได้ใบสั่งกองพะเนินเทินทึก และ เมื่อพอกหางหมูมากๆเข้า..เธอไม่มีปัญญาจ่ายเพราะเงินทองที่มีก็เอาไปเที่ยวเตร่จนหมด ... จนบางครั้งตำรวจต้องมาตามตัวจนถึงบ้านเพื่อยื่นหมายศาล ซึ่งเธอได้ออกมารับหน้าและตอบไปหน้าตาเฉยว่า ... " มิส เฟอร์กูสัน ไม่อยู่บ้านค่ะ ออกไปทำงานยังไม่กลับ " ในปี 1982 คราวนี้ เฟอร์กี้ได้พบรักอีกครั้งกับ Paddy McNally ผู้ซึ่งมีอายุแก่กว่าเธอเกือบยี่สิบปี เขาเป็นนักธุรกิจที่มีโรงแรมเล็กๆและห้องอาหารอันเป็นที่รู้จักในแวดวงสังคม เป็นเพราะ แพดดี้ ทำให้เธอได้มีโอกาสรู้จักกับใครต่อใครที่มีชื่อเสียงทั้งหญิงและชาย จนหลายต่อหลายครั้งที่เธอต้องคอยหวาดระแวงว่า เขาอาจจะเบื่อด็กกะโปโลอย่างเธอขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ใจจริงๆนั้น เธออยากให้เขาขอเธอแต่งงานอย่างใจจะขาด แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ไม่เคยเอ่ยปากสักครั้ง นอกจากคำพูดหวานๆอย่างอื่นที่ไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก อีกทั้งเธอเองก็ไม่กล้าเซ้าซี้ให้มากความ เพราะเกรงว่า เขาอาจพาลพาโลหาเรื่องเลิกเอาง่ายๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เธอกลัวที่สุด ...!! จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 02:57:09 ]

ความคิดเห็นที่ 38 แม้ว่าในชีวิตของสาวน้อยผมแดงเฟอร์กี้ก็จัดได้ว่าใกล้ชิดกับเจ้านายพอสมควร หากแต่ ... เมื่อครั้งที่เธออายุได้ 18 ปี  พ่อของเธอได้พาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักต์ของเจ้าฟ้าชายชารลส์ ในงานของสโมสรโปโลซึ่งผู้พันโรนัลได้มีส่วนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดงานแทบทุกครั้ง เธอจำได้ดีว่าในครั้งนั้น เธอตื่นเต้นมากจนพูดอะไรไม่ออก ทั้งๆที่ตั้งใจ เตรียมตัวหาหัวข้อสนทนามาเป็นอย่างดี แต่เธอมัวแต่เอ้ออ้า อ้ำอึ้ง จนพลาดโอกาสแสดงภูมิไปอย่างน่าเสียดาย ... ส่วนเลดี้ไดอะน่า เธอได้รู้จักมาตั้งแต่เด็กๆ และมาพบเจอะเจอกันอีกทีก็ที่สโมสรโปโลอีกเช่นกัน ตอนนั้นประมาณหนึ่งปีก่อนที่เลดี้ไดจะเข้าพิธีอภิเษก เนื่องจากมารดาของทั้งสองสาวก็เป็นเพื่อนเก่าจากโรงเรียนเดียวกัน ทำให้ความสนิทสนมเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นมา เฟอร์กี้ได้เข้าร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับเลดี้ไดอะน่าอาทิตย์ละครั้งเป็นอย่างน้อย จนถึงพิธีอภิเษกที่เธอก็ได้รับเชิญให้ไปร่วมงานด้วยเช่นกัน แต่อดน้อยใจนิดๆไม่ได้ ที่พบว่า ในกลุ่มที่ได้รับเชิญให้ร่วมโต๊ะอาหารเช้าก่อนพิธีอภิเษกนั้นไม่มีชื่อเธออยู่ด้วย ... แต่กับเพื่อนสาวๆร่วมห้องในอพาร์ตเมนต์ของเลดี้ไดทุกคนต่างได้รับเชิญกันถ้วนหน้า เฟอร์กี้ต้องกล้ำกลืนเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจในความด้อยของฐานะตัวเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ กระนั้น การพบระหว่างสองสาวก็คงดำเนินไปอย่างปรกติ เธอรู้ดีว่า เจ้าหญิงไดมีสังคมที่ค่อนข้างจำกัด ไม่เคยเที่ยวเตร่แบบสาวในวัยเดียวกันทั่วๆไป มิหนำซ้ำยังมีทีท่าที่ไม่เดียงสาต่อโลก ... อีกทั้งเจ้าหญิงไดมีอายุอ่อนกว่าถึงสองปี มันจึงเหมือนกับเป็นหน้าที่ที่เธอต้องเข้าดูแลและปกป้องเหมือนกับน้องสาวเล็กๆคนหนึ่ง ใครเล่าจะรู้ว่า ... ในอนาคตต่อไป เพื่อนรุ่นน้องที่สูงศักดิ์คนนี้แหละที่ประทานเจ้าชายเทพบุตรสุดสวาทมาให้กับเธอราวกับสวรรค์บันดาล ...!! จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:00:09 ]

ความคิดเห็นที่ 39 การที่หญิงสาวอย่างเฟอร์กี้ได้รับเชิญไปงานเต้นรำที่จัดขึ้นเพื่อฉลองโอกาสรื่นเริงต่างๆนั้น ก็นับว่าเป็นปรกติ เช่นงานเต้นรำในวันเกิดของเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์เมื่อครั้งครบรอบ 21 ชันษา และต่อมาก็ถึงคราวของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว เธอก็คือธิดาสาวของข้าราชบริพารคนหนึ่ง แต่งานสำคัญที่จัดว่าทำให้อนาคตของเธอหักเหขึ้นสู่จุดสูงสุด นั้นคือ งานแข่งม้าหลวง หรือ Royal Ascot ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และปีนั้นคือ ปี 1985 ที่เฟอร์กี้ได้พบว่า มีซองจดหมายหนาหนักจากอธิบดีกรมวัง เซอร์ แบลร์ สจ็วต วิลสัน จ่าหน้ามาถึงเธอ ใจความว่า ... ขอเชิญให้ไปเป็นแขกร่วมในงาน รอยัล แอสค็อต โดยแขกรับเชิญจะได้รับเกียรติให้พำนักในห้องรับรองในอาณาเขตของพระราชวังวินเซอร์ตั้งแต่เริ่มจนจบงานเป็นเวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์ หญิงสาวถึงกับตื่นเต้นจนตัวเนื้อสั่นไปหมด ทันทีที่ได้อ่านจบ สิ่งแรกที่สว่างวาบมาในความคิด นั่นคือ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ต้องมี เพราะในงานพระราชพิธีแบบนี้ การแต่งกายที่ต้องใช้ทั้งหมวก ถุงมือ รองเท้าที่ต้องเข้ากันเป็นชุดอย่างถูกแบบแผน ไม่นับชุดราตรีในอาหารค่ำแต่ละคืนอีกด้วย เฟอร์กี้หันมามองเสื้อผ้าที่มีอยู่ทั้งหมดอย่างไร้สิ้นซึ่งความหวัง เพราะแต่ละชิ้นนั้น มัน " กระจอก " จนใช้ออกงานไม่ได้เลย หนทางเดียวที่เหลือ นั่นคือ การที่ต้องไปขอยืมมาจากแม่เลี้ยงผู้แสนดี และ พยายามนำ " ชิ้นเก่ง " ของตัวเองมาประดิษฐ์ประดอยตัดเย็บเพิ่มเติมให้ดูดีขึ้นมากว่าเดิม ไม่ว่าอุปกรณ์เสื้อผ้าจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม ... แต่ที่แน่ๆคือ เธอจะไม่ยอมพลาดโอกาสสำคัญอย่างครั้งนี้ไปอย่างแน่นอน      เช้าวันที่ 18 มิถุนายน แพดดี้ คู่รักวัยอาวุโสได้ทำหน้าที่เป็นสารถีด้วยความเต็มอกเต็มใจ เขาขับรถไปส่งเธอยังที่หมายคือพระราชวังวินเซอร์ซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง 20 ไมล์ ที่ประตูทางเข้า ... มีเจ้าพนักงานยืนคอยต้อนรับและช่วยเหลือในเรื่องกระเป๋าเดินทางและสัมภาระ จากนั้น คุณพนักงานหญิงได้มาพาเธอเดินไปตามแนวระเบียงที่ขึ้นลงวนไปมา จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักห้องหนึ่งที่หอเอ็ดเวิร์ดที่สาม ... ที่นั่น คุณพนักงานหญิงสาวสวย อารมณ์ดี นามว่า ลูอีส เพนน์ ได้มาคอยต้อนรับและให้ความสะดวก และด้วยมิตรไมตรีอันอบอุ่นที่ได้รับ ช่วยลดความตื่นเต้น และประหม่าเข้าขั้นแข้งขาสั่นของเฟอร์กี้ให้หายไปจนเกือบเป็นปรกติ ซึ่งในยามนั้นกำลังใจคือสิ่งเดียวที่เธอต้องการอย่างที่สุด จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:02:54 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ลูอีส ได้ช่วยเข้ามาดูแลเรื่องการตระเตรียมจัดวางเสื้อผ้าที่เอาออกมาจากกระเป๋าให้เป็นระเบียบ และแยกส่วนที่ต้องการส่งรีดออกต่างหาก รวมทั้งการดูแลส่วนตัวอื่นๆทั้งหมด เช่น การพาให้รู้จักทิศทางว่าตรงไหนคืออะไร และ เรื่องหมวกที่ต้องใช้เข็มตรึงไว้บนศีรษะตลอดเวลา ซึ่งถ้าปราศจากลูอีสคอยเป็นพี่เลี้ยงอยู่ละก้อ ... งานนี้เห็นทีเธอจะไปไม่รอด      บนโต๊ะข้างหัวเตียง มีรายการของงานทั้งหมด พร้อมเวลาอาหารตลอดทุกๆวันที่พำนักอยู่โดยข้อความทั้งหมดถูกพิมพ์ลงบนการ์ดที่มีตราพระปรมาภิไธยไขว้ของสมเด็จพระราชินีประทับอยู่อย่างโดดเด่น ตามด้วยผังที่นั่งของโต๊ะอาหารในแต่ละวัน ซึ่งในเวลาอาหารกลางวัน เฟอร์กี้พบว่าเธอต้องนั่งระหว่างรองแม่ทัพเรือและเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ ผู้ซึ่งเพิ่งขึ้นฝั่งจากการพักชั่วคราวในพระภาระกิจบนเรือรบหลวงเบรเซน (HMS Brazen)      มีเรื่องเล่าขำๆแต่ไม่ขัน คือความจริงเฟอร์กี้และเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ได้เคยพบและเคยเล่นกันมาตั้งแต่ครั้งทั้งสองยังเป็นเด็ก และครั้งหนึ่งนานมาแล้วที่ได้สร้างความขายหน้าให้กับเธออย่างไม่มีวันลืม นั่นคือ ครอบครัวของเธอได้รับการเชื้อเชิญให้ไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่ปราสาทฟลอร์ อันเป็นวังของท่าน ดยุคและดัชเชสแห่งร็อคซเบิร์ก ในช่วงเวลารับประทานอาหารเช้า ซึ่งเธอต้องเดินลงไปร่วมโต๊ะ เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากการเสียดสีของพื้นรองเท้าของเธอที่เหยียบย่ำลงไปบนพื้นไม้ที่ขัดจนเป็นมันปลาบ ได้เรียกความสนใจจากใครต่อใครที่พากันหันมามองที่เธอเป็นจุดเดียวกัน เฟอร์กี้รู้สึกเขินจนแทบก้าวเท้าไม่ออก จนพาตัวมาถึงในห้องรับประทานอาหาร มีกลุ่มคนมากมายที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เสียงทักทาย อรุณสวัสดิ์  ดังขึ้นมาเป็นระยะ เฟอร์กี้รีบคว้าหนังสือพิมพ์และตรงเข้านั่งประจำที่ มีความรู้สึกอยากจะทานให้เสร็จๆไปโดยที่ไม่ต้องมีใครมาสนใจ ... แต่แล้ว ก็ปรากฏกายของคนๆหนึ่ง ที่เข้ามายืนข้างๆที่เธอนั่ง นั่นคือ เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ ... เฟอร์กี้ถึงกับประหม่าจนเนื้อตัวสั่นไปหมดและพระองค์ได้โน้มพระวรกายหมายพระทัยที่จะเอื้อมไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่เธอวางมันไว้บนโต๊ะ แต่แม่สาวผมแดงกลับคิดว่า พระองค์จะก้มลงมาเพื่อจุมพิตอรุณสวัสดิ์เป็นการทักทาย เธอจึงยื่นปากไปถวาย "จุ๊บ" ที่พระปรางอย่างเบาๆ เจ้าฟ้าชายสะดุ้งนิดๆ ด้วยความที่ตกพระทัย ทรงหันมาทอดพระเนตร และทำพระพักต์ล้อๆพร้อมตรัสว่า "โอ๊ว ... ขอบคุณม๊ากมาก" เท่านั้นเอง เฟอร์กี้ก็ได้รู้สึกตัวว่าผิดพลาดไปอย่างจังเบอร์ ถึงกับระล่ำระลัก ว่า "ขอพระราชทานอภัยเพคะ หม่อมฉันมิได้เจตนา ..." จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:08:33 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ความเฉิ่มของเธอครั้งนั้น ... พระองค์น่าจะยังคงจำได้ แต่ครั้งนี้ ก็อีกแล้วที่เธอต้องมานั่งคู่เคียงข้างบนโต๊ะอาหารค่ำกับเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ พระโอรสรูปงามองค์รองของสมเด็จพระราชินี ( อันเป็นที่น่าสงสัยว่า ทั้งหมดนี้เจ้าหญิงไดอะน่ามีส่วนผลักดันวางแผนเป็นแม่สื่ออยู่เบื้องหลัง ) ... เวลาเที่ยงสี่สิบห้า เฟอร์กี้ได้เข้าไปยังห้องรับแขกสีเขียวที่มีการเสิร์ฟเครื่องดื่มก่อนอาหารกลางวันตามกำหนดเวลาเป๊ะ และบ่ายโมงตรง คือเวลาที่ทุกคนต้องเข้านั่งประจำที่บนโต๊ะอาหารที่มีขนาดยาวสุดลูกหูลูกตา แขกผู้มีเกียรติถูกกำหนดให้นั่งฝั่งละ 13 คน หัวท้ายอีกอย่างละหนึ่ง ชายสลับหญิง และระหว่างอาหารทุกคนจะต้องรักษากฏและมารยาทอย่างเคร่งครัด นั่นก็คือ หญิงจะต้องคุยกับชายที่นั่งทางด้านขวาก่อน จนจบอาหารชนิดแรก เละเมื่อชนิดต่อไปเข้ามาเสิร์ฟ จึงจะหันไปสนทนากับชายที่นั่งทางซ้ายบ้าง สลับไปมาเช่นนี้ จนกว่าการรับประทานจะเสร็จสิ้น      เมื่อถึงคราวที่เธอต้องหันมาสนทนากับเจ้าฟ้าชาย แอนดรูว์ที่นั่งทางซ้าย จึงได้พบว่า ... พระองค์ดูสมาร์ทในชุดสูทลำลองชุดนั้นอย่างน่าทึ่ง หลังจากที่ได้คุยกันไปคุยกันมา เธอก็พบว่า พระองค์ทรงเป็นหนุ่มช่างคุย มีอารมณ์แจ่มใส ความประหม่าที่มีอยู่ในทีแรกค่อยๆจางหายไปจนเกือบเป็นปรกติ นอกเสียจากว่า เธอคงต้องเรียกพระองค์ว่า " เซอร์ " ในทุกประโยคระหว่างการสนทนาตามกฏบังคับ เธอก็ได้รู้อีกว่า นอกจากเจ้าฟ้าชายจะทรงมีพระอารมณ์ดีแล้ว ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ขันอีกด้วย โจ๊กต่างๆได้นำมาผลัดกันเล่า จนเป็นที่สนุกสนาน มาถึงอาหารจานสุดท้าย คือ ของหวาน ที่เสิร์ฟด้วยขนมที่สอดไส้ด้วยครีม ราดด้วยซ้อสช็อคโกแลตที่เธอขอผ่าน เนื่องจากข้ออ้างว่า กำลังควบคุมน้ำหนัก เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ จึงกระซิบข้างเธอเบาๆว่า ... " ถ้าปฏิเสธ ก็จะเสียมารยาทนะ " เธอจึงจำใจต้องรับไว้ (เพราะมารยาทบนโต๊ะอาหารสากล ฝ่ายหญิงจะต้องได้รับการเสิร์ฟก่อนเสมอ ) พอมาถึงทางฝ่ายสุภาพบุรุษ และถึงคราวที่ต้องถวายแก่เจ้าฟ้าชาย ... พระองค์กลับปฏิเสธแบบหน้าตาเฉยว่า ... ไม่รับ ขอบคุณ !! จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:11:11 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เฟอร์กี้ เพิ่งรู้ตัวว่าถูกหลอก ... ถึงกับเผลอตัว ยกมือขึ้นตีเบาๆไปที่แขนของชายผู้สูงศักดิ์ เรียกรอยพระสรวลจากพระองค์ได้อย่างชื่นบาน อาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์ มิตรภาพระหว่างเฟอร์กี้และเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ได้ดำเนินไปอย่างสนิทสนม เพราะการที่ชอบอะไรเหมือนๆกัน ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้า ยิงปืน เดินป่า ... เธอช่างมีความช่ำชองไปเสียหมด เรียกว่า คุยกันได้รู้เรื่องในทุกสถานการณ์ จากนั้นมา ... ของขวัญเล็กๆน้อยๆพร้อมการ์ดเขียนถ้อยคำหวานๆ หรือ กุหลาบตัดสดๆจากสวนในพระราชวังได้ถูกส่งไปยังอพาร์ตเม้นท์โทรมๆของเธออย่างต่อเนื่อง      จนมาถึงในฤดูร้อน ที่เฟอร์กี้ได้รับเชิญไปยังพระราชวังบัลมอรัล ได้ร่วมขบวนเป็นแขกรับเชิญ ในการแปรพระราชฐานของพระราชวงศ์ ซึ่งนี่คืออีกครั้งที่เฟอร์กี้ต้องวิ่งโร่ไปขอหยิบขอยืมเสื้อผ้าที่ดูดีและเหมาะสม จากแม่เลี้ยงผู้แสนอารี เพราะในงานนี้ เธอต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าถึงวันละ 3 ครั้ง ตอนอาหารกลางวัน, น้ำชายามบ่าย, อาหารมื้อค่ำ และเธอได้ทราบข่าวเมื่อไปถึงที่นั่นว่า ... เจ้าฟ้าชาย แอนดรูว์ได้ทรงมีพระสหายหญิงมาด้วย อันเป็นเหตุให้เธอรู้สึกยอกแสยงในใจ เพราะว่า ไม่นานมานี้ ข่าวเจ๊าะแจ๊ะในหน้าหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ ได้ลงข่าวซุบซิบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแพดดี้เพื่อนชาย หรือจะเป็นเพราะข่าวนั้นคือสาเหตุ ที่ทำให้เจ้าชายรูปงามทรงหันเห เบนเป้าหมายจากเธอไปยังหญิงอื่น ...?      เฟอร์กี้หาโอกาสเหมาะยามที่อยู่กันลำพัง ทูลตรงๆอย่างเปิดเผยกับเจ้าฟ้าชายขึ้นมาว่า " ทรงขัดข้องหรือไม่เพคะ ที่หม่อมฉันคบหาอยู่กับเพื่อนชายบ้าง" ... และคำตอบนั้น เล่นเอาหัวใจของสาวผมแดงพองโตจนแทบคับอก นั่นคือ "เรื่องอะไรที่ฉันจะขัดข้องเล่า ฉันไม่ถือเอามาเป็นอารมณ์หรอก เพราะฉันชอบเธอจริงๆนี่นา" ตลอดอาทิตย์นั้น ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองยิ่งกระชับแน่นไปกว่าเดิม ไม่ว่าเจ้าฟ้าชายจะทรงทำอะไรที่ไหน เฟอร์กี้จะตามเสด็จไปด้วย ราวกับเป็นเพื่อนสนิทมากกว่าคู่รัก เพราะพื้นฐานของไมตรีที่มีต่อกันนั้นปูมาด้วยมิตรภาพที่แน่นหนา จนก่อเกิดเป็นที่มาของ " ความรัก " ... เช่น เจ้าฟ้าชายมักเสด็จไปหาเธอยังที่พัก โดยไม่แคร์ที่จะจอดรถจากัวร์คันหรูบนถนนหน้าอพาร์ทเม้นท์โทรมๆ หรือร่วมโต๊ะเสวยในห้องครัวที่เล็กกระจิ๊ดริด และ ขบขันต่ออาหารประเภทถั่วอบแฉะๆที่แสนจะพื้นๆที่เธอปรุงถวายแก่พระโอรสแห่งสมเด็จพระราชินีประเทศอังกฤษ จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:14:25 ]

ความคิดเห็นที่ 43 จนในที่สุด ...สถานะการณ์ได้บังคับให้เธอต้องตัดสินใจเลือกระหว่างชายสองคน ซึ่งแน่นอนว่า เฟอร์กี้ได้พูดอย่างเปิดอกกับแพดดี้ว่า หนทางความรักของเธอและเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น ฉะนั้น ขอให้มิตรภาพความรักของเธอและเขาจงหยุดอยู่แค่การเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ซึ่งแพดดี้ได้รับฟังด้วยความเข้าใจ พร้อมทั้งอวยพรขอให้ชีวิตของเธอข้างหน้าจงพบแต่ความสุข      ในเดือนธันวาคม 1985 คือ ช่วงเวลาที่เรือรบหลวงเบรเซน ( HMS Brazen) เข้าเทียบท่าที่กรุงลอนดอน ... ซึ่งหมายถึงเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ได้เสด็จกลับคืนสู่ผืนแผ่นดิน และนั่นคือครั้งแรกที่เฟอร์กี้จะออกงานปรากฏสู่สายตาของประชาชนและนักข่าวผู้ซึ่งไม่เคยได้ระแคะระคาย ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง แทบไม่มีใครเชื่อว่า ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาๆอย่างเธอจะเป็นผู้พิชิตพระทัยของเจ้าชายหนุ่มรูปงามพระองค์นี้ได้ เพราะจากประวัติที่เคยมีมา สาวๆในแวดวงของพระองค์ล้วนแล้วแต่เป็นดารา นางแบบที่มีชื่อเสียงหวือหวาด้วยกันแทบทั้งนั้น และเพื่อเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจ เจ้าหญิงไดอะน่า ได้ให้ยืมชุดสูทที่โก้เก๋ ลายตาหมากรุกสลับดำขาวแก่เธอ ทุกครั้งที่ช่างภาพรายล้อมเข้ามาถามโน่นถามนี่ เฟอร์กี้ได้แต่อ้ำอึ้ง และมักต้องคอยสบตามองไปที่เจ้าหญิงเพื่อจะขอความเห็น จนเจ้าหญิงไดอะน่า ต้องมากระซิบเบาๆว่า "ไม่ต้องทำอะไรเลย ... ยิ้มไว้อย่างเดียว" และนั่นคือสิ่งที่เธอยึดถือปฏิบัติตลอดหลายๆปีหลังจากนั้น ... อีกทั้งเชื่อมั่นเสมอว่า..ตราบใดที่มีเจ้าหญิงไดอะน่าเพื่อนรักที่เปรียบเสมือนเทียนนำทางและประคับประคองอยู่ละก้อ ทุกอย่างไม่มีอะไรน่ากลัว ... ทั้งๆที่ในยามนั้น เจ้าหญิงเพื่อนรักกำลังประสบปัญหาด้านสุขภาพด้วยโรคปฏิเสธอาหาร แต่เจ้าหญิงไม่เคยแสดงความอ่อนแอ จนให้ใครสังเกตและล่วงรู้ได้เลย      ในช่วงนั้น.ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้าและรองเท้า ที่เธอใช้ใส่ออกงานมักเป็นสิ่งที่ได้รับการอนุเคราะห์มาจากเจ้าหญิงไดอะน่าแทบทั้งนั้น เนื่องจากใช้ขนาดเดียวกัน ชิ้นใดที่ไม่ทรงโปรด หรือ ทรงแล้วไม่เหมาะ ก็ถูกจัดส่งตรงมายังเพื่อนสาวผมแดง ซึ่ง เฟอร์กี้ได้ยึดแนวทางไว้อย่างมั่นคงที่จะแต่งตัวเลียนแบบอย่างเจ้าหญิงไดอะน่าผู้สง่างาม จะด้วยเพราะความไร้เดียงสาในเรื่องของแฟชั่น หรือจะด้วยเพราะการขาดในรสนิยมก็ตาม เธอจึงได้รับบทเรียนอย่างแสบสุดในกาลต่อมาว่า บุคลิกและสไตล์เสื้อผ้านั้น เป็นส่วนเฉพาะของใครของมัน ลอกเลียนกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด !! จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:18:42 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เฟอร์กี้ได้รับเชิญเป็นการส่วนตัวโดยเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ให้ไปร่วมในงานฉลองวันปีใหม่กับหมู่พระราชวงศ์ที่พระราชวังแซนดริงแฮมแห่งนอร์ฟอล์ค เท่ากับว่าการเชิญครั้งนี้ถือว่าเป็นการ "เปิดตัว" ฝ่ายหญิงอย่างเป็นทางการ เพราะก่อนหน้านี้เพียง 2 อาทิตย์ เจ้าฟ้าชายได้ขอให้เธอเรียกพระองค์ด้วยพระนามว่า "แอนดรูว์" ไม่ต้องเรียกอย่างเป็นทางการว่า "เซอร์" อย่างแต่ก่อน      และนี่คือครั้งแรกเช่นกัน...เธอจะได้มีโอกาศเหยียบย่างไปยังพระราชวังอันเปรียบเสมือนกับเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ ซึ่งนับว่าช่างน่าตื่นเต้นจนแทบหักห้ามใจไม่อยู่ ความจริงเส้นทางของการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 90 นาทีโดยประมาณ แต่เฟอร์กี้ได้เตรียมเวลาเผื่อไว้ถึง 4 ชั่วโมงล่วงหน้า เพราะเธอเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น...ถ้าหากว่ารถราเกิดเสียกลางทาง หรือถ้าหากว่าน้ำมันหมด ในการฆ่าเวลาที่เหลือนั้น เธอได้แวะเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดลำลองใส่สบายยามขับรถมาเป็นสูทชุดออกงาน และที่สโมสรนั้นเธอได้ชั่งใจอยู่นานพอสมควรว่า จะเลือกดื่มอะไรดี ระหว่างว้อดก้ากับยินโทนิค ในที่สุดเธอก็เลือกอย่างหลัง เพราะว้อดก้ามักทิ้งกลิ่นเหล้าจางๆไว้เป็นหลักฐานเสมอ หลังจากที่อ้อยอิ่งจวนเจียนจะได้เวลานัด เธอจึงรีบผันผายเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อ "งานใหญ่" ในชีวิตครั้งนี้      ขณะที่รถได้เลี้ยวเข้าสู่พระราชฐาน เสียงล้อรถที่บดลงไปบนถนนโรยกรวดนั้นทำให้ เฟอร์กี้รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆอย่างไรพิกล เพราะเสียงมันเหมือนกับได้ประกาศให้ใครต่อใครได้รู้ว่า นี่คือการปรากฏตัวของผู้หญิงไร้ฐานันดรคนหนึ่งที่กำลังจะก้าวเข้ามาปนเปในหมู่หงส์      ขณะที่เธอกำลังเบี่ยงกายลงมาจากรถนั้น เธอต้องหวีดร้องเล็กๆออกมาด้วยความตกใจ ที่ "ใครคนหนึ่ง" ได้ออกมากระตู้วู้ จ๊ะเอ๋ อย่างไม่คาดฝัน และเขาคนนั้นได้ก้มลงกระซิบเบาๆข้างหูว่า "ฉันรักเธอ" เสียงนั้นเปรียบราวกับเสียงสวรรค์ที่ส่งมาต้อนรับความสุขวันปีใหม่แห่งปี 1986 ให้กับชีวิตของเธอนับจากวินาทีนั้น เฟอร์กี้อ้ำอึ้ง อึกอักไปหมด ตัวชา...ปากชา...ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรออกไปดี แต่เมื่อรวบรวมสติได้เธอถึงกับหวีดร้องกระโดดสวมกอดชายสูงศักดิ์ที่ยืนตรงหน้าด้วยความดีใจ ส่วนเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ทรงขำในท่าทีของสาวคนรักถึงกับต้องสรวลออกมาด้วยความเอ็นดู จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:21:49 ]

ความคิดเห็นที่ 45 หากแต่เธอยังคงต้องผ่านอีกหลายๆด่านสำหรับความรักครั้งนี้ ด่านแรกคือ การไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีและสมาชิกอื่นๆในพระราชวงศ์ในห้องโถงรับแขกขนาดยักษ์ ที่ทุกคนดูเป็นกันเอง การพูดคุยออกเป็นธรรมดา แต่ในฐานะ "คนนอก" อย่างเธอ จึงไม่สามารถจับใจความได้ว่า เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน เพราะเนื้อความดูเหมือนเป็นเรื่องเฉพาะภายในครอบครัว ความประหม่าจึงทำให้เเขนขาของเธอช่างเก้งก้างจนหาที่วางไม่ถูก ยามที่เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ได้ทรงนำเครื่องดื่มมาประทาน เธอรับมันมาพร้อมกับเดินไปสะดุดเข้ากับขาเปียโนจนเครื่องดื่มในมือกระฉอก รดราดลงไปบนโซฟาที่นั่ง ยามที่สมเด็จพระราชินีได้ทรงพระดำเนินมาถึง เธอได้ถอนสายบัวถวายอย่างที่คิดว่าสวยงามที่สุดนั้น...ขาข้างที่ตระหวัดไปข้างหลัง...ได้เตะอั้กเข้ากับคุณสุนัขตัวหนึ่งของพระองค์ท่าน ไอ้เจ้าสุนัขตัวนั้นก็ช่างผิวอ่อนสมกับเป็นสมบัติของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเสียจริงๆ เพราะมันทำท่าซุกตัว หัวหด ครางหงิ๋งๆ ราวกับได้รับความชอกช้ำจนเจ็บเจียนตาย ในตอนนั้นสิ่งที่เธอได้พยายามทำที่สุดนั่นคือ รักษามารยาทสังคมให้อย่างเคร่งครัด ตามที่บรรพบุรุษได้สั่งสอนมา เช่น ทุกครั้งที่มีคนย่างก้าวเข้ามาในห้อง เธอต้องลุกขึ้นยืนต้อนรับ แต่...ในงานวันนั้น มารยาทดีอย่างเดียวก็คงไม่พอ เพราะทุกพระองค์ในที่นั้นต่างก็เป็นเลือดขัตติยาแทบทั้งสิ้น ซึ่งการขานพระนามให้ถูกต้องตามพระยศนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เธอต้องจำให้ได้ว่า ใครคือ เซอร์ ใครคือ มาดาม ใครคือ ท่านลอร์ด ใครคือ เลดี้ หรือใครที่เธอสามารถเรียกด้วยชื่อแรกได้ และใครที่เธอ"ต้อง"แอดเดรสพระนามอย่างเต็มยศ เธอต้องระวังทุกอิริยาบถ ไม่ให้เกร็งเกินไป และไม่ให้หละหลวมจนเกินควร รวมทั้งคำพูดที่ต้องระวังที่ต้องรักษาความเป็นกลางๆให้ได้มากที่สุด ซึ่ง...สิ้นจากงานนั้น เฟอร์กี้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยใจอย่างเหลือเกิน เพราะมันช่างฝืนกับความเป็นตัวของตัวเองอย่างที่สุด      ในเดือนกุมภาพันธ์ต่อมา เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ได้เสด็จออกทะเลตามภารกิจ เจ้าหญิงไดอาน่าได้ชวนเธอให้ร่วมไปกับคณะสกีของพระองค์และเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ที่คลอสเตอร์ ซึ่งสกีเป็นกีฬาถนัดของเฟอร์กี้ทีเดียว เธอสามารถลื่นไหลจากยอดเขาลงมาจนถึงเบื้องล่างได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ซึ่งผิดและแตกต่างไปจาก เจ้าหญิงไดอาน่า ที่ชอบเก็บพระองค์อยู่แต่ในพระตำหนัก จนเจ้าฟ้าชายชารลส์ถึงกับตรัสออกมาต่อหน้าใครๆว่า... "ทำไมเธอไม่ทำตัวให้สนุกสนานอย่างเฟอร์กี้เขาบ้างนะ!!" และจากนั้น ประโยคนี้พระองค์ก็จะทรงใช้บ่อยๆกับพระชายา จนใครต่อใครก็ได้ยิน จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:26:32 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ต่อมาในปลายเดือนที่เธอและเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ได้มีโอกาสไปเที่ยวกันตามลำพังที่พระราชวังฟลอร์ คืนนั้น ขณะที่เบื้องนอกหน้าต่างมีหิมะโรยเป็นละอองเบาๆ...พระองค์ได้ตรัสขอเธอแต่งงานด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง ซึ่งเธอได้ตอบรับอย่างหมดใจ เสียงแก้วแชมเปญกระทบกันดังกริ๊ก เธอได้กล่าวต่อพระองค์เบาๆ ด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจว่า "ถ้าตื่นจากบรรทมพรุ่งนี้ แล้วจะทรงเปลี่ยนพระทัยก็ยังทันนะเพคะ หม่อมฉันจะถือว่านี่เป็นเรื่องล้อเล่นกันสนุกๆระหว่างเรา" ... นี่คือ ความเป็นเฟอร์กี้อย่างแท้จริง เพราะนิสัยของเธอนั้น มักเตรียมใจเผื่อความผิดหวังไว้เสมอๆในยามที่มีคนมาสัญญาอะไรไว้ และเช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ก็ได้รักษาสัญญานั้นไว้อย่างมั่นคง แต่เนื่องจากสมเด็จพระราชินีต้องเสด็จออกทัวร์ประเทศในเอเชียถึง 3 อาทิตย์ ทำให้การขอพระบรมราชานุญาตต้องชะลอไปจนกว่าจะเสด็จกลับ      ข่าวคราวการเตรียมหมั้นครั้งนี้จึงต้องรักษาไว้เป็นความลับอย่างที่สุด แต่ข่าวของเธอก็ลงในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ นับตั้งแต่การที่ได้รับเชิญไปร่วมในงานเลี้ยงที่พระราชวังแซนดริ่งแฮมเป็นต้นมา ซึ่งนับว่าได้สร้างความยุ่งยากให้เธอไม่น้อย เพราะเพียงข้ามคืน จากสามัญชนคนธรรมดาก็กลายมาเป็นจุดสนใจต่อประชาชนทั่วไป นักข่าวพากันติดตามเธอไปในทุกที่ และทุกขณะจิต ไม่ว่าจะเป็นที่อพาร์ตเม้นต์หรือที่ทำงาน ไม่เว้นแม้แต่...ถุงขยะก็ยังถูกรื้อค้น      วันที่ 15 เดือนมีนาคม สมเด็จพระราชินีได้ประทานพระบรมราชานุญาตให้มีการหมั้นระหว่างพระโอรสกับหญิงสามัญชน ข่าวได้แพร่กระจายออกไปทั่วเกาะอังกฤษ และเฟอร์กี้สาวสามัญชนคนนั้น ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุบีบีซีด้วยท่าทางที่ซื่อๆและด้วยการพูดจาที่โผงผางตรงไปตรงมา ทำให้ประชาชนเกิดชอบใจ จนกลายเป็นกระแส "คลั่งเฟอร์กี้" ไปอย่างรวดเร็ว ใครเล่าจะคาดหวังได้ว่า จากอพาร์ตเม้นต์โทรมๆในย่านลาเวนเดอร์ การ์เดน สาวผมแดงเฟอร์กี้คนนี้จะไปสิงสถิตย์อยู่ในพระมหาราชวังบัคกิ้งแฮม และจากรถบุโรทั่งโทรมๆที่ต้องวิ่งไปซ่อมไป เธอจะมาขับรถจากัวร์ของเจ้าฟ้าชายพระคู่หมั้นโดยที่มีรถตำรวจอารักขาทั้งหน้าและหลัง ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน มันช่างรวดเร็วจนเธอปรับตัวแทบไม่ทัน !!! จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:29:00 ]

ความคิดเห็นที่ 47 พระราชวังบัคกิ้งแฮมที่ใหญ่โตรโหฐานที่มีมากกว่า 600 ห้องนั้น มีส่วนที่จะเป็นของห้องหอของเธอไม่ถึง 6 ห้อง อันเป็นที่พำนักของเจ้าฟ้าชายพระคู่หมั้นแต่ดั้งเดิม แถมยังเป็นมรดกตกทอดห้องที่พำนักเก่าของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เสียด้วยซ้ำ การตกแต่งก็คงยังโบราณอยู่เช่นเดิม ห้องชุดที่ว่านั้นอยู่บนชั้นสองของตึกฝั่งที่มองลงมาเห็นกลางลานจัตุรัสของพระราชวัง และมีการเชื่อมต่อระหว่างตึกด้วยระเบียงยาวสุดลูกหูลูกตาที่ ปูลาดไปด้วยพรมสีแดงหม่น ซึ่งดูช่างตัดสีกับตัวระเบียงที่ทาด้วยสีเขียวเข้ม จากห้องชุดนั้น เธอสามารถมองออกไปภายนอกซึ่งก็จะได้เห็นวิวทิวทัศน์ของกรุงลอนดอน และอนุสาวรีย์ของพระนางวิคตอเรียที่ตั้งเด่นเป็นสง่า อีกทั้งสามารถมองเห็นการเปลี่ยนการ์ดของพระราชวัง อาทิตย์ละหลายๆครั้งในเวลา 11.15 ตรง ซึ่งนี่คือครั้งแรกที่เธอรู้สึกแปลกๆที่สามารถมองเห็นการปฏิบัติการจาก "ด้านใน" วัง มิใช่จาก "นอกวัง" ที่ต้องเบียดเสียดกับกลุ่มนักท่องเที่ยวอย่างแต่ก่อน      เฟอร์กี้ได้เริ่มพิจารณาสภาพห้องชุดอันจะเป็นเรือนหอต่อไปในอนาคต จึงได้พบว่า มันคือห้องแถวเรียงกัน 5 ห้องติดๆ มี 2 ห้องน้ำ โดยมีประตูเปิดทะลุถึงกันได้ อีกทั้งไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงความหรูหราสมกับความเป็นพระราชวังเลยแม้แต่นิด เครื่องเรือนยุควิคตอเรียที่ประดับอยู่นั้นก็ล้วนแต่ใหญ่โตมโหฬาร ยิ่งพระวิสูตรสีตุ่นๆที่ทั้งหนาทั้งหนักนั้น เพิ่มความทะมึนให้กับห้องอย่างไม่มีอะไรเปรียบปาน สิ่งที่ดูสดชื่นขึ้นมาหน่อยหนึ่งนั้น คือ โทนสีในห้องแต่งตัวของเธอ ว่าที่เจ้าสาว...ที่ผนังด้านหนึ่งทาสีชมพูใสเป็นทางสลับกับสีขาว นั่นเป็นเพราะ ครั้งหนึ่ง เจ้าหญิงไดอาน่าและเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เคยประทับอยู่ที่นี่ชั่วคราว เจ้าหญิงได้ทรงจัดแต่งเอาไว้ แต่มันก็ไม่ได้เข้ากันกับเครื่องเรือนไม้โอ๊ค ที่แออัดยัดเยียดที่อยู่ในผนังห้องด้านอื่นๆ      จากห้องนั้นมาก็เป็นห้องเสวย ที่มีโต๊ะใหญ่ยักษ์ที่ใช้ได้สารพัดประโยชน์ ทั้งเป็นที่ต้อนรับแขก รวมไปถึงการใช้งานด้านเอกสารอื่นๆได้เป็นอย่างดี แต่ยามที่อยู่กันตามลำพัง ทั้งเธอและเจ้าฟ้าชายมักใช้ห้องนั่งเล่นที่อยู่ถัดมาเป็นที่ใช้ทานอาหารโดยตั้งโต๊ะเล็กๆหน้าจอโทรทัศน์แบบสบายๆ ห้องสุดท้าย คือ ห้องบรรทมและห้องแต่งพระองค์ของพระคู่หมั้น ซึ่งบรรยากาศต่างไปจากมุมอื่นๆอย่างสิ้นเชิง เพราะบนพระที่บรรทมนั้นเต็มไปด้วย ตุ๊กตาสัตว์นานาชนิดวางเรียงรายนับโหล เหนือโคมไฟมีตุ๊กตาหมีสีชมพู 2 ตัวกอดกันกลม นิตยสาร "เฉพาะกิจของชายหนุ่ม" วางตรงนั้นตรงนี้ตามประสาห้องชายโสด แต่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรักและความซาบซ่านนั้น ทุกอย่างช่างดูดีและเหมาะเจาะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเรือนที่แสนเทอะทะ นาฬิกายืนใหญ่โตที่มีมากมายไปทั่ว ม่านสีตุ่นๆ หรือ เครื่องทำความร้อนที่เก่าคร่ำคร่าที่ว่านั้นไม่ได้ทำให้เธอเกิดความรำคาญเลยแม้แต่นิด ตราบใดที่มีเจ้าชายสุดที่รักอยู่เคียงข้าง !! จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:34:12 ]

ความคิดเห็นที่ 48 อีก 4 เดือนก่อนที่จะถึงงานอภิเษกระหว่างเธอและเจ้าชายพระคู่หมั้น...ซึ่งก็นับว่าเป็นช่วงระยะเวลาการเรียนงานแห่งการเป็น "สะใภ้หลวง" ทุกๆคนในพระราชวัง ไม่ว่าจะเป็น นางสนองพระโอษฐ์ คุณพนักงาน คุณมหาดเล็ก ตำรวจวัง หรือ พนักงานรับใช้ทั่วไป ที่เธอต้องพยายามทำความรู้จักผูกมิตรด้วยอัธยาศัยไมตรี เพราะอย่างน้อยๆคนเหล่านี้ก็อยู่และทำงานในพระราชวังมาก่อน...และมักช่วยแนะนำกฎระเบียบให้ได้เป็นอย่างดี แต่คนที่เธอคิดหวังพึ่งอย่างมากที่สุด นั่นคือ เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ พระคู่หมั้นเพียงพระองค์เดียว      งานใหญ่งานแรกที่กำลังจะมาถึงในเดือนเมษายน นั่นคือ งานเฉลิมพระชนม์พรรษาของสมเด็จพระราชินี ที่เธอต้องออดอ้อนเจ้าฟ้าชายถามด้วยคำถามที่ว่า "หม่อมฉันจะต้องพูดอะไร หรือ ทำอย่างไรบ้างเพคะ?" พระคู่หมั้นที่ทรงชินกับงานพิธีมาตั้งแต่ประสูติกาลกลับทำท่าเหมือนกับไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตที่ต้องมาสั่งสอนกันให้วุ่นวาย ทรงตัดบทสั้นๆว่า "เอาเหอะน่า แล้วเธอก็จะเรียนรู้ไปเองแหละ" ซึ่งเฟอร์กี้เองก็ต้องคลำหาทางเรียนรู้เอาเองตามมีตามเกิด      วันนั้น คือวันที่เธอต้องปรากฏตัวบนระเบียงของพระราชวังพร้อมกับพระราชวงศ์เป็นครั้งแรก ต่อหน้ามหาชนที่หลั่งไหลเข้ามาชื่นชมพระบารมี เธอได้พยายามแอบมองเจ้าหญิงไดอาน่าเพื่อใช้ในการเป็นลอกเลียนแบบ แม้กระทั่งการโบกมือแบบวินเซอร์ที่มีขั้นตอนของการพลิ้วที่ข้อมือเพียงเล็กน้อย อันเปรียบเสมือนลักษณะของการกระทำการเปลี่ยนหลอดไฟ... แต่ความเชยเฉิ่มของเธอนั้น ก็ยังปรากฏจนได้ นั่นคือ วันนั้นเป็นวันที่มีอากาศร้อนผิดปกติ ความตื่นเต้นทำให้เหงื่อออกราวกับน้ำประปา เปียกชุ่มเป็นคราบใต้วงแขนทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด... ยามที่สายลมโบกโบยมาทำให้ผมที่หยิกหย็องของเธอนั้นยิ่งบานฟูออกไปจนเสียรูปเสียทรง สูทชุดเก่งที่เธอได้สวมใส่ในวันนั้น ให้เผอิญว่ามีโบประดับอยู่ทางเอวด้านหลัง ยิ่งเป็นจุดสนใจให้นักข่าวได้สังเกตถึงสะโพกอันใหญ่โตเทอะทะของเธอมากขึ้นไปอีก ถึงกับถ่ายรูปมาลงวิพากษ์วิจารณ์กันเอิกเกริก แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าฟ้าชายพระคู่หมั้นก็ได้ประทับอยู่เคียงข้างเป็นขวัญและกำลังใจให้กับเธอมาโดยตลอด อีกทั้งในช่วงปีนั้นทั้งปี ทั้งเธอและพระคู่หมั้นได้อยู่อิงแอบแนบชิดกันอย่างไม่ห่าง   เพราะพระองค์ได้ประทับอยู่ในลอนลอนเพื่อการฝึกภาคทหารที่กรีนนิช จนความเคยชินต่อความรักและอบอุ่นนี้ได้ทำให้เฟอร์กี้ถึงกับบอกตัวเองว่า...ไม่มีใครสามารถพรากเจ้าฟ้าชายสุดที่รักให้ไปจากเธอได้ ในชั่วชีวิตนี้ !! จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:39:22 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ในยามนั้น คือ ยามที่บรรดาสื่อต่างๆกำลังนิยมชมชื่นสาวผมแดง ศรีสะใภ้ใหม่ของวินเซอร์อย่างหมดใจ สมญาที่ต่างเรียกขานเธอว่า "แม่สายลมที่สดชื่น" นั้น เป็นที่ขานรับอย่างกว้างขวาง ภาพจำลองหุ่นขี้ผึ้งของเธอก็ถูกประดิษฐ์ขึ้นและนำมาตั้งที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง มาดาม ทรูโซด์ เพื่ออวดสายตานักท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วทันใจ      นับว่าครั้งนี้คือกระแสเกรียวกราวจากสื่อที่เทใจให้กับเฟอร์กี้อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง รองลงมาจากเจ้าหญิงไดอาน่าในครั้งกระโน้นแบบไม่ทิ้งห่างกันมากนัก ซึ่งกระแสนี้ สำหรับหญิงสาววัยยี่สิบหกที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์ของการเป็นจุดสนใจมาก่อนอย่างเฟอร์กี้ แน่นอนว่าเธอเชื่อสนิทว่าความนิยมชมชอบและถ้อยคำสรรเสริญเยินยอต่างๆนั้น เป็นความจริง และไม่ได้เผื่อใจคิดระแวงสักนิดเดียวว่า นี่คือดาบสองคม ที่สามารถกลับมาเชือดคอเธอได้เช่นกัน      ก่อนวันอภิเษกเพียงไม่กี่วัน...ชีวิตเธอต้องเปลี่ยนไปในทางที่ผิดแผกไปกว่าเดิม คือ ตื่นแต่เช้าตรู่ เข้านอนดึก หมายกำหนดการของแต่ละวันอัดแน่นไปด้วยการที่ต้องออกไปพบปะผู้คนมากมายในด้านที่ต้องเรียนรู้ พิธีและธรรมเนียมต่างๆ รวมทั้งการที่ต้องลองเสื้อผ้าทุกชนิดและทุกๆแบบ ของขวัญได้เริ่มหลั่งไหลเข้ามาจากทุกมุมโลก ซึ่งทั้งหมดจะถูกส่งไปเก็บไว้ยังห้องโถงในพระราชวังที่มีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอล และต้องใช้เจ้าพนักงานถึง 4 คน ในการจัดแยกหมวดหมู่ ที่มีทั้ง สร้อยเพชร ไปจนถึงของแปลกๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ที่น่าประทับใจคือ ผ้าปูโต๊ะถักโครเชท์ที่ส่งมาจากภาคเหนือ จากหญิงชราที่เธอคงต้องใช้เวลาถักนานนับเดือน ... เฟอร์กี้ประจักษ์ต่อใจดีว่าทั้งหมดนั้นคือความรักและความเอื้อเอ็นดูที่ประชาชนมีต่อเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ และ มันได้หลั่งไหลเผื่อแผ่มาถึงเธอด้วยเช่นกัน      สองคืนก่อนวันสำคัญ พ่อและแม่เลี้ยงของเธอได้จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำพร้อมเต้นรำแก่ว่าที่บ่าวสาว เพราะหลังจากนั้น เฟอร์กี้ต้องย้ายไปพำนักที่วังแคลเร้นซ์ อันเป็นที่ประทับของ ควีนมัม ตามธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติ ซึ่งเฟอร์กี้ต้องอยู่คนเดียวอย่างเงียบเหงา คุณมหาดเล็กของควีนมัมได้นำถาดเงินพร้อมอาหารค่ำมาให้ ทุกอย่างก็ดูดี... หากแต่เพียงจิบแรกที่เธอได้ลิ้มรสไวน์ที่นำมาเสริฟเข้าไป เธอถึงกับสะอึกจนแทบขย้อนออกมา เพราะรสชาติมันช่างเลวร้ายราวกับไวน์บูด แต่เธอก็ได้พยายามกลืนมันลงไปด้วยความลำบากยากเย็น คืนนั้นทั้งคืน เสียงจากประชาชนที่มาคอยตั้งแคมป์รอดูพิธีต่างตะโกนเรียกชื่อเธอแว่วๆให้เข้าหูตลอดเวลาว่า ซ่าาาาร่าห์...เฟอออร์กี้...เฟอออร์กี้...ซาาาาร่าห์... ทำให้ยากต่อการข่มตาหลับลงไปได้ จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:43:40 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ในที่สุด เธอได้นอนเพียง 2 ชั่วโมง และตื่นขึ้นมาตอน 7 โมงเช้าพร้อมกับโรคเก่ากำเริบนั่นคือ ปวดศีรษะไมเกรนจนสมองแทบระเบิด ซึ่งเธอก็พยายามรักษาโดยวิธีของเธอ คือนอนแช่น้ำอุ่น แต่งตัว ทานอาหารเช้าแบบอ่อนๆ งดกาแฟ จากนั้น คณะเตรียมงาน ช่างเสื้อ ช่างทำผม และช่างทำเล็บ ก็พากันเดินขบวนเข้ามาช่วยจัดแจงแต่งตัวเจ้าสาว แม่เลี้ยงผู้แสนดีของเธออยู่ช่วยเหลือคอยติชมอย่างใกล้ชิด      ในพิธี...หลังจากที่มงกุฎเพชรได้วางลงบนศีรษะ มันเป็นยิ่งกว่าความฝัน และยิ่งกว่าเทพนิยายซินเดอเรลลา เพราะจากหญิงชาวบ้านธรรมดาได้กลายมาเป็นเจ้าหญิงที่ยืนเคียงคู่กับเจ้าชายในฝันอย่างสง่างาม ฐานันดรของเธอ "เด่นชัด" ในยามที่ต้องถ่ายภาพหมู่ร่วมกับครอบครัวของพระสวามี เป็นที่ยืนยันให้ประชาชนทั่วโลกได้รับทราบว่า ในตำแหน่งที่เธอยืนอยู่นั้น เธอมีฐานันดรและศักดิ์เหนือว่า เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ และเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต ถ้าจะเทียบอิสริยยศฝ่ายหญิง เฟอร์กี้จัดอยู่ในอันดับสี่ หมายถึงรองลงมาจาก สมเด็จพระราชินี ควีนมัม เจ้าหญิงไดอาน่าแห่งเวลส์ เท่านั้น และตำแหน่งของเธออย่างเป็นทางการคือ ซาร่าห์ ดัชเชส ออฟ ยอร์ค      เสร็จสิ้นพิธีที่พระวิหารแล้ว...ต่อมาก็มีการจัดงานเลี้ยงอาหารกลางวันที่พระราชวังบัคกิ้งแฮม ที่มีพระราชวงศ์จากทั่วทุกประเทศในยุโรปมารวมกันนับร้อยๆ ซึ่งกว่าจะจัดให้ลงตัวว่าใครต้องนั่งที่ไหน ก็เล่นเอาฝ่ายพิธีการปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอันมากทีเดียว เฟอร์กี้ได้นั่งระหว่างเจ้าชายฟิลลิป ดยุคแห่งเอดินเบอร์ค พระบิดาของพระสวามี และพระเจ้าคอนสแตนตินแห่งกรีซ งานเลี้ยงในวันนั้น ช่างราบเรียบ เงียบเหงา ไม่มีการกล่าวคำอวยพร หรือ การดื่มฉลองแบบเอิกเกริกเหมือนกับงานแต่งงานชาวบ้านทั่วๆไป เพราะทุกคนต้องปฏิบัติตัวตามแบบแผนและพิธีการเจ้านาย อันสืบทอดมาแต่ครั้งเก่าก่อน เฟอร์กี้ หลับตาลง อยากเนรมิตให้เจ้าบ่าวของเธอกลายร่างเป็นชายธรรมดาเพียงชั่วขณะ ที่สามารถหัวเราะออกมาได้อย่างเต็มเสียง เล่าเรื่องขบขัน หยอกเอินเจ้าสาวกับแขกเหรื่อ หรืออาจมีการเอาภาพถ่าย ไม่ก็ฉายวิดีโอภาพรักหวานๆมาอวดให้เป็นที่รื่นเริงอย่างมีชีวิตชีวา แต่เธอก็ได้แต่นึก เพราะในความจริงแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ หลังจากนั้น...ทั้งคู่จึงต้องไปเตรียมตัวถ่ายภาพหมู่พร้อมครอบครัว ก่อนที่เธอจะต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับการไปล่องเรือฮันนีมูน เมื่อเธอกลับมาจึงพบว่าเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์กำลังใช้เวลากับช่างภาพ เพื่อที่จะเลือกภาพที่ดีที่สุดส่งไปให้หนังสือพิมพ์ เวลาผ่านไปจากครึ่งชั่วโมง เป็นชั่วโมง และกว่านั้น... จนเธออดรนทนไม่ได้ ต้องเข้าไปเตือนให้เสด็จไปยังข้างล่าง ที่เหล่าแขกเหรื่อผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายกำลังคอยส่งเสด็จ ซึ่งทันทีที่เธอและพระสวามีได้ลงมายังห้องโถง ก็พบว่า ทุกคนมีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะตลอดชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นไม่เคยต้องมาคอยใคร...!! ดูเหมือนความผิดนั้นถูกโยนลงมาที่สะใภ้ใหม่ที่ล่าช้าจนไม่รู้จักขนบธรรมเนียม.. เฟอร์กี้อยากจะตะโกนบอกกับใครต่อใครว่า " ฉันเปล่านะ ฉันไม่ใช่คนที่ทำให้ทุกคนต้องมาคอย " แต่ใครเล่าจะเชื่อ...!! เพียงคืนแรกของการฮันนีมูนในเรือล่องสมุทรบริแทนเนีย เธอก็ได้พบว่า การที่ต้องมาใช้ชีวิตแต่งงานกับชายผู้สูงศักดิ์อย่างเจ้าฟ้าชายพระสวามีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เรือบริแทนเนียมีขนาดระวางถึง 5,700 ตัน มีลูกเรือทั้งหมดถึง 276 คน บนดาดฟ้าเรือ สามารถนำเครื่องบินเล็กลงจอดได้อย่างสบายๆ อาหารมื้อค่ำมื้อแรกของคู่บ่าวสาว เป็นมื้อเดียวที่ทั้งสองได้มีเวลาอยู่กันเพียงตามลำพัง ส่วนในคืนต่อๆมา เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์พระสวามี ได้เชิญเหล่ากัปตันเรือ มาร่วมโต๊ะเสวยด้วยทุกมื้อ อันเป็นธรรมเนียมที่สมเด็จพระราชินีมักทรงกระทำเสมอๆ และในทริปนี้เช่นกัน ที่เฟอร์กี้ได้เผลอหลุดความเป็นสามัญชนไปอย่างไม่น่าให้อภัย นั่นคือ...เธอได้ชวนพระสวามีไปเล่นสกีน้ำ เนื่องจากสภาพอากาศและทัศนวิสัยไม่ค่อยดี ผู้ที่มาขับเรือลากสกีให้ คือ ท่านผู้บังคับการเรือ (รองแม่ทัพเรือ จอห์น กรานิเยร์) ช่วงหนึ่ง...ขณะที่กำลังลงไปลอยคออยู่ในน้ำ เธอโดนแมงกะพรุนไฟเข้าที่หน้าขา  พิษของมันถึงกับทำให้เกิดความปวดแสบปวดร้อน และมีรอยไหม้แดงเป็นทาง ความตกใจ เธอถึงกับร้องออกไปดังๆว่า "โอย...ไปโดนห่า...อะไรเข้าเนี่ยยย" ...เสียงนั้น มันดังพอจนท่านรองแม่ทัพได้ยิน ซึ่ง ท่านมาพูดในทีหลังว่า "ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า จะได้ยิน เจ้าหญิงพระชายาสบถออกมาได้หยาบคายปานนั้น " จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:49:59 ]

ความคิดเห็นที่ 51 พักก่อนนะค้า... จากคุณ : WIWANDA - [ 10 ส.ค. 48 03:50:44 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ตามอ่านเช่นเคยครับ ช่วงเบรคนี้จะรับของว่างเป็นอะไรดีครับ จากคุณ : Great_Khan - [ 10 ส.ค. 48 05:08:21 ]

ความคิดเห็นที่ 53 สนุกมากค่ะ รออ่านต่อนะคะ จากคุณ : little kitty - [ 10 ส.ค. 48 13:58:23 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ตามมาอ่านด้วยคนค่ะ อย่าพักนานนักนะคะป้าขา คนรออ่านใจจะขาดค่ะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 10 ส.ค. 48 14:33:59 ]

ความคิดเห็นที่ 55 โถ...อ่านมา 2 วันเพิ่งจะทัน มันแย่ตรงที่ติดแล้ววววอะ จาลงแดงแล้วค่า...o_O จากคุณ : จันทร์กลางหาว - [ 10 ส.ค. 48 15:17:46 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ยอมแล้วครับ ตกลงคือผู้หญิงน่ารัก แสนดี และเข้าใจเรา มีค่ากว่าผู้หญิงสวยอย่างเดียว ยอมรับในหลักการครับพ๊ม จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 10 ส.ค. 48 15:27:43 ]

ความคิดเห็นที่ 57 Thank you so much ka. I would like to have a look the wedding pictures of Prince Andrew and his wife please. จากคุณ : horseshoes - [ 10 ส.ค. 48 19:31:06 ]

ความคิดเห็นที่ 58 มารออ่านต่อค่ะ จากคุณ : vad (vad) - [ 10 ส.ค. 48 19:38:53 ]

ความคิดเห็นที่ 59 สนุกค่ะ มารอตอนต่อๆไปค่ะ.. จากคุณ : noinop - [ 10 ส.ค. 48 22:20:10 ]

ความคิดเห็นที่ 60 คุณ horseshoes เจ้าขา..เห็นท่าจะต้องขอคนอื่นให้มาช่วยอนุเคราะห์เรื่องรูปแล้วละค่ะ เพราะ เครื่องที่ใช้อยู่นี้ไม่มีโปรแกรมลดขนาดภาพ.. เอ้า..น้องๆนักอ่านที่รัก..ถ้าว่างก็มาช่วยกันโพสรูปหน่อยนะจ๊ะ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 11 ส.ค. 48 00:30:22 ]

ความคิดเห็นที่ 61 หลังจาก 5 วัน ของการล่องเรือเลียบอ้อมชายฝั่งโปตุเกส คู่บ่าวสาวทั้งสองต้องไปร่วมชุมนุมใช้เวลาอยู่กับพระราชวงศ์ที่วังฤดูร้อนบัลมอรัลและเป็นการรับเสด็จครอบครัวสมเด็จพระราชินีที่กำลังจะแปรพระราชฐานมาที่นี่ดังเช่นทุกปี มาถึงตอนนี้ เฟอร์กี้ได้พึ่งพาเจ้าชายพระสวามีในการเป็นต้นแบบของการเรียนรู้ความเป็น "เจ้าหญิง" ที่ไม่ว่าพระองค์หันไปข้างไหน เธอก็จะหันตัวตาม พระองค์ยกพระหัตถ์ขึ้นโบกให้ใคร เธอก็จะโบกตามไปด้วย การไปยังบัลมอรัลในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่เธอรอคอยด้วยใจระทึก เพราะ รู้ดีว่าในยามนี้กระแส "คลั่งเฟอร์กี้" ยังคงขึ้นอยู่ในขีดสูงสุด แม้แต่ควีนมัมเองก็เคยออกพระโอษฐ์ชมว่า เธอช่างสมเป็นสาวอังกฤษเสียเหลือเกิน ในตอนนี้ง.เธอได้ถือตำแหน่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในพระราชวงศ์ กฎเกณฑ์ก็ต้องเปลี่ยนไปตามฐานันดร เช่น เธอจะต้องถอนสายบัวให้กับ สมเด็จพระราชินี และ ควีนมัม เท่านั้น อีกทั้ง ไม่ต้องขานพระยศให้มากเรื่องในยามที่สนทนา เธอสามารถใช้ชื่อแรกออกมาได้เลย นอกเสียจากว่า ในที่สาธารณชน เธอยังคงต้องใช้ราชาศัพท์เต็มยศกับสมเด็จพระราชินีเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่ในส่วนตัว เธอเรียกพระองค์ว่า "มาม่า" และเป็นที่น่าปลาบปลื้มยิ่งนัก ที่พระองค์ก็ตรัสเรียกถึงเธอว่า "ลูกสะใภ้ของฉัน" เพราะจะว่าไปแล้ว ด้วยนิสัยของคนทั้งสองมีส่วนคล้ายๆกันในหลายๆอย่าง ในเรื่องของการรักสัตว์ ทั้งม้า และ สุนัข การใช้เวลาอยู่ด้วยกันในวังบัลมอรัลครั้งนี้ เธอได้เรียกคะแนนนิยมได้อย่างมากมาย เพราะเธอสามารถเข้ากับพระญาติได้ทุกพระองค์ แม้แต่องค์สมเด็จฯเองถึงกับตรัสว่า "ดีจัง ที่มีคนเข้าใจอะไรง่ายๆ ไม่มากเรื่อง มาอยู่ด้วย" พระองค์ตรัสเช่นนั้น เพราะในยามนั้น ความยุ่งยากระหว่างเจ้าหญิงไดอาน่าและเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เริ่มออกแววไม่ชอบมาพากล จากคุณ : WIWANDA - [ 11 ส.ค. 48 00:37:50 ]

ความคิดเห็นที่ 62 แต่ในขณะที่เฟอร์กี้ได้พยายามอย่างสุดความสามารถในการที่ต้องทำตัวให้เป็นที่ยอมรับนั้น เธอได้ลืมไปว่า ในส่วนลึกของความนึกคิดเช่นนั้น เกิดมาจาก ความขาดความมั่นใจในตัวเอง ความต่างในชนชั้นวรรณะ อีกทั้งยังมีสิ่งที่เธอต้องเรียนรู้อีกมากมาย คนที่จะเป็นขวัญกำลังใจและให้ความมั่นคงกับเธอได้ นั่นคือ เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ พระสวามีเพียงพระองค์เดียว แต่...อีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากฮันนีมูนเสร็จสิ้น เวลาแห่งการพลัดพรากก็จะมาถึง พระองค์จะเสด็จไปเรียนภาคเสธที่เมืองซอมเมอร์เซ็ท ห่างออกไปจากกรุงลอนดอน ถึง 150 ไมล์ ซึ่งหมายความว่า จะเสด็จกลับมาอยู่กับเธอได้เพียงแต่วันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น จะเป็นอย่างนี้นานนับหลายเดือน จากนั้นก็หมายความว่า พระองค์จะต้องเสด็จออกปฏิบัติภารกิจภาคทะเลอีกนานนับปี ซึ่งความจริงเธอก็ได้รับทราบมาตั้งแต่ต้นเพราะนี่คือหน้าที่ของทหารเรือ ครั้นพอมาถึงเวลาเข้าจริงๆ ความรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว ที่เข้าครอบงำจนเธอทำอะไรแทบไม่ถูก เพราะไหนจะหน้าที่ ดัชเชส ออฟ ยอร์ค ที่เธอต้องแบกจนเต็มสองบ่า แล้วไหนจะยังหน้าที่สะใภ้หลวงอีกเล่า... เธอเพิ่งประจักษ์ด้วยตนเองว่า มงกุฎเจ้าหญิงที่วางลงมาบนศีรษะเมื่อไม่กี่วันมานั้น มันช่างหนักอึ้ง อีกทั้งมีแหลมหนามคมภายใต้ความสวยงามที่มองมาจากภายนอก วันวีคเอนด์ที่เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์เสด็จกลับมานั้น พระองค์มิได้เสด็จกลับมาอย่างนายทหารธรรมดาที่จะอยู่กับครอบครัวตามลำพัง พระองค์กลายสภาพจากทหารมาเป็น เจ้าชายพระโอรส ที่ต้องมาทรงงานในส่วนที่ต้องรับผิดชอบในวันเสาร์เต็มวันทั้งวัน พอวันอาทิตย์หลังจากกระกระยาหารเช้า พักผ่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็เตรียมเสด็จกลับไปยังฐาน ชีวิตของคนทั้งสองเป็นอย่างนี้ไปตลอด จากคุณ : WIWANDA - [ 11 ส.ค. 48 00:40:42 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เฟอร์กี้นับได้ว่า ตลอดปีที่แต่งงานกันมา เธอได้มีเวลาอยู่กับพระสวามีเพียง 42 วันเท่านั้น นั่นหมายความว่า ชีวิตของเธอล่องลอยในหมู่พระราชวงศ์ที่เต็มไปด้วยแบบแผนและพิธีการเหมือนอย่างเรือที่ขาดหางเสือ ทุกอย่างเธอต้องคิดเอง ทำเอง โดยไม่มีใครมาสั่งมาสอน นอกจากนางพระกำนัลรุ่นเก่าของสมเด็จพระราชินีสองสามคน ที่เธอพอจะเข้าปรึกษาหารือได้ แต่พวกหล่อนก็ให้ความช่วยเหลือแบบเสียไม่ได้ แถมยังออกแววดูแคลนจนสังเกตเห็นได้ชัด เธอจึงได้เรียนรู้อีกว่า การเป็น "เจ้าหญิง" ที่ดีนั้น หมายถึงการทำงานอย่างเต็มที่ อย่างชนิดหามรุ่งหามค่ำ เพราะในหมู่พระราชวงศ์ด้วยกันก็มีการ"แข่งขัน"กันแบบเป็นนัยๆ โดยใช้เหล่าบรรดาหนังสือพิมพ์เป็นตัววัดกระแสว่า งานของใครที่กำลัง "รุ่ง"   งานของพระราชวงศ์หลักๆแล้ว แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ งานพระราชพิธีต่างๆ งานการกุศล งานของรัฐ ซึ่งในส่วนของพระสวามีและของเธอ จะถูกกำหนดลงมา 6 เดือนล่วงหน้า จากการประชุมของสำนักพระราชวังที่มีขึ้นปีละ 2 วาระ คือ เดือนธันวาคม และมิถุนายน องค์อื่นๆก็เช่นกัน แล้วแต่ว่าใครถนัดงานในแนวไหน เมื่อมีงานมอบหมายมา เฟอร์กี้จึงจำเป็นต้องใช้คุณพนักงานและสำนักงานของพระสวามี ซึ่งกอร์ปไปด้วยฝ่ายชายคือ เลขาธิการ และผู้ช่วย ที่คอยจัดการให้ทุกอย่างราวกับการทำหน้าที่พ่อบ้าน ฝ่ายหญิง คือ นางพระกำนัล ที่คอยทำหน้าที่ช่วยเหลือในเรื่องส่วนตัวของเธอแทบทุกเรื่อง และพนักงานหญิงอีก 2 คน ในส่วนตัวตามตำแหน่งแล้ว เธอยังคงต้องมีตำรวจหน่วยอารักขาอีก 2 คน หัวหน้าพ่อบ้าน คนขับรถ และคนรับใช้ ซึ่งคนเหล่านี้ เธอยัง "ใช้งาน" พวกเขาไม่เป็น เพราะจากการที่ก้าวมาจากหญิงสาวที่เคยแชร์ค่าเช่าบ้าน เพียงอาทิตย์ละ 50 เหรียญ ต้องใช้ ห้องน้ำรวม ในตึกที่อยู่ในย่านถิ่นชนชั้นกลางระดับแถวล่างๆ ความรู้ก็ประมาณว่าหางอึ่ง เธอจะไปทำตัวเป็น "นาย" พวกเขาอย่างสนิทใจได้อย่างไร? จากคุณ : WIWANDA - [ 11 ส.ค. 48 00:44:19 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ในอดีตที่ดัชเชสไม่เคยมีห้องส่วนตัวที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นของตัวเอง จึงทำให้ห้องชุดที่พำนักในพระราชวังบัคกิ้งแฮมนั้นดูโอ่อ่า ตระการตาราวกับห้องสวีทในโรงแรมชั้นดี แต่...นั่นเป็นเพราะพระสวามีเจ้าชายแอนดรูว์ได้อยู่เคียงข้างในระยะแรกๆ ทำให้เธอจึงไม่ได้มองเห็นข้อด้อยอย่างอื่น.. แต่ในยามนี้ ..มันเริ่มกระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่เล็กไปหาใหญ่ ห้องชุดที่เป็นส่วนตัวของเธอและพระสวามีนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงใดๆไม่ว่าจะเป็นห้องหอหรือไม่ก็ตาม นอกจากความกรุณาของท่านเซอร์  ไมเคิล ทิมมส์ ผู้ช่วยพ่อบ้านที่อุตส่าห์เจียดงบส่วนหนึ่งมาใช้ในการเปลี่ยนผ้าม่าน และ เปลี่ยนกระดาษแปะฝาผนังให้ใหม่ ให้ดูสดใสกว่าเดิมขึ้นมาหน่อย และที่เปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งคือ เหล่าบรรดาตุ๊กตายัดใส้ที่เป็นรูปสัตว์ต่างๆของเจ้าชายแอนดรูว์ที่กองอยู่ มีตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ยักษ์ขนาดจัมโบ้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง.. ซึ่งมันเป็นของขวัญงานแต่งงานจากเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดพระอนุชา จากนั้น..ก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติมนอกจากดัชเชสได้นำภาพต่างๆใส่กรอบมาวางตรงนั้นตรงนี้ แต่..เมื่อเทียบกับเครื่องเรือนโบราณ นาฬิกาตั้งสูงตระหง่าน  ภาพวาดขนาดฝาบ้าน ที่ติดอยู่มานานนับร้อยๆปีนั่น  รูปภาพที่ว่านั่นแลดูกระจิ๊ดริดจนไม่มีใครสังเกตุ   แม้แต่ท่านดยุค เจ้าชายฟิลลิปเคยออกพระโอษฐ์ว่า เหมือนกับนอนอยู่ชั้นบนของร้านค้าของเก่า.. ซีกตึกตะวันออกอันเป็นที่อยู่เธอและพระสวามีนั้น ยังเป็นที่ทำงานของแผนกวิจัยมลภาวะอีกด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่า เหล่าพนักงานเริ่มเข้าทำงานในเวลา 9.30 และกลับเมื่อ 18.00 นาฬิกาตรง   ระหว่างเวลาทำงานผู้คนก็จะเดินเข้าออก ขึ้นลงตามระเบียงอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็น พนักงานรับใช้ บุรุษไปรษณีย์  ช่างซ่อมท่อน้ำ หรือช่างโทรศัพท์ ฉะนั้น..ในการทำงานของดัชเชสที่ต้องใช้โต๊ะอาหารแทนโต๊ะทำงานนั้น หมายถึงว่าประตูห้องที่พักต้องเปิดทิ้งไว้อยู่ตลอดเวลา   จะเผลอเดินออกจากห้องนอนด้วยสภาพไม่พร้อมไม่ได้เป็นเด็ดขาด ถ้าไม่อยากเป็นขี้ปากชาววัง การใช้เครื่องทำความร้อน นี่ก็คือเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่ต้องระวังไม่ให้สิ้นเปลืองเพราะมันเกี่ยวข้องกับหน่วยงานของมลภาวะที่เข้ามาดูแลโดยตรง พอเริ่มฤดูใบไม้ผลิ(ตามตารางปฏิทิน)เครื่องทำความร้อนจะถูกสับสวิทช์ให้หยุดทำงานทันที ไม่ว่าข้างนอกจะยังคงมีหิมะโปรยปรายอยู่ หรือไม่ว่าอุณหภูมิจะลดต่ำไปอย่างไร ไม่มีใครบังอาจเสนอข้อโต้แย้ง นอกจากจะต้องหาเสื้อกันหนาวใส่เพิ่มขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง.. ในเดือนกันยายน เครื่องทำความร้อนก็จะเริ่มทำงานอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่สนใจว่า ข้างนอกจะร้อนตับแลบแค่ไหนก็ตาม ไม่มีใครบังอาจโต้แย้งอีกเช่นกัน นอกจากจะใช้วิธีแอบเปิดหน้าต่างขึ้นนิดหนึ่ง เรื่องหน้าต่าง...นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่..เพราะ มีกฏข้อห้ามในการเปิดหรือเผยอหน้าต่างในพรระราชวังแทบทั้งหมด เพราะ ในฐานะที่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮมเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สำคัญอันดับต้นๆ ฉะนั้น..ความสวยงามและเป็นระเบียบต้องคงดูเนี๊ยบตลอดเวลา  พร้อมที่จะถ่ายรูปออกมาได้สวยในทุกมุม จากคุณ : WIWANDA - [ 11 ส.ค. 48 00:52:04 ]

ความคิดเห็นที่ 65 โคมไฟห้อยเพดานหรือโคมไฟตั้งโต๊ะต้องไม่เกิน 40 วัตต์ เพราะนี่คือกฏของการประหยัดพลังงาน   ซึ่งครั้งหนึ่งที่อากาศภายนอกแสนมืดมัวไปด้วยหมอก   เจน แอมเบลอ เลขานุการิณีส่วนตัวของเธอได้เดินไปถอดเอาโคมไฟออก เพราะต้องการความสว่างโดยตรงจากหลอดไฟ.. ทั้งๆที่มันริบหรี่แค่ 40 วัตต์ ก็ยังไม่วายรอดพ้นจากสายตาของผู้ตรวจตราที่แวะเวียนเข้ามาดูว่า  มันได้เกิดอะไรขึ้น..ทำไมถึงได้สว่างโร่..! เรื่องความมืดมัวนั้น ก็ยังพอทำเนา หากว่า ยังมีสวนดอกไม้สวยๆ อากาศดีๆให้ได้สูดดมกันบ้าง.. เพราะใครต่อใครก็รู้ว่า ในพระราชวังนั้นมีสวนดอกไม้ที่สวยสดงดงาม แต่..ถ้าดัชเชสต้องการที่จะสัมผัสมัน ก็หมายความว่า ต้องเดินออกไปตามระเบียงที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาไปตามทางสำนักงานของท่านดยุค เจ้าชายฟิลลิป และพอถึงตรงนั้น ก็ต้องลงลิฟท์ไปยังชั้นพื้นดิน พอออกมาจากลิฟท์ก็ต้องเลี้ยวซ้าย เดินผ่านสำนักงานต่างๆไปอีกหลายร้อยหลา กว่าจะถึง สวนดอกไม้.... ซึ่งต้องใช้เวลาไปกลับร่วมครึ่งชั่วโมง..ในขณะที่เธอมีเวลารับประทานอาหารกลางวันเพียงแค่ ยี่สิบนาที ในกลุ่มของขวัญแต่งงานที่ได้รับ..เต็มไปด้วยชามกระเบื้องอย่างดี  แก้วเจียรนัยรูปทรงต่างๆ เครื่องเงินนานาชนิด แต่ของขวัญแบบธรรมดาที่เป็นประโยชน์ที่สุด สำหรับทุกครัวเรือนเช่นเครื่องปั่นน้ำผลไม้ไฟฟ้า กลับไม่มี ทั้งๆที่เป็นของขวัญมาตรฐานของงานแต่งงานโดยทั่วๆไป ห้องที่พำนักนั้น ในอดีตคือ ห้องพักของสองชายโสด(เจ้าฟ้าชายชารลส์ ก่อน และ เจ้าชายแอนดรูว์ หลัง) จึงไม่มีส่วนที่เป็นครัว ไม่มีเครื่องครัวใดๆ นอกจาก ถาดไฟฟ้าสำหรับวางถ้วยชา กาแฟ สำหรับแขกเหรื่อ และตู้เย็นเล็กๆสำหรับใส่น้ำดื่ม.. อาหาร.. จะถูกส่งมาจากครัวกลาง มื้อกลางวันและมื้อค่ำ  ต้องสั่งก่อนล่วงหน้าหนึ่งวันตามเมนูที่ทางครัวได้จัดส่งมาให้ หรืออย่างช้าก็ต้องสั่งในเช้าตรู่ก่อนอื่นใด อาหารมื้อค่ำจะนำมาให้เวลา 7.30 ซึ่งกว่าพนักงานรับใช้จะเชิญถาดมาถึง..อาหารก็เย็นสนิท ดัชเชสได้บอกกับตัวเองว่า อิจฉาชีวิตของชาวอเมริกันที่เห็นจากในโฆษณาโทรทัศน์เหลือเกิน ที่มีครอบครัวนั่งดูทีวีพร้อมหน้า และเปิดตู้เย็นหาอะไรกินกันตามสบาย เรื่องที่จะเชิญแขกมาพบปะสังสรรหรือร่วมรับประทานอาหารก็ไม่ใช่ข้อห้าม หากแต่ นั่นหมายความว่า เธอต้องวางแผนงานให้ดี เช่น แจ้งไปยังพ่อครัว ส่งชื่อไปให้ยามที่เฝ้าหน้าประตู และเตรียมมหาดเล็กที่จะพาแขกเข้ามา.. ทั้งหมดต้องทำล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งวัน ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่เรื่องเล็กๆ.. หรือ ถ้าดัชเชสอยากจะออกไปดินเนอร์ข้างนอก..แผนงานก็ต้องเตรียมล่วงหน้าอยู่ดี เพราะนั่นหมายถึงการทำงานล่วงเวลาของหน่วยอารักขาที่ต้องกลับบ้านดึก ทั้งๆที่งานของพวกเขาเหล่านั้นได้มีมากมายล้นมืออยู่แล้ว ไม่ว่าจะหันไปทางไหน มันช่างเป็นชีวิตที่ยุ่งยากไปทั้งหมด เพราะในอดีตนั้น เธอไม่ใช่คนที่มีวินัยกับตัวเองนัก ไม่ชอบการวางแผนชีวิตใดๆทั้งสิ้น อีกทั้งชอบใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีราวกับแม่นกขมิ้น แต่แล้ว..มาถึงบัดนี้ ชีวิตที่เธอเลือกกลับต้องขึ้นอยู่กับการวางแผนล่วงหน้าในแทบทุกเสี้ยววินาที ฉะนั้น ทางออกที่ดีที่สุด นั่นก็คือ การทำใจรับสภาพที่ต้องนั่งทานอาหารที่เย็นชืดอย่างโดดเดี่ยวในห้องพักที่มีบรรยากาศทึมๆ ยามก่อนเข้านอน เธอเพียงแต่หวังว่า  พรุ่งนี้..มันน่าจะต้องดีกว่าวันนี้ !! จากคุณ : WIWANDA - [ 11 ส.ค. 48 00:56:53 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เจน เลขาฯส่วนตัวมักเป็นห่วงในเรื่องที่ดัชเชสต้องอยู่แต่เพียงลำพัง เธอจึงมักเสนอตัวอยู่เป็นเพื่อนจนมืดค่ำ ซึ่งในบางครั้ง ในยามที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพังตามเป็นตัวตนของ ซาร่าห์  เฟอร์กุสัน ก็ได้หลุดความอ่อนแอออกมา เธอถึงกับน้ำตาปริ่ม พยายามสะกดอารมณ์จนปากสั่นระริก "เจน..ฉันไม่อยากอยู่ในสภาพแบบนี้เลย..ฉันไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ" เจนก็อยู่ในสภาพนิ่งอั้น เพราะเธอไม่รู้ว่าจะปลอบโยนอย่างไร ในเมื่อเส้นทางนี้ คือ สิ่งที่ดัชเชสได้เลือกเดินเข้ามาเอง หลังจากที่เจนได้กลับบ้านไปแล้ว..บางครั้งก็มีเสียงโทรศัพท์ตามมาจากดัชเชส พร้อมถามว่า "นั่นเธอกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?" คำตอบก็คือ กำลังล้างชามมั่ง รีดผ้ามั่ง ดัชเชสได้แต่พึมพำบอกไปว่า นี่แหละคือการใช้ชีวิตแบบที่มันควรจะเป็น..ฉันอิจฉาเธอจัง !! จวบจนต้นปี 1988 สิ่งที่เธอได้รอคอยอย่างใจจดจ่อก็ได้มาถึง นั่นคือการตั้งครรภ์.. ซึ่งสิ่งเดียวที่ดัชเชสเฝ้าร่ำร้องขอ นั่นคือ บ้านที่จะเป็นรังรักสำหรับครอบครัวอันอบอุ่น ไม่ใช่ห้องพักที่อยู่อย่างแออัดอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ใครเล่าจะมาช่วยเป็นปากเป็นเสียงให้ ในเมื่อเจ้าชายพระสวามียังอยู่กลางทะเลเพื่อปฏิบัติภาระกิจอันเป็นหน้าที่ทหาร ต่อมา ดัชเชสได้มีโอกาสพบกับพระราชินีนูร์ (สาวชาวอเมริกันที่ได้แต่งงานเป็นพระมเหสีของพระเจ้าฮัสเซน กษัตริย์แห่งจอร์แดน และทรงมีพระตำหนักประทับอยู่ในกรุงลอนดอน) ในบทสนทนา เธอได้มีโอกาสเล่าถึงเรื่องปัญหาที่อยู่ พระราชินีนูร์จึงรีบขันอาสา พาไปชมบ้านเล็กๆที่น่ารักหลังหนึ่งชื่อว่า แคสเซิลวู๊ด เฮ้าส์ ที่อยู่ชานเมืองออกไป อันเป็นบ้านที่พระองค์ได้ซื้อทิ้งไว้  พร้อมทั้งเสนอด้วยความอารีว่า ถ้าดัชเชสต้องการใช้อยู่จนกว่าจะหาบ้านที่เหมาะสมได้ก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างไร ที่นั่น มีทั้งสระว่ายน้ำ สนามเทนนิส  สนามเขียวขจีและอาณาเขตกว้างขวาง..งดงามราวกับบ้านในฝัน  จนเธอไม่สามารถปฏิเสธความหวังดีนั้นได้ ในที่สุด เธอก็ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในวันที่ 1 พฤษภาคม แต่นั่นหมายความว่า เธอมีโอกาสใช้เวลามาอยู่เพียงในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์เท่านั้น ส่วนในวันธรรมดายังคงต้องไปปฏิบัติภาระกิจที่ลอนดอนดังเคย ในยามนี้..ชีวิตดูเหมือนจะเพียบพร้อม เพราะนี่คือ"บ้าน"ที่เธอโหยหา บ้านที่เธอสามารถเดินไปหยิบอะไรก็ได้จากตู้เย็น หรือ สามารถออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกอย่างสบายใจ ขาดแต่..เจ้าชายพระสวามี ที่ทรงอยู่ห่างไกลนัก และจะต้องเป็นเช่นนั้นไปตลอดการตั้งครรภ์แรกของเธอ จากคุณ : WIWANDA - [ 11 ส.ค. 48 01:00:12 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อเริ่มอุ้ยอ้ายเข้า..การไปไหนมาไหนเริ่มไม่สะดวก ไม่ว่าขึ้นรถลงเรือ ดัชเชสเริ่มหงุดหงิดมากขึ้น เพราะหญิงอื่นๆที่อยู่ในสภาพเดียวกันก็ยังมีสามีคอยช่วยจับช่วยพยุง แต่..เธอต้องกระเย้อกระแย่งด้วยตัวคนเดียว ยิ่งหงุดหงิดเจ็บแค้นมากเท่าไร การเจริญอาหารก็เพิ่มตามมากขึ้นเท่านั้น..เธอรับประทานทุกอย่างที่ขวางหน้า น้ำหนักตัวขึ้นปรูดปราด  อ้วนเอาอ้วนเอา ในวันที่คลอดน้ำหนักชั่งได้ 203 ปอนด์ สิ่งเดียวที่เป็นสายใยติดต่อถึงเจ้าชายแอนดรูว์ นั่นคือจดหมายที่เธอเขียนถึงพระองค์ทุกวัน พร้อมทั้งการบันทึกในไดอะรี่ส่วนตัวถึงเรื่องราวต่างๆ ซึ่งพระองค์ก็ทรงตอบกลับมาด้วยถ้อยคำที่อ่อนหวานและปลอบประโลม อันมีความหมายต่อเธอราวกับน้ำทิพย์ชะโลมใจ (แม้ว่า..ในวันครบรอบแต่งงานในปีที่สอง พระองค์จะอยู่ห่างไกลถึงสิงค์โปรก็ตามที ) ในเดือนสิงหาคม พระองค์ได้เสด็จกลับมาเยี่ยมบ้านได้เป็นเวลาสองอาทิตย์ ซึ่งก็เป็นเวลาคลอดพอดี  ทารกเป็นเพศหญิง  เจ้าหญิงน้อยๆได้ถูกตั้งชื่อว่า เบียทริช (อันเป็นพระนามของพระธิดาพระองค์เล็กของพระราชินีวิคตอเรีย) และเจ้าชายแอนดรูว์ได้เริ่มจัดการขยับขยายให้ดัชเชสและพระธิดาไปพักผ่อนที่พระราชวังฤดูร้อนบัลมอรัล.. ทั้งๆที่เธอต้องการที่จะกลับไปยังแคสเซิลวู๊ด เฮ้าส์มากกว่า แต่ก็ต้องตามใจพระสวามี อะไรก็ตามที่เป็นความประสงค์ของพระองค์ เธอจะขัดได้อย่างไร ทั้งหมดได้เข้าพำนักอยู่ในพระตำหนักเล็กๆส่วนหนึ่งในพระราชวังบัลมอรัล   ซึ่งยิ่งใกล้วันแห่งการพลัดพรากก่อนที่จะเสด็จกับฐานทัพเข้ามา  ชีวิตก็ยิ่งแสนรันทด.. เธอได้ร่ำไห้ต่อพระพักต์แทบทุกวัน เพราะพระองค์ก็ต้องเสด็จจากไปกับเรือรบหลวงเอดินเบอร์คไกลถึงอีกซีกหนึ่งของโลก นั่นคือ ฟิลลิปปินส์  ทิ้งให้เธอและลูกน้อยต้องอยู่แต่เพียงลำพังพร้อมทั้งงานที่สูงท่วม ที่เห็นๆตรงหน้าก็คือจดหมายที่ต้องเขียนตอบขอบคุณเหล่าบรรดาผู้ส่งของขวัญมาให้นั้น ก็ร่วมแปดร้อยราย แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีก็มี   นั่นคือ ที่พักในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮม  ในห้องอาหารที่เธอได้ใช้เป็นที่ทำงานนั้น ได้ถูกปรับเปลี่ยนสภาพมาเป็นห้องเลี้ยงเด็กได้ด้วยซึ่งเธอสามารถทำงานไปเลี้ยงดูพระธิดาไป  ซึ่งความจริงแล้ว เธอไม่ควรต้องทำงานเสียด้วยซ้ำ ควรใช้เวลานั้นมาทำนุบำรุงดูการเจริญเติบโตและความน่ารักไร้เดียงสาของทารกน้อย แต่..ภาระและหน้าที่ที่กองรออยู่ มันกระตุ้นเตือนให้เธอต้องตามไล่ทำงานให้ครบโควต้า(ตามที่พระราชวงค์ทุกพระองค์ได้รับมอบหมาย) หลังจากที่ห่างหายว่างเว้นไปเพราะการตั้งครรภ์ จากคุณ : WIWANDA - [ 11 ส.ค. 48 01:05:11 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ในเดือนกันยายน หลังจากที่สภาพร่างกายแข็งแรงดี   ดัชเชสจำใจต้องทิ้งเจ้าหญิงพระธิดาอายุได้หกอาทิตย์ไว้กับพระพี่เลี้ยง เนื่องจากเธอต้องการที่จะเดินทางไปเยี่ยม เจ้าชายแอนดรูว์พระสวามีที่ออสเตรเลีย ซึ่งในความเป็นจริง  เธอต้องการที่จะนำพระธิดาร่วมเดินทางไปด้วย แต่ต้องเจอกับมรสุมกฏระเบียบจากกรมวังที่ได้สั่งการลงมา..ว่า "เป็นไปไม่ได้ ที่จะนำพระเจ้าหลานเธอไปตรากตรำเช่นนั้น"  และ "ไม่มีแม่ที่ไหนที่จะเอาลูกที่ยังเป็นทารกเดินทางไปครึ่งค่อนโลก" และคำตอบสุดท้ายคือ "ห้ามนำพระเจ้าหลานเธอเดินทางไปไหนโดยเด็ดขาด" ดัชเชสจึงมีอยู่สองทาง คือ จะอยู่กับลูก หรือ จะอยู่กับพระสวามี  เลือกเอา...!! ลึกลงไปในใจของดัชเชสนั้น เธอกระหายต่อการอยู่ใกล้ชิดกับพระสวามี และอยากให้พระองค์ได้ทรงเห็นว่าเธอคือนางในฝันของพระองค์คนเดิม เนื่องจากเธอได้ประสบผลสำเร็จในการที่ได้ลดน้ำหนักมาจนเกือบเป็นปรกติ ที่สำคัญที่สุดคือการกระชับสายสัมพันธ์ที่เริ่มจางเพราะความที่ต้องอยู่ห่างไกลกันมาช้านานให้แน่นแฟ้นขึ้นมาใหม่   แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าย้อนนาฬิกากลับไปใหม่ได้ เธอก็จะไม่รีรอเลยที่จะอุ้มพระธิดาเดินทางไปด้วยอย่างไม่รอฟังการทัดทานใดๆ เพียงแต่ในยามนั้น เธอขลาดจนเกินไป กลัวไปหมด เกรงว่าคนอื่นจะคิดถึงไปในทางไม่ดี   โดยที่ลืมหลักความจริงไปว่า คนเราเมื่อเริ่มเกิดความกลัว ก็จะกลัวอย่างไม่มีวันจบสิ้น การเดินทางไปออสเตรเลียหกอาทิตย์ในครั้งนั้น..ไม่ได้สร้างผลออกมาในเชิงบวกอย่างที่เธอต้องการ   เจ้าชายแอนดรูว์ต้องทรงงานตามหน้าที่ ไม่มีเวลาที่จะมาดูแลได้มากนัก ที่ร้ายที่สุด นั่นคือ เธอได้ตกเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ถึงการที่ทิ้งพระธิดาน้อยไว้กับคนเลี้ยง ในขณะที่ตัวเองวิ่งแร่ตามพระสวามี ประชาชนได้มองพฤติการณ์นี้ในด้านลบ จนพากันสรุปได้ว่า ดัชเชสช่างเป็นแม่ที่ไม่เอาไหนเอาซะเลย.. ไม่มีใครสักคนที่จะใส่ใจจำว่า เมื่อครั้งที่ พระราชินีอลิซาเบ็ธที่ หนึ่ง (ควีนมัม) จนมาถึง สมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธที่สอง (องค์ปัจจุบัน) ทั้งคู่ก็เคยเดินทางออกนอกประเทศ ทิ้งพระโอรสและพระธิดาให้อยู่กับพระพี่เลี้ยงมาก่อน  แต่ ในขณะที่เธอได้กระทำในสิ่งเดียวกันกลับกลายเป็นความผิดที่ให้อภัยไม่ได้ กระแสความนิยมชมชื่นเฟอร์กี้ที่เคยมี...บัดนี้มันได้มลายหายไปสิ้น   มาถึงตอนนี้..ดูเหมือนกับว่าทุกคนกำลังกระเหี้ยนกระหือถือมีดรอเชือด"แพะหลวง"ตัวใหม่..ด้วยฐานะที่เป็นถึง ดัชเชสออฟยอร์ค !! จากคุณ : WIWANDA - [ 11 ส.ค. 48 01:08:30 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ซาหนุกช่ะม๊ะล่า.....ไปพักก่อนน้า....??? จากคุณ : WIWANDA - [ 11 ส.ค. 48 01:11:01 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ชอบมากค่ะ จากคุณ : ต้นลูกตาล - [ 11 ส.ค. 48 03:16:13 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ค้นๆ จาก Google ได้ภาพมาประมาณนี้นะครับ 1. ซาร่าห์กับเจ้าชายแอนดรูว์ ไฟล์รูปภาพ จากคุณ : Great_Khan - [ 11 ส.ค. 48 05:35:58 ]

ความคิดเห็นที่ 72 2. กับเจ้าหญิงไดอาน่า จากคุณ : Great_Khan - [ 11 ส.ค. 48 05:37:04 ]

ความคิดเห็นที่ 73 3. กับพระธิดาทั้งสองพระองค์ และเจ้าชาย (แห่งฮอลลีวู้ด) จากคุณ : Great_Khan - [ 11 ส.ค. 48 05:38:23 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ป้าขา ยังรออย่างใจจดใจจ่อนะคะ พักผ่อนเบื่อแล้วกลับมาต่อนะคะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 11 ส.ค. 48 11:16:42 ]

ความคิดเห็นที่ 75 มารอเหมือนเดิม เดี๋ยวไปหารูปมาให้นะคะ จากคุณ : วาด (vad) - [ 11 ส.ค. 48 21:02:38 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เอามาจาก google เหมือนกันแหละ ..อิอิ จากคุณ : วาด (vad) - [ 11 ส.ค. 48 21:11:40 ]

ความคิดเห็นที่ 77 2. จากคุณ : วาด (vad) - [ 11 ส.ค. 48 21:24:16 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ภาพมะขึ้นอ่ะ.. จากคุณ : วาด (vad) - [ 11 ส.ค. 48 21:24:54 ]

ความคิดเห็นที่ 79 รู้สึกว่ารูปจะไม่ค่อยเข้ากับเนื้อเรื่องตอนนี้เท่าไหร่... จากคุณ : วาด (vad) - [ 11 ส.ค. 48 21:27:38 ]

ความคิดเห็นที่ 80 เจอแล้ว Sarah ferguson จากคุณ : วาด (vad) - [ 11 ส.ค. 48 21:39:30 ]

ความคิดเห็นที่ 81 อภิเษกสมรส จากคุณ : วาด (vad) - [ 11 ส.ค. 48 21:42:58 ]

ความคิดเห็นที่ 82 สนุกค่ะ   มารอ.. จากคุณ : noinop - [ 11 ส.ค. 48 22:38:51 ]

ความคิดเห็นที่ 83 THank you for pictures ka. You did good job. จากคุณ : horseshoes - [ 11 ส.ค. 48 23:50:09 ]

ความคิดเห็นที่ 84 รูปใน คห 76 ด้านซ้ายมือ มีผุ้ชายคนนึง ใครอ่ะครับ จากคุณ : กริชครับผม - [ วันแม่แห่งชาติ 00:15:09 ]

ความคิดเห็นที่ 85 (Y_Y) แย่แล้ว อยู่ดี ๆ ก็มีกระทู้ดี ๆ มาให้ติด ป้าวิขา.....(ตีสนิท) มาต่อเร็ว ๆ นะคะ คนอ่านรอจนจะขาดใจ จากคุณ : แมวน้อยในลังส้ม - [ วันแม่แห่งชาติ 12:05:53 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ระหว่างรอคุณวิวันดาก็ดูรูปกันไปก่อนนะคะ wedding 23 july 1986 ทางซ้ายมือคือเสดี้ไดอาน่ากับเจ้าฟ้าชายชาร์ล ไฟล์รูปภาพ จากคุณ : วาด (vad) - [ วันแม่แห่งชาติ 13:15:46 ]

ความคิดเห็นที่ 87 1992: Duck and Duchess of York with princess Beatrice จาก bcc จากคุณ : vad (vad) - [ วันแม่แห่งชาติ 14:01:32 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ได้เวลาขึ้นกระทู้ใหม่ได้แล้วมังคะ... จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 14:02:23 ]

ความคิดเห็นที่ 89 le kiss จากคุณ : vad (vad) - [ วันแม่แห่งชาติ 14:09:38 ]

ความคิดเห็นที่ 90 Hnnnnn... จากคุณ : horseshoes - [ วันแม่แห่งชาติ 16:26:03 ]

ความคิดเห็นที่ 91 มาช่วยแปะรูปพักสายตาค่ะ พอดีมีภาพอยู่เยอะ ครั้งวันวานยังหวานอยู่... จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 16:56:56 ]

ความคิดเห็นที่ 92 แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 48 17:00:45 จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 16:59:26 ]

ความคิดเห็นที่ 93 จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 17:03:04 ]

ความคิดเห็นที่ 94   หวานซะ... จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 17:07:28 ]

ความคิดเห็นที่ 95 // จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 17:09:53 ]

ความคิดเห็นที่ 96 birth of their 2nd daughter Princess Eugenie in 1990 ไฟล์รูปภาพ จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 17:17:32 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ลดไฟล์แล้วค่ะ.. จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 17:21:19 ]

ความคิดเห็นที่ 98 Daughters Beatrice and Eugenie .. แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 48 17:35:08 จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 17:33:47 ]

ความคิดเห็นที่ 99 จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 17:36:43 ]

ความคิดเห็นที่ 100 // จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 17:40:58 ]

ความคิดเห็นที่ 101 Dec 2000, with Beatrice and Eugenie แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 48 17:44:32 จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 17:43:36 ]

ความคิดเห็นที่ 102 จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 17:47:41 ]

ความคิดเห็นที่ 103 Christmas 1999 Andrew with his 2 daughters จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 17:58:28 ]

ความคิดเห็นที่ 104 " วันแม่แห่งชาติ ค่ะ" ขอแปะแม่กะลูกเยอะหน่อยนะคะ จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 18:01:48 ]

ความคิดเห็นที่ 105 จุใจมั้ยคะ แต่ว่า..เหนื่อยแระ ไปมั่งงง.. แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 48 16:00:30 จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 18:15:53 ]