ความคิดเห็นที่ 12
มรดกชิ้นสุดท้าย
เมื่อขบวนรถไฟพระที่นั่งมาถึงพระนครในเวลาตีหนึ่งเศษของวันที่ ๒๖มิถุนายน นั้น หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ ดวงประทีป ฉบับประจำวันที่๑กรกฎาคม๒๔๗๕ รายงานบรรยากาศว่า
...ในเวลากลางคืนดึกสงัดปราศจากกองทหาร มีแต่ลูกเสือไปเฝ้ารับเสด็จ ข้าราชการที่ไปคอยเฝ้ารับเสด็จมีแต่ข้าราชการกระทรวงวัง ไฟที่สถานีจิตรลดาขมุกขมัว ความมืดกับความเงียบสงัดผสมกัน และนอกจากเสียงล้อรถยนต์บดถนนแล้วก็ไม่มีเสียงอันใด เป็นอันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสู่พระนครในท่ามกลางความมืดและเยือกเย็น...ผู้ได้เห็นยังยืนยันว่ายังทรงร่าเริงอยู่อย่างปรกติ
เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้แทนคณะราษฎรเจ็ดคนได้เดินทางเข้าเฝ้า ณ วังศุโขทัย นำเอกสารสำคัญขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นกฎหมายรวมสองฉบับ คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช๒๔๗๕ ซึ่งร่างโดยนายปรีดี พนมยงค์ และพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พุทธศักราช๒๔๗๕
ภารกิจสำคัญของคณะราษฎรภายหลังการยึดอำนาจแล้วคือ การเร่งสถาปนาระบอบใหม่ที่มาแทนที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือ ระบอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งมิได้หมายถึงการมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเท่านั้น แต่ยังหมายมีความหมายมากกว่านั้น คือ
- การมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักประกันว่า รัฐบาลใหม่จะบริหารประเทศอย่างมีหลักเกณฑ์แน่นอนเป็นลายลักษณ์อักษร มิได้เป็นไปตามน้ำพระทัยส่วนพระองค์เช่นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
- รัฐธรรมนูญเป็นทั้งที่มาและเป็นหลักประกันแห่งสิทธิของราษฎร ดังจะเห็นได้จากมาตราแรกของธรรมนูญฉบับนี้ที่ประกาศว่า อำนาจสุงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย
- รัฐธรรมนูญเป็นหลักประกันในการจำกัดอำนาจของกษัตริย์ว่า จะไม่ทรงอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์อีกต่อไป แต่จะมีการแบ่งอำนาจเป็นสามส่วน คือนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
- รัฐธรรมนูญเป็นสัญลักษณ์ของระบอบใหม่ ถูกยกเป็นหนึ่งในสี่ของคำขวัญคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ มีการสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นมิ่งขวัญของประเทศ มีการส่งผู้แทนออกไปเผยแพร่รัฐธรรมนูญในต่างจังหวัด
ในช่วงเวลานั้น คำว่า รัฐธรรมนูญ เป็นคำพูดที่เริ่มติดปากคน แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร จนบางคนคิดว่ารัฐธรรมนูญเป็นลูกชายของพระยาพหลฯ
อย่างไรก็ตามพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินพุทธศักราช๒๔๗๕ แต่ได้ทรงขอตรวจพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม แล้วทรงลงพระปรมาภิไธยในวันที่ ๒๗มิถุนายน โดยทรงพระอักษรกำกับต่อท้ายชื่อพระราชบัญญัติว่า ชั่วคราว ซึ่งมีความหมายว่า มิใช่สิ่งที่ผู้นำของคณะราษฎรจะกำหนดได้ฝ่ายเดียว จะต้องมีการประนีประนอมออมชอมกับฝ่ายอื่นต่อไป
คืนนั้น เพลงปิดรายการวิทยุกระจายเสียงที่เคยเป็นเพลง มหาชัย ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นเพลง สรรเสริญพระบารมี ดังเดิม
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชบันทึกในเวลาต่อมาว่า
ครั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับขึ้นไปกรุงเทพฯ และได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่หลวงประดิษฐ์นำมาให้ข้าพเจ้าลงนาม ข้าพเจ้าก็รู้สึกทันทีว่า หลักการของผู้ก่อการกับหลักการของข้าพเจ้านั้นไม่พ้องกันเสียแล้ว ...ข้าพเจ้าเห็นว่าเวลานั้นเป็นเวลาฉุกเฉิน และสมควรจะพยายามรักษาความสงบไว้ก่อน เพื่อหาโอกาสผ่อนผันภายหลัง และเพื่อสำเหนียกฟังความเห็นของประชาชนก่อน ข้าพเจ้าจึ่งได้ยอมผ่อนผันไปตามความประสงค์ของคณะผู้ก่อการในครั้งนั้น ทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นด้วยกับหลักการเหล่านั้นเลย...
ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ ถือได้ว่าเป็นวันแห่งความผันผวนครั้งใหญ่ทางการเมือง จนมีการประนีประนอมระหว่างกลุ่มพลังในสังคม และมีการตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราว ๗๐คน พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้รับเลือกเป็นประธานกรรมการราษฎร หรือนายกรัฐมนตรีคนแรกของสยามประเทศ จากวันนั้นไปจนถึงคืนก่อการเกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘พฤศจิกายน ๒๔๙๐ (ซึ่งทำให้ประเทศไทยตกไปอยู่ใต้อำนาจเผด็จการทหารอย่างต่อเนื่องไปอีกยาวนาน) นับเป็นเวลา๑๕ปีอันถือได้ว่าเป็นระยะเวลาที่สมาชิกของคณะราษฎรได้มีอำนาจและบทบาทสำคัญในการปกครองประเทศ จะเห็นได้จากการที่นายกรัฐมนตรีทุกคนที่ได้รับเลือกมาในช่วงเวลานั้น หากไม่ใช่สมาชิกคณะราษฏรเอง ก็เป็นบุคคลที่คณะราษฎรสนับสนุนอย่างเข้มแข็งทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลานั้นเกิดความแตกแยกขัดแย้งขึ้นในหมู่คระราษฎร มีความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า อาทิ กรณีเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์, กบฏบวรเดช, ความขัดแย้งระหว่างพระยาทรงสุรเดชกับจอมพล ป.พิบูลสงคราม, การสละราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ต้องยอมรับว่า สิ่งที่คณะราษฎรสร้างสำเร็จในวันนั้น และยังสืบทอดมาจนปัจจุบันก็คือ การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
ดังที่ กระจ่าง ตุลารักษ์ คณะราษฎรคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้ามืดวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นทรัพย์สมบัติของประชาชนคนรุ่นหลัง
จากคุณ :
สุริยวรมัน
- [
18 ก.ย. 48 17:21:16
A:203.188.53.39 X: TicketID:031822
]
|
|
|