ความคิดเห็นที่ 1 สวัสดีค่ะ..แผนกหาภาพค่ะ จากคุณ : วาด (vad) - [ วันแม่แห่งชาติ 14:11:21 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เล่าต่อนะคะ... ดัชเชสเองก็ไม่เคยได้คาดคิดมาก่อนว่า กระแสความนิยมในตัวเธอจะลดลงในแนวดิ่งอย่างรวดเร็วได้ถึงขนาดนั้น เพราะเพียงไม่นานมานี้เอง ..ที่ใครต่อใครต่างนิยมชมชื่น สาวสามัญชนที่ก้าวมาเป็นสะใภ้หลวงด้วยท่าทีที่เป็นตัวของตัวเอง สดใสเป็นธรรมชาติจนเปรียบได้ราว"สายลม"ที่สดชื่นแห่งวินเซอร์ หากแต่ สังหรณ์แห่งลางร้ายได้เกิดขึ้นมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนการเดินทางไปออสเตรเลียของเธอ ที่การทำงานในตำแหน่งสะใภ้ที่แสนดีนั้นมันช่างยุ่งยากและเป็นปัญหาในทุกขั้นตอน ทั้งตัวเธอเองก็เปรียบเสมือนกับเรือที่ขาดหางเสือ จะหันหน้าไปพึ่งใครก็ไม่ได้ โดยเฉพาะสำหรับการช่วยเหลือจากคณะกรมวังชั้นผู้ใหญ่นั้น..อย่าหวัง ครั้นเธอใช้พื้นฐานของการอบรมในระดับที่เรียกได้ว่า "สามัญชนสำนึก"..ที่ได้รับมาแต่อ้อนแต่ออก มาช่วยในการตัดสินใจในการทำงาน ซึ่งผลออกมาจัดว่าล้มเหลว เสียงตำหนิเริ่มออกมาเป็นระยะ และยิ่งหนาหู   ไม่มีใครเลยสักคนที่จะให้ความเห็นอกเห็นใจว่า ในฐานะอย่างเธอ..ที่ไม่มีพระสวามีเคียงข้างคอยให้ความปรึกษา จะไปเทียบราวสะใภ้เจ้ามืออาชีพได้อย่างไร ยิ่งเสียงตำหนิ ติติงย้อนกับเข้ามาได้มากเท่าใด ความรู้สึกขาดความมั่นใจในการทำงานของเธอก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น จนในที่สุด เธอได้ตกเป็นเหยื่อของสื่อ เพราะยามที่ก้าวเข้ามาในทีแรก สถาบันพระราชวงค์มีแต่เรื่องนิยายโศกสลด  นับตั้งแต่ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด ที่ได้สละราชบัลลังค์เพื่อ หญิงหม้ายอเมริกัน นางวอลลิส  ซิมป์สัน  นั่นก็คือสมัย 1930's และจากนั้นก็ต่อเนื่องมาจนเรื่องของเจ้าฟ้าชายชารลส์ ที่ไม่ค่อยได้มีเรื่องให้ปลาบปลื้มกันมากนัก ส่วนเจ้าหญิงไดอะน่าก็มีเรื่องฉาวๆคาวๆ ที่คนอังกฤษยังทำใจรับไม่ได้ พอยามที่เธอได้ก้าวเข้ามาในจังหวะนั้นพอดี จังหวะที่สื่อกำลังกระหายต่อการที่จะมีเจ้าหญิงผู้แสนดีไว้ประดับวงการ จึงได้ช่วยกันกระพือและสร้างภาพกันอย่างสุดขั้ว ฉายาที่พวกเขาได้มอบให้เธอนั้น..คือ เฟอร์กี้ ที่แสนดี ในขณะที่ เจ้าหญิงไดอะน่า ได้ถูกชาวสื่อพร้อมใจกันเรียกว่า  เจ้าหญิงสมองกลวง.. ต่อมาในปี 1987 เจ้าหญิงไดอะน่าได้กลับมากู้ชื่อเสียงกลับคืนมาเป็นขวัญใจประชาชนได้อีกครั้ง เมื่อมาถึงคราวนี้  สื่อหนังสือพิมพ์ก็เลยขาดกระแสของตัวร้าย ตัวอิจฉา(แห่งวินเซอร์) ที่จะเอามาเขียนข่าวขายต่อไป..ดังนั้น ใครเล่าจะเหมาะสมไปกว่าเธอ  อดีตสามัญชนที่ไม่มีปัญญาโต้เถียงหรือโต้แย้งอะไรได้เลย ตัวอย่างเช่น การตีพิมพ์ภาพลงหน้าหนึ่ง ที่ พวกเขาจงใจเลือกเอาภาพในขณะที่เธอกำลังเหวี่ยงขากำลังจะก้าวลงจากรถ ที่มีภาพชะเวิกชะวากของต้นขาอันอวบอ้วน วับแวมออกมาให้เห็น เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่า   กาอย่างเธอนั้น ไม่มีวันที่จะเป็นหงส์กับเขาได้ ส่วนผู้คนที่ได้เสพข่าวก็ม่ได้รู้เลยสักนิด...ว่า กว่าที่พวกนักข่าวจะเลือกภาพเด็ดออกมาลงตีพิมพ์หน้าหนึ่งได้ ก็ต้องตั้งใจติดตามถ่ายจนหมดฟิล์มนับสิบม้วน และต้องช่วยกันใช้เวลานานนับหลายชั่วโมงกว่าจะได้ภาพประจานจนถูกใจ.. หรือในยามที่เธอได้รับเชิญไปงานเลี้ยงของเหล่าเพื่อนๆ ที่ในงานเลี้ยงปัจจุบันมักใช้แก้วหลายขนาดและหลายรูปทรงตามชนิดของเครื่องดื่ม..เช่นแก้วไวน์แดง แก้วไวน์ขาว แก้วน้ำ แต่เมื่อเป็นเพียงภาพถ่าย..จากท่าทางที่รื่นเริงท่ามกลางแก้วนานาชนิดที่วางรายล้อม ช่างสร้างความรู้สึกเชื่อสมจริงว่า ดัชเชส ออฟ ยอร์ค นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับนางเมรีขี้เมาเลยสักนิด จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 14:13:40 ]

ความคิดเห็นที่ 3 งาน"พลาด"ครั้งใหญ่ครั้งแรกของเธอมาในปี 1987 นั่นคือ การตกปากรับคำไปในรายการโทรทัศน์หารายได้เพื่อการกุศลที่เรียกว่า "It's a Royal Knockout!" ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของรายการที่เชิญมา ก็ไม่ใช่ใครอื่น พระองค์คือเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระอนุชาของเจ้าชายพระสวามีแท้ๆ ในครั้งแรกนั้น ดัชเชสได้รับทราบว่า พระราชวงค์องค์อื่นๆก็จะไปร่วมรายการด้วย เช่น เจ้าฟ้าชายชารลส์  เจ้าหญิงไดอะน่า  และได้นำเรื่องไปปรึกษาขอความเห็นกับพระสวามี และ เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้ให้ความสนับสนุนเห็นด้วยเป็นอย่างดี ไม่มีอะไรเป็นข้อเสียหาย แต่ต่อมา ทั้งเจ้าฟ้าชายชารลส์ และเจ้าหญิงไดอะน่า ได้ขอถอนตัว..ซึ่งทำให้เธอรู้สึกตำหนิการกระทำแบบไร้น้ำใจนักกีฬาของคนทั้งคู่อย่างช่วยไม่ได้ ...ว่า.. พี่น้องกันเองไม่ช่วยแล้วจะช่วยใคร แต่ต่อมาบทเรียนที่เธอได้รับ จึงได้รู้ว่า เขาทั้งสองได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะ คนเราในยามที่แบกตำแหน่งรัชทายาทไว้อยู่บนบ่านั้น ย่อมไม่สามารถจะไปแสดงอะไร"ตึงตัง"แบบนั้นได้ ที่ว่า "ตึงตัง" หมายถึง การที่รายการนั้นดำเนินไปด้วยการแข่งขันแบบตลกๆของสองทีมที่มีการวิ่งแข่งกันบนพื้นที่ราดน้ำมัน,เอาพายแปะใส่หน้ากัน ผู้แข่งเป็นฝ่ายพระราชวงค์หนึ่งทีม และอีกฝ่ายหนึ่งคือเหล่าดาราที่มีชื่อเสียง เช่น คริสโตเฟอร์ รีฟ (ซูเปอร์แมนที่เพิ่งเสียชีวิตไป), เจน ซีมัวร์  ฯลฯ ถึงแม้ว่าจะเป็นการหารายได้เพื่อการกุศลก็จริงอยู่ หากแต่ เบื้องหลังลึกๆแล้ว..มันก็คือการหากินของการโฆษณาขายแอร์ไทม์อย่างหนึ่งนั่นเอง ผลของบทเรียนบทนี้คือ เสียงสะท้อนในด้านลบที่เธอได้รับจากรายการที่ทำให้พระราชวงค์ดูไม่ดีนั้น มาจากทุกๆด้าน ทั้งประชาชน,สื่อหนังสือพิมพ์ และ จากสำนักพระราชวังที่"สับ"เธอเสียจนไม่มีชิ้นดี หมายเหตุ.. Prince Edward, Earl of Wessex เป็นพระโอรสองค์สุดท้องของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ เจ้าฟ้าชายเอดเวิร์ดได้ทรงทำงานส่วนพระองค์เป็นผู้จัดรายการโทรทัศน์หลังจากที่ไม่ประสบผลสำเร็จในด้านการเป็นนักเรียนนายเรือ แต่ทรงโปรดในด้านการละคร อีกทั้งมีส่วนร่วมในละครเวทีดังๆอย่าง.. Phantom of the Opera, Starlight Express , Cats และได้ทำรายการ Royal Knockout ในปี  1987 ซึ่งรายการนี้มีเนื้อหาในการล้อเลียนพระราชวงค์แบบเจ็บๆคันๆ ต่อมาง.ในปี 1993, เจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ดได้เปิดบริษัท  Ardent Television production company ภายใต้ชื่อผู้อำนวยการคือ  Edward Windsor ที่มีจุดขายคือ การทำข่าวและเรื่องราวแบบล้วงลึกของพระราชวงค์ต่างๆในยุโรปออกมาสู่สายตาของประชาชน... โดยพระองค์ได้ใช้ความเป็น"เจ้า" มาเป็นแต้มต่อเหนือคนอื่นๆ และบริษัทของพระองค์ได้รับสัมปทานในการทำข่าวพระราชพิธีทั้งหมด รวมทั้งการทำข่าวอื่นๆของสองพระนัดดา เจ้าฟ้าชาย วิลเลี่ยมและเจ้าฟ้าชายแฮร์รี่ ด้วย วิวันดา... จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 14:43:06 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ในทุกๆวันทำงาน..หกโมงเช้าคือเวลาที่คุณพนักงานได้นำหนังสือพิมพ์ต่างๆเข้ามาให้  เธอจะไล่อ่านทุกข่าวและแทบทุกตัวอักษร ความมั่นใจที่เคยมีมันได้ถูกบั่นทอนจนแทบไม่มี อะไรเหลือนั้น ทำให้เธอเฝ้าวนเวียนเก็บข้อติฉินมาไว้ในสมองจนมองไม่เห็นความสำคัญในส่วนดีอื่นๆที่ได้เคยทำมา และที่แย่กว่านั้น นั่นคือ ในทุกวันศุกร์ที่ชาวหนังสือพิมพ์มักติดต่อมาทางสำนักพระราชวังหรือทางสำนักงานของเธอเพื่อขอข่าวสำหรับสำหรับตีพิมพ์ในวันอาทิตย์ นั่นหมายถึง ความสุขต่อการใช้ชีวิตในช่วงวันหยุดของเธอนั้นมันมลายสลายไปหมดสิ้น เพราะในยามนั้น การโดนกระหน่ำจากเสียงในด้านลบมากๆเข้า จิตภายใต้สำนึกของเธอได้เริ่มเอนเอียงและออกจะเชื่อเอาจริงๆจังๆว่า..ตัวเองนั้นช่างไร้ค่าอย่างเขาว่าเสียกระมัง !! ความน้อยอกน้อยใจ ความว้าเหว่ ความสิ้นหวัง ได้ถาโถมเข้ามา เพราะ แค่เปรียบเทียบกับแวดวงใกล้ตัว   ตัวอย่างเช่น..ตอนที่เจ้าหญิงไดอะน่าที่มีข่าวฉาวโฉ่ ในปี 1982 นั้น สมเด็จพระราชินีฯได้เชิญ ประธานหนังสือพิมพ์ทุกฉบับให้เข้ามาพบ เพื่อขอร้องให้ระงับข่าวในด้านลบของเจ้าหญิง ในฐานะที่เธอจะเป็นพระมารดาของกษัตริย์อังกฤษในอนาคต หรือ อย่างเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ที่มีเรื่องส่วนตัวในครอบครัวไม่น้อยกว่าใครๆ ก็เช่นกัน แต่ทีกับเธอ ที่อยู่ในฐานะลูกสะใภ้คนหนึ่ง กลับไม่ได้การช่วยเหลือทั้งในด้านการงานและเรื่องส่วนตัว มาบัดนี้..ดัชเชสได้เริ่มรู้ตัวแล้วว่า..เธอคือเหยื่อชิ้นหนึ่งของระบบการทำงานของสื่อที่มีฟันเฟืองหมุนเป็นแกนนำทิศทางโดยสำนักพระราชวัง   เพราะยิ่งคิดทบทวนกลับไปจึงเริ่มมองเห็นได้ว่า ... เธอคือสมาชิกคนใหม่ที่ก้าวเข้ามาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ การสั่งสอนก็เป็นไปแบบเสียไม่ได้ ไม่มีใครมาเป็นเทียนส่องทาง แต่ครั้นเมื่อเธอได้ก้าวพลาดไปบ้างเพราะความไร้ประสบการณ์ของการเป็น"เจ้านาย" กลับกลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่บังอาจมาทำให้พระราชวงค์มัวหมองไปด้วยราคี ยิ่งคิด..ความรู้สึกน้อยใจยิ่งประดัง..จนสะสมกลายเป็นความแค้นในที่สุด ดัชเชสผู้อาภัพได้ให้คำมั่นสัญญากับตัวเองว่า..เอาละ ถึงเธอจะล้ม..แต่ก็จะไม่ให้ใครมาข้ามได้  !! จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 14:47:34 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เจ้าฟ้าชายชารลส์เคยตรัสเสมอว่า "พวกลูกจ้างที่มีอยู่น่ะ ไม่ใช่ว่าเขามารับใช้เรานะ เขามาควบคุมความประพฤติเราต่างหาก" นั่นก็จริงเสียยิ่งกว่าจริง.... เพราะ พวกลูกจ้างที่พระองค์ตรัสถึง นั่นก็คือ เหล่ากรมวังชั้นผู้ใหญ่ ที่ขึ้นตรงอยู่กับสมเด็จพระราชินีแต่เพียงผู้เดียว การปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนฝ่ายเลขานุการต่างพระเนตรพระกรรณในงานราชการที่เกี่ยวกับเรื่องภายในสำนักต่างๆ อันเป็นที่รู้จักกันว่า"คณะสูทสีเทา" ที่พื้นฐานของเขาเหล่านั้นต้องมาจากตระกูลขุนนางชั้นสูง เงินเดือนที่ได้รับจากพระราชวังนั้นก็ไม่มาก ซึ่งมันไม่ใช่เนื้อหาสำคัญสำหรับพวกเขาแม้แต่นิด หากแต่เกียรติยศต่างหากที่เป็นที่เชิดหน้าชูตา การทำงานของพวกเขา คือ เช้าขึ้นมาก็เดินตรวจตราไปยังหน่วยต่างๆของทีทำงานเหล่ามหาดเล็ก แล้วก็กลับมาอ่านหนังสือพิมพ์ โทรศัพท์คุยกับใครต่อใคร แล้วก็หันมาตรวจตราหน้าที่ วางกฏเกณฑ์ และพิธีการต่างๆ ตัวอย่างเช่น  มกูฏราชกุมารเจ้าฟ้าชายชารลส์ ไม่สามารถติดต่อโทรศัพท์ไปหาพระขนิษฐาเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ด้วยพระองค์เองตามประสาพี่ๆน้องๆได้ ต้องติดต่อผ่านฝ่ายเลขาส่วนพระองค์เท่านั้น จากนั้นพวกคณะสูทสีเทาก็จะใช้เวลารับประทานอาหารกลางวันพร้อมทั้งจิบยินโทนิคอันเป็นค๊อคเทลยอดนิยมของชาววัง บ่ายสี่โมงคือเวลาน้ำชา ต่อด้วย ค๊อคเทลอีกครั้งเมื่อหกโมงเย็น ตัวหัวหน้ากรมวัง หรืออันเป็นที่รู้จักในนามของ มิสเตอร์ Z นั้น อายุอานามอยู่ในวัยห้าสิบซึ่งนับว่าน้อยมากสำหรับตำแหน่งอันเกริกเกียรติเช่นนี้ แต่เขาช่างคล่องงานราวกับอยู่มานานและดูเหมือนว่าจะคงยึดปักหลักอยู่ในตำแหน่งนี้ไปตลอดนานเท่านาน ในทีมทำงานของบุคคลเหล่านี้ ไม่เคยอ่อนข้อ หรือก้มหัวให้ใคร เพราะพวกเขาถือหน้าที่เป็นพระเนตรให้กับสมเด็จพระราชินีอย่างเคร่งครัด หากแต่ไม่ค่อยสนใจทำหน้าที่เป็นพระกรรณให้   อย่างในสมัยสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ซึ่งพระสวามีคือเจ้าชายอัลเบิร์ต ก็ยังถูกพวกคณะกรมวังรังเกียจเดียดฉันท์เรียกพระองค์ว่า "เจ้าชายเยอรมันคนนั้น" หรือ บางทีก็ "สายลับเยอรมัน" (เนื่องจากเจ้าชายอัลเบิร์ตเป็นเชื้อพระวงค์จากเยอรมัน) ซึ่งความจริงในข้อนี้ ท่านดยุค  เจ้าชายฟิลลิป ก็พยายามที่จะจัดระบบกรมวังเสียใหม่ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง..ให้ทำหน้าที่ที่เหมาะสมแก่ตำแหน่ง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จใดๆ.. เพราะดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า พวกเขาทั้งหลายนั่น ถือว่ามีเจ้านายเพียงคนเดียว คือ สมเด็จพระราชินีอลิซาเบ็ธเท่านั้น หมายเหตุอีกที.. แม้แต่ท่านดยุคเองก็ยังโดนพิษสงของคณะสูทสีเทาที่ว่านี้ด้วย จะเล่าให้ฟังในทีหลัง.. วิวันดา จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 14:52:57 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ยามที่ เจ้าหญิงไดอะน่าได้เข้ามาเป็นสมาชิกคนใหม่ของ วินเซอร์ในปี 1981นั้น เธอได้ถูกต่อต้านจากคณะสูทสีเทาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ด้วยสาเหตุสามประการคือ หนึ่ง เธอไม่ใช่เจ้า สอง เธอเป็นที่นิยมจากวงการสื่อ จนกลายมาเป็นฐานอันแข็งแรงที่จะต่อสู้โต้ข่าว หรือ สร้างข่าว เพราะอิทธิพลในความป๊อบปูล่าร์ของเจ้าหญิงที่สามารถบันดาลให้ใครก็ตาม ที่มีข่าวความเคลื่อนไหวของพระองค์จนนำมาลงตีพิมพ์ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีขึ้นในเพียงข้ามคืน สาม เธอไม่ใช่หญิงขี้อาย ไร้เขี้ยวเล็บอย่างที่ใครต่อใครคิด ซึ่งสามสาเหตุนั้น ก็นับว่าเป็นการยากยิ่งต่อคณะกรมวังที่จะเข้ามาดูแลหรือควบคุมได้ ต่อมา..ยิ่งดูเหมือนว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะชนะเจ้าหญิงไดอะน่า ยิ่งมีน้อยลงทุกที เพราะ พระองค์อยู่ในฐานะ พระมารดาของกษัตริย์อังกฤษต่อไปในอนาคต ฉะนั้น เป้าหมายการโจมตีก็มาลงตัวที่ ดัชเชส ออฟ ยอร์ค ลูกสะใภ้คนที่สอง เริ่มมาจากการแต่งกายที่ไม่เหมาะสมในหลายๆกรณีจนกระทั่ง ครั้งหนึ่งได้รับการโหวตจากบางโพลว่าเป็น "หญิงที่แต่งตัวแย่ที่สุดในโลก" ซึ่งในความจริงนั้น ดัชเชสได้เล่าว่า ปัญหาที่ไม่ลงตัวในเรื่องนี้นั้น มาจากเงินรายได้ ..นับตั้งแต่แต่งงานมา เจ้าชายแอนดรูว์ทรงได้รับเงินเดือนทางเดียวจาก การเป็นทหารเรือ นั่นคือเพียง $ 50,000  ต่อปี ซึ่งพระองค์ไม่เคยต้องเดือดร้อน เพราะทุกอย่างถูกจัดใส่พานมาถวายอย่างเรียบร้อย เมื่อทรงมีครอบครัว รายจ่ายต่างๆภายในบ้านมีมากมาย ไม่รวมไปถึงค่าเสื้อผ้าออกงานที่ราคาแพงระยับ บางชุดอาจมีราคาถึง $ 4,000 นั่นหมายถึงเบี้ยเลี้ยงรายเดือนหายวับไปกับตา แต่สิ่งที่มาช่วยให้ทุกอย่างสะดวกขึ้น นั่นคือ บัตรเครดิตจากธนาคาร Coutt อันเป็นธนาคารของสำนักพระราชวัง ที่ดัชเชสสามารถรูดใช้ได้อย่างไม่จำกัดวงเงิน ซึ่งเธอได้ใช้บัตรเครดิตนี้ในรายจ่ายต่างๆของการเป็น "สะใภ้หลวง" เช่น การแจกของขวัญพนักงานรับใช้ในทุกแผนกในวันเทศกาล  การตกแต่งบ้านที่แคสเซิลวู๊ด ซึ่งต่อมาก็ได้ย้ายไปปลูกบ้านใหม่ที่ ซันนิ่งฮิลล์ ปาร์ค บนที่พระราชทาน บนปี 1990 และวลีที่ว่า ของฟรีไม่มีในโลกนั้น..มันเป็นจริงเสียยิ่งกว่าจริง เพราะในยามที่เธอได้แยกทางกับเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ในปี 1992 นั้น..เธอถูกเรียกเก็บหนี้ในจำนวนหลายแสนเหรียญ ! จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 14:55:24 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คำถามต่อมาที่ใครต่อใครกระหายอยากรู้กันนัก นั่นก็คือ หนี้สินเหล่านั้นมันมาจากไหน หรือมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? ดัชเชสไม่รีรอเลยที่จะแจงให้ทราบแบบล้วงลึกว่า ส่วนหนึ่งคือค่าตกแต่งบ้านทั้งสองหลังคือที่ แคสเซิลวู๊ด และ ที่ซันนิ่งฮิลล์ ปาร์ค ที่เพิ่งย้ายเข้าไปในปี 1990 ที่เหลือคือ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของการเดินทางไปพักผ่อนยังที่ต่างๆทั้งครอบครัวซึ่งรวมไปถึงพระธิดาเล็กๆทั้งสอง   เธอเล่าว่า การเดินทางของเธอไม่ว่าจะเป็นในหรือนอกประเทศ เธอไม่รีรอที่จะจ่ายราคาเต็มของตั๋วโดยสารชั้นหนึ่งเพื่อความสะดวกสบาย เรื่องที่จะบุ๊คตั๋วราคาชั้นประหยัดแล้วมานั่งรอให้ทางบริษัทสายการบินพาไปในนั่งชั้นพิเศษ(แบบพระราชวงค์บางพระองค์เคยปฏิบัติ)นั้น เธอไม่เคยกระทำและไม่เคยคิดที่จะทำ หรือ แม้แต่ของขวัญหรือสินน้ำใจที่จะต้องให้ตอบแทนแก่พนักงานที่มีร่วม 250 คน เช่นการจัดงานเลี้ยงในเทศกาลสำคัญๆ เธอก็จัดแบบเต็มที่แบบไม่ต้องเกรงใจงบประมาณ โดยไม่ยึดแบบแผนประหยัดอย่างที่ในวังได้เคยปฏิบัติมาติดต่อมานานเดิมๆนับสิบๆปี เช่น เสริฟเหล้าเชอร์รี่ถ้วยเล็กๆ พร้อมกับขนมปังใส้กรอกชิ้นจิ๋วคนละชิ้นสองชิ้น.. งานของเธอมักจะมีการแจกของขวัญที่เป็นเรื่องเป็นราว รวมทั้งอาหารเหล้ายาปลาปิ้งแบบไม่อั้น เรื่องเสื้อผ้าก็อีกเช่นกัน..ที่จำเป็นต้องซื้อต้องหาเพราะครั้งหนึ่งที่เธอได้รับการอนุเคราะห์จากห้องเสื้อที่ต้องการจะสร้างชื่อเสียงในด้านโฆษณายกระดับ พอพวกสื่อต่างๆพอรู้เข้า..ต่างก็รุมประนามให้สมญาว่า "ดัชเชส ออฟ ยอร์ค เจ้าแม่คันไถ" หรือ "เฟอร์กี้ ขี้ขอ" ซึ่งพวกนักข่าวปากเสียเหล่านั้นไม่เคยมาล่วงรู้เลยสักนิดว่า งบประมาณค่าใช้จ่ายส่วนนี้ของเธอนั้นมันมากมายเพียงใด รายได้ก็ไม่ได้มีมาจากไหน นอกจากจากบัญชีบัตรเครดิตของธนาคารแห่งสำนักพระราชวังนั่นเอง จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 14:59:55 ]

ความคิดเห็นที่ 8 พื้นฐานของความสั่นคลอนในชีวิตสมรสของเธอกับเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์นั้น..ดัชเชสได้ซึมซับดีด้วยตัวเองจนถึงกับเคยสั่งสอนเพื่อนฝูงวงในใกล้ชิดว่า เป็นตายอย่างไร  จงอย่าแยกกันอยู่ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เธอสามารถย้อนหลังไปได้ถึงความผิดพลาดที่ ทั้งเธอและพระสวามีมีเวลาพบกันเพียงหนึ่งวันในสิบวัน ไม่นับเวลาห้าวันของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ และไม่ว่าเธอจะบ่นหรือร้องขอเช่นใด คำตอบเด็ดขาดที่ได้จากพระองค์ นั่นคือ "ฟังนะที่รัก..ฉันมีหน้าที่ที่สำคัญเรียงตามลำดับใหญ่เล็กต่อไปนี้..คือ หนึ่ง...ฉันเป็นเจ้าชายพระโอรสของสมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร   สอง..ฉันคือทหารเรือที่ต้องปฏิติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย  สาม..ฉันคือ สามีของคุณ" นั่นหมายความว่าอันดับได้ถูกจัดให้เห็นชัดเจนแล้วว่า.. หน้าที่"สามี"นั้นอยู่ในลำดับเล็กที่สุด แต่ใช่ว่าเธอจะยอมแพ้..ต้นปี 1987 ขณะที่เจ้าชายแอนดรูว์ต้องไปประจำการที่ปอร์ตแลนด์ และเธอได้คิดว่า เธอน่าจะลองขอย้ายตามไปอยู่ด้วยเป็นกรณีพิเศษในฐานะภริยาของนายทหารพระโอรสซึ่งแต่ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับพระราชวินิจฉัย ดัชเชสจึงนำเรื่องนี้ไปกึ่งปรารภกึ่งขออนุญาตกับสมเด็จพระราชินีและท่านดยุค เจ้าชายฟิลลิป ว่า.. "หม่อมฉันไม่สามารถจะทนสภาพของครอบครัวที่พลัดพรากห่างเหินอย่างนี้ได้อีกแล้วเพคะ..ถ้าเป็นไปได้..." ไม่ทันที่เธอจะพูดให้จบประโยค คำตอบคือ การปฏิเสธ  แต่ดัชเชสก็ยังไม่สิ้นความพยายาม "การปฏิบัติงานเพื่อสนองพระราชเสาวนีย์ที่ปราศจากพระสวามีคอยให้ความดูแลและชี้แนะอย่างหม่อมฉันนั้น มันไม่ง่ายเลยเพคะ" ท่านดยุค แห่ง เอดินเบอร์ค เจ้าชายฟิลลิป ทรงตรัสอย่างเด็ดขาดว่า "ผู้หญิงคนอื่นๆ(หมายถึงพระราชนิกูลแห่งสายตระกูลเมาท์แบตแทนส์)เขายังทำได้ แล้วหล่อนเป็นอะไร..ถึงจะทำไม่ได้น่ะ" นั่นคือ คำตอบสุดท้ายที่ไม่ต้องมีการอุทธรณ์กันอีกต่อไป จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 15:03:28 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ดัชเชสได้แต่นึกเสียดายโอกาสเก่าๆที่เคยมี..เมื่อครั้งที่ความรักยังหวานชื่นึ่งเธอน่าจะมีความเข้มแข็งพอที่จะออดอ้อนขอให้พระสวามีลาออกจากการเป็นทหารและหันมาปฏิบัติภาระกิจในด้านอื่นๆแทน (เท่าที่เห็นๆก็มีอยู่มากมายจนทำกันไม่หวัดไม่ไหว) แน่นอน..พระองค์อาจจะขัดข้องขัดขืนบ้างในระยะแรกๆแต่เธอเชื่อว่าทุกอย่างก็จะเรียบร้อยในที่สุด รวมทั้งชีวิตแต่งงานที่คงดำเนินไปด้วยความราบรื่นจนถึงทุกวันนี้.. แต่ทว่าในยามนั้น เธอขลาดเขลาจนเกินไป อีกทั้ง ในสภาพสามัญชนอย่างเธอที่มีโอกาสได้เข้าพิธีแต่งงานกับเจ้าชายผู้ทรงเสน่ห์อย่างเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ก็นับว่าเป็นบุญเกินตัวมากพออยู่แล้ว ใครเล่าจะบังอาจเรียกร้องขอโน่นขอนี่ได้อีก เส้นทางของเธอจึงได้ถูกกำหนดให้เดินตามไปอย่างเคร่งครัด แต่..ใครเล่าจะเปลี่ยนนิสัยหญิงผมแดงที่ชื่อ เฟอร์กี้ คนนี้ได้  ความที่ได้เจริญเติบโตมาในครอบครัวที่แตกแยก อีกทั้งการที่ได้ผจญชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อย่างอิสระเยี่ยงเด็กสมัยใหม่ทำให้เธอมีทั้งความแกร่ง ห้าว และหัวดื้ออยู่อย่างเต็มเปี่ยม ตำแหน่ง ดัชเชสหรือ พระชายา ที่ใช้นำหน้าชื่อในฐานะสมาชิกของพระราชวงค์ที่เกริกเกียรติไม่สามารถดัดแปลงหรือกล่อมเกลาเธอได้เลยแม้แต่นิด ฉะนั้น..ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองได้เริ่มแยกออกห่างจนแทบประสานไม่ติดในปี 1989 เพราะสาเหตุเพียงสองประการคือ หนึ่ง..เธอไม่เคยเล่าถึงความคับแค้นที่มีอยู่ในใจให้พระองค์ทราบ สอง..ถึงเธออยากจะเล่า..แต่..ไม่สามารถเรียบเรียงข้อความในใจให้ออกมาเป็นถ้อยคำได้ เพราะเธอเองก็ยังสับสนไม่รู้จะเริ่มต้นที่ตรงไหน หลายต่อหลายครั้งที่มีโอกาสที่อยู่ด้วยกันในห้องส่วนตัว ดัชเชสเคยนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น เจ้าชายแอนดรูว์พระสวามีได้เข้ามาถามด้วยความอ่อนโยนว่า "ที่รัก เธอร้องไห้เสียใจอะไรหรือจ๊ะ?" "ไม่มีอะไรเพคะ  หม่อมฉันสบายดี" แล้วเธอก็รีบเช็ดน้ำตา เก็บปากคำนิ่งไม่สามารถทูลข้อความที่อาจจะทำให้พระองค์ไม่สบายพระทัยนอกเหนือไปจากภารกิจอันแสนหนักอึ้งที่ทรงมี เธอจะอธิบายให้พระองค์ทราบได้อย่างไรว่า ในฐานะภริยาของนายทหารเรือพระโอรส เธอจะมีเพื่อนที่เป็นเพศตรงข้ามก็ดูไม่งาม..เป็นการไม่เหมาะไม่ควร   และในฐานะดัชเชส ออฟ ยอร์ค เธอไม่สามารถมีเพื่อน แท้ที่ไวัใจพอพูดจาความนัยได้เลย เพราะ จากบทเรียนเข็ดเขี้ยวที่เคยได้รับ นั่นคือ ข้อความการสนทนามักรั่วสู่หูของนักข่าวพร้อมกับการแต่งเติมป้ายสีจนผิดเพี้ยนไปจากความจริง เพื่อนหน้าใหม่ๆในสังคมระดับเท่าเทียมนั้น  ดัชเชสก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าช่างมีมากมาย ก็ใครเล่า..ที่ไม่อยากรู้จักมักจี่กับสะใภ้หลวงที่มีนิวาสถานอยู่ในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮม แต่เพื่อนเหล่านี้จะอยู่รายล้อมหนาแน่นแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับกระแสข่าวความนิยมที่ขึ้นลงของเธอโดยวัดจากข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ของแต่ละวัน ส่วนเพื่อนเก่าที่เคยมี..ก็โดนกฏระเบียบวังคุมเข้มจนหายหน้าไปทีละคน..สองคน จนแทบไม่เหลือ พระสวามีจะเข้าใจได้อย่างไรว่า..ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นพระชายาของพระองค์กำลังเหงาเศร้าสร้อยอย่างสุดฤทธิ์ จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 15:08:57 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จนกระทั่ง..ในเดือนพฤศจิกายน 1989 ในขณะที่ดัชเชสกำลังต้องครรภ์ได้สี่เดือน เธอได้รับเป็นแขกเชิญของ Lynn Wyatt ให้ไปร่วมเป็นเกียรติในงานมหาอุปรากรที่เมือง ฮุสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใช้เวลาพำนักอยู่ในคฤหาสน์หรูของเจ้าภาพเป็นเวลาถึงห้าวัน ที่ตลอดโปรแกรมนั้นอัดแน่นไปด้วยการท่องเที่ยวไปยังสถานยานอวกาศนาซ่า ไปเยี่ยมพบนายกเทศมนตรี สนุกสนานกับอุปรากร The Mikado และขาดเสียไม่ได้คือ ปาร์ตี้ย่างปิ้งแบบบาร์บีคิวสไตล์เท๊กซัส ที่นั่น เธอได้พบกับเพื่อนใหม่..เขาคนนั้นคือ Steve Wyatt ลูกชายของ Lynn เจ้าภาพนั่นเอง จากการพบปะพูดคุยเพียงแค่ไม่กี่นาที คนทั้งสองก็คุ้นเคยสนิทสนมกันราวกับเป็นเพื่อนเก่ามานานนับสิบๆปี อาจเป็นเพราะว่า รสนิยมต้องกันในทุกเรื่องๆ และดูเหมือนชาวอเมริกันเหล่านั้นไม่แคร์เลยสักนิดในเรื่องยศเรื่องศักดิ์ที่เธอได้แบกเอามาเต็มทั้งสองบ่า ทุกคน"ชอบ"เธอเพราะว่าเป็นเฟอร์กี้ผู้เปิดเผยเฮฮา หาใช่ เพราะความเป็นดัชเชส ออฟ ยอร์ค สะใภ้หลวงไม่ ขากลับไปลอนดอน ดัชเชสได้ถือโอกาสแวะที่มหานครนิวยอร์คเพื่อปรึกษาในเรื่องการจัดพิมพ์หนังสือนิทานเด็กเรื่อง Budgie ที่เธอแต่งเอง โดยใช้จินตนาการจากความสามารถในการขับเฮลิคอปเตอร์ของเธอให้เป็นประโยชน์ เพราะ นี่คือช่องทางที่อาจทำรายได้จำนวนไม่น้อยเพื่อมาเสริมสภาพเศรษฐกิจที่กำลังง่อนแง่นของเธอ เมื่อกลับไปถึงลอนดอน เธอรีบบึ่งรถไปที่ปอร์ตแลนด์เพื่อที่จะใช้เวลาอยู่กับพระสวามีให้หายคิดถึง หรือเพื่อที่จะสานสัมพันธ์ให้แนบแน่นใกล้ชิดเหมือนเดิม แต่..งานนี้ดัชเชสก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า เพราะ เจ้าชายแอนดรูว์ไม่สามารถปลีกพระองค์มาร่วมด้วยได้เนื่องจากภารกิจที่กำลังทรงอยู่ มาถึงฤดูหนาวของปีนั้น  ผองเพื่อน(จากอเมริกา)ได้ขอร้องให้ดัชเชสช่วยต้อนรับแขกคนสำคัญที่จะมาเยือนอังกฤษ เขาผู้นั้นคือ Dr. Ramzi Salman นักธุรกิจค้าน้ำมันชาวอิรักระดับต้นๆ จุดประสงค์ของการต้อนรับนั้นเป็นไปแบบไปรเวท ไม่ต้องมีพิธีรีตองทางการทูตแต่อย่างใด จากประสบการณ์ของการเป็นสมาชิกในพระราชวงค์ ทำให้ดัชเชสรู้ดีถึงขั้นตอนแห่งพิธีการว่า สิ่งแรกที่เธอต้องทำนั่นคือ การติดต่อกับฝ่ายกรมวังเพื่อแจ้งให้ทราบและขออนุญาตในการผ่านเข้าออก ซึ่งคำตอบกลับมาว่า ไม่มีปัญหา และยังแนะนำให้ใช้ห้องรับแขกสีขาวของพระราชวังมากกว่าการที่จะใช้ห้องทานข้าวในหน่วยที่พักของเธอ(ตามแผนเดิม) อีกทั้งช่วยจัดการทำผังการต้อนรับให้ว่า แขกจากอิรักสมควรที่จะเดินเข้ามาทางประตูใหญ่สู้ห้องรับแขกสีขาวที่ว่า ควรมีการรับรองพบปะ พูดคุยเรื่องครอบครัวของกันและกัน เลี้ยงเครื่องดื่ม ซึ่งเธอได้ทำตามคำแนะนำ และตลอดเวลาของการสนทนานั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายกรมวังได้นั่งประกบรับฟังอยู่ในห้องด้วยตลอด   ทั้งหมด..ดัชเชสไม่เคยเอะใจ หรือ สังหรณ์เลยสักนิดว่า นี่คือ หลุมพรางที่ถูกขุดล่อไว้อย่างแยบยล เพราะหลังจากนั้น..เธอได้ถูกโจมตีอย่างหนักของการพบปะกับอาคันตุกะจากอิรักทั้งจากสื่อและจาก"เบื้องบน"แบบอภัยให้ไม่ได้ ความผิดครั้งนี้คงโทษใครไม่ได้นอกจากความโง่เขลาเบาปัญญาของเธอเองที่ไม่มี"ความรู้รอบตัว"เลยสักนิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่า เมื่อ หกเดือนก่อนนั้นอิรักภายใต้การนำของซัดดัม ฮุสเซนได้ยกทัพเข้าไปรุกรานประเทศคูเวตเพื่อเข้ายึดครองฐานน้ำมันอันเป็นภัยต่อชาวโลกตะวันตกทั้งหมด   ที่เลวร้ายไปกว่านั้น ....... นั่นก็คือ กษัตริย์ของคูเวตประเทศผู้ถูกรุกรานคือพระสหายสนิทของสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบ็ธพระราชินี ที่กำลังจะเตรียมตัวเข้ามาขอลี้ภัยพำนักชั่วคราวในประเทศอังกฤษ ฉะนั้น..หลุมพรางที่ขุดล่อนั้น..ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเกินความคาดหมาย   เพราะ มันไม่เพียงแต่ทำให้เธอตกโครมลงไปเท่านั้น หากแต่มันสามารถกลบฝังให้อย่างเรียบร้อย จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 15:14:30 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ในเดือนมีนาคม 1990 ดัชเชสได้ถูกเรียกทางโทรศัพท์จาก Mr. Z หัวหน้ากรมวังชั้นผู้ใหญ่ให้ไปพบที่สำนักงานเวลา 11 โมงเช้า ซึ่งนับว่าเป็นการผิดปรกติ เนื่องจากระหว่างเธอและเขาแทบไม่มีธุระที่ต้องประสานกันเลย   ซึ่งการผิดแปลกในครั้งนี้ได้สร้างความประหวั่นให้กับเธอพอสมควรเพราะมันต้องไม่ใช่ข่าวดีแน่นอน ตอนนั้นเธอได้ตั้งครรภ์ได้แปดเดือนครึ่งจวนคลอดรอมร่อ แต่ สำนักงานของกรมวังที่ต้องไปพบนั้นอยู่ห่างไกลเกือบครึ่งไมล์โดยการเดินไต่ไปตามระเบียงทอดที่ยาวเหยียด แต่กระนั้น เธอก็สามารถพาตัวไปถึงที่นั่นตรงเวลานัดหมาย นอกจาก Mr.Z แล้วยังมีกรมวังผู้ใหญ่อยู่รวมด้วยอีกสองคน ซึ่งคนทั้งหมดมีสีหน้าเคร่ง สายตาจับจ้องมาที่เธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ Mr.Z ได้เปิดการประชุมด้วยประโยคที่ว่า "เราอยากจะคุยถึงเรื่องนิสัยและการปฏิบัติตัวที่ไม่เหมาะสมของเธอ" "ในข้อไหนคะ?" ดัชเชสได้ย้อนถามไปด้วยความสงสัย แต่ประโยคคำถามของเธอเปรียบเสมือนกับการแหย่รังแตน เพราะคนทั้งสามนั้นเกิดอการกราดเกรี้ยวขึ้นมาแบบทันควัน ทั้งหมดทำงานแบบมีการประสานข้อมูลกันมาก่อนล่วงหน้า เพราะข้อหานั้นสอดคล้องกันอย่างไม่มีที่ติ เช่นว่า.. เธอบังอาจพาอาคันตุกะที่ไม่พึงปรารถนา(หมายถึง Dr. Salman จากอิรัก) เดินเข้าออกในประตูช่องทางเสด็จที่จัดเฉพาะสำหรับสมเด็จพระราชินี และ ครั้งหนึ่งเธอบังอาจใช้พระราชยานยนตร์บรรทุกส่วนพระองค์ไปในการช่วยเพื่อนขนเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้าน เมื่อพูดถึง"เพื่อน" เหล่ากรมวังได้ประกาศตูมลงมาว่า เพื่อนใหม่ชาวอเมริกันของเธอนั้น ไม่สมควรที่จะคบหากันต่อไป เพราะเป็นการไม่เหมาะสม และที่ถือว่าเป็นความผิดชนิดใหญ่หลวงนอกเหนือไปกว่านั้น.. นั่นก็คือ  การกระทำต่างๆดังกล่าวของเธอตามข้อหานั้นมันหมายถึงการสิ้นความเกรงพระทัยต่อความกรุณาปราณีที่สมเด็จพระราชินีได้ประทานมาให้ หรือจะพูดกันง่ายๆว่า มันคือการประกาศ"ตัดเชือก" ว่าดัชเชสไม่สมควรต่อการเป็น"ผู้รับ"พระเมตตาอีกต่อไป !! จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 15:16:58 ]

ความคิดเห็นที่ 12 พักก่อน..ลาไปนอนน่ะ เที่ยงคืนกว่าแล้วววว... จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 15:17:49 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ทำไมมันช่างโหดร้ายเหลือเกิน จากคุณ : ต้นลูกตาล - [ วันแม่แห่งชาติ 16:10:52 ]

ความคิดเห็นที่ 14 Phew..... Life is hard ka.... จากคุณ : horseshoes - [ วันแม่แห่งชาติ 16:43:38 ]

ความคิดเห็นที่ 15 รอติดตามอยู่นะคะ ^ ^ จากคุณ : เมี๊ยวหง่าว - [ วันแม่แห่งชาติ 17:23:18 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ...??..??.. จากคุณ : noinop - [ วันแม่แห่งชาติ 18:24:58 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พวกสื่อมวลชนนี่ ถ้าไม่มีสำนึก ก็สามารถทำลายคนได้เลยนะเนี้ยะ จากคุณ : กริชครับผม - [ วันแม่แห่งชาติ 23:02:27 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คำพิพากษาของเหล่าเสนาบดีกรมวังชั้นผู้ใหญ่นั้นย่อมถูกเสมอ เพราะพวกเขาอยู่ในฝ่ายที่ว่าไม่เคยทำอะไรผิดหรือ"ไว้หน้าไผู้ใดตั้งแต่ไหนแต่ไร   เจ้าฟ้าชายชารลส์เคยตรัสกับเธอว่า "คนพวกนี้น่ะ จำไว้เถอะว่า เราจ้างเขามาก็จริงแต่ไม่ใช่ในฐานะลูกจ้าง หากแต่เอามาเป็นนายเหนือหัวเชียว" คำตำหนิติเตียนที่กระหน่ำเข้ามาทำเอาดัชเชสถึงกับตกตะลึง ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทันทีที่รวบรวมสติได้ จึงได้ถามกลับไปด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า "ดิฉันอยากทราบว่า สมเด็จฯได้ทรงทราบบ้างไหมว่าพวกท่านได้ถือโอกาสตำหนิดิฉันอย่างรุนแรงและไม่เป็นธรรมอย่างนี้" คำตอบที่สวนกลับมานั่นก็คือ "ทรงทราบดี..และข้อกล่าวหาทุกข้อได้ผ่านดุลยพระราชวินิจฉัยอย่างเรียบร้อย" สิ้นเสียงนั้น เปรียบเสมือนประกาศิตจากฟากฟ้าที่ทำให้เธอได้รู้สึกช๊อคจนหาทางกลับที่พักบนชั้นสองแทบไม่ถูก หนทางระเบียงที่ทอดยาวนั้นมีระยะทางยาวเหมือนกับเป็นร้อยๆไมล์ที่เธอต้องกัดฟันเดินอุ้มท้องกลับด้วยความร้าวรานในใจราวกับถูกโบยตีด้วยเเส้หวาย เจ็บอะไรก็ไม่เหนือไปจากอาการชอกช้ำใจอย่างสุดทรมานจากบุคคลใต้บังคับบัญชาของสมเด็จพระราชินี ที่เธอได้เรียกขานว่า "Mama" เพียงอีกไม่กี่หลาก็จะถึงที่พัก..เธอก็ทรุดตัวฮวบกองอยู่ตรงนั้น โชคดีที่นางกำนัล เจน แอมเบลอ ได้ออกมาพบและให้ความช่วยเหลือพากลับที่พักที่แคสเซิลวู๊ดตามคำขอร้องของดัชเชสอย่างทุลักทุเล ที่นั่น..เธอได้นอนซมอยู่บนเตียงด้วยความระทมใจถึงสองวันเต็ม ในที่สุด..เธอได้รวบรวมความกล้าขอเข้าเฝ้ากับสมเด็จพระราชินีในเช้าวันอาทิตย์เพื่อกราบบังคมทูลถามเรื่องที่เกิดขึ้นให้หายข้องใจ..และหลังจากที่เล่าเรื่องจบลง พระองค์ทรงตรัสแบบสบายๆว่า "งั้นเหรอ..ฉันไม่เห็นรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยนี่" ไม่ว่าจะทรงทราบหรือไม่ก็ตาม แต่ความทุกข์ระทมใจของเธอได้ส่งผลไปยังทารกในท้องที่ใกล้จะประสูติ เพราะผลตรวจออกมาเห็นได้ชัดว่า เด็กหันหัวกลับขึ้นราวกับไม่เต็มใจที่ออกมาดูโลก ดังนั้นการคลอดแบบธรรมชาติอย่างครั้งของเจ้าหญิงเบียทริซพระธิดาองค์โตนั้นเป็นไปไม่ได้   คณะแพทย์จึงต้องตัดสินใจลงมือผ่าตัดทำคลอดในวันศุกร์ที่ 23 มีนาคม คือวันที่พระธิดาองค์น้อยๆ ได้ประสูติในเวลาสองทุ่มซึ่งพระบิดาได้เสด็จจากฐานภารกิจมาทันประทานพระนามให้ว่า เจ้าหญิงยูจีนี จากคุณ : WIWANDA - [ 13 ส.ค. 48 00:41:59 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อครอบครัวเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น..บ้านที่แคสเซิลวู๊ดนั้นเริ่มเล็กไป อีกทั้งมันเป็นบ้านที่ได้รับการอนุเคราะห์ชั่วคราวจากพระราชินีนูร์แห่งจอร์แดน จึงสมควรแก่เวลาที่ครอบครัวแห่งยอร์ค ต้องหาที่อยู่ใหม่ให้สมตามฐานะและสิทธิของเจ้าชายพระโอรสอันพึงจะได้รับจากพระมารดาสมเด็จพระราชินี ดัชเชสได้พยายามเลือกเฟ้นหาทำเลที่เหมาะสมในละแวกเดียวกัน  แต่มันช่างเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง.. ในที่สุดก็ได้รับพระราชทานที่ดินในแขวง Sunninghill Park ที่มีตำแหน่งไม่ไกลจากวินเซอร์ ปาร์คมากนัก อีกทั้งอยู่ติดกับทะเลสาบเล็กๆที่งดงามซึ่งแผนงานสร้างพระตำหนักใหม่นั้นได้สร้างความตื่นเต้นให้กับดัชเชสเป็นอย่างมาก เพราะ นี่คือสิ่งที่เธอได้โหยหามาตลอดชีวิตของการแต่งงาน เธอได้เลือกแบบบ้านในสไตล์วิคตอเรียกลายๆที่ไม่ทึมทึกอับลมอย่างแต่ก่อน และในเนื้อที่ห้าเอเคอร์เต็มนั้นมากพอที่จะเนรมิตสวนป่าธรรมชาติเล็กๆได้อย่างสวยงาม การที่ดัชเชสยอมใช้จ่ายเงินไปอย่างมากมายนั้นเพราะ..ทั้งเจ้าชายและดัชเชสถือว่านี่คือวิมานแหล่งสุดท้ายของครอบครัวที่จะอยู่อย่างมีความสุขด้วยกันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก แต่แล้ว..จู่ๆฝ่ายการเงินของสำนักพระราชวังได้หยุดการให้การสนับสนุนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยด้วยเหตุผลว่า หมดงบประมาณเพียงเท่านี้ ทั้งๆที่สระว่ายน้ำ สนามเทนนิสยังสร้างไม่เสร็จ ตัวบ้านก็ยังอยู่ในระห่างการตกแต่งขั้นสุดท้าย  สวนสวรรค์ก็ยังอยู่แค่การเกลี่ยหน้าดิน กำแพงยังล้อมไม่ครบด้าน.. กว่าจะปะติดปะต่อดึงหน้ามาแปะหลัง มารู้ตัวอีกที..ดัชเชสไม่มีเงินแม้แต่จะสั่งทำผ้าม่าน  เงินที่ได้จากลิขสิทธิ์พิมพ์หนังสือเด็ก Budgie นั้นต้องถูกนำเอาออกมาใช้...แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เธอจึงต้องเบิกเงินเกินบัญชีไปอีกหลายแสนปอนด์เพื่อที่จะให้บ้านในความฝันได้ดำเนินการสร้างต่อไปจนแล้วเสร็จ ดังนั้น..การหาเงินมาอุดหนุนจุนเจือจึงต้องกระทำเป็นการด่วน จังหวะนั้นก็ให้เผอิญได้ประจวบกับการติดต่อมาของหนังสือนิตยสารไฮโซเชื้อสายสเปนที่มีชื่อว่า "Hello" ที่มีความประสงค์ที่จะขอทำสกู๊ปพิเศษเกี่ยวกับพระตำหนักใหม่และเบื้องหลังชีวิตการเป็นอยู่ของครอบครัวดยุคและดัชเชสแห่งยอร์ค และเสนอให้ค่าตอบแทนถึง 0,000 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ภาพทั้งหมดจะถูกถ่ายโดยช่างภาพที่เป็นพระสหายสนิทของเจ้าชายแอนดรู์โดยตกลงกันแค่การตีพิมพ์ภาพที่สมควรเพียงห้าหรือหกหน้าเท่านั้น..ซึ่งทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี แต่เมื่อนิตยสารได้ตีพิมพ์ออกมาวางตลาดในเดือนสิงหาคม การณ์ทุกอย่างได้กลับกลายสิ้น..ภาพถ่ายได้ออกตีพิมพ์ทั้งสิ้นกว่า 75 ภาพ  ทั้งหมดอัดเต็มใน 48 หน้านิตยสาร และการจัดจำหน่ายออกวางไปทั่วยุโรป ภาพที่ตีพิมพ์นั้น..ความจริงก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าภาพกิจกรรมครอบครัวที่มีเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์กำลังเล่นน้ำอยู่ในสระกับพระธิดาองค์ใหญ่ หรือกำลังโยนลูกบอลให้กับสุนัข ส่วนดัชเชสเองกำลังทาโลชั่นให้กับเจ้าหญิงยูจินีพระธิดาองค์น้อยซึ่งยังมีพระชันษาเพียงแค่สี่เดือน และแน่นอนว่า ร่างน้อยๆนั้นกำลังเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ใดๆ จากคุณ : WIWANDA - [ 13 ส.ค. 48 00:45:38 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ทันทีที่นิตยสารนั้นได้แพร่กระจายออกไป เสียงสะท้อนในด้านลบจากสื่ออังกฤษได้ออกโจมตีอย่างอื้ออึง ยักษ์ใหญ่อย่าง Harold Brooks-Baker ได้กล่าวว่า "ไม่น่าเชื่อว่าการกระทำที่แสนทุเรศนั่นจะมาจากครอบครัวของพระราชวงค์เอง" ส่วนท่านผู้หญิง Barbara Cartland นักเขียนชื่อดังได้กล่าวตำหนิว่า "เราไม่ต้องการเห็นพระราชวงค์ต้องมัวหมองด้วยการกระทำที่ไร้สติเยี่ยงชนไร้การศึกษาเช่นนี้" เสียงก่นด่ายังมีตามมาอีกมากมายเพราะไม่เคยเลยที่จะมีครั้งไหนที่ภาพอันสมควรแก่การเป็นความลับเฉพาะในครอบครัวของพระราชวงค์ต้องถูกนำมาประจาน ต่อสายตาของประชาชนชาวโลกอย่างปราศจากการกรั่นกรอง เพียงแค่ต้องการเงินอันเป็นสิ่งตอบแทน   นี่คือ การเสียหน้าและเสียศักดิ์ศรีของชาวอังกฤษที่บูชาสถาบันพระราชวงค์เหนือสิ่งอื่นใด !!! จากคุณ : WIWANDA - [ 13 ส.ค. 48 00:47:12 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เจ้าชายแอนดรูว์ไม่ได้ประทับอยู่ในตอนที่นิตยสารแพร่ออกมา พระองค์ได้เสด็จออกไปกับเรือรบหลวงสู่ท้องทะเลตามหน้าที่ หน้าที่ของการเข้าอธิบายและเข้าสู้พระพักต์สมเด็จพระราชินีจึงตกเป็นหน้าที่ของดัชเชสแต่เพียงผู้เดียว โอกาสนั้นคือ สิบวันในการทัศนาจรพักผ่อนล่องเรือ ยอร์ชบริแตนเนียกับพระราชวงค์ และสิบวันนี้เอง..ที่เธอได้รับฟังแต่การตำหนิของกลุ่มกรมวังชั้นผู้ใหญ่ชุดเดิมที่จงใจโยนความผิดทั้งหมดให้กับเธอแต่ผู้เดียว ทั้งๆที่..ในเจ็ดสิบกว่าภาพนั้นส่วนใหญ่คือภาพรอยพระสรวลอย่างกว้างขวางเต็มไปด้วยความสุขของเจ้าชาย แอนดรูว์ แต่ในฐานะที่พระองค์เป็นพระโอรสย่อมอยู่เหนือคำตำหนิติเตียนทั้งปวง ฉะนั้น..แพะที่มีนามว่าเฟอร์กี้จึงต้องรับไปเต็มๆแต่ผู้เดียว และเหตุการณ์ครั้งนี้ใช่ฟางเส้นสุดท้ายบนหลังลาหรือก็เปล่า ถ้าจะเปรีบเทียบกันจริงๆแล้วมันเหมือนกับเสาคอนกรีตทุ่มทับมาทั้งต้นเลยทีเดียว จากนั้นมา..ไม่ว่าดัชเชสจะพยายามปรับปรุงตัวเช่นไรทุกอย่างก็ผิดพลาดไปสิ้น โดยเฉพาะในสายพระเนตรของเจ้าชายฟิลลิป ตัวอย่างเช่น.. เธอพยายามทักทายมหาดเล็กและคุณพนักงานด้วยชื่อแรกอย่างเป็นกันเอง ก็ได้รับการเหน็บแนมจากพระองค์ว่า "อ้อ..ชอบเป็นเพื่อนเล่นกับคนรับใช้จริงนะเธอนี่" อะไรเยี่ยงนี้เกิดขึ้นบ่อยๆเธอขาดความมั่นใจยามอยู่ใกล้กับพระองค์จนถึงขนาดหยิบจับอะไรแทบไม่ถูก   แต่ไม่ว่าจะพยายามเลี่ยงเท่าไหร่ก็เหมือนยิ่งเจอ ในการร่วมโต๊ะเสวยมื้อค่ำครั้งล่าสุด ที่ต้องนั่งติดกันกับพระองค์ที่เธอต้องพยายามหาหัวข้อสนทนา..ยิ่งพูดนั่นก็เหมือนกับเป็นการประจานความงั่งของตัวเองดังเธอได้ทูลถามไปว่า "วันนี้ทรงม้าหรือเปล่าเพคะ?" เพราะใครๆในวังก็ต้องทราบดีว่า..เจ้าชายฟิลลิปจะต้องทรงม้าของพระองค์ทุกวันอย่างชนิดไม่มีวันหยุด !! ไม่แต่เฉพาะกับพระราชวงค์ชั้นสูงขึ้นไปเท่านั้นที่ออกอาการไม่ชอบหน้าเธอ.. แม้แต่เรื่องสหายหญิงคนสนิท Sophie Rhys-Jones ของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดพระอนุชาพระองค์เล็ก ที่กำลังติดพันอยู่"รั่ว"ออกไปถึงสื่อทั้งชื่อและที่อยู่จนเป็นข่าวใหญ่โต เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดไม่ได้ทรงรอช้าแม้แต่นิดที่จะเหน็บแนมใส่เจ้าชายแอนดรูว์พระเชษฐาว่า "ช่วยๆดูแลเมียพี่ให้อยู่เป็นที่เป็นทางหน่อยได้ไหม อย่าให้เที่ยวจุ้นจ้านเรื่องของคนอื่นมากนัก" ทั้งๆที่..ความจริงเรื่องนี้ดัชเชสไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยซ้ำ รวมไปถึงสมัยที่เธอยังเป็นเพื่อนคู่ซี้คู่ฮากับเจ้าหญิงไดอะน่าจนบรรดาสื่อต่างตั้งสมญาให้ว่า "กลุ่มเฮฮาภริยาวินเซอร์"นั้น ไม่ว่าจะเป็นความคิดของใครก็ตามที่เกิดนึกสนุกจะลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าๆ เช่น..ขี่จักรยานไปเคาะประตูบ้านเสนาบดีกรมวังอาวุโสที่หน้าบ้านยามวิกาลเพื่อที่จะเซย์ ฮัลโล หรือ แอบขโมยรถที่ประทับของควีนมัมออกมาขับเล่น ทุกคนก็สรุปโดยรวมไปว่า มันเป็นความผิดของเธอแต่ผู้เดียวที่นำพาเจ้าหญิงไดให้ออกมาทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร คนที่รู้จักไดอะน่าดี ก็จะทราบว่า..เธอไม่ใช่คนที่หัวอ่อนจนให้ใครจูงจมูกได้ง่ายๆ และ การที่ใครต่อใครต้องออกมาปกป้องภาพพจน์ของเธออย่างสุดชีวิตนั้นก็เพราะว่า เธอจะต้องเป็นราชินีอังกฤษต่อไปในอนาคต แต่..ในยามนั้น..ดัชเชสที่มาจากสามัญชนอย่างเฟอร์กี้ยังขลาดเขลาเกินไปกว่าที่จะอ่านเกมส์ออก จากคุณ : WIWANDA - [ 13 ส.ค. 48 00:50:48 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ผ่านมาจนถึงปี 1991สถานะการณ์ได้สร้างความกดดันและคับแค้นให้กับเธออย่างมากมาย เพราะมันคือการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะ   นอกจากในอดีตกาล..ผู้หญิงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่โลกต้องบันทึกไว้ว่า ไม่เคยก้มหัวให้กับบุคคลในตระกูล วินเซอร์   เธอผู้นั้นคือ มิสซิส วอลลิส  ซิมปสัน หญิงอเมริกันสามัญชนที่สามารถเปลี่ยนกระแสทิศทางของบัลลังค์อังกฤษ และเธอคนนี้เองผู้ที่ทำให้มหามงกุฏแห่งบริเตนได้ถูกวางลงบนพระเศียรของเจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบ็ธ ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม และตลอดจนสิ้นอายุขัยนางซิมปสันหรือดัชเชส ออฟ วินเซอร์ เธอไม่เคยยอมอ่อนข้อให้กับกฏระเบียบพิธีการใดๆให้แก่ราชวงค์อังกฤษจนชายที่รักต้องยอมสละ บัลลังค์เพื่อเธอ นั่นคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด (ที่ถูกลดพระยศมาเป็นแค่ตำแหน่ง ดยุค ออฟ วินเซอร์ ในภายหลังการแต่งงาน)อันเป็นข่าวใหญ่กระฉ่อนไปทั่วโลก เพราะความเป็นหญิงมั่นและความเข้มแข็งของดัชเชส ออฟ วินเซอร์นี่เอง  ได้สร้างความนิยมและพลังประหลาดให้กับเธอจนหลายต่อหลายครั้งที่ได้นำกุหลาบสดจากสวนที่บ้านไปคารวะที่หลุมฝังศพของหญิงแกร่งในดวงใจที่ Frogmore (สุสานของพระราชวงค์)ในยามที่มีโอกาส และอาจเป็นเพราะพลังที่ว่านี่เองทำให้เธอรู้สึกฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง ในการที่จะไม่ยอมให้ใครมาชี้ชะตาชีวิตอีกต่อไป จากคุณ : WIWANDA - [ 13 ส.ค. 48 00:55:23 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ดังเหตุนี้.. สำนักกรมวังได้เสนอให้เธอยกเลิกการพาพระธิดาไปเล่นสกีที่สวิตเซอร์แลนด์ในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ทั้งๆที่แผนทุกอย่างได้วางไว้หมดแล้ว ด้วยเหตุผลสั้นว่า "ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม" คราวนี้..เธอแข็งข้อ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยังคงพาพระธิดาไปพักผ่อนเล่นสกีตามกำหนดการเดิม   แต่..เพียงไม่กี่วันต่อมาสถานะการณ์บ้านเมืองได้เกิดภาวะฉุกเฉินที่เธอต้องนำคณะเดินทางกลับลอนดอนด่วนเพราะ สงครามอ่าว( Gulf War)ได้เกิดตูมขึ้นมาในวันที่ 15 มกราคม 1991 และในสามวันต่อมา ข่าวของสงครามที่มีการยิงกันตูมตามได้กระจายไปตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ และเหมือนกับมีใครบางคนที่"จงใจ"แกล้ง.. เพราะภาพการเล่นสกีท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลนอย่างชื่นมื่นของดัชเชสกับพระธิดาแปะลงมาหว่างกลางหนังสือพิมพ์พร้อมคำอธิบายใต้ภาพว่า "เฟอร์กี้..ผู้รักสนุกจนไม่รู้สึกร้อนหนาวต่อความทุกข์ยาก" ทั้งๆที่สำนักพระราชวังทราบดีว่า..เธอได้กลับมาสู่อังกฤษตั้งแต่วันที่ได้รับข่าวสงคราม แต่การแก้ข่าวก็ไม่ได้เกิดขึ้น..ยังคงปล่อยให้ประชาชนเชื่อ"สื่อ" และ เชื่อในสิ่งที่อ่านต่อไป !! จากคุณ : WIWANDA - [ 13 ส.ค. 48 00:56:49 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ที่เป็นชิ้นส่วนประกอบของภาพแห่งปีที่เลวร้าย(ตามคำที่สมเด็จพระราชินีได้ตรัสไว้) นั่นคือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 1990 ที่ดัชเชสและ พริสซิลลา เลขานุการิณีส่วนตัว ได้บินไปพักผ่อน ที่ริมฝั่งทะเล ประเทศมอรอคโค โดยมีเพื่อนเศรษฐี นาย ปีเตอร์ พาลัมโบ ได้ให้ขอยืมเครื่องบินอันเป็นพาหนะเดินทาง ส่วนที่พักแรมชั้นดีในรีสอร์ต  ลา กาแซล ดอร์ ตลอดห้าวันนั้น ดัชเชสได้ควักกระเป๋าจ่ายเอง และเนื่องจาก สถานที่นั้นตั้งอยู่ในพื้นเมืองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ไม่ใด้เป็นที่โด่งดังขนาดรับแขกบ้านแขกเมือง..เธอจึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครสนใจในเรื่องการไปมาของเธอสักเท่าใด โดยที่ไม่ได้ไหวตัวแม้แต่นิดว่า มีสื่อลับได้จับตาซุ่มมอง  พร้อมทั้งได้ส่งขาวไปยังหนังสือพิมพ์ ทูเดย์ และ สร้างสถานะการณ์ขายข่าวขึ้นมาว่า  สตีฟ  ไวเอทท์ เพื่อนชาวอเมริกันได้ร่วมเดินทางพักแรมไปด้วย ซึ่งนับว่าเป็นข่าวที่"ยกเมฆ" ระดับชาติ.. กระนั้น..ยามที่ สตีฟ ได้ย้ายข้าวของออกจากแฟลตในกรุงลอนดอนในปี 1991  กระแสข่าวลือเรื่องนี้มันหนักหนาสาหัส จนดัชเชสถึงกับลงทุนให้คนไปค้นที่แฟลต เพื่อที่จะดูว่า ไม่มีใครแกล้งนำหลักฐานอะไรมาทิ้งไว้ทีหลัง..ซึ่ง..ผลคือ..ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่..หลายอาทิตย์ต่อมา คนทำความสะอาดกระจกได้เข้าไปข้างในเพื่อเตรียมสถานที่ให้พร้อมสำหรับคนที่จะมาเช่าต่อไป  และพบว่าในห้องนอนนั้นมีซองพลาสติคที่บรรจุภาพนับร้อยๆภาพ ซึ่งแน่นอนว่า ภาพเหล่านั้นได้ถูกนำส่งหนังสือพิมพ์ เดลิเมล์ ในเดือนมกราคม 1992  ทีได้พาดหัวตัวเบ้อเร่อว่า..แฉภาพลับฉาวของเฟอร์กี้  นับแต่วันนั้นมา หนังสือพิมพ์และนิตยสารทุกฉบับ ต่างประโคมข่าวของดัชเชสเพื่อไม่ให้เป็นการน้อยหน้ากันในด้านการขาย ยกเว้นสำนักข่าวบีบีซีที่ไม่ได้แสดงทีท่าสนใจ กับ หนังสือพิมพ์เทเลกราฟ ที่แทบไม่เขียนถึง ส่วนสำนักพระราชวัง..ทำเฉย..ไม่ได้ออกมาแก้ตัวให้แต่อย่างใด ดังนั้น การรุมยำดัชเชส ออฟ ยอร์ค จึงเป็นเกมส์ที่แสนสนุกของเหล่านักข่าวกระหายหิว ที่ต่างปั้นน้ำเป็นตัว นั่งเทียนเขียนว่า.. สตีฟ..ได้บินไปหาเธอด้วยเครื่องบินส่วนตัว และอยู่ด้วยกันอย่างชื่นมื่นตลอดเวลา และเพื่อเป็นการประกอบให้เนื้อหาหนักแน่น นักข่าวจึงมีการลงภาพวาดสีน้ำประกอบตามจินตนาการ (อ้างว่า..ของจริงได้อยู่ที่สก๊อตแลนด์ยาร์ด) ซึ่งภาพเหล่านั้นแท้จริงแล้วเป็นอิริยาบทสบายๆ เป็นการคุยกันระหว่างเพื่อนฝูง ที่แต่งตัวเรียบร้อย  และไม่ได้มีอะไร"พิเศษ" หรือ "เกินเลย" และความจริงเบื้องหลังภาพเหล่านี้ คือการจัดฉากของกลุ่มคนบางกลุ่มที่มุ่งร้ายต่อเธอที่จัดแต่งและตัดต่อขึ้นมาจากงานหลายงานมาประกอบกัน  เพราะ ที่มาของภาพชุดนี้ คือ การพบปะสังสรรระหว่างเพื่อนฝูงในงานต่างๆถึงสองงาน  ต่างสถานที่ และต่างวาระ ที่ผู้กระทำได้จงใจให้ดูเหมือนว่าเป็นภาพชุดเดียวกันและมีการติดต่ออย่างต่อเนื่อง นักสืบสก๊อตแลนด์ยาร์ด ได้รับหน้าที่ให้ตรวจสอบหาข้อเท็จจริง และผลที่ได้นั้น คือ ทุกอย่างใสสะอาด แต่กระนั้น หนึ่งในขบวนการสายลับได้บอกกับเธอว่า "นี่คือผลงานของผู้ที่จ้องทำลายอย่างไม่ให้ผุดให้เกิด" จากคุณ : WIWANDA - [ 13 ส.ค. 48 01:02:24 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เพราะกระแสความแรงของข่าวอัปยศเรื่องสตีฟนั่น ได้สร้างความกดดันทางอารมณ์ให้กับดัชเชส ราวกับฟางเส้นสุดท้ายบนหลังลา.. จนเธอรู้สึกอัดอั้นจนอกแทบระเบิด เมื่อยามที่นักข่าวเข้ามาเซ้าซี้สัมภาษณ์ จึงได้รับคำตอบแบบกระชากๆจากเธอไปว่า.. "ฉันไม่มีความเป็นส่วนตัวเลยหรือนี่.. ฟังนะ ไม่นานมานี้ ฉันเคยมีครอบครัวที่แสนสงบ  ตกเย็นลงก็ส่งคุณพนักงานกลับบ้านไปพัก ทำอาหารทานกันเอง แต่มาตอนนี้ ผู้คนพลุกพล่านตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง..นี่มันไม่ใช่ชีวิตครอบครัวเลยแม้แต่นิด วันวันก็ต้องตื่นมารับคำสั่งไปทำงาน และ ยังต้องตกมาเป็นขี้ปากของนักข่าวที่นึกจะเขียนอะไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับความพอใจ" ส่วนในใจของเธอนั้น..รู้ดีว่า..นี่คือ ระบบวงจรของชีวิต....ที่เธอต้องยอมรับมันอย่างดุษฏี ไม่มีทางหนีหรือโต้แย้งแต่อย่างใด เพราะการเป็นพระชายาของเจ้าชายแอนดรูว์นั้น เท่ากับว่าเป็นการขายชีวิตให้กับพระราชวงค์อย่างไม่มีข้อแม้  เปรียบได้กับ นกน้อยในกรงเพชร ที่มีประตูเป็นกระแสไฟฟ้า..ถ้าคิดจะบินออกไป สภาพนั้นก็ยับเยิน แม้คิดจะสู้หรือต่อต้าน..ก็เท่ากับว่า ได้เพิ่มดีกรีความจงเกลียดจงชังให้กับศัตรู ที่สามารถย้อนศรเธอได้สารพัด เช่น ทำให้สมเด็จพระราชินีเกิดพระอาการ"เสียพระพักต์" หรือ สร้างข่าว..ทำให้คนรอบข้างเพื่อนที่รักมีมลทิน  หรือ ทำให้เธอประสาทเสียไปจนเข้าข่ายเสียสติ.. ยิ่งคิด..ดัชเชสยิ่งมองไม่เห็นทางออกให้ตัวเอง แต่สิ่งเดียวที่เธอเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งว่า..ถ้าคิดจะอยู่ในสภาพที่มีฐานันดรของพระราชวงค์อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ นั่นหมายถึง  การตายไปวันละนิด..ทางด้านจิตใจ ซึ่งคนที่เข้มแข็งอย่างเธอ คงยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้..!! ฉะนั้น..ในวันที่ 21 มกราคม หกวันหลังจากที่ทุกคนรู้สึกถึงความอัปยศของข่าวโคมลอย..ดัชเชสได้ร่วมพระกระยาหารมื้อค่ำกับพระสวามี และถือเป็นโอกาสคุยเรื่องปัญหาชีวิตที่ไม่ลงตัว ที่เธอได้ตัดสินใจ..ขอแยกทาง.... บรรยากาศนั้นสุดแสนเศร้า..เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ ทรงเข้าใจทุกอย่าง และไม่พยายามยื้อยุด ทรงตรัสว่า "ถ้านั่นจะทำให้เธอมีความสุข ฉันเข้าใจ และจะยืนเคียงข้างตลอดไป" จากคุณ : WIWANDA - [ 13 ส.ค. 48 01:04:49 ]

ความคิดเห็นที่ 26 วันรุ่งขึ้น ทั้งเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ และ ดัชเชส ออฟ ยอร์ค พระชายา ได้ไปพบกับสมเด็จพระราชินีที่พระราชวัง แซนดริงแฮม ซึ่ง ดัชเชสได้กราบทูลว่า "หม่อมฉันเสียใจเพคะ แต่เพื่อเป็นการรักษาพระเกียรติของพระองค์และพระราชวงค์ หม่อมฉันจึงต้องตัดสินใจเช่นนี้..และไม่อยากให้พระองค์ต้องเสียพระทัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยการกระทำของหม่อมฉัน" สมเด็จฯ ทรงมีพระพักต์หมองด้วยความเศร้าพระทัย ก่อนที่จะเตือนให้ดัชเชสกลับไปคิดใหม่อีกที คิดให้ดีๆ แต่..ทุกอย่างช้าไปเสียแล้ว..เพราะเธอได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ เมื่อกลับมายังพระตำหนัก ซันนิ่งฮิลล์   ดัชเชสได้ร่างจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษร ขอคืนพระยศ ของ HRH (ตำแหน่งที่เรียกนำหน้าเป็นทางการ...ขั้นพระบรมวงค์เธอ ) โดยเหตผลว่า   ตัวเองมิได้เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง และได้นำจดหมายขึ้นกราบบังคมทูลต่อมาในวันเดียวกันนั้น  เพื่อเป็นการยืนยันว่า นี่คือการตัดสินใจแน่นอน !! และ...เป็นเพราะการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจะมีในอังกฤษเดือนเมษายน เรื่องการลาออกของดัชเชส จึงต้องเก็บรอไว้ก่อน ยังไม่มีการกระจายข่าวจากสำนักพระราชวัง เพียงแต่การออกงานนั้น ต้องเลือกออกเฉพาะงานที่เป็นกิจกรรมของรัฐบาล ซึ่ง เธอเองก็เข้าใจในการชะลอข่าวของการแยกครั้งนี้ และไหนๆก็ทนอยู่มาได้ถึงหกปี รออีกไม่กี่อาทิตย์ก็คงไม่เป็นไร.. แต่ในหมู่เพื่อนสนิทย่อมไม่มีความลับใดๆ คนที่รักและหวังดีอย่างจริงใจก็มีอาการเป็นห่วง เพราะมันเปรียบได้กับการที่ถูกปล่อยป่าให้ออกไปเผชิญสัตว์ร้ายอย่างไรอย่างนั้น ส่วนเพื่อนบางคนแนะนำว่า ให้อยู่เฉยๆ..ไม่ต้องแยกไปไหน  ทำงานอย่างทุ่มทถวายหัว.. นั่นคือความคิดแบบคนโบราณ ข้าราชบริพารเก่าๆอย่างย่ายายของเธอได้เคยทำมาก่อน ที่ยอมทุ่มกาย ถวายชีวิตให้กับงานจนวันสุดท้ายของชีวิต ตัวเธอเองก็ได้ลิ้มรสแล้วว่า..การทำงานอย่างทุ่มเทที่ได้เคยทำมา..มีค่าเท่ากับ..ศูนย์ เพราะ ไม่ได้ความดีความชอบอะไรเลยแม้แต่นิด มิหนำซ้ำ ถ้าพลาดเพียงนิดเดียวจะโดนกระหน่ำจนเอาตัวแทบไม่รอด ดังนั้น พอกันที.... เธอได้บอกตัวเองว่า..ต่อไปนี้  ถึงคราวที่จะรู้จักรักตัวเอง หาความสุขให้กับตัวเอง เป็นคนเห็นแก่ตัวเสียบ้าง เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ ทรงเข้าใจพระชายาดีทุกอย่าง ถึงกับทรงเตือนด้วยความหวังดีว่า.. "ระวังตัวหน่อยนะ..หนทางข้างหน้า(หมายถึงขั้นตอนการแยก การหย่า และการออกไปจากวงจร)  มันอาจจะทำให้เธอประสาทเสียมากขึ้น ฉันขอเตือน" ซึ่งดัชเชสเข้าใจดีในความหมายดังกล่าว แต่ มิได้ไหวหวั่นอะไรมากนัก เพราะจริงๆแล้วเธอไม่ได้ตั้งใจที่จะแยกทางแบบตายจากกันกับพระสวามี เพราะอดีตได้พิสูจน์แล้ว่า..ชีวิตคู่ที่ผ่านมาก็แทบไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่..ความรักความอาทรต่อกันนั้น..ไม่เคยเสื่อมคลาย.. หากแต่..ที่เธอได้ตัดสินแยกทาง..เพราะนี่คือทางเดียวที่เธอจะหลุดพ้นจากวงจรของการเป็นสมาชิกพระราชวงค์ที่มีกฏเหล็กมากมายทั้งๆที่ประวัติศาสตร์ของอังกฤษถ้าใครได้เรียนหรือได้อ่านผ่านหูผ่านตาไปบ้าง จะทราบดีว่า..ผู้หญิงคนใดที่ตีจากไปจากพระราชวงค์แล้วละก้อ มีสภาพเหลืออยู่สถานเดียว คือ หัวได้หลุดไปจากบ่า..!! จากคุณ : WIWANDA - [ 13 ส.ค. 48 01:11:03 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แต่กระนั้น..ดัชเชสก็ได้ทูลถามพระสวามีหลังจากที่ได้กลับมาจากเฝ้าสมเด็จพระราชินีว่า "แล้วจะทรงให้หม่อมฉันทำอย่างไรเพคะ?" ในตอนนั้น เธอเริ่มสับสนในสถานะของตัวเอง..เพราะคืนพระยศและขอแยกทางแล้ว..ซึ่งพระองค์ได้ตอบว่า "อย่างไรเสีย..เธอก็ยังเป็นเมียของฉันนะ ทุกอย่างก็เหมือนเดิม" แต่ในด้านความจริงแล้ว..ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม..เพราะหลังจากที่จดหมายการลาออกได้ถูกทูลเกล้าฯ  กำหนดการ"ออกงาน"ของเธอได้ถูกตัดลงอย่างฮวบฮาบ ที่มีอยู่ก็ถูก"ยกเลิก"อย่างไม่ปี่มีขลุ่ย นั่นเท่ากับเป็นการบอกไล่ทางอ้อมจากเหล่าผู้อาวุโสเบื้องบน..ที่สามารถทำทุกอย่างได้อย่างเลือดเย็น ไร้การุณธรรม ช่างไม่เหมือนกับกรณีของเจ้าหญิงไดอะน่า ที่ยังถูกป้อนงานสำคัญๆให้อย่างสม่ำเสมอทั้งๆที่แยกทางจากเจ้าฟ้าชายชารลส์เป็นปีๆ.. ก็เพราะว่า พระองค์คือเทพธิดาที่ทรงเสน่ห์..ซึ่งต่างกับเธอ ที่ใครต่อใครพากันยกตำแหน่งให้เป็น"แม่มด" ตลอดกาล ในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ ดัชเชสได้ปฏิบัติภาระกิจทางการเป็นครั้งสุดท้าย..ในงานฉลองอนุสรณ์สถานหอแห่งลอนดอน..และข่าวก็ได้มาถึงเธอว่า..ทางกรมวังอาวุโสได้เริ่มดำเนินการ"ขับไล่" นั่นคือ การที่ได้แจ้งไปทางสถานทูตอเมริกาว่า.. ดัชเชส ออฟ ยอร์ค  ไม่ใช่สมาชิกในพระราชวงค์อีกต่อไป ฉะนั้น เธอไม่ใช่ตัวแทนในทางการทูตที่จะได้รับอภิสิทธิใดๆอีกต่อไป เมื่อเดือนก่อนนี้เอง..พวกกรมวังพวกนี้ อาจจะไม่ชอบเธอนัก แอบทำท่าล้อเลียนข้างหลัง..แต่ในยามต่อหน้า..พวกเขายังคงต้องจำใจทักทายอย่างสุภาพ..และก้มศรีษะให้เธอ หากแต่บัดนี้..ทุกคนทำท่าชาเย็น  จงใจที่จะไม่พูดด้วย  ไม่นับสายตาที่ดูแคลนและจงชังอย่างปิดไม่มิด วันนั้น..วันสุดท้ายของการทำงาน..ดัชเชสออกงานถึงสามงาน..ตั้งแต่ 7.30 เช้า กลับถึงพระตำหนักก็มืดค่ำ  เจ้าหญิงน้อยๆทั้งสองพระองค์เสด็จเข้าบรรทมไปนานแล้ว เธอคิดมากจนถึงขนาดต้องพึ่งยานอนหลับ..โดยหวังว่า..มันคงทำงานอย่างสัมฤทธิผล !! วันที่ 18 มีนาคม สามอาทิตย์ก่อนการเลือกตั้ง ข่าวการแยกทางของดัชเชสและเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ได้ถูกประโคมทางหน้าหนังสือพิมพ์  เนื้อข่าวได้มีลงละอียดถึงขนาดว่า ทนายความของทั้งสองฝ่ายได้มีการตกลงกันในรายละเอียด อีกทั้ง..การไปพบสมเด็จพระราชินีฯที่พระราชวัง แซนดริงแฮมในวันนั้น ก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ดัชเชสถึงกับต้องตกตะลึงทันที่ที่ได้อ่านพบ  เพราะการที่หนังสือพิมพ์ได้ข่าวก่อนการแถลงการณ์สำนักพระราชวัง ย่อมล้วนแต่เป็นข่าวไม่เป็นมงคลกับเธอทั้งสิ้น ข่าวใหญ่นี้ทำให้ข่าวการเลือกตั้งของประเทศดูเล็กลงทันที.. วันรุ่งขึ้น คือวันที่ 19 อันเป็นวันครบรอบหกปีของการหมั้นระหว่างดัชเชสและเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์  นักข่าวได้ต่างมาเฝ้ารุมล้อมที่เขตพระราชฐานชั้นนอก มหาดเล็กในเครื่องแบบสีแดงได้นำพวกเขาเข้ามาที่สำนักงานกรมวังชั้นล่าง กรมวังอาวุโสได้ทำหน้าที่แจกข่าวให้อย่างทั่วถึง ซึ่งแน่นอนว่า ข้อความนั้นบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่า..ตัวการที่ขอแยกทางครั้งนี้คือฝ่ายหญิง..!! จากคุณ : WIWANDA - [ 13 ส.ค. 48 01:16:21 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อืมมม ผู้ดีอังกิด จากคุณ : ต้นลูกตาล - [ 13 ส.ค. 48 03:08:00 ]

ความคิดเห็นที่ 29 น่าสงสารเฟอร์กี้แฮะ ปัจจุบันนี้ เธอเป็นอย่างไรบ้างล่ะครับ จากคุณ : กริชครับผม - [ 13 ส.ค. 48 08:51:25 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มาลงชื่อ อ่านด้วยคนค่ะ จากคุณ : Poo-Ma - [ 13 ส.ค. 48 14:55:29 ]

ความคิดเห็นที่ 31 1. Duke of Windsor and Wallis Simpson, Duchess of Windsor จากคุณ : Great_Khan - [ 13 ส.ค. 48 19:00:08 ]

ความคิดเห็นที่ 32 2. Wallis and Edward แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 48 22:39:49 จากคุณ : Great_Khan - [ 13 ส.ค. 48 19:01:12 ]

ความคิดเห็นที่ 33 3. With Adolf Hitler during their visit Germany in 1937. Wallis was later speculated by FBI as a possible NAZI sympathiser. จากคุณ : Great_Khan - [ 13 ส.ค. 48 19:03:42 ]

ความคิดเห็นที่ 34 4. ... แปะรูปซ้ำครับ แก้ไขเมื่อ 13 ส.ค. 48 19:05:58 จากคุณ : Great_Khan - [ 13 ส.ค. 48 19:05:10 ]

ความคิดเห็นที่ 35 4. รูปสุดท้ายแล้ว อาจจะไม่เกี่ยวกับเนื้อหาหลัก แต่เป็นแง่มุมที่สำคัญมาก ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์วินด์เซอร์ ขอบคุณคุณวิวันดาที่จุดประกายครับ Duke and Duchess of Windsor จากคุณ : Great_Khan - [ 13 ส.ค. 48 19:08:19 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ข่าวและคลิปวิดีโองานพิธีศพอันเรียบง่ายของ Duchess of Windsor ครับ http://news.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/april/29/newsid_2500000/2500427.stm จากคุณ : Great_Khan - [ 13 ส.ค. 48 19:09:27 ]

ความคิดเห็นที่ 37 THey are unhumane... จากคุณ : horseshoes - [ 13 ส.ค. 48 23:55:44 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณคุณ Great_Khan สำหรับลิงค์ที่คคห.36 ค่ะ อยากให้เข้าไปดูกันไว้ เพราะข้อความที่จะเขียนเล่าในตอนต่อๆไปนั้น มันตรงกันข้ามกับภาพที่เห็นในวีดีโอ จากคุณ : WIWANDA - [ 14 ส.ค. 48 00:27:57 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ข่าวจากสำนักพระราชวังออกมาว่า "เนื่องจากขณะนี้บ้านเมืองยังอยู่สภาวะของการเลือกตั้ง สมเด็จพระราชินีจึงได้ทรงให้ความเห็นอะไรมากสำหรับเรื่องนี้ บอกจากทรงตรัสว่า.. ทนายความของดัชเชส ออฟ ยอร์ค ได้เข้ามาหารือถึงเรื่องการแยกกันอยู่  และการหารือครั้งนี้ยังไม่มีบทสรุปที่ลงตัว จนกว่าจะได้รับการตกลงและเห็นชอบจากบุคคลทั้งสองคือ ของท่านดยุด และ ดัชเชสเอง ฉะนั้น สมเด็จพระราชินีจึงหวังในความร่วมมือของ สื่อทั้งหลายในการที่จะหยุดการเสนอข่าว และ..ปล่อยให้ครอบครัวของยอร์ค รวมไปถึงเจ้าหญิงพระธิดาทั้งสองได้อยู่อย่างสงบสุข" สำนักพระราชวังมักถนัดที่จะให้ข่าวแบบครึ่งๆกลางๆเช่นนี้เสมอ  ส่วนนักข่าวก็มักมีความช่ำชองเกินมนุษย์ในการที่จะขยายความที่ได้รับเพียงสองสามประโยคให้ กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สามารถลงตีพิมพ์จนเต็มหน้าหนังสือพิมพ์จากข่าวที่จงใจให้"รั่ว" ออกมาจากสำนักกรมวัง เช่นในบ่ายวันหนึ่ง..มีคนเห็นว่า นาย พอล เรโนลด์  นักข่าวรุ่นเก๋าของสำนักข่าวแห่งบีบีซี ได้แวะเข้าไปเยี่ยมเยียนท่านกรมวัง มิสเตอร์ X เพียงแค่เดี๋ยวด๋าว แต่ ยี่สิบนาทีต่อมา..นายพอล เรโนลด์ คนนี้สามารถวางข่าวพาดหัวได้อย่างใหญ่โต ที่ใครอ่านก็ต้องรู้สึกตื่นเต้น..ว่า "บัดนี้.ถึงคราวที่ปลายดาบได้จ่อรอเชือดเฟอร์กี้แล้ว" เท่านั้นไม่พอ..ในเนื้อข่าวได้เขียนว่าว่า ดัชเชส ออฟ ยอร์ค ได้เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังในการว่าจ้างให้มีบริษัทหน้าม้าเพื่อขายข่าวของการแตกแยกครั้งนี้ให้กับ หนังสือพิมพ์เดลิ เมล์   และ นายพอลได้เสริมต่อด้วยข้อเขียนอันเป็นความคิดเห็นส่วนตัวว่า "ไม่เคยเลยที่จะมีครั้งไหนที่ กรมวังผู้ใหญ่จะลั่นวาจาตำหนิติเตียนใครคนใดคนหนึ่ง แต่ครั้งนี้ พวกท่านทนไม่ไหวถึงการไร้มารยาทอีกทั้งไม่รู้ควรไม่ควรของดัชเชสไม่ว่าสถานะทางสังคม และ การเป็นอยู่ในฐานะเจ้านาย อย่างที่แย่ที่สุดคือการขายข่าวของตัวเองและพระสวามีในนิตยสาร เฮลโลในครั้งนั้น" จากคุณ : WIWANDA - [ 14 ส.ค. 48 00:34:14 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ซึ่งข้อความเหล่านั้นไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะออกมาจากปากคำของเหล่ากรมวังที่มีหน้าที่ต้องรักษา"ความใน" เท่ากับชีวิต นับว่าเป็นการสร้างคลื่นใหม่ต่อวงการสื่อที่ใครต่อใครต่างพากันประหลาดใจต่อการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งครั้งนี้ ตอนที่ข่าวออกไปในบ่ายวันนั้น.. ดัชเชสยังอยู่ในโรงภาพยนตร์พร้อมกับพระธิดาทั้งสอง จึงไม่ได้ทราบเรื่องข่าวของนายพอล เรโนลด์ที่ได้แตกแยกออกไปหลายสาขาและในหลายๆสื่อที่ต่างได้ช่วยขยายความคิดเห็นกันไปอย่างเอิกเกริก แต่ที่เข้าท่าที่สุดเห็นจะเป็นว่า "เพราะว่าดัชเชสต้องการที่จะหลุดจากวงจรเจ้านายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงต้องพยายามแอบให้ข่าวด้วยตัวเองเป็นการสร้างกระแสคลื่นใต้น้ำ โดยไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น...." แต่อ่านไปอ่านมา..นัยยะที่แฝงในข้อความเหล่านั้นคือ การเห็นแก่ตัวอย่างน่าอายรวมไปถึงการสิ้นคิดอย่างเป็นที่สุดของดัชเชส ออฟ ยอร์ค ส่วนการกระทำของกรมวัง มิสเตอร์  X นั้นก็ยังถือว่าเป็นการไม่สมควร  เขาจึงแก้เกมส์ด้วยการออกข่าวว่า "เสียใจหรือเกินที่การให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ ดัชเชส ออฟ ยอร์คด้วยข้อความเพียงไม่กี่ประโยค ได้ถูกแปลออกไปอย่างผิดๆโดยสื่อ ดังนั้น  ข้าพเจ้าจึงได้ทูลถวายจดหมายลาออกจากตำแหน่งแก่สมเด็จพระราชินี..และได้ส่งจดหมายไปขอโทษกับดัชเชสแล้วด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง" และ มิสเตอร์ X ได้แนบสำเนาจดหมายทั้งสองฉบับให้กับหนังสือพิมพ์ด้วย เพื่อเป็นการยืนยัน แต่..ก็ยังมีนักข่าวที่รู้เท่าทัน แกล้งเขียนประชดลงไปว่า.. "คำขอโทษครั้งนี้ เหมือนกับพยายามที่จะหยิบหัวที่ถูกตัดกระเด็นออกจากเครื่องกิโยตินให้กลับมาติดกับตัวให้ได้ดังเดิม" และ..จดหมายลาออกฉบับนั้น ได้ถูกระงับไปโดยสมเด็จพระราชินี !! จากคุณ : WIWANDA - [ 14 ส.ค. 48 00:40:10 ]

ความคิดเห็นที่ 41 จากการกระทำของมิสเตอร์ X ที่แสดงออกมานั้น ดัชเชสเองก็รู้ดีว่า นั่นคือ การเสแสร้งทั้งสิ้น เพราะ พวกเขาไม่เคยหยุดการระรานในทุกวิธี   มิหนำซ้ำยังช่วยกดด้ามมีดที่กำลังจ่อให้ลึกลงไปในเนื้อกว่าเดิม ทั้งหมดนั้นเป็นการทำงานแบบทีมที่สมัครสมานสามัคคีอย่างดีที่สุด เมื่อในครั้งก่อน..การนินทาเจ้านายต้องเป็นการแอบกระทำกันอย่างลับๆ แต่ในปัจจุบัน..กลายเป็นว่า..พวกข้ารับใช้เหล่านี้กำลังได้ใจ..สามารถออกมาแสดงความคิดเห็นส่วนตัวและให้ข่าวกันเองกับหนังสือพิมพ์ได้เองแล้ว เพราะหลังจากวันที่ มิสเตอร์ X ได้หลุดปากให้ข่าวออกไปนั้น คนอื่นๆก็เลยถือโอกาสแย่งกันให้ข่าวซ้ำเติม เช่น..ในหนังสือพิมพ์ Mail มีคนจากวงในให้ข่าวว่า.. ดัชเชสเป็นหญิงที่ร้ายกาจมาก และ เป็นคนที่ทำให้เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์หมดสง่าราศี สร้างความขายหน้าไปได้ในทุกๆเรื่อง ทางสำนักพระราชวังเคยพยายามที่จะส่งเสริมเธอให้เป็นอย่างดีที่สุด แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนกลับได้แต่ส่ายหน้า บอกศาลา วางมือกันหมดแล้ว" ซึ่ง..อันที่จริงแล้ว..ไม่ใช่ดัชเชสเองที่อยากจะออกไปจากชีวิตวัง ชีวิตแต่งงานอย่างเร็วที่สุดตามข่าว..แต่เป็นเพราะชาววังพวกนั้นต่างหากที่อยากจะให้เธออกไปจากวงจรให้เร็วที่สุด จึงได้พยายามออกข่าวอันเป็นที่เสื่อมเสียอย่างไม่ขาดสาย เพราะข่าวนั้นยิ่งฉาวโฉ่เท่าไหร่..นั่นเท่ากับเป็นการตัดเชือกสายสัมพันธ์ระหว่างดัชเชสกับพระราชินีให้หลุดออกจากกันมากเท่านั้น อีกทั้งเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เพราะผลจากการกระทำครั้งนี้จะเป็นการเตือนแบบอ้อมๆไปยังเจ้าหญิงไดอะน่า ให้สำนึกไว้ว่า..อะไรจะเกิดขึ้นในยามที่ทำตัวและใจออกห่างจากครอบครัววินเซอร์   ซึ่งก็ได้ผลอย่างชะงัด เพราะในยามนั้นเจ้าหญิงไดอะน่า ผู้เป็นทั้งเพื่อนและคู่สะใภ้ ระวังตัวแจ...ไม่กล้าที่จะติดต่อพบปะหรือพูดคุยกับดัชเชสอย่างเช่นเดิม จากคุณ : WIWANDA - [ 14 ส.ค. 48 00:45:02 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ผู้พันเฟอร์กูสัน บิดาของดัชเชสได้รับทราบเรื่องข่าวดังกล่าวด้วยความเดือดดาล ถึงกับบุกเข้าพบกับมิสเตอร์ X  เพื่อต้องการให้ดัชเชสได้รับการขอโทษอย่างสมศักดิ์ศรี  ซึ่งผลที่ได้นั้นมันเป็นเพียงเล็กน้อย เพียงแค่ วันหนึ่ง ดัชเชสได้รับโทรศัพท์จากเขา พร้อมทั้งวาจาตามมารยาทว่า..ขอโทษที่ทำให้เกิดความยุ่งยาก... เธอก็ได้ตอบกลับไปตามมารยาทเช่นกันว่า..ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันเข้าใจดี เพราะ..จะว่าไปแล้วเธอไม่สามารถโกรธพวกกรมวังเหล่านั้นได้ เพราะไม่ว่าจะถูกหรือผิด..พวกเขา"ผิด"ไม่เป็นอยู่แล้วในทุกๆเรื่อง พวกเขาต้อง"ถูก"เสมอ ลองถ้าเขาสามารถทำให้ประชาชนต่างเห็นพ้องต้องกันกันทั้งประเทศว่า เธอเป็นผู้หญิงที่แสนเลว..ใครเล่าจะไปเถียงได้ !! ระหว่างภาวะที่อยู่ในหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น  ดัชเชสก็ยังคงมีสำนักงานที่พระราชวังเช่นเดิม การออกงานก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม ในวันที่ 23 มีนาคม ทั้งเธอและพระสวามี ได้จัดงานประสูติครบรอบสองปีให้กับพระธิดา เจ้าหญิงยูจินี่ ซึ่งมันช่างยากเสียเหลือเกินที่จะพยายามฝืนสีหน้าให้ยิ้มแย้ม..รื่นเริงให้ได้จนจบงาน เพราะลึกลงไปในใจแล้ว เธอมีแต่ความหวาดหวั่น วันและรูตัวดีว่า..เวลาที่จะอยู่และปฏิบัติตัวเช่นนี้..มันเหลือน้อยเต็มที คำถามซ้ำซากได้ผุดขึ้นมาอย่างไม่ขาดระยะว่า "นี่เรากำลังทำอะไรลงไปนี่?" หรือ "เราได้ทำลงไปได้อย่างไร?"  หรือ "นี่เราเลวร้ายอย่างที่ข่าวออกมาจริงๆหริอนี่?" และอีกต่างๆนานาสารพัด..ชีวิตใหม่ที่เธอกำลังจะไปสู่นั้น..ช่างเต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัว หวาดหวั่น และทางหลุดรอดพ้นของเธอ ก็เข้าวิธีเดิมๆคือ..เพลิดเพลินเจริญใจเจริญปากกับอาหารทุกอย่างที่ขวางหน้า..ใช้จ่ายเงินทองราวกับเบี้ย ซึ่งนี่คือที่มาของการสร้างหนี้ก้อนโต.. และ อัศวินม้าขาวที่ทะยานตัวเข้ามาช่วยแก้ใข   เขาคนนั้นคือ นายจอห์น ไบรอัน จากคุณ : WIWANDA - [ 14 ส.ค. 48 00:48:40 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ดยุคและดัชเชสได้เริ่มรู้จักกับจอห์นครั้งแรกในการเลี้ยงมื้อค่ำ ในปี 1990 ซึ่งดัชเชสได้ประทับใจในความสามารถบริหารธุรกิจทางด้านการลงทุนของจอห์น ไบรอันคนนี้มาก  เขาเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรอันบรรเจิดในการที่จะทำให้เงินทองได้งอกเงยขึ้นมา และเขาเป็นคนเดียวที่เชื่อว่า...หนังสือนิทานเด็กเรื่อง บัดจี้ ( Budgie ) ที่เป็นผลงานของดัชเชสได้เขียนขึ้นเมื่อครั้งได้ไปฝึกหัดบินเครื่องเฮลิคอปเตอร์นั้น น่าจะเป็นตัวทำเงินได้เป็นอย่างดี ดังนั้น..ดัชเชสจึงได้ขอให้เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวในเรื่องของการ"ทำรายได้" ให้..ทั้งในด้านลิขสิทธิ์หนังสือและในด้านส่วนตัวที่เกี่ยวกับการปรากฏตัวทางภาพยนตร์ หรือ โทรทัศน์ ในเดือน กุมภาพันธ์ 1992 จอห์นได้ขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งในยามนั้น..ดัชเชสกำลังมีแต่ความสับสนและต้องการความช่วยเหลือจากปัญหาสารพัดที่รุมเร้า จอห์นเป็นคนที่คล่องแคล่ว และมีความสามารถในศิลปการขายเป็นอย่างยอดเยี่ยม อีกทั้ง(ดูเหมือน)เป็นอภิมหาเศรษฐีร่ำรวยล้นฟ้าซึ่งดัชเชสเองก็เชื่ออย่างสนิทใจว่า ทุกอย่างที่เขาพูดมานั้นคือความจริง จนไม่มีความหวาดระแวงใดๆหลงเหลืออยู่ในจิตใจเลยแม้แต่นิด พอมาถึงฤดูใบไผลิ..หลังจากที่ดาบที่ว่านั่นได้จ่อมาจนติดคอหอยแล้ว..หรือ อีกนัยหนึ่งคือ เธอได้กลายเป็นหญิงที่แสนเลวในสายตาของประชาชนแล้วนั่นเอง เธอไม่เหลือใครที่จะปรับทุกข์ได้อีกเลย..นอกจากต้องมาร้องไห้กับจอห์น ไบรอัน ผู้ซึ่งสามารถแก้ใขปัญหาได้ในทุกเรื่องราวกับเป็นพหูสูตร เขาเต็มไปด้วยความยินดีในการที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยการบอกว่า..ปล่อยให้เป็นธุระของกระผมเถิด.. ต่อมา เขาปลอบขวัญด้วยการพาดัชเชสและพระธิดาทั้งสองไปพักผ่อนเล่นสกี  และเป็นหูเป็นตาดูแลทุกอย่างและทุกเรื่อง เขาทั้งอ่อนหวาน อบอุ่น..อ่อนโยน ตามพระทัยเจ้าหญิงทั้งสองในทุกๆเรื่อง เมื่อมารู้ตัวอีกที..จอห์นได้กลายเป็นบุคคลที่สุดแสนสำคัญอย่างขาดไม่ได้ในชีวิตของบุคคลทั้งสามเสียแล้ว !!!! จากคุณ : WIWANDA - [ 14 ส.ค. 48 00:52:06 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ต่อมาเขาได้เริ่มมีบทบาทมากขึ้น จนกระทั่งเข้ามาจัดการในเรื่องทรัพย์สินส่วนตัวเช่น.. "กระผมได้หาทางช่วยโดยการเข้าไปพูดกับธนาคารเรื่องประนอมหนี้สิน ซึ่งกระผมจะจ่ายไปส่วนนี้ออกไปก่อน กรุณาอย่าวิตกทุกข์ร้อน" ซึ่ง ดัชเชสถึงกับหายใจโล่งอก..เขาช่างแสนดีเสียจริงที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที เพราะในยามนั้น เธอก็เปรียบเสมือนเรือที่ขาดหางเสือ ใครก็ตามที่สามารถเข้ามาให้การควบคุมให้ล่อยลอยต่อไปได้  จึงถือว่าเป็นเพื่อนอย่างแท้จริง และเมื่อจอห์นได้มาขอฉันทะการมอบอำนาจทำนิติกรรมต่างๆจากดัชเชสในเดือน มิถุนายนต่อมา..เธอจึงเซ็นให้อย่างไม่เฉลียวใจ เพราะ ไม่ว่าเขาจะบอก หรือ สั่งอะไร เธอก็เชื่อและทำตามไปหมดทั้งสิ้น.. เพื่อนสนิทคนหนึ่งของดัชเชสได้แอบกระซิบเตือนในวันหนึ่งว่า "นี่..เธอไม่เห็นหรือไง ว่าเขากำลังพยายามจะทำอะไรอยู่.." ซึ่งดัชเชสก็ตอบกลับไปว่า.. "ไม่จริ๊งงง..เธอดูคนผิดไปมัง เขาเป็นคนที่แสนวิเศษจริงๆ" เพราะในภาพที่เห็น..จอห์นเป็นคนที่มั่งมี และใจกว้างราวกับมหาสมุทร จนดัชเชสมองไม่เห็นเหตุผล ที่เขาจะมาหลอกลวงเพื่ออะไร เพียงแต่เธอลืมความจริงในข้อที่ว่า..การที่จอห์นได้มีโอกาสสนิทสนมกับเธอนั้น คือการปีนสู่สังคมขึ้นอีกระดับหนึ่ง อีกทั้งเป็นใบเบิกทางสู่แวดวงที่เขาไม่เคยมีโอกาสที่จะได้เดินกรายผ่านในชาตินี้ ดังนั้น..ไม่ว่าครั้งใดที่เธอได้รู้สึกอ่อนล้า เขาคนนี้จะเป็นผู้ปลอบประโลมด้วยคำพูดที่สร้างสรร และเสริมสร้างกำลังใจให้กลับคืนมา เช่น.. "ไม่ต้องห่วงนะ กระผมจะดูแลดัชเชสเอง อย่าไปฟังเสียงนกเสียงกาเลยนะครับ.. ทุกอย่างจะเรียบร้อย" หรือ "ดัชเชสช่างกล้าหาญราวกับวีรสตรีน้อยๆเชียวนะ เชื่อกระผมเถอะ..!!" หนังสือพิมพ์ ซันเดย์ ไทม์ ได้ตั้งสมญาให้กับจอห์นว่า  เป็น "รัสปูตินของเฟอร์กี้" ซึ่งอ่านแล้วเหมือนกับเป็นการยกย่องฝ่ายชาย ในขณะเดียวกันคือทำให้ดัชเชสกลายเป็น หญิงไร้สมองที่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง.. ในยามต่อมา.. เธอได้บรรลุถึงสัจจธรรมและถ่องแท้ว่า..จริงๆแล้วบานะของเขาไม่ได้ดีดังที่คิด และการลงทุนในกิจการของเขายังต้องการฐานสนับสนุนทางการเงินที่แข็งแรง และ ความมีชื่อเสียง หรูหราเพื่อที่จะไต่บันไดยกระดับตัวเองสู่สังคมในยุโรป และชีวิตของคนทั้งสองได้มาลงล๊อคกัน เพราะตัวเธอเองที่โดดเดี่ยว ไร้ที่พึ่ง.. กำลังต้องการเพื่อนที่ให้กำลังใจ และเป็นคู่คิดที่สามารถช่วยแก้ใขสะสางปัญหาที่ยุ่งเหยิงที่รายล้อมรอบตัว ดังนั้นง.ในความจริงแล้ว..จอห์นไม่ได้ลอกล่อด้วยเวทมนต์คาถาหรือมอมเมาเธอแต่อย่างใด เพียงแต่ ในภาวะเช่นนั้น คนทั้งสองกำลังต้องการพึ่งพิงซึ่งกันและกัน เพียงแต่..ถ้าเทียบผลลัพธ์ในเรื่องของการขาดทุนกำไรนั้น..มันช่าง"ต่าง"กับอย่างเทียบไม่ได้ และ..ส่วนแบ่งนั้นไม่ยุติธรรมสำหรับเธอเลยแม้แต่นิด ! จากคุณ : WIWANDA - [ 14 ส.ค. 48 00:59:33 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ในยามต่อมา..เจ้าหญิงบีทริซ และ เจ้าหญิงยูจินี่ ได้รับเชิญไปร่วมในงานวันอีสเตอร์ในพระราชวังวินเซอร์ แต่..ดัชเชสมิได้รับเชิญแต่อย่างใด ชื่อของเธอได้ถูกขีดฆ่าออกไปจากรายชื่อแขก...เข้าข่ายเกลียดตัวกินใข่ ความน้อยใจได้เข้ามาครอบงำ.. เธอจึงตัดสินใจว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นที่พระธิดาจะต้องไปร่วมงาน และเพื่อเป็นการแก้หน้า..เธอจึงจัดการจองการเดินทางเพื่อการพักผ่อน..สู่เอเซีย ในวันที่ 9 เมษายน คือการบินไปซูริค และ จากนั้น  ทั้งหมดสามคนแม่ลูกก็เดินทางไปยัง เกาะภูเก็ต ประเทศไทย การไปต่างแดนครั้งนี้ เธอมิได้เชิญจอห์นให้ร่วมทางไปด้วย เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว แต่..ทันที่ที่รู้ข่าว จอห์นตามไปสมทบทันที โดยไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านใดๆ ที่ภูเก็ต..เป็นสถานที่ที่แสนเหมาะเพราะปลอดนักข่าวอย่างแน่นอน ขนาดข่าวของหนังสือพิมพ์ประเภทซุบซิบนิทาเจ้านาย ถึงกับออกมาเขียนว่า "เฟอร์กี้..อยู่ที่ส่วนไหนของภูเก็ตกันนะ?" แต่ก็ยังไม่วาย..มีภาพของเธอและจอห์นหลุดไปลงหน้าหนึ่งจนได้ รูปที่หลุดไปถึงนักข่าวได้นั้น มาจากนักท่องเที่ยวที่จำเธอได้ และได้แอบถ่ายรูปและนำไปขายให้กับหนังสือพิมพ์ อันเป็นภาพในขณะที่เดินเล่นกับจอห์นในสวนของรีสอร์ตที่พักอยู่ และ การที่รูปได้หลุดไปสู่สานตาของประชาชนได้นั้น ถ้าเป็นคนที่ฉลาดๆหน่อยก็น่าจะถือว่าเป็นบทเรียนที่สมควรแก่การจดจำ และต้องระวังตัวให้ดีกว่านี้ แต่..ดัชเชสไม่ได้อยู่ในสภาพที่มีสติคิดได้อย่างรอบคอบนัก จึงไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า ในภาพนั้น  ดูเหมือนกับ..จอห์นเป็นคนที่ตั้งใจแอ๊คท่าให้ถ่ายรูปอย่างชัดเจน และถ้าคิดให้ดีๆ..เขาอาจมีส่วนอยู่เบื้องหลังการแอบถ่ายครั้งนี้ก็เป็นได้ จากคุณ : WIWANDA - [ 14 ส.ค. 48 01:05:49 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ไม่นานต่อมา..คือวันรอยัล แอสคอต หรือ วันแข่งม้าหลวง ซึ่งเมื่อปีที่แล้วนี้เองที่ดัชเชสคือแขกคนสำคัญคนหนึ่งของงานในฐานะสมาชิกของพระราชวงค์ และได้นั่งในรถเทียมม้าเข้างานกับควีนมัม แต่ในครั้งนี้ เธอและพระธิดาทั้งสอง..ต้องไปยืนคอยดูริ้วขบวนที่ข้างถนนรวมกับฝูงประชาชน ประวัติศาสตร์ช่างซ้ำรอยเหมือนกับสมัยที่เแม่ได้พาเธอมาคอยดูสมเด็จพระราชินีประทับทรงในรถม้าในวันสำคัญเช่นนี้อย่างไรอย่างนั้น ดัชเชสต้องการให้พระธิดาทั้งสองชื่นชมและรับรู้ในภาระกิจของพระอัยยิกาในฐานะประชาชนธรรมดาที่คอยยืนรับเสด็จข้างทางพร้อมกับโบกผ้าเช็ดหน้าให้กับพระองค์ยามที่เสด็จผ่านเหมือนอย่างคนอื่นๆ แม้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมาเมื่อหกเดือนก่อนนั้นจะเลวร้ายที่สุด แต่..ความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จฯและเธอก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนไป พระองค์ยังคงรับโทรศัพท์ทุกครั้งที่โทรไป และ การพบปะระหว่างย่าและหลาน ในการรับประทานน้ำชาทุกบ่ายวันอาทิตย์ก็ยังคงเหมือนเดิม ในวันที่สองของพระราชพิธีครั้งนั้น เจ้าชายแอนดรูว์ได้มาประทับรวมอยู่ด้วยที่ข้างถนน เพื่อเป็นการให้กำลังใจแม่ๆลูกๆ  ซึ่งการแสดงน้ำพระทัยครั้งนั้นคือ ความประทับใจที่ดัชเชสได้ระลึกถึงและซาบซึ้งในพระกรุณาเสมอ ในฤดูร้อนต่อมา การเดินทางไปไหนต่อไหนกับจอห์นก็มีเกิดขึ้นเสมอๆ และนี่คือสาเหตุของการที่ดัชเชสได้ล่มสลายไปด้วยฝีมือของนักข่าวที่เรียกว่า ปาปารัสชี่ ที่เกิดขึ้นที่ภาคใต้ของประเทศฝรั่งเศสในเดือนสิงหาคม 1992 เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า.. ดัชเชสและจอห์นได้ทำการเช่าคฤหาสน์สีชมพู ที่เรียกว่า โรเมนด้า..ใกล้ๆกับสถานที่ตากอากาศที่มีชื่อเสียงของโลกคือ ซังต์ โทรเปซ์ โดยใช้ชื่อปลอมในการจอง การเดินทางก็เช่าเครื่องบินส่วนตัว..คฤหาสน์นั่นก็อยู่ห่างจากถนนถึงสองไมล์ และ ไม่มีบ้านใครอื่นอยู่ในละแวกอย่างแน่นอน และถนนทางเข้าเป็นส่วนตัวไม่ต้องใช้ร่วมกับใคร ตัวตึกถูกรายล้อมไปด้วยสวนองุ่นที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่..นั่นมิได้หมายถึงว่า ดัชเชสจะรอดพ้นไปจากเลนส์ของกล้องส่องทางไกลเสียเมื่อไหร่? สามวันหลังจากที่รูปอันอัปยศได้ออกตีพิมพ์สู่สายตาของประชาชน หนังสือพิมพ์ซันเดย์ เอกซเปรส ได้พาดหัวข่าวว่า.."หรือ..เฟอร์กี้จะโดนกับดักของแผนการทำลายล้าง?" ข้อความต่อๆมาในเนื้อข่าว ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า ทำไม..ปาปารัสชี่ฝรั่งเศสคนดัง(ที่แอบถ่ายรูปได้) นามว่า แดเนียล แอนเจลี่ จึงรู้ได้ว่า ดัชเชสจะไปที่นั่น? ทำไม..นายแดเนียล จึงสามารถเล็ดลอดเข้าไปในอาณาบริเวณได้ ทั้งๆที่(น่าจะ)มีฝ่ายอารักขาอยู่ข้างนอก? และมาถึงคำถามสำคัญ..ว่า..ใครคือผู้ที่ให้ข่าวและให้ทางสะดวก? จากคุณ : WIWANDA - [ 14 ส.ค. 48 01:10:45 ]

ความคิดเห็นที่ 47 จอห์นได้พบกับคำตอบในส่วนหนึ่ง เมื่อเขาได้กลับไปสำรวจรอบบริเวณตัวคฤหาสน์ในอาทิตย์ต่อมาพบว่า.. ในสนามระหว่างตัวอาคารจนถึงสระว่ายน้ำนั้น..มีการขุดคูเพลาะเป็นทางยาวนับร้อยๆหลา ขนาดกว้างของคูเพลาะนั้น คนสามารถเข้าไปอยู่ได้อย่างสบาย และนี่คือ ตำแหน่งที่นายแดเนียลใช้กล้องส่องได้อย่างสะดวก โดยเฉพาะจุดสำคัญของสระว่ายน้ำที่มีภาพกึ่งเปลือยของดัชเชสนับสิบๆภาพ ซึ่งนายแดเนียลและผู้ช่วยต้องใช้ความพยายามฝังตัวซ่อนอยู่ในคูขุดนั่นเป็นเวลากว่าสามวันกว่าจะได้ภาพเด็ดดังว่า และนี่คือ ความผิดพลาดอย่างมหันต์ของระบบการให้ความปลอดภัยแก่สมาชิกของพระราชวงค์ อย่างดัชเชสเองนั้นไม่ถือว่าเป็นบุคคลสำคัญเพราะได้เป็นแค่อดีตพระชายาของเจ้าฟ้าชายแอนดรู แต่เจ้าหญิงพระนัดดาสองพระองค์ของสมเด็จพระราชินี ซึ่งมีอันดับในการสืบสันตติวงค์นั้น ย่อมต้องมีการถวายอารักขาอย่างเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเสด็จไปที่ไหน แต่..ในการไปที่ฝรั่งเศส หลังจากที่เป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลกแล้วนั้น  จึงได้ทราบว่า เจ้าหญิงพระนัดดาทั้งสองมิได้มีการให้อารักขาแต่อย่างใด รัฐบาลฝรั่งเศสได้ตอบกลับมาว่า ไม่ได้รับการประสานหรือข่าวของการเยือนจากรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะก่อนการเดินทาง ดัชเชสได้ปฏิบัติตามระเบียบอย่างถูกต้อง คือ การขอพระอนุญาตจากสมเด็จพระราชินีอย่างเป็นที่เรียบร้อย ดังเช่นเคยปฏิบัติอย่างเสมอมา ดังนั้น..การคาดเดาเป็นไปได้ว่า..หน่วยที่ต้องให้การอารักขาของอังกฤษได้บกพร่องทางหน้าที่ และดัชเชสเชื่อว่า ทางสำนักกรมวังผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ ได้แอบส่งข่าวให้นักข่าวรู้ว่าจะมีการเดินทางไปไหน  และ ทางนักข่าวได้ประสานงานกันเองกับทางฝรั่งเศสโดยส่ง ปาปารัสชี่มือหนึ่งเข้าดำเนินการ และ..ในเมื่อเจ้าหญิงทั้งสองไม่มีการให้อารักขาใดๆจากหน่วยให้ความคุ้มครอง นั่นคือเรื่องที่น่าสะพรึงกลัว เพราะถ้าเกิดว่าไม่ใช่พวกปาปารัสชี่ที่มีแต่กล้อง.. แต่กลับกลายเป็นคณะผู้ก่อการร้ายที่มีอาวุธร้ายแรงล่ะ..อะไรจะเกิดขึ้น? ข่าวของการบกพร่องในการความปลอดภัยครั้งนั้น เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง   ข้อเขียนวิเคราะห์ของเลดี้ คอลิน แคมเบลล์ ในหนังสือนิตยสารได้ว่าไว้ว่า "นี่คือการกระทำแบบจงใจเจตนาล้างผลาญ..จากฝีมือของฝ่ายตรงข้ามของเฟอร์กี้ที่ต้องการทำลายแบบถอนรากถอนโคนไม่ให้ผุดให้เกิดกลับมามีหน้าตาในสังคมเจ้านายอีกเลย อีกทั้งเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปถึงเจ้าหญิงไดอะน่าด้วยว่า..ถ้าจะเดินทางสายเดียวอย่างเฟอร์กี้ละก้อ นี่คือความอัปยศที่จะได้รับต่อไปในภายภาคหน้า.. ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเฟอร์กี้ในครั้งนี้คือ..การจัดฉากเชือดอย่างสวยหรู" ถ้าการคาดเดาของเลดี้คอลินนั้นถูกต้อง เท่ากับว่า คณะกรมวังได้รับรางวัลแจ๊คพอตก้อนโต เพราะ งานนั้นได้รับผลสำเร็จเกินคาด เพราะว่ามันได้สร้างความอัปยศ และความอับอายให้กับดัชเชสอย่างไม่มีชิ้นดี  อะไรจะเลวร้ายไปกว่าภาพที่หญิงผู้สูงศักดิ์กำลังระเริงรักในที่โล่งแจ้งกับชายชาวอเมริกันหัวล้านเลี่ยนนั่นเล่า.. ความผิดนั้นจะไปโทษใครได้..ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าตัวเธอที่เป็นคนยื่นดาบนั้นให้กับพวกเขาเอามาบั่นคอตัวเอง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 14 ส.ค. 48 01:15:54 ]

ความคิดเห็นที่ 48 จริงอยู่..ที่ว่าพวกเขาได้กระทำจนสำเร็จสมดังความตั้งใจ  แต่เหลืออยู่เพียงคำถามเดียว..ว่า.. สิ่งที่เขาทำนั้น คือ มันเป็นหน้าที่โดยตรงของพวกเขาหรือเปล่า หรือ..มันเป็นหน้าที่ของการถวายความจงรักภักดีที่ตรงไหน.. ในการทำงานของพระราชวังบัคกิ้งแฮมในสมัยใหม่นั้น เจ้าหน้าที่กรมวังชั้นผู้ใหญ่ไม่ใช่จะมานั่งจิบยินโทนิค และคุยฟุ้งเรื่องของชาวบ้านต่างเมืองทั้งวันอย่างแต่ก่อน พวกเขาจะต้องคอยระมัดระวังและป้องกันการเสื่อมเสียชื่อเสียงใดๆที่จะมาสู่พระราชวงค์ยิ่งชีวิต..ไม่ว่าการเสื่อมเสียนั้นจะมาจากผู้อื่นหรือมาจากสมาชิกในพระราชวงค์เอง แต่ในกรณีของดัชเชส..กลายเป็นว่า พวกเขาได้กระทำทุกอย่างในทางตรงกันข้าม อีกทั้งเป็นคนเชื้อเชิญและแจกข่าวให้กับสื่ออย่างสนุกมือ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว  อย่างไรเสีย..ดัชเชส ออฟ ยอร์ค จะต้องไปจากเส้นทางนี้อยู่ดีด้วยความประสงค์ของเธอเอง ทางฝ่ายสำนักกรมวังแทบไม่ต้องออกแรงขับไล่ให้ลำบากเสียด้วยซ้ำ เมื่อตอนที่เธอได้กลับมาจากคฤหาสน์โรเเมนดา(อันฉาวโฉ่) ที่ฝรั่งเศส เพื่อไปพบกับเจ้าชายแอนดรูว์ที่พระราชวังบัลมอรัลในการพักผ่อนประจำปีของราชวงค์วินเซอร์ และหลังจากที่ข่าวได้ออกไปทุกหน้าสื่อหนังสือพิมพ์อย่างสดๆร้อนๆนั้น เธอได้เปรียบตัวเองเสมือนร่างที่ไร้วิญญาณ.. เหมือนกับผีเสื้อที่ถูกสตัฟฟ์ตรึงด้วยเข็มหมุดอยู่ในกรอบแก้ว เพราะความอับอายและอดสูในการกระทำของตัวเอง สมองที่เบลอไปด้วยความว่างเปล่า.. จนแทบไม่สามารถครองสติสื่อสารอะไรกับใครได้   เธอกลับไปสูบบุหรี่อีกครั้ง หลังจากที่เลิกอย่างเด็ดขาดมาตั้งแต่แต่งงานใหม่ๆตามความประสงค์ของเจ้าชายพระสวามี.. ครั้งนี้..เธอหันกลับไปสูบมันหนักกว่าเดิม จากคุณ : WIWANDA - [ 14 ส.ค. 48 01:20:00 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ในความเป็นจริงแล้ว..เธอรู้ตัวดีว่า ไม่ควรจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆ น่าจะหลบลี้หนีหน้าไปให้ไกลๆ หากแต่... เพราะเจ้าหญิงพระธิดาน้อยๆทั้งสองพระองค์คือโซ่คล้องใจ ที่ เธอยังอยากทำหน้าที่ของแม่ทั่วไปโดยการไปส่งที่โรงเรียนทุกเช้า แม้ว่า อยากจะแทรกแผ่นดินทุกครั้งที่ได้รับสายตาจับจ้องมาจากหมู่แม่ของเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ในยามนั้นคือยามที่เธอหมดกะจิตกะใจในเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูดี มักปรากฏตัวด้วยเสื้อผ้าชุดลำลอง หรือ ชุดออกกำลังกาย ผมเผ้าฟูฟ่อง  ใบหน้าโล้นเลี่ยน..ไร้เครื่องสำอางใดๆ นักข่าวก็ยังไม่วายไปดักถ่ายรูปเพื่อที่จะเอามาลงหน้าหนึ่ง พร้อมกับข้อความว่า "ยายเพิ้งไปส่งลูกที่โรงเรียน" และ..ผลก็คือ..การพบกับเจ้าชายฟิลลิป ดยุค ออฟ เอดินเบอร์คในครั้งต่อมา พระองค์ถึงกับต่อว่าตรงๆว่า "นี่เธอ..ถ้าจะไปส่งลูกๆไปโรงเรียนละก้อ พยายามทำตัวให้มันดูดีกว่านั้นหน่อยจะได้ไหม?" ซึ่งอะไรก็ตามที่มีการข้องแวะกับเรื่องลูกๆทั้งสองละก้อ ดัชเชสจะมีอาการ"หน้าบาง"ผิดปรกติ และนี่คือ เหตุผลที่เธอหันกลับมาดูแลภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดีขึ้นในยามรับส่งพระธิดาที่โรงเรียนในต่อมา เพราะว่า... ครั้งหนึ่งที่พระราชวังบัลมอรัล เธอแอบได้ยินเสียงนินทาแว่วๆมาจากการพูดคุยของกรมวังว่า เธอนั้น..ไม่ใช่มารดาที่ดีของลูกๆที่เป็นถึงพระราชนัดดา   เท่านั้นไม่พอ สื่อจากหนังสือพิมพ์ ยังตั้งข้อวิจารณ์ว่า "เป็นที่แปลกใจถ้า สมเด็จพระราชินียังคงปล่อยให้เฟอร์กี้ดูแลพระธิดา เพราะทั้งสองพระองค์ควรจะต้องได้รับการสั่งสอนในเรื่องของพระราชประเพณี และการเป็นขัตติยะนารีตั้งแต่ยังเล็กๆ" ถ้อยคำนั้น..ฟังดูง่ายๆแต่ได้ใจความ..นั่นคือ คนอย่างเธอไม่ดีพอ และไม่สมควรที่จะเลี้ยงดูพระนัดดาของสมเด็จพระราชินีนั่นเอง และจากกระแสความคิดเห็นของสื่อในเรื่องนี้.. ทุกๆวันไม่ว่าดัชเชสจะไปไหน จะมีนักข่าวอย่างน้อยๆเจ็ดแปดคนที่คอยติดตามในทุกๆที่ เช่นไปร้านเช่าวีดีโอ..ทุกคนก็จับจ้องว่า ในมือจะเป็นหนังโป๊ชนิดต้องห้ามหรือไม่? ไปร้านขายเนื้อ ก็จะคอยดูกันว่า จะสั่งตัดเนื้อชั้นดีหรือ ชั้นราคาล่างๆ หรือแม้กระทั่งพยายามสืบหาว่า เธอได้จ่ายบิลตรงเวลาหรือไม่? ดัชเชสต้องจมปรักอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้ทุกวัน ไม่มีสถานที่ที่ไหนจะปลอดนักข่าวสำหรับเธอ นอกจากต้องหลบๆซ่อนอยู่แต่ในบ้าน ซึ่งที่นั่นก็ใช่ว่าจะรอดพ้นไปเลนส์ประสิทธิภาพสูงสุดของกล้องสารพัดชนิดที่พยายามสอดส่ายส่งเข้ามา และสิ่งที่เลวร้ายสำหรับเธอในตอนนั้น คือการอ่านข่าวของตัวเองจากหนังสือพิมพ์ทุกชนิด และเชื่อในสิ่งๆต่างที่เขาตั้งใจให้เธอเป็น โดยเฉพาะ ข้อความที่ว่า..แม่หญิงอ้วนที่น่าชัง..อันนี้คือข้อความที่สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับเธออย่างสุดจะทน !! จากคุณ : WIWANDA - [ 14 ส.ค. 48 01:28:07 ]

ความคิดเห็นที่ 50 พักดูรูปกันก่อนดีมั๊ยครับ ช่วงนี้ว่าง เลยรับจ๊อบเป็นมือโพส อิอิ 1. กับหนังสือ Budgie จากคุณ : Great_Khan - [ 14 ส.ค. 48 03:12:39 ]

ความคิดเห็นที่ 51 2. ภาพถ่ายอื้อฉาวของเธอ (หาได้เท่านี้น่ะครับ) จากคุณ : Great_Khan - [ 14 ส.ค. 48 03:14:17 ]

ความคิดเห็นที่ 52 3. นี่เป็นหนังสือพิมพ์เล่มเดียวกัน แต่ฉบับก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง (คิดว่าคนข้างๆ คือพ่อของซาร่าห์นะครับ) จากคุณ : Great_Khan - [ 14 ส.ค. 48 03:16:53 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ผู้สื่อข่าวนี่ มันเหมือนกันทุกประเทศเลยวุ้ย! จากคุณ : ต้นลูกตาล - [ 14 ส.ค. 48 04:51:08 ]

ความคิดเห็นที่ 54 รูปนี้ด้วยใช่หรือเปล่าเอ่ย..ไม่แน่ใจ จากคุณ : วาด (vad) - [ 14 ส.ค. 48 18:06:09 ]

ความคิดเห็นที่ 55 princes Harry and Willilm princesses Beatrice and Eugenie แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 48 18:23:19 จากคุณ : vad (vad) - [ 14 ส.ค. 48 18:23:07 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ภาพ ค.ห 55 ไม่ขึ้น เปลี่ยนเป็นอันนี้ให้ค่ะ princesses beatrice and eugenie เมื่อยังทรงพระเยาว์ จากคุณ : วาด (vad) - [ 14 ส.ค. 48 18:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 57 cheers จากคุณ : horseshoes - [ 14 ส.ค. 48 19:57:58 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เดี๋ยวนี้เฟอร์กี้สวยขึ้นเนอะ จากคุณ : เมี๊ยวหง่าว - [ 15 ส.ค. 48 11:25:19 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เดี๋ยวนี้ เฟอร์กี้ทำธุรกิจใช่ไหมคะ? จำได้ว่าทำอะไรที่อเมริกาสักอย่าง รอผู้รู้เข้ามาตอบค่ะ จากคุณ : little kitty - [ 15 ส.ค. 48 14:37:24 ]

ความคิดเห็นที่ 60 She run business in USA. It is the sandwiches making one called Duchess of York sandwiches ka. แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 48 16:14:21 จากคุณ : horseshoes - [ 15 ส.ค. 48 16:12:44 ]

ความคิดเห็นที่ 61 มาเล่าต่อค่ะ..ขอโทษทีที่หยุดพักไปสองวัน ไปเที่ยวน่ะค่ะ กลับมาก็ปวดหัวไมเกรนเข้าไปอีก หมู่นี้ไม่รู้เป็นยังไง ร่างกายตรากตรำนิดๆหน่อยๆก็ไม่ได้.. หลังจากที่ข่าวฉาวโฉ่ระเริงชายของดัชเชสได้กระจายออกไปเป็นวงกว้างราวกับระเบิดลงแล้วนั้น ตัวเธอเองก็ต้องอยู่ในสภาพแทบจะเอาปี๊บคลุมหัวเดิน แม้ว่าจะหมกตัวอยู่แต่ในบ้านก็ตาม เหล่าบรรดานักข่าวก็ยังไม่วายแอบเอากล้องขนาดจิ๋วไปซุกซ่อนที่นั่นที่นี่ในอาณาเขตบ้าน.. จนกระทั่งเดือนหนึ่งผ่านไป วันที่ 19 กันยายน  1992  กำหนดการออกงาน(ที่วางเอาไว้แล้วล่วงหน้าครึ่งปี) คือการที่เธอต้องไปออกงานในฐานะประธานมูลนิธิ คนใข้โรค Motor Neurone  Disease {MND = โรคกล้ามเนื้อสลาย}  ซึ่ง นาย Peter Cardy ได้โทรศัพท์มาหาเพื่อขอคำยืนยันในเรื่องการปรากฏตัว "กรุณาเถอะ คุณปีเตอร์  อย่าให้ต้องไปร่วมงานนี้เลย  คุณช่วยไปหาคนอื่นมาทำแทนเถิด  และฉันขอลาออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิ...... เห็นใจฉันเถอะนะ แค่นี้ก็อับอายผู้คนเขาจะแย่อยู่แล้ว" แต่..นายการ์ดี้หาฟังเหตุผลไม่..เขายืนยันว่าทุกคนยังต้องการดัชเชสให้ไปทำหน้าที่เช่นเดิม..เรื่องที่ว่าจะร้ายแรงอัปยศเพียงใดก็ถือว่านั่นคือ เรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน เสียงปลอบประโยนของเขานั้น ทำให้ดัชเชสได้สำนึกขึ้นมาได้ว่า...ตัวเธอยังมีหน้าที่สำคัญต่อประชาชนที่ต้องสานต่อไป  จึงได้อ้อมแอ้มตอบตกลง ในวันงาน...ที่ ศูนย์ประชุมเบอร์มิงแฮม ดัชเชสได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดไปปรากฏตัวตามสัญญาและนี่คือครั้งแรกที่เธอได้ออกงานนับตั้งแต่เป็นข่าวมา แต่พอมาถึงที่ล๊อบบี้..เธอกลับเกิดอาการแข้งขาสั่น ไม่กล้าที่จะก้าวขาต่อไปในห้องประชุม เธอได้หันไปหานาย เควิน แลงดอน กรรมการมูลนิธิที่ได้ร่วมงานกันมาช้านานว่า "เควิน...ฉันไม่กล้า..ฉันกลัว.." เควิน..คืออดีตคนใข้โรค MND คนหนึ่ง..ที่หมอเคยบอกเขาว่า เขาจะเดินไม่ได้อีกต่อไป(เพราะอาการสลายของกล้ามเนื้อ) แต่เขาได้ยืนหยัดต่อสู้ด้วยกำลังใจที่แข็งแกร่งจนเอาชนะมันได้ในทุกวันนี้ เขาหันมาดุ และพูดด้วยเสียงกร้าวว่า "คุณคิดดูนะ..ในขณะที่ขาของคุณยังดี ยังเดินได้ ลองทำประโยชน์เพื่อคนอื่นๆบ้างซิ...ยังมีคนอีกนับร้อยนับพันที่อยากพาตัวเดินเข้ามาที่นี่ด้วยขาของตัวเองแบบไม่ต้องนั่งรถเข็นหรือมีญาติพยุง อย่างที่เห็นๆกันอยู่ พวกเขาไม่มีโอกาสเดินได้อย่างคุณ..... แต่เขาก็ยังมา..." ด้วยคำพูดประโยคนั้นเอง..ดัชเชสไม่มีทางเถียงแต่อย่างใด นอกจากเดินเข้าไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายแต่โดยดี และที่เวทีนั่น..หลังจากที่ได้ทำการอภิปรายต่อหน้าผู้ป่วยจำนวนกว่าห้าร้อยคนนั้น..เสียงปรบมือจากเขาเหล่านั้นได้ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว พวกเขาไม่ได้สนใจว่าข่าวคาวๆของเธอจะเป็นอย่างไร ทุกคนเข้าใจดีว่า..เธอคือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่ย่อมมีผิดมีพลาด มีดีมีเลว..และที่สำคัญคือ พวกเขาอภัยให้เธอในความผิดที่แม้แต่ตัวเธอก็ยังอภัยให้ตัวเองไม่ได้ ยิ่งคิด..ทำนบน้ำตาก็พังทะลายต่อหน้าธารกำนัล..เธอร้องให้โฮออกมากลางงานด้วยความรู้สึกหลากหลายกระแสที่ประเดประดังเข้ามา แต่ก็ยังไม่วายที่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ของวันรุ่งขึ้นได้พาดหัวว่า.. "เฟอร์กี้หลั่งน้ำตาขอความเห็นใจต่อหน้าผู้ป่วย" และ "เฟอร์กี้ร่ำไห้สำนึกผิด ขอความเมตตากลับคืนดังเดิม" แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 48 23:32:35 จากคุณ : WIWANDA - [ 17 ส.ค. 48 01:29:45 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ในปีนั้น ที่เลวร้ายไปหมดสำหรับวินเซอร์ก็ยังมีเคราะห์กรรมมาโดยตลอดตั้งแต่ต้นปียันปลายปี เพราะในเดือน พฤศจิกายน พระราชวังถูกไฟใหม้เผาผลาญวอดวายไปส่วนหนึ่ง  ที่ต้องใช้เงินซ่อมสร้างกว่าแปดสิบล้านปอนด์ ต่อมาในเดือน ธันวาคม เจ้าหญิงไดอะน่าและเจ้าฟ้าชาย ชารลส์ ประกาศแยกทางกันอย่างเป็นทางการ ทั้งที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็รู้ระแคะระคายในเรื่องนี้กันอยู่แล้ว แต่ข่าวการแยกกันนั้นก็ยังถือว่าเป็นข่าวใหญ่ที่ดังไปทั่วโลกและมันได้กลบข่าวของดัชเชสให้แผ่วสลายไปจากความสนใจของปวงชนไปได้ขณะหนึ่ง ตอนนั้น..ดัชเชสได้รับการติดต่อจากนาง Theo Ellert  ประธานองค์กรสงเคราะห์เด็กผู้ยากไร้ใน Upper Silesia (เขตที่มีโรงงานอุตสาหกรรมหนาแน่นในโปแลนด์ใกล้ๆกับรัสเซีย) เด็กที่อยู่ในเขตนี้..ส่วนใหญ่ป่วยด้วยโรคมะเร็งที่เกิดจากภาวะมลพิษ ดัชเชสตอบรับทันที  เธอและเธียวได้เดินทางไปยัง โรงพยาบาลเด็กใน Zabrze {Upper Silesia} ในช่วงก่อนวันคริสมาสต์ไม่เท่าไหร่  ที่นั่น เธอได้เห็นภาพที่สุดยอดแห่งความโหดร้ายของชะตากรรมมนุษย์ โรงพยาบาลเด็กที่มีสภาพไม่ผิดอะไรไปจากห้องแถวโทรมๆ  มีตู้อบเด็กแรกคลอดเพียงสองเครื่อง (หมายถึงถ้าคนใข้เกินกว่าจำนวนนั้น ก็ต้องตายอย่างช่วยไม่ได้) ไม่มีเข็มฉีดยาขนาดเล็กสำหรับเด็ก ฉะนั้นในการให้เคมีบำบัดกับเด็กเล็ก เข็มฉีดยาที่ใช้จึงเป็นเข็มที่ใหญ่โตผิดขนาด แล้วแต่จะหาได้.. นับว่าเป็นภาพที่น่าทรมานในยามปฎิบัติการ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยสำหรับโรงพยาบาลอนาถาที่ว่านี้..มีเสียงเด็กร้องไห้จ้า..ดังสนั่นทั้งวัน นับว่าเป็นภาพที่สุดจะทนสำหรับดัชเชสที่หวนคิดไปถึงพระธิดาทั้งสองที่ถูกทนุถนอมเลี้ยงดูมาอย่างยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม และมาคิดถึงตัวเอง จนได้เข้าใจในสัจจธรรมแห่งชีวิตว่า..ยังมีคนที่ทุกข์ระทมและต้องเผชิญกับโชคชะตาร้ายๆไปกว่าเธออีกมากมายนักในโลกนี้  พวกเขาต้องทนอยู่ไปอย่างไม่มีทางเลือกจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แต่เธอ..ยังมีทางเลือกอีกมาก..ความทุกข์ของเธอที่มีเทียบเท่ากับของพวกเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อยนิด..อีกทั้ง เธอยังอยู่ในฐานะที่"สามารถ"ช่วยเหลือและสร้างกุศลให้กับพวกเขาได้อีก แม้ว่ามันอาจจะเป็นจำนวนไม่มาก..แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ดัชเชสจึงกลับมาริเริ่มตั้งมูลนิธิเพื่อเด็กที่ยากไร้ด้วยตัวเองในนามของ Children in Crisis และ เธียว ได้เข้ามาร่วมช่วยงานด้วยในเวลาต่อมา ในเดือนมีนาคมต่อมา มูลนิธินี้ได้หาเงินมาอุดหนุนโครงการได้ถึง $50 ,000 จากดินเนอร์เพื่อการกุศลเพียงคืนเดียว จากนั้นมา..ดัชเชสได้ใช้เวลาว่างทั้งหมดที่มีทุ่มเทให้กับมูลนิธิที่เกี่ยวกับเด็กทั้งของตัวเองและในโครงการอื่นๆของ UN กระนั้น..ข่าวซุบซิบนินทาในหน้าหนังสือพิมพ์ก็ยังไม่หยุดกระแนะกระแหน เพียงแต่..มันไม่ได้สร้างความหวั่นไหวให้กับเธอได้อีกต่อไป.. แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 48 13:02:14 จากคุณ : WIWANDA - [ 17 ส.ค. 48 01:34:40 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ทั้งๆที่ได้แยกตัวออกมาจากแวดวงเจ้านายแล้ว..แต่ก็ใช่จะหลุดรอดไปจาก"เงามืด"ของอำนาจกรมวังไม่... ในเดือนกุมภาพันธ์ได้มีคำสั่งตรงลงมาถึงเธอให้ยกเลิกการเดินทางไปพักผ่อนที่คาริบเบียนพร้อมกับพระธิดาทั้งสองโดยด่วน..เพราะเจ้าหญิงไดอะน่าเพิ่งมีข่าวฉาวๆพร้อมกับท่าทีที่เริงร่าท้าแสงอาทิตย์ในชุดบิกินี่.. คำสั่งนั้นได้บอกมาตรงๆว่า "พวกเราไม่อยากเห็นภาพของเธอที่วิ่งกระเซอะกระเซิงนุ่งน้อยห่มน้อยอยู่แถวริมหาดนั่น..." ใจความซ่อนเร้นในนั้นก็บ่งบอกประชดออกมากลายๆว่า.. "รูปร่างหล่อนไม่ได้ดูดีอย่างเจ้าหญิงไดนะยะ.." และดัชเชสก็ต้องยินยอมไปตามนั้น..ก้อใครเล่าที่อยากจะขัดพระทัยสมเด็จพระราชินี..!! ในตอนนั้น ทั้งเธอและเจ้าหญิงไดอะน่ากำลังถูกหมายหัวจากกลุ่มพวกนักข่าวสายฝ่ายพระราชสำนัก โดยการถูกขานว่า "สองหญิงร้าย" และฝ่ายกรมวังก็เริ่มปวดหัวกับผลลัพธ์แห่งการกระทำของตัวเอง กล่าวคือ สองหญิงร้ายที่ว่านี่..กลายมาเป็นสองแม่หม้ายหย่าผัวที่กำลังมีความสุข  ไปไหน..คบใครได้อย่างอิสระเสรี ซึ่งยากต่อการควบคุมความประพฤติให้อยู่ในสายตา ฉะนั้น..แผนสยบมารก็ได้เกิดขึ้น นั่นคือ ไม่ว่าทั้งสองสาวจะคบใคร หรือเริ่มสนิทสนมกับใคร ผู้คนเหล่านั้นจะกลายเป็นข่าวแบบเจาะลึกขุดประวัติขึ้นมาตีพิมพ์แบบผสมสีตีใข่ เพื่อนเศรษฐีชาวอเมริกันคนหนึ่งได้ถูกเตือนมาว่า ควรจะเลิกคบค้ากับกลุ่มสองสาวนี่ได้แล้ว เพราะจะมีแต่เสียกับเสีย.. ต้นปี 1993 ที่ดัชเชสได้พยายามแอบลี้กายไปพบกับทนายความถึงเรื่องการหย่าขาดจากพระสวามี  และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า..สองวันต่อมา สำนักงานทนายความถูกงัด.. และที่บ้านของเธอ ขณะที่กำลังเดินเล่นชมสวน..ก็ได้พบว่ามีหนอนรูปร่างประหลาดเกาะอยู่บนใบไม้ เข้าไปดูใกล้ๆจึงพบว่า นั่นคือเลนส์ของกล้องถ่ายรูปที่แฝงตัวซ่อนไว้ ฉะนั้น..ไม่มีจุดไหนเลยในชีวิตฝ่ายในนี้..ที่จะมีความเป็นส่วนตัว เดินไปไหนมาไหนได้โดยปราศจากการเฝ้าติดตามดูพฤติกรรม ดัชเชสได้บอกกับใครต่อใครเสมอว่า..เรื่องเขียนไดอะรี่น่ะเลิกเขียนมานานแล้ว เล่มที่เคยเขียนก็อยากจะไปฝากไว้ในธนาคาร แต่ก็กลัวว่า ธนาคารจะพลอยถูกงัดไปด้วยน่ะซี๊" เมื่อสมัยที่อยู่กับพระสวามีใหม่ๆ เธอได้เคยทูลพระองค์ถึงเรื่องว่า..ความรู้สึกที่เหมือนมีสายลับคอยเฝ้าดูอยู่ เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ทรงเห็นเป็นเรื่องขำ..หาว่าเธอกังวล และ ระแวงจนประสาทเสีย.. และไม่มีสาเหตุอะไรที่เหล่าเสนาบดีกรมวังจะมาทำเช่นนั้น.. พระองค์เชื่อเช่นนั้น อีกทั้งเหล่ากรมวังที่ว่านั่น ก็ช่างหาเหตุมาอ้างได้สมจริงจังว่า ตัวดัชเชสนั่นแหละ..ที่ อารมณ์แปรปรวนเพราะการตั้งครรภ์   หรือ มีอาการเครียดหลังคลอด หรือ  ฮอร์โมนเลือดลมคงมาไม่ปรกติ  อะไรต่อมิอะไรอีกสารพัดที่ถุกเลือกสรรมาประกอบข้อมูล จนตัวเธอเองก็แทบเชื่อไปตามนั้น... จนกระทั่ง ข่าวออกมาตูมถึงเรื่องเทปลับ คามิลล่าเกท หรือ สควิดจี้เกท  ที่ถูกนำออกมาเผยแบบคำต่อคำ นั่นคือข้อพิสูจน์ให้เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์เริ่มทรงเชื่อว่า...แม้ว่าภายในห้องพระบรรทมก็อาจไม่ได้รอดหูรอดตาของ MI5 ไปได้... จากคุณ : WIWANDA - [ 17 ส.ค. 48 01:38:18 ]

ความคิดเห็นที่ 64 หลังจากที่มุงานในด้านช่วยเหลือเด็กที่ยากไร้ในหลายต่อหลายโครงการ ในหลายประเทศดังที่เล่ามาแล้ว ในวันหนึ่ง ดัชเชสก็ได้รับข่าวว่า ตัวเองอาจได้รับเกียรติให้เป็นถึงทูตสันถวไมตรี ของ United Nations (หรือที่เรียกว่า goodwill ambassador ) แทนตำแหน่งของ ออร์เดรย์ แฮปเบิร์น ผู้ที่เพิ่งล่วงลับไป และการยืนยันประกาศตำแหน่งจะมีในวันที่ 10  มิถุนายน 1993 ที่เธอจะต้องขึ้นไปยืนเคียงข้างพร้อมกับคนดังๆอื่นๆเช่น  โซเฟีย ลอเรน และ บาร์บาร่า  เฮนดริช นางซาดาโก โอกาตา เจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์กรได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า "ดัชเชสน่าจะเป็นผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด เพราะเธอมีความตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง ดังที่เห็นจากงานสงเคราะห์ค่ายผู้อพยพที่บอสเนีย" นางซิลวาน่า โฟ ตัวแทนโฆษกองค์กรก็ได้ให้ข่าวว่า "น่านับถือน้ำใจของดัชเชส ที่ยังสามารถทำงานได้อย่างแข็งขัน ทั้งๆที่ปัญหาส่วนตัวก็มีมากมายพออยู่แล้ว" และพิธีรับตำแหน่งนั้นก็ได้จัดขึ้นอย่างเตรียมพร้อม ที่ ดัชเชสจะต้องบินไปรับมอบที่กรุงเจนีวา ทั้งรับเสื้อสามารถพร้อมหมวกแบเร่ท์สีน้ำเงินอันเป็นสัญญลักษ์ในไม่กี่วันข้างหน้า ก่อนที่จะออกไปปฏิบัติการยังประเทศบังคลาเทศ และ นี่คือความฝันที่เจิดจ้าของเธอที่กำลังจะเป็นความจริง..การที่จะได้ทำงานให้กับคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือโดยที่เขาเหล่านั้นอาจไม่รู้จักเธอด้วยซ้ำว่าเป็นใคร และมีที่มาอย่างไร พวกเขาจะรู้จักเพียงแต่..เฟอร์กี้ ทูตสันถวไมตรีของยูเอ็น ซึ่งฟังดูแล้ว..มันช่างมีค่ามากมายกว่าการที่ได้เป็น"เจ้าที่ไม่มีศาล" แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...เธอยังมิสามารถรับการแต่งตั้งโดยพลการ นอกจากต้องได้รับความเห็นดีเห็นงามจากพระราชวังก่อน และแน่นอน..ที่เธอจำเป็นต้องกราบบังคมทูลให้สมเด็จพระราชินีได้ทรงทราบ และให้ทางยูเอ็นได้เจรจาในรายละเอียดกับ"คณะฝ่ายใน" และ "คณะฝ่ายทำเนียบรัฐบาล" จากคุณ : WIWANDA - [ 17 ส.ค. 48 01:41:39 ]

ความคิดเห็นที่ 65 การเจรจาลงเอยกันอีท่าไหนก็ไม่ทราบ..เพราะทั้งสองฝ่ายคือ"ฝ่ายใน" และ ฝ่ายทำเนียบ" พร้อมใจกันปฏิเสธในการเห็นชอบแต่งตั้งครั้งนี้ของยูเอ็น.. ด้วยเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ถ้าใครต่อใครยังจำได้ว่า..ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ เจ้าหญิงไดอะน่า ได้สร้างประวัติศาสตร์บันลือโลกเรียกความนิยมศรัทธาข้ามหน้าข้ามตาเจ้าฟ้าชายชารลส์ (รวมถึงพระราชวงค์องค์อื่นๆอย่างกินขาด) นั่นคือ การที่ได้ไปเสด็จเยี่ยมเด็กที่ยากไร้ ที่ ซิมบับเว และภาพที่ทรงอุ้มเด็กผิวดำเข้าแนบพระอุระ อย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นเจ้านายพระองค์ไหนทรงกระทำมาก่อน เรียกเสียงฮือฮา และความรักความศรัทธามาได้จากคนทั้งโลก  และเจ้าฟ้าชายชารลส์ถูกมองในด้านลบชนิดดิ่งวูบอย่างทันที... กรมวัง..ไม่สามารถจะให้เหตุการณ์เยี่ยงนี้เกิดขึ้นได้อีก ฉะนั้น..เพียงแค่ ยี่สิบสี่ชั่วโมงผ่านไป ทุกอย่างก็พลิกผันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ข่าวได้ออกมาว่า เรื่องการตกลงใดๆระหว่างยูเอ็นและดัชเชสนั้น ไม่เกี่ยวกับสำนักพระราชวังแต่อย่างใด..และ การเจรจาระหว่าง Mr. Z กับรัฐมนตรีต่างประเทศนั้นคือ การห้ามเด็ดขาด เพราะ หญิงอย่างดัชเชสไม่มีความเหมาะสมใดๆ ทางยูเอ็นเริ่มลังเล และรีรอ ในเรื่องพิธีรับตำแหน่งนั้นได้ยืดออกไปอย่างไม่มีกำหนด อีกทั้งกำหนดการเดินทางที่จะไปประเทศโครเอเธียและบังคลาเทศนั้นถูกสั่งระงับไปด้วย สามอาทิตย์ต่อมา..คำสั่งยกเลิกก็ตามมา.. รัฐมนตรี เซอร์ นิโคลาส แฟร์แบร์น ได้ออกมาโจมตีแบบตรงๆไม่อ้อมค้อมว่า.. "หาคนอื่นมาทำไม่ได้แล้วหรือไง..ถึงมาเลือกเอาดัชเชส ออฟ ยอร์คเนี่ย..เธอแสนจะขี้เหร่  รสนิยมการแต่งตัวก็ไม่มี รูปร่างไม่ต่างอะไรกับพวกจูราสสิค โลภและชอบเอาแต่ได้ก็ปานนั้น ไม่รู้จักกาละเทศะ แถมยังอยากได้หน้าไปซะทุกเรื่อง" ข้อความเหล่านี้เล่นเอาสะท้านไปทั้งวงการที่นักการเมืองที่กล้าออกมา"ด่า" สมาชิกในพระราชวงค์ (ถึงแม้จะอยู่ในระหว่างการหย่าร้างก็เถอะ) หนังสือพิมพ์ได้พากันเล่นกระแสตามนี้กันอย่างสนุกปาก หนังสือพิมพ์ ซันเดย์ เอกซเพรส..ทนไม่ได้ถึงความเกินเลย ยังออกมาแก้ตัวให้ว่า.. "นี่มันจะมากไปแล้ว..อะไรจะตามจ้องล้างผลาญกันถึงขนาดนั้น จริงอยู่ ดัชเชสอาจจะไม่เลิศเลอเปอร์เฝกท์ อาจจะเคยทำความผิดพลาด แต่..พวกที่ออกมาด่าเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าที่ตรงไหน  เธอทำผิด เธอก็รับกรรมที่เธอก่อไปแล้ว..น่าจะให้โอกาสทำตัวใหม่กันบ้าง" "โอกาส"ที่ว่านั้น..ไม่ได้มาถึง ซ้ำร้าย..ทั้งนางซิลวาน่า และ นางซาดาโก ต่างก็เข้ามาแสดงความเสียใจพร้อมเล่าให้ฟังถึงข่าวไม่สู้ดีจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเอ็นที่ได้เล่าว่า.. "ถ้าขืนดันทุรังที่จะแต่งตั้งดัชเชสในฐานะทูตสันถวไมตรีต่อไปละก้อ..บริเตนจะถอนความช่วยเหลือใน UNHCR [United Nations High Commision for Refugees]ทั้งหมด  รวมทั้งการช่วยเหลือทางการทหารในบอสเนียด้วย และที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดต้องพูดให้เหมือนกันหมดว่า..ไม่เคยติดต่อหรือยื่นข้อเสนอให้ดัชเชส ออฟ ยอร์ค มาเป็นทูตสันถวไมตรีแต่อย่างใด !!!! จากคุณ : WIWANDA - [ 17 ส.ค. 48 01:49:18 ]

ความคิดเห็นที่ 66 จากนั้นมาจนถึง 1995 ดัชเชสได้ใช้เวลาทั้งหมดทุ่มเทในการเดินทางทำงานด้านสงเคราะห์เด็กด้อยโอกาสในหลายๆประเทศ ในฐานะสมาชิกองค์การ และส่วนใหญ่ต้องควักกระเป๋าแฟ่บๆของตัวเอง... จนกลางปี 1995  ดัชเชสได้ชื่อว่า มีชั่วโมงบินในด้านทำงานกุศลนั้นนับได้ถึง สองแสนไมล์ นับได้เป็นอันดับที่สูงสุด รองลงมาคือ เจ้าชายฟิลลิป ซึ่งระยะไมล์ทิ้งห่างกันถึงสามเท่าตัว.. (เพราะจะว่าไปแล้ว  สมาชิกราชวงค์องค์อื่นๆต่างชอบรับงานกันแต่เฉพาะที่เป็นจ๊อบง่ายๆ เช่นการปรากฏตัวตามวาระ และพิธีการประจำ อย่าง งานแข่งท้า หรือ งานเฉลิมพระชนม์  เรื่องที่จะมาปวดพระเศียรหาทุนให้กับเด็กขี้โรคและคนป่วยเอดส์นั้น..ไม่ค่อยมีใครอยากทำ) และ..การที่ดัชเชสพร้อมทั้งเจ้าชายพระสวามี และพระธิดาได้พากันไปพักผ่อนที่สเปน (หลังจากที่ประกาศแยกทาง) เล่นเอาเหล่าเสนาบดีปากร้ายทั้งหลายต่างพากันร้อนๆหนาวๆ ด้วยเกรงว่าถ่านไฟเก่าจะคุขึ้นมาอีก.. ข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ได้ตามติดออกมาว่า "สมเด็จพระราชินีทรงวางมือในเรื่องของเฟอร์กี้มานานแล้วไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยแต่อย่างใด" ซึ่งดัชเชสได้แต่อ่านไปและขำไป..เรื่องที่จะมาดีกันอย่างเดิมกับพระสวามีนั้น ขอให้ลืมไปได้เลย ตราบใดที่พระองค์ยังเป็นเจ้าฟ้าชายพระโอรสและมีภารกิจผูกมัดต่อราชบัลลังค์เช่นนี้... เพียงแต่ในความเป็นแม่ของเธอที่อยากจะได้มีโอกาสได้พาลูกไปเที่ยวไหนต่อไหนเหมือนอย่างเด็กอื่นๆในช่วงวันเทศกาลอีสเตอร์ หรือ คริสมาสต์ บ้าง... แต่เธอก็ไม่สามารถทำได้ เพราะในช่วงนั้นๆ คือช่วงที่เธอต้องพาเด็กๆเข้าไปยังพระราชวังเพื่อการเข้าเฝ้าและอยู่ใกล้ชิดกับพระราชวงค์ อันเป็นประเพณีสืบทอด.. ซึ่ง..แต่ละครั้งนั่นหมายถึงสองอาทิตย์เต็มๆ อันเป็นเวลาแห่งความว้าเหว่ เงียบเหงาและอาดูร เพราะ เธอได้แต่รออยู่ในบ้านพักเล็กๆที่ถูกจัดให้ในเขตพระราชฐานในฐานะที่เป็น"คนนอก" ส่วนเด็กๆก็ขึ้นไปอยู่ที่พระตำหนัก ตกเย็นก็จะถูกพากลับมา ในปี 1995 ก็เช่นเคย..เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์มารับพระธิดาทั้งสองเวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง เพื่อพาไปเสวยน้ำชากับพระอัยยิกา และทุกครั้งที่กลับลงมา..เจ้าหญิงพระธิดาทั้งสองมักมีทีท่า"ติดโอ่อ่า" กลับลงมาด้วยทุกที เพราะการที่ได้รับการสรรเสริญเอาอกเอาใจเชิดชู อีกทั้งถึงกับถามเธอว่า "ทำไมแม่ถึง"ไม่ดีพอ"ที่จะไปร่วมทานน้ำชากับพวกเราล่ะคะ?" ดัชเชสจึงต้องอธิบายไปสั้นๆแต่ได้ใจความกับลูกๆว่า "ไม่ใช่ว่าแม่.."ไม่ดีพอ" หรอกลูก แต่ แม่.."ดีไม่เท่า" กับพระญาติๆของลูกต่างหาก" พระธิดาทั้งสองต่างเข้าอกเข้าใจในคำตอบเป็นอย่างดี และนี่คือเหตุผลที่ดัชเชสจึงพยายามใช้เวลาอยู่กับเจ้าหญิงทั้งสองให้มากที่สุด ไม่ว่าตัวเองจะต้องทนเจ็บช้ำกล้ำกลืนอย่างไร จากคุณ : WIWANDA - [ 17 ส.ค. 48 01:56:11 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ตลอดระยะเวลาที่แยกทางกันกับเจ้าชายพระสวามีนั้น..และจากค่าใช้จ่ายที่ไม่มีรายรับเข้ามาทำให้หนี้สินของ ดัชเชสพุ่งทะยานจากจำนวนเลขหกหลักมาเป็นเจ็ดหลักในปี 1995 นายจอห์น ไบรอัน ที่ทำหน้าที่ผู้จัดการด้านธุรกิจในการที่จะขายลิขสิทธิหนังสือเด็ก "บัดจี้" ก็ได้แต่บอกให้ใจเย็นๆ  รับรองว่าได้เงินก้อนโตมาใช้หนี้ได้แน่ๆ แต่ถ้ายามใดที่เธอมีข้อกังขา หรือสงสัยในเรื่องที่มาที่ไป..อีกทั้งบัญชีที่มีแต่ตัวแดง เขามักจะออกอาการว่าไม่พอใจ จนเธอต้องเลิกถาม จนในฤดูร้อนที่เขาได้ย้ายออกไปจากอังกฤษและทิ้งหนี้สินจากค่าใช้จ่ายติดต่อธุรกิจไว้เป็นเงินก้อนโต เพราะนายนี่มักใช้บริการบินติดต่องานระดับเฟิร์สคลาสทุกครั้ง จนบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาในนามว่า ASB [ Andrew-Sarah-Beatrice] มีหนี้สินท่วมหัวท่วมหู ธนาคารเจ้าหนี้ {Coutt's} นั้นโดยปรกติแล้วมักจะคุ้นเคยและเฉยๆกับหนี้สินระยะยาวของ"เจ้านาย" เพราะเป็นที่เชื่อใจได้ว่าเครดิตมีเพียบ ยังไงก็ไม่สูญ  ยิ่งในฐานะที่เธอเป็นถึงลูกสะใภ้สมเด็จพระราชินี.. ใครเล่าจะมากล้าทวง... แต่ในปีนั้น..หนี้สินของเธอทะลุไปถึงห้าล้านปอนด์ จนทุกคนเริ่มมีคำถาม...และไม่นานต่อมา..การจำกัดวงเงินก็เริ่มบีบกระชับเข้ามา จนไม่ว่าเธอจะจ่ายเช๊คจำนวนมากน้อยเท่าใดต้องขอความยินยอมและอนุมัติจากธนาคารก่อน จนกระทั่งปลายปีที่ได้เริ่มมีการหันหน้าเข้าเจรจาธุรกิจกันระหว่างเธอ  นายทุนชาวอเมริกัน และ ธนาคาร(ที่เจ้าของที่แท้จริงคือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระราชินี) ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายธนาคารได้ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า..พร้อมให้การสนับสนุนทุกทาง แต่..ดัชเชสได้เกิดอาการสังหรณ์ในใจขึ้นมาตะหงิดๆถึงความไม่ชอบมาพากล และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ..คือ ในวันที่ สิบเจ็ด มกราคมปีต่อมา(ห่างจากวันที่เจรจาหนึ่งเดือน) ข่าวก็พาดหัวหนังสือพิมพ์จากข้อความในแถลงการของสำนักพระราชวังว่า "ทางสำนักพระราชวังขอยืนยันว่าสมเด็จพระราชินีไม่ทรงรับรู้ในเรื่องหนี้สินของดัชเชส ออฟ ยอร์ค รวมทั้งไม่ว่าจะเป็นธุรกรรมใดๆที่เธอได้กระทำขึ้น ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระราชวงค์ทั้งสิ้น" จากแถลงการฉบับนั้นเอง..จดหมายทวงหนี้จากสารพัดทิศได้หลั่งไหลเข้ามาจนท่วมตู้ ไม่ว่าจะเป็นจากห้างสรรพสินค้า หรือ แม้กระทั่งร้านขายเนื้อ โทรศัพท์ดังขึ้นแทบทุกวินาที แต่นายทุนอเมริกันก็ยังยืนยันในเรื่องของความช่วยเหลือ ในที่สุด วันที่ ยี่สิบ มกราคม ที่เธอต้องออกข่าวให้ประชาชนทราบว่า ขั้นตอนการเจรจาธุรกิจของเธอนั้นกำลังบรรลุถึงเป้าหมาย ซึ่ง..ขอให้เชื่อได้ว่าจะมีการชำระหนี้ทุกบาททุกสตางค์อย่างแน่นอน จากคุณ : WIWANDA - [ 17 ส.ค. 48 02:00:52 ]

ความคิดเห็นที่ 68 และเรื่องการหักหลัง รวมไปถึงเรื่องหน้าไหว้หลังหลอกของคนรอบข้างนั้น ดัชเชสได้เริ่มมีความชาชิน นอกเหนือจากที่ต้องรบราฆ่าฟันกับพวกนักข่าวจากสำนักต่างๆแล้ว พวกที่น่ากลัวที่สุด..นั่นก็คือ คนที่เธอเคยคิดว่าเขาคือเพื่อนนั่นเอง อย่างเมื่อสมัยที่เธอได้เข้ามาเป็นสะใภ้เจ้าใหม่ๆนั้น..คนที่ให้ความเมตตากรุณาต่อเธอเสมอคือ ท่านลอร์ด ชาเตอริส อดีตคือเลขานุการในสมเด็จพระราชินีที่รับใช้กันมาช้านาน และท่านลอร์ดคนนี้ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเธอมากกว่าใคร ถึงขนาดมีความทุกข์ใจอะไรก็มักจะเล่าและขอคำปรึกษาเสมอ..จนเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิด และท่านลอร์ดชาเตอริสคนนี้..ยามที่เธอประสบเคราะห์กรรม เขาได้ออกให้สัมภาษณ์ในรายการทีวีถึงเธอว่า..ไ "หล่อนเป็นเด็กที่ใช้ได้ หากแต่ไม่มีความเหมาะสมในการเป็นสมาชิกในพระราชวงค์ เนื่องจากหล่อนเป็นคนที่ถนัดใช้วาจาหยาบคายแบบชนชั้นต่ำจนใครต่อใครแทบทนฟังไม่ได้" และทันทีที่ข่าวออกมา..นักหนังสือพิมพ์ก็ได้มาห้อมล้อมเธอถามถึงความคิดเห็นในการตอบโต้ท่านลอร์ด ซึ่งดัชเชสจำต้องฝืนทำสีหน้ายิ้มแย้มและตอบไปว่า "ท่านลอร์ดเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ ท่านเป็นคนดี และน่านับถือ" ข้อความนั้นฟังดูดี แต่เป็นนัยยะทิ้งไว้ให้หัวหงอกที่มีอายุกว่าแปดสิบอย่างท่านลอร์ดกลับไปคิดเอาเอง... คนที่ทรยศได้อย่างเจ็บแสบกว่านั้น..คือ อดีตลูกจ้างคนรับใช้เก่าแก่..ที่นำความลี้ลับในห้องนอนของเธอออกไปเล่า..เอาไปขายให้กับหนังสือพิมพ์ด้วยข้อความเพียงไม่กี่ประโยคก็ได้สร้างรายได้ให้เขาเป็นกอบเป็นกำ หรืออย่าง เธียว เพื่อนร่วมงามแบบเคียงบ่าเคียงไหล่ในโครงการ Children in Crisis ที่พยายามขอเลื่อนตำแหน่งตัวเอง และเมื่อไม่ได้ดังใจหวัง เธอก็ลาออก พร้อมกับมุ่งหน้าสู่สำนักพิมพ์ ขายข้อความให้กับหนังสือพิมพ์มิเร่อร์ได้ราคาถึงหนึ่งหมื่นห้าพัน เหรียญ(สรอ) ว่า.. "ดัชเชส ออฟ ยอร์ค แย้มว่า ชายหัวล้านมีลีลาบนเตียงถึงใจกว่า.." เท่านั้นไม่พอ..เธียวยังได้ขายข้อความสนทนาฉันท์เพื่อนระหว่างดัชเชสกับเธอที่แอบอัดไว้ในเทป..โดยที่ใครต่อใครก็สามารถโทรหมายเลขเฉพาะกิจเข้าไปรับฟังได้ในราคานาทีละ 49 เพนนี จากคุณ : WIWANDA - [ 17 ส.ค. 48 02:06:03 ]

ความคิดเห็นที่ 69 Welcome back ka. I hope you get better soon. จากคุณ : horseshoes - [ 17 ส.ค. 48 02:59:01 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เป็นกำลังใจให้นะคะ ขอให้เขียนงานแบบนี้ออกมาเรื่อยๆนะคะ ได้ความรู้ และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมากน้อย แถมสนุกอีก จากคุณ : ใหม่ - [ 17 ส.ค. 48 11:45:46 A:203.154.114.72 X: TicketID:105151 ]

ความคิดเห็นที่ 71 เป็นกำลังใจให้คุณวิเช่นกันค่ะ ยังรออ่านตอนต่อไปอย่างเคยนะคะ อ่านไปก็เอาใจช่วย ซาร่าห์ไปด้วยค่ะ จากคุณ : little kitty - [ 17 ส.ค. 48 14:00:21 ]

ความคิดเห็นที่ 72 หายป่วยไวๆ นะครับ ติดตามอ่านอย่างใจจดใจจ่อครับ สนุกมาก จากคุณ : Great_Khan - [ 17 ส.ค. 48 14:55:56 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ป้าวิหายวันหายคืนนะคะ หนูจะมานั่งรอป้าค่ะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 18 ส.ค. 48 11:22:02 ]

ความคิดเห็นที่ 74 หายเร็วๆนะคะ จากคุณ : เมี๊ยวหง่าว - [ 18 ส.ค. 48 14:24:26 ]

ความคิดเห็นที่ 75 มาแล้วค่ะ..อาการก็หยั่งเงี้ยะละค่ะ อากาศที่นี่เปลี่ยนไปมาวันละหลายๆรอบ แต่ตอนนี้สบายดีแล้วค่ะ ขอบคุณมากที่เป็นห่วง.. ...ในวันที่ 17 เมษายน 1996 คือวันที่ทั้งดัชเชสและเจ้าชายพระสวามีได้ไปลงนามการหย่าร้างที่ศาลแบบง่ายๆตามความเห็นชอบของทั้งสองฝ่าย (ซึ่งดูเหมือนเป็นการหย่าแบบฉันท์มิตร เพราะอาทิตย์ต่อมาทั้งคู่และทนายของทั้งสองฝ่ายพร้อมครอบครัวต่างพากันไปทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารใกล้ๆกับพระราชวังวินเซอร์) แต่ในวันหย่านั้น..เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ได้เสด็จกลับไปยังฐานที่ปอร์ตแลนด์เลยหลังจากที่ลงพระนามเสร็จ ปล่อยให้ดัชเชสต้องเผชิญหน้ากับนักข่าวตามลำพัง..ซึ่งข้อความก็ออกมาประมาณนี้..ว่า "ก็ไม่มีอะไรมาก มันเป็นแค่กระดาษใบเดียว" หรือ "เด็กๆเข้าใจดี เราคุยกันแล้ว และ เขารู้ดีว่า ทั้งพ่อและแม่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน" หรือ "ฉันน่ะเหรอ..ไม่ได้คิดอะไรมาก อยู่ทำหน้าที่ไปวันๆไม่อยากยึดติดกับอดีตให้มากนัก" แต่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร สิ่งเดียวที่เธอโกหกไม่ได้ นั่นคือ ภาพจากกล้องถ่ายรูปที่เผยอกมาให้เห็นถึงความร้าวราน อีกทั้งริ้วรอยเศร้าโศกบนใบหน้าของเธอ การหย่าร้างครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆที่จะทำใจได้ง่ายๆ ความเจ็บปวดรวดร้าวสะสมแบบซึมลึกอยู่ในใจมานานแสนนาน ซึ่งทันที่ที่เธอได้กลับไปถึงบ้าน น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย ดัชเชสเก็บตัวเงียบ นั่งเหม่ออยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมออกมาพบปะกับใครทั้งสิ้น เธอใช้เวลาทบทวนไปถึงความหลังครั้งอดีตเก่าๆ เมื่อครั้งที่ได้รักกันใหม่ๆกับเจ้าฟ้าชาย แอนดรูว์ ตอนนั้นพระองค์เข้ามาในชีวิตประหนึ่งอัศวินม้าขาว และ ทรงประทานความรักและความอบอุ่นอย่างมากมายให้กับเด็กสาวใจแตก บ้านแตกอย่างเธอ นอกจากนั้นยังประทานกำลังใจให้เธอก้าวเดินไปข้างหน้าตามหนทางเกียรติยศที่น่าสะพรึงกลัว....ด้วยคำรับรองว่า..เธอต้องทำได้...ฉันเชื่อใจเธอ ทั้งนี้ทั้งนั้น..เธอเริ่มมองเห็นความผิดต่างๆที่เกิดขึ้น และจะไปโทษใครไม่ได้เพราะตัวเธอเองคือต้นเหตุของรักสลายในครั้งนี้.. เธอแต่ผู้เดียวที่ไร้ความอดทน เห็นแก่ความสุขของตัวเองจนเกินไป รวมไปถึงการไร้สมรรถภาพของความเป็นเมียที่ดี  และ ทำไม...เธอถึงมองไม่เห็นความบกพร่องต่างๆเหล่านี้มาก่อน กว่าจะมาคิดได้..มันก็สายเกินแก้ จากคุณ : WIWANDA - [ 18 ส.ค. 48 14:28:48 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ตลอดเวลาสี่ปีที่แยกทางกัน..เธอเองมิใช่หรือที่สะเปะสะปะไปตามเรื่อง สร้างสถานะการณ์ไปได้สารพัด นับตั้งแต่เรื่องเงินๆทองๆ เรื่องธุรกิจที่แสนยุ่งเหยิง  ทำตัวเป็นข่าวสุดฉาวโฉ่ จะมีหน้าไปขอ"คืนดี" ก็ยากยิ่ง ทั้งๆที่เธอแน่ใจว่า ถ้าต้องการเช่นนั้น พระสวามีก็คงทรงยินยอมที่จะกลับมาเริ่มต้นชีวิตกันใหม่อีกครั้ง เพราะพระองค์ทรงรักเธออย่างแท้จริง แต่..อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่กั้นขวางทางเดินระหว่างเธอกับพระองค์คือ "ธนาคารเจ้าหนี้" ที่ยังไงๆก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียวถ้าหากไม่ได้เงินคืน นั่นหมายถึงว่า ดัชเชสต้องเริ่มมุ่งหน้าหาเงินอย่างเอาจริงเอาจัง และ ถ้าเธอยังอยู่ในแวดวงของสมาชิกพระราชวงค์ โอกาสที่จะหาเงินมาใช้หนี้นั้นมืดมนเต็มที (หลังจากประกาสแยกทาง..เธอได้รับการติดต่อมาจากหลายสาขาธุรกิจนั้นล้วนแต่เป็นโอกาสดีๆเช่นการเป็น พรีเซ็นเตอร์ และ ดาราฮอลลีวู๊ด) จนทำให้เธอต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางขอกลับมาเป็นคนธรรมดาอย่างเดิม ชีวิตแห่งการเป็นเจ้าหญิงนั้นมันยุ่งเหยิงเกินไปกว่าเธอจะจัดระบบให้กับตัวเองได้ การมีเจ้าชายเป็นพระสวามี..ฟังดูก็หรูดี... แต่ตัวเธอต้องการสามีที่มีเวลาให้กันและกันอย่างเต็มที่ แบบว่าต้องพบกัน..อยู่ด้วยกันทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่เจ้าชายที่มีแม่เป็นสมเด็จพระราชินี เจ้าชายที่ให้ความสำคัญต่อราชบัลลังค์ และภาระหน้าที่ มากไปกว่าเมีย.. ความรักของเธอคงจะราบรื่น...ถ้า...เจ้าชายแอนดรูว์ไม่ได้เกิดมาสูงส่งขนาดนั้น หรือถ้าเธอจะดันทุรัง..สานรอยรักต่อไปกับพระองค์ มันก็ไม่น่าจะยากแค่จูงพระหัตถ์เข้าไปกราบบังคมทูลต่อสมเด็จพระราชินี..ก็อาจสิ้นเรื่อง ปล่อยให้พวกกรมวังนั่งช๊อคตาค้างตามๆกันไป แต่..ผลออกมาในที่สุด นั่นก็คือ ทั้งเธอและพระองค์อาจต้องกล้ำกลืนฝืนทน..อยุ่กันไปจนเกลียดกันอย่างเข้ากระดูกดำ เพราะ เธอคงไม่มีวันยอมที่จะก้มหัวลงให้กับเหล่าเสนาบดีพวกนั้นอีกต่อไป และจะไม่ยอมให้มีการบีบบังคับด้วยกฏมณเฑียรบาลจากพวกข้าในพระองค์อีก ไม่ว่าจะเดี๋ยวนี้ หรือ เดี๋ยวไหน... ฉะนั้น..การหย่าร้างและการที่จะต้องแยกจากกัน..คือคำตอบสุดท้าย จากคุณ : WIWANDA - [ 18 ส.ค. 48 14:33:51 ]

ความคิดเห็นที่ 77 หลายเดือนหลังจากที่นายจอห์น ไบรอันได้หลบลี้หนีหน้าไปนั้น จู่ๆบนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับวันอาทิตย์ วันที่ 28 เมษายน ข่าวก็โผล่ขึ้นมาว่า (เอาเป็นว่าเขียนเป็นภาษาอังกฤษละกันนะ ) "I had sex with Fergie as she spoke to Andy on phone" ข้อความในรายละเอียดที่ตามมาเต็มไปด้วยสีสันในหนังสือพิมพ์ News of the World นั้นมาจากปากคำของนายจอห์น ผู้ที่เธอเคยเชื่อใจ และศรัทธาถึงกับยอมทอดกาย..ข้อความทั้งหมดได้สร้างความตกตะลึงให้กับเธออย่างไม่คาดฝันว่าเขาจะโกหกได้อย่างอุบาทว์ถึงขนาดนี้   ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สมองที่เต็มไปด้วยความมึนงงทำให้เธอต้องเที่ยวโทรไปถามใครต่อใครว่า..เธอเชื่อไหม..ว่าฉันจะเป็นคนที่เลวร้ายอย่างที่มันว่า... แต่สิ่งที่เพื่อนได้ตอบมา..ทำให้เธอได้คิด..ด้วยประโยคสั้นๆและง่ายๆว่า "อย่าไปโกรธเลย..ถือซะว่า..เล่นกับหมาก็ต้องโดนหมาเลียปาก หรือ เมื่อลงไป"นอน"กับหมา ก็ต้องติดเห็บหมา..อันเป็นของธรรมดาน่า...อย่าคิดมาก" นี่มันจริงซะยิ่งกว่าจริง... ฉะนั้น..เธอจึงมองเห็นความเที่ยงแท้ในชีวิตมนุษย์ได้อย่างง่ายๆ ว่า..จะไปวิตกไปใย..ปล่อยให้เมื่อวานเป็นอดีต พรุ่งนี้เป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึง..วันนี้ต่างหากคือเวลาแห่งความสุข ว่าแล้วเธอก้สลัดความทุกข์ยากออกไปจากสมองทั้งหมด  ขอบคุณพระเจ้าต่อสรรพสิ่งรอบตัวที่พระองค์ได้ประทานให้..หันมาสนใจและทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับพระธิดาน้อยๆทั้งสองพระองค์ เพลิดเพลินต่อทำสวนดอกไม้..รวมทั้งให้การดูแลบรรดาต่อสัตว์เลี้ยงที่มี คำปรามาสของท่านลอร์ด ชาเตอริส นั้นอาจเป็นความจริงที่ว่า เธอไม่เหมาะสมต่อการเป็น"เจ้านาย" ถึงแม้ว่าชั่วโมงบินที่จัดจ้าอย่างเดี๋ยวนี้ก็เถอะ แต่ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่แก้ใข ลบล้างไม่ได้ ความจริงก็ย่อมเป็นความจริง..คือ อย่างไรก็ตาม ซาร่าห์ ดัชเชส ออฟ ยอร์ค คนนี้ คือพระมารดาของเจ้าหญิงทรงพระสิริโฉมงดงามทั้งสองพระองค์ เป็นอดีตพระชายาของเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์  พระโอรสองค์ที่สองของสมเด็จ พระราชินีอลิซาเบธแห่งสหราชอาณาจักร และทุกวันนี้ เธอได้อยู่อย่างมีความสุขใจเพราะมีอิสรภาพเสรีที่จะไปไหนก็ได้ตามใจชอบ เป็นตัวของตัวเอง พร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า...สู่เส้นทางของชีวิตที่ได้เลือกแล้ว จากคุณ : WIWANDA - [ 18 ส.ค. 48 14:39:24 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เที่ยงคืนแล้ว..ไปนอนก่อนนะคะ ไนท์ ไนท์... จากคุณ : WIWANDA - [ 18 ส.ค. 48 14:40:36 ]

ความคิดเห็นที่ 79 หากเจ้าชายแอนดูร์   ไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าชาย... และไม่ได้มีแม่ เป็นพระราชินีของสหราชอาณาจักร.. ท่านควรจะมีฐานะเป็นใครดีคะ   ท่านจึงจะได้รับความรัก  และได้แสดงความรักกับหญิงที่บอกว่า "รักท่าน" เสียเหลือเกิน ความร้าวฉานในชีวิตสมรส   สามารถเกิดได้กับทุกคนไม่เลือกยศถา บรรดาศักดิ์  หนูว่าขึ้นอยู่กับความอดทนค่ะ ไม่ว่าจะเกิดมาสูงส่ง หรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินแค่ไหน   หากปราศจากซึ่งความอดทนแล้ว   ก็ไปไม่รอดทุกรายละค่ะ ไม่ทราบว่า หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเจ้าหญิง มาซาโกะ ที่ตีแผ่ได้ละเอียดยิบแบบนี้  พอจะมีแปลให้น้องๆได้อ่านกันบ้างไหมค่ะ หนูเพียงอยากจะเปรียบเทียบระหว่างความเป็นเจ้าหญิงจากตะวันออก  และการเป็นเหญิงจากตะวันตก  ว่ามีทัศนคติ ที่เหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไรเท่านั้นเองค่ะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 18 ส.ค. 48 17:36:36 ]

ความคิดเห็นที่ 80 มานั่งรออ่านครับ จากคุณ : กริชครับผม - [ 18 ส.ค. 48 18:39:42 ]

ความคิดเห็นที่ 81 คุณ "กาสะลองบานแล้ว" พูดน่าสนใจเนอะ คุณวิวันดาข๋า ช่วยแปลให้อ่านหน่อยได้ไหมคะ จากคุณ : ต้นลูกตาล - [ 18 ส.ค. 48 21:38:31 ]

ความคิดเห็นที่ 82 มาลงชื่อรออ่านต่อค่ะ ของคุณคุณวิวันดามากค่ะ จากคุณ : มาลัย (มาลัย100) - [ 18 ส.ค. 48 23:12:47 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ขอบคุณมากค่ะ มาลงชื่อรออ่านต่อจาก คห. ข้างบนด้วยค่ะ จากคุณ : ิbabynoke - [ 18 ส.ค. 48 23:44:02 ]

ความคิดเห็นที่ 84 Thank you so much จากคุณ : horseshoes - [ 19 ส.ค. 48 00:17:43 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ทนรออ่านต่อไป...ติดงอมแงม จากคุณ : แมวโต๋เต๋ - [ 19 ส.ค. 48 02:33:28 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ติดไม่ติดไม่รู้ง่ะค่ะ รู้แต่ว่ามาที่ทำงานปุ๊บ สิ่งแรกที่ทำคือเปิดเนท เข้าพันทิบหาทู้ป้าวิง่ะค่ะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 19 ส.ค. 48 11:32:24 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ถ้าคุณวิจะเอาเรื่องของเจ้าหญิงมาซาโกะมาลง ต้องลงตั้งแต่ก่อนจักรพรรดินีมิชิโกะ แถมอาจจะต้องลงเรื่องของคู่สะใภ้ของ เจ้าหญิงมาซาโกะด้วย ตอนอ่านชื่อญี่ปุ่น ต้องตีกันวุ่นแน่ๆ จากคุณ : Canossa - [ 19 ส.ค. 48 14:08:37 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เรื่องเจ้าญี่ปุ่นต้องขอบายค่ะ เพราะอ่านแล้วมักจะสับสนในเรื่องพระนาม ที่คล้ายกันจนงง.. ใครที่ถนัด..เชิญเขียนมาเล่าสู่กันฟังบ้างซิคะ เอาเป็นว่า ขอบคุณล่วงหน้าเลยละกัน เล่าต่อนะ... เดือนกุมภาพันธ์ของปี 1997 คือเดือนแห่งการสร้างประวัติศาสตร์ของหญิงสาวผมแดง เฟอร์กี้ อดีตพระชายา...ที่เธอสามารถปลดหนี้ไปได้ถึงกว่าหกล้านเหรียญ ด้วยความช่วยเหลือจากกลุ่มเพื่อนชาวอเมริกัน คือบริษัท Ocean Spray  และ Weight Watchers รวมทั้งการเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองออกมาขาย (ก็ที่เอามาแปลให้อ่านนี่แหละ เลือกมาแต่เนื้อๆ น้ำเททิ้งไป) แต่กระนั้น เธอยังคงค้างหนี้ภาษี อีกประมาณสองล้านเหรียญ และหนี้ก้อนนี้คือหนี้ที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มเป็นสะใภ้เจ้าจนถึงการใช้จ่ายอย่างมันมือในช่วงก่อนหย่าไม่เท่าไหร่ แต่ดังที่เล่ามาว่า ทั้งเธอและเจ้าชายแอนดรูว์ต่างมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันอย่างคงเส้นคงวา รวมไปถึงการเดินทางไปพักผ่อนด้วยกันทั้งครอบครัวที่สเปนบ้าง ที่สวิสบ้างนั้น..ข่าวจากบ๊คกิ้งแฮมก็ยังออกมายืนยัน เสมอว่า..ทั้งสองไม่มีทางลมหวนกลับคืนอย่างแน่นอน ทางหนังสือพิมพ์ลอนดอนไทม์ได้ออกข่าวว่า.. เฟอร์กี้มีความจำเป็นต้อง"รัดเข็มขัด" ในการหาเงินทุกบาททุกสตางค์มาชดใช้หนี้..จึงไม่สามารถจะจ่ายค่าเช่าบ้านต่อไปได้ ซึ่งค่าเช่านั่นมันก็น้อยอยู่เสียเมื่อไหร่..เดือนละ $9,700 เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์จึงทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามาช่วย..โดยการให้ย้ายเข้ามาอยู่ที่พระตำหนักที่ซันนิ่งฮิลล์ชั่วคราวพร้อมกับเจ้าหญิงพระธิดาซึ่งพระองค์จะเสด็จมาประทับอยู่ด้วยในวันหยุด ส่วนวันธรรมดาจะทรงงานที่พระราชวังเช่นเคย และพระองค์ได้ประทานเงินถึงห้าแสนเหรียญเพื่อสร้างต่อเติมอาคารบางส่วน(ที่เคยเป็นส่วนที่พำนักของพวกคุณๆพนักงานรับใช้)สำหรับให้เป็นที่พำนักแก่เฟอร์กี้จนกว่าเธอจะหาทางขยับขายไปได้ แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 48 03:54:55 แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 48 14:54:46 จากคุณ : WIWANDA - [ 19 ส.ค. 48 14:53:34 ]

ความคิดเห็นที่ 89 และเธอได้อยู่ในพระตำหนักซันนิ่งฮิลล์นั่นจนถึงปี 2002 หาเงินใช้หนี้จนหมดทุกบาททุกสตางค์ อีกทั้งมีเก็บหอมรอมริบได้ถึงขนาดสามารถไปเช่าบ้านขนาดสี่ห้องนอนอยู่ได้อย่างไม่อายใครในแขวงเมือง วิลเดิลแฮมที่อยู่ห่างไปจากพระตำหนักของเจ้าฟ้าชายอดีตพระสวามีเพียงห้าไมล์   และยามที่เธอต้องออกเดินทางไกลเพื่อธุรกิจ พระธิดาทั้งสองจึงจะไปประทับอยู่กับพระบิดา แต่ลวดลาย"เสือ"ของเธอก็ไม่ใช่ว่าจะจางหายไปเสียเมื่อไหร่..เพราะในไม่กี่เดือนมานี้ ( ต้นปี 2005) ได้ออกมาในรายการทีวีรายการหนึ่ง ประกาศขอบพระคุณและชื่นชม สรรเสริญเพื่อนๆชาวอเมริกันที่ได้อุ้มชูกันในยามตกอับเมื่อสิบปีก่อน และบรรยายต่อด้วยข้อความดังนี้.. "ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาชาวอเมริกันผู้อารีที่ยื่นมีเข้ามาโอบอุ้มชุบชีวิตใหม่ให้..ลูกๆของฉันก็คงไม่ได้เป็นเด็กดีอย่างเช่นทุกวันนี้  ฉันมาที่นี่เมื่อสิบปีก่อนในสภาพที่เปรียบเหมือนเรือที่ขาดหางเสือ  มีหนี้สินรุงรัง  น้ำหนักตัวปาเข้าไป 220 ปอนด์อ้วนฉุอย่างน่าเกลียด แต่เพื่อนๆที่แสนดีเหล่านี้กลับให้"โอกาส"ฉันกลับมาเป็นผู้เป็นคน อีกครั้ง..ในขณะที่ฉันไม่มีใครเลย...ขอบคุณมากๆค่ะ" จากคุณ : WIWANDA - [ 19 ส.ค. 48 14:57:53 ]

ความคิดเห็นที่ 90 อย่างไรก็ตาม..ก่อนที่จะทิ้งทวนในเรื่องของดัชเชส ออฟ ยอร์ค  ที่น่าสนใจนั้น..ต้องขอบอกด้วยว่าที่เขียนและรวบรวมมาให้อ่านเพื่อให้เห็นถึงชีวิตของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่ยอมมีคำว่า"ยอมแพ้" อยู่ในหัวสมอง เธอได้ยืนหยัดสู้เพื่อตัวเองและลูกๆทั้งสอง.. ถามว่า ในการเป็นสะใภ้เจ้าและเป็นแม่ของเจ้าหญิงพระราชนัดดา หนี้สินแค่นั้น..เจ้าชายหรือสมเด็จพระราชินีน่าจะสามารถปัดเป่าให้ได้อย่างไม่มีปัญหา แต่..ตามที่ทราบคือ หนี้นั้น..ถ้าจะให้จ่ายให้ หมายถึงว่าเธอต้องมอบสิทธิในการเลี้ยงดูให้กับทางฝ่ายพระราชวังอย่างไม่มีเงื่อนใขใดๆ อีกทั้ง..ย่อมไม่ให้มีการพบปะ ไปมาหาสู่ด้วย รวมไปถึงถูกการถอดยศอย่างไม่มีข้อต่อรอง แต่..เธอไม่ยอม..ยืนยันยอมรับสภาพหนี้ เพื่อที่จะได้มีสิทธิในการดูแลพระธิดาคนละครึ่งกับพระสวามี อีกอย่างหนึ่ง เธออาจอ่านเกมส์ออกว่า..ถ้ายังคงพระยศเป็น ดัชเชส ออฟ ยอร์คต่อท้ายชื่ออยู่ เส้นทางหากินคงยังมีให้เลือกอีกมากมาย.. อ้อ ลืมบอกไปว่า ขอชื่นชมผุ่หญิงคนนี้อีกอย่างหนึ่งคือ เธอเขียนหนังสือเกี่ยวกับชีวประวัติของสมเด็จพระราชินี วิคตอเรียอย่างละเอียดออกมาขายด้วย เพราะในฐานะสะใภ้เจ้า เธอได้ใช้สิทธินั้นเข้าไปอ่านไดอะรี่ส่วนพระองค์ที่ทรงเขียนเองที่เก็บอยู่ในห้องสมุดของพระราชวัง หนังสือเล่มนี้ดีมาก และไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงที่เรียนแค่อาชีวะจะมีความสามารถเชิงประวัติศาสตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงขนาดได้เดินทางตามรอยยุคลบาทไปยังที่พระองค์เคยเสด็จไปประทับต่างๆในยุโรปด้วยตัวเอง ในช่วงสิบกว่าปีแห่งเคราะห์กรรมที่เธอได้ประสบ ทางสำนักพระราชวังได้ถือว่าเธอคือ "คนนอก" ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อีกทั้งไม่เคยให้มาร่วมในกิจกรรมครอบครัวใดๆ ไม่มีการเชื้อเชิญ..แม้กระทั่งดื่มน้ำชา จนมาถึงบัดนี้..ถ้าเป็นภาษาโหรเขาก็ต้องว่า..ดาวยก..เพราะ 13 ปีเต็มในปีนี้..ที่เธอได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า เธอยังยืนอยู่ได้ด้วยขาของตัวเอง และยืนได้อย่างสง่าผ่าเผยเสียด้วย.. เมื่อวันที่ 9  สิงหาคม 2005 เธอได้รับเชิญจากสมเด็จพระราชินีและดยุค ออฟ เอดินเบอร์ค ให้เข้าไปร่วมพำนักในพระราชวังฤดูร้อนที่บัลมอรัลเป็นเวลาสามวันพร้อมทั้งพระธิดาทั้งสอง ซึ่ง ข่าวนี้..เล่นเอาผู้คนพากันตื่นตะลึง..ต่างพากันไม่เชื่อหูเชื่อตาของตัวเองว่าจะได้ยินได้เห็น..หญิงสามัญชนอีกคนหนึ่ง(รองลงมาจาก หม่อมวอลลิส ดัชเชส ออฟ วินเซอร์) ได้ชนะใจชาววินเซอร์อีกแล้ว จะต่างกันก็แต่..คนหนึ่งมาชนะ จนได้รับการยอมรับก็ตอนที่ได้ตายไปแล้ว..ซึ่งจะนำมาเล่าให้ฟังต่อไป.. จากคุณ : WIWANDA - [ 19 ส.ค. 48 15:02:46 ]

ความคิดเห็นที่ 91 มารออ่านต่อนะคะ.. ชวนติดตามและขอบคุณมากติดแล้วค่ะ กลับมาไวๆ   จากคุณ : noinop - [ 19 ส.ค. 48 20:03:04 ]

ความคิดเห็นที่ 92 มารออ่านต่อค่ะ จากคุณ : วาด (vad) - [ 19 ส.ค. 48 21:32:03 ]

ความคิดเห็นที่ 93 จองตั๋วล่วงหน้าด้วยคน จากคุณ : . (คมในฝัก แต่ชักไม่ออก) - [ 19 ส.ค. 48 21:33:56 ]

ความคิดเห็นที่ 94 มาลงชื่อว่าเข้ามาอ่านทุกคืน จากคุณ : muto (muto) - [ 19 ส.ค. 48 22:37:20 ]

ความคิดเห็นที่ 95 มาเล่าต่อค่ะ ชอบมาก จากคุณ : ต้นลูกตาล - [ 19 ส.ค. 48 22:44:30 ]

ความคิดเห็นที่ 96 รอต่อปายยยย.... จากคุณ : แมวโต๋เต๋ - [ 20 ส.ค. 48 08:10:09 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ถ้าคุณวิวันดาได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวประวัติของสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย เล่มที่ว่า ถ้าว่างๆ ก็มาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ จากคุณ : กริชครับผม - [ 20 ส.ค. 48 14:44:03 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ไม่ไปไหนแล้วเกาะติดอยู่ที่นี่อ่ะค่ะคุณวิวันดา จากคุณ : วันลิตเติลทู - [ 20 ส.ค. 48 15:33:03 ]

ความคิดเห็นที่ 99 งอมแงมๆ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง - [ 20 ส.ค. 48 17:03:38 ]

ความคิดเห็นที่ 100 I am looking forward to you ka.. จากคุณ : horseshoes - [ 20 ส.ค. 48 17:33:19 ]

ความคิดเห็นที่ 101 ครบร้อยแล้วครับ จากคุณ : กริชครับผม - [ 20 ส.ค. 48 22:26:59 ]

ความคิดเห็นที่ 102 มารออ่านต่อ อย่างใจจดใจจ่อค่ะ จากคุณ : นู๋นา (letsgokrabi) - [ 21 ส.ค. 48 13:13:57 ]

ความคิดเห็นที่ 103 แหม..แค่เช๊คเรตติ้งหน่อยเดียวเอ๊ง..ปล่าวนะคะ พูดเล่งงง แค่ไปนั่งพิมพ์เรื่องใหม่มาให้อ่านกันน่ะค่ะ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 21 ส.ค. 48 13:55:17 ]